การช่วยลูกซึ่งโตแล้วของผู้ติดสุรา
“ถ้าคุณเติบโตในครอบครัวที่มีผู้ติดสุรา คุณต้องแก้ไขการเรียนรู้ที่บิดเบือนและความสับสนทางอารมณ์ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูในสภาพเช่นนั้น. ไม่มีทางเลี่ยงได้.” —ดร. จอร์ช ดับบลิว. วรูม.
ทหารผู้บาดเจ็บสาหัสนอนโลหิตไหลโกรกอยู่ในสนามรบ. ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที และนักรบผู้เจียนตายนั้นถูกนำส่งโรงพยาบาล. เขารอดชีวิตมาได้ แต่ปัญหายังไม่จบสิ้นเลย. ต้องเยี่ยวยาบาดแผลของเขา และความบอบช้ำทางจิตใจจากประสบการณ์ที่อาจติดตรึงอยู่เป็นปี ๆ.
สำหรับบุตรของบิดามารดาผู้ติดสุรา บ้านอาจเปรียบเหมือนสนามรบที่ซึ่งความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เราถูกโจมตี. เด็กบางคนถูกทารุณกรรมทางเพศ คนอื่น ๆ ถูกทุบตีร่างกาย หลายคนถูกทอดทิ้งทางด้านอารมณ์. คำพูดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสะท้อนถึงวัยเด็กของเขามีดังนี้: “มันเป็นความอกสั่นขวัญแขวนอย่างเดียวกับที่เด็ก ๆ อาจจะรู้สึกเมื่อเขาได้ยินเสียงลูกระเบิดตกหรือปืนกลระดมยิงรอบ ๆ บ้าน.” ไม่แปลกที่บุตรหลายคนของผู้ติดแอลกอฮอล์แสดงให้เห็นอาการเครียดซึ่งเกิดจากความบอบช้ำทางจิตใจอย่างเดียวกันกับทหารผ่านศึก!
จริงอยู่ เด็กหลายคนผ่านความบอบช้ำทางจิตใจเหล่านี้และในที่สุดก็จากบ้านไป. แต่พวกเขาก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ด้วยบาดแผล ซึ่งแม้จะมองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่จริง และไม่ยอมหายง่าย ๆ เช่นกับแผลของทหารผู้บาดเจ็บนั้น. กลอเรียบอกว่า “ดิฉันอายุ 60 ปีแล้ว และชีวิตก็ยังคงรับผลกระทบจากความบอบช้ำทางจิตใจซึ่งเกี่ยวเนื่องจากการเกิดในครอบครัวที่บิดาติดสุรา.”
อาจทำอะไรได้เพื่อช่วยคนเหล่านี้? คัมภีร์ไบเบิลแนะนะว่า ‘ร่วมรู้สึกในความโศกเศร้าของเขา.’ (โรม 12:15, ฟิลลิปส์) เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ คนเราต้องเข้าใจความบาดเจ็บที่มักจะเกิดจากการอยู่ในสภาพที่แวดล้อมด้วยแอลกอฮอล์.
“ฉันไม่เคยมีวัยเด็ก”
เด็กต้องได้รับการเลี้ยงดู เอาใจใส่ และคอยให้ความมั่นใจอยู่ตลอดเวลา. ในครอบครัวที่มีผู้ติดสุรา การเอาใจใส่ดังกล่าวนั้นมักจะขาดไป. ในบางกรณีก็สลับเปลี่ยนบทบาทกัน และคาดหมายให้เด็กเลี้ยงดูบิดามารดา. ตัวอย่างเช่น อัลเบิร์ตเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 14 ปี! เด็กหญิงชื่อแจนต้องแบกภาระงานบ้านเกือบทั้งหมดแทนมารดาที่ติดสุรา. นอกจากนั้น ยังเป็นพี่เลี้ยงน้อง ๆ ด้วย—ทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อเธออายุเพียงหกขวบเท่านั้น!
เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ และเด็กก็ไม่สามารถปฏิบัติอย่างผู้ใหญ่ได้. เมื่อบทบาทบิดามารดากับบุตรสับเปลี่ยนกัน เด็กที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่ในปัจจุบันก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยประสบผลสำเร็จ. (เปรียบเทียบเอเฟโซ 6:4) จอห์น แบรดชอร์ ผู้ให้คำปรึกษาด้านครอบครัวเขียนไว้ว่า “พวกเขาเติบโตมีร่างกายเป็นผู้ใหญ่. มีท่าทางและการพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ แต่ภายในใจพวกเขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้จักพอผู้ซึ่งไม่เคยได้รับการสนองตามความต้องการของเขาหรือเธอ.” คนเหล่านั้นอาจรู้สึกเหมือนคริสเตียนคนหนึ่งที่ว่า “ฉันยังคงมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่อย่างท่วมท้นเนื่องจากความต้องการทางอารมณ์ขั้นพื้นฐานในวัยเด็กไม่ได้รับการสนอง.”
“ต้องเป็นความผิดของฉัน”
เมื่อโรเบิร์ตอายุแค่ 13 ปี บิดาของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ. “ผมพยายามจะเป็นคนดี” โรเบิร์ตรำลึกพร้อมกับเหลือบสายตาลง. “ผมรู้ว่าผมทำสิ่งที่ท่านไม่ชอบ แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี.” โรเบิร์ตได้แบกภาระอันหนักอึ้งจากความรู้สึกผิดที่ทำให้บิดาของเขาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังและรู้สึกอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายปี. เมื่อเล่าเรื่องราวนี้ โรเบิร์ตอายุได้ 74 ปีแล้ว!
มีให้เห็นทั่วไปที่เด็ก ๆ จะแบกภาระรับผิดชอบต่อโรคพิษสุราเรื้อรังของบิดามารดา. การตำหนิตัวเองทำให้เด็กเกิดภาพลวงว่าตัวควบคุมสถานการณ์ได้. ดังที่เจนิสบอกว่า “ดิฉันคิดว่าถ้าดิฉันเป็นเด็กดีกว่านี้ คุณพ่อคงไม่ดื่มอีก.”
ความจริงก็คือ ไม่ว่าเด็ก—หรือผู้ใหญ่คนใด—ไม่อาจเป็นสาเหตุ, หรือควบคุม, หรือแก้ไขนิสัยดื่มสุราของใคร ๆ ได้. ถ้าบิดามารดาคุณติดสุรา ไม่ว่าใคร ๆ จะบอกคุณอย่างไร หรือพูดในทำนองไหน คุณไม่อาจถูกตำหนิได้ ! และคุณอาจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า ในฐานะเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณยังคงรู้สึกรับผิดชอบอย่างที่ไม่บังควรต่อการกระทำและพฤติกรรมของคนอื่น ๆ หรือไม่.—เปรียบเทียบโรม 14:12; ฟิลิปปอย 2:12.
“ฉันไว้ใจใครไม่ได้”
ความไว้วางใจเกิดขึ้นจากการเป็นคนเปิดเผยและสุจริตใจ. สภาพแวดล้อมของผู้ติดสุราก่อขึ้นบนการปกปิดและการปฏิเสธ.
ในวัยเด็ก ซารารู้ว่าบิดาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง. กระนั้น เธอจำได้ว่า “ฉันรู้สึกว่ามีความผิดแม้เพียงคิดถึงคำ ๆ นั้น เพราะว่าไม่มีใครในครอบครัวจะพูดอย่างนั้น.” ซูซานเล่าประสบการณ์คล้ายกันว่า “ไม่มีใครในครอบครัวพูดถึงสิ่งที่เป็นไป พวกเขาไร้ความสุขเพียงไร และเรารู้สึกโกรธเคือง [พ่อเลี้ยงผู้ติดสุรา] สักปานใด. ฉันคิดว่าได้ทำเป็นหูทวนลม.” ฉะนั้น ความเป็นจริงแห่งโรคพิษสุราเรื้อรังของคุณพ่อก็ถูกซ่อนไว้ด้วยการปฏิเสธ. ซูซานบอกว่า “ฉันเรียนรู้การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะได้เห็นมากพอแล้ว.”
ความไว้วางใจถูกทำให้แตกสลายต่อไปด้วยพฤติกรรมที่ไม่เสมอต้นเสมอปลายของผู้ติดสุรา. เมื่อวานนี้เขาแจ่มใสร่าเริง แต่วันนี้อาละวาดโครมคราม. มาร์ติน ลูกที่โตแล้วของแม่ซึ่งติดสุราบอกว่า “ผมไม่รู้หรอกว่ามรสุมจะเริ่มกระหน่ำเมื่อไร.” ผู้ติดสุราไม่รักษาคำสัญญา มิใช่เนื่องจากความเลินเล่อ แต่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์. ดร. คลอเดีย แบล็ก อธิบายว่า “การหมกมุ่นกับการดื่มกลายเป็นสิ่งที่อยู่อันดับแรกสำหรับผู้ติดสุรา. อย่างอื่นทั้งหมดอยู่ในอันดับรอง.”
“ผมซ่อนความรู้สึกเอาไว้”
เมื่อไม่สามารถร่วมความรู้สึกกันอย่างสบายใจได้ เด็ก ๆ ก็หาทางเก็บกดเอาไว้. พวกเขาไปโรงเรียนด้วย “รอยยิ้มฉาบหน้าและความปวดร้าวขมวดอยู่ในท้อง” จากหนังสือ อดัลท์ ชิลเดรน—เดอะ ซีเคร็ทส์ ออฟ ดีสฟังชันนัล แฟมิลีส์ และพวกเขาไม่กล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เกรงว่าจะเปิดเผยความลับในครอบครัว. ภายนอกทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ภายในความรู้สึกที่เก็บกดไว้เริ่มจะคุกรุ่นออกมา.
ในวัยผู้ใหญ่ความพยายามใด ๆ ที่จะข่มอารมณ์ด้วยฉากบังหน้า ‘ทุกอย่างเรียบร้อย’ ดีนั้น มักจะล้มเหลว. ถ้าความรู้สึกไม่สามารถแสดงออกได้ด้วยคำพูด ก็มักจะแสดงออกทางร่างกาย เช่น โดยแผลในกระเพาะอาหาร, ปวดหัวเรื้อรัง, และอื่น ๆ. เชอร์ลีย์บอกว่า “ความรู้สึกกัดกร่อนตัวฉัน. ฉันเจ็บป่วยไปเสียทุกโรค.” ดร. ทิมเมน เคอร์แมคอธิบายว่า “วิธีที่เด็ก ๆ ที่โตแล้วรับมือกับความเครียดคือการปฏิเสธ แต่คุณจะหลอกธรรมชาติไม่ได้. . . . ร่างกายที่อยู่ภายในสภาพเครียดเกร็งระดับสูงเป็นเวลาหลายปี จะเริ่มทรุดโทรมลง.”
มากกว่าความอยู่รอด
ลูกที่โตแล้วของผู้ติดสุรามีความเข้มแข็ง การรอดจากความบอบช้ำทางจิตใจในวัยเด็กมาได้พิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงนั้น. แต่ต้องมีอะไรมากกว่าความอยู่รอด. ต้องเรียนรู้แนวความคิดใหม่ในสัมพันธภาพของครอบครัว. ความรู้สึกผิด, รู้สึกโกรธ, และความนับถือตัวเองที่มีในระดับต่ำอาจต้องจัดการแก้ไข. ลูกที่โตแล้วของผู้ติดสุราต้องใช้ความเข้มแข็งเพื่อสวมใส่สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “บุคลิกลักษณะใหม่.”—เอเฟโซ 4:23, 24; โกโลซาย 3:9, 10.
ภาระนี้ไม่ง่าย. เลอรอย ลูกที่โตแล้วของผู้ติดสุรา ดิ้นรนใช้หลักการจากคัมภีร์ไบเบิลในครอบครัวของตนเป็นเวลา 20 ปี. “เมื่อผมได้รับคำแนะนำต่าง ๆ อันประกอบด้วยความรักจากสมาคมโดยทางหนังสือครอบครัว และสรรพหนังสืออื่น ๆ ผมจับแนวความคิดไม่ได้.a ผลก็คือผมนำความรู้ไปใช้ได้เพียงน้อยนิด. . . . โดยไม่มีความรู้สึกใด ๆ ดุจเครื่องจักรผมพยายามค้นหาและนำกฎเกณฑ์ไปใช้ เหมือนพวกฟาริซาย.”—ดูมัดธาย 23:23, 24.
สำหรับคนอย่างเลอรอยแล้ว คำของ่าย ๆ เพื่อให้เป็นคนที่ “มีความรักมากขึ้น” หรือ “สื่อความหมาย” หรือ “ตีสอนลูกของคุณ” อาจจะไม่เพียงพอ. เพราะเหตุใด? เพราะลูกที่โตแล้วอาจจะไม่เคยประสบคุณลักษณะหรือทักษะเหล่านี้ ดังนั้นเขาสำแดงหรือเลียนแบบได้อย่างไร? เลอรอยแสวงคำแนะนำเพื่อเข้าใจถึงผลกระทบของโรคพิษสุราเรื้อรังของบิดาเขา. ทั้งนี้แผ้วหนทางไปสู่ความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. เขาบอกว่า “ถึงแม้ว่าช่วงนี้เป็นเวลาที่ปวดร้าวในชีวิตของผม แต่ก็เป็นเวลาแห่งความเติบโตทางฝ่ายวิญญาณครั้งใหญ่. เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าผมเริ่มจะรู้อย่างถ่องแท้ว่า ความรักของพระเจ้าคืออะไร.”—1 โยฮัน 5:3.
สตรีคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ เชอริล ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านครอบครัวผู้ติดสุรา. เธอยังได้เผยความรู้สึกที่เก็บกดไว้กับผู้ปกครองที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ. เธอบอกว่า “ตั้งแต่ดิฉันขจัดความลับ ‘อันน่าละอาย’ ออกไปหมดแล้ว ดิฉันจึงรู้สึกมีสันติสุขกับพระยะโฮวาและตัวเอง. บัดนี้ดิฉันมีทัศนะว่าพระยะโฮวาเป็นพระบิดาของฉัน (เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่เคยทำได้มาก่อน) และดิฉันไม่รู้สึกว่าถูกโกงอีกแล้วที่ไม่เคยได้รับความรักและการนำทางจากบิดาบนโลกนี้ซึ่งดิฉันต้องการ.”
เอมี บุตรสาวที่โตแล้วของผู้ติดสุราพบว่าการทุ่มเทพัฒนา “ผลแห่งพระวิญญาณ” ได้ช่วยเธอเป็นอย่างมาก. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) เธอยังได้เรียนรู้ที่จะเผยความคิดและความรู้สึกกับผู้ปกครองที่แสดงความเข้าใจ. เอมีกล่าวว่า “เขาเตือนใจดิฉันว่าที่ควรแสวงหาจริง ๆ คือความพอพระทัยของพระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์. การแสวงหาความรักและความพอพระทัยจากพระองค์ทั้งสองไม่ เป็นการทำลายตัวเองเลย.”
การบำบัดอย่างครบถ้วน
คัมภีร์ไบเบิลบันทึกคำสัญญาของพระเยซูคริสต์ไว้ที่ว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยที่มาหาพระองค์จะได้รับการชูใจ. (มัดธาย 11:28-30) นอกจากนั้น พระยะโฮวาถูกเรียกว่า “พระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง พระองค์ผู้ทรงโปรดให้เราได้รับความชูใจในการทุกข์ยากทั้งสิ้น.” (2 โกรินโธ 1:3, 4) โมรีนาบอกว่า “ดิฉันเข้ามารู้จักพระยะโฮวาฐานะเป็นผู้ไม่เคยละทิ้งดิฉัน ไม่ว่าทางกาย, ทางใจ, หรือทางอารมณ์.”
เราดำรงชีวิตอยู่ในยุคที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่ายุคสุดท้าย เวลาซึ่งหลายคน—แม้กระทั่งในวงครอบครัว—จะเป็น ‘คนชอบด่าว่า ขาดความรักตามธรรมชาติ และดุร้าย.’ (2 ติโมเธียว 3:2, 3, เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) แต่พระเจ้าสัญญาว่าในไม่ช้าพระองค์จะทรงนำโลกใหม่อันสุขสงบเข้ามา ที่นั่นพระองค์จะเช็ดน้ำตาทุกหยดและกำจัดความเศร้าโศก. (วิวรณ์ 21:4, 5) คริสเตียนคนหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีผู้ติดสุราบอกว่า “เราหวังว่าพวกเราทุกคนสามารถเข้าไปในโลกใหม่ด้วยกัน ที่นั่นเราจะได้รับการบำบัดให้หายขาด ซึ่งเฉพาะพระยะโฮวาเท่านั้นทรงประทานให้ได้.”
กรณีตัวอย่าง
“ดิฉันเป็นลูกที่โตแล้วของผู้ติดสุรา. คุณพ่อกลายเป็นผู้ติดสุราเมื่อดิฉันอายุได้แปดขวบ. เมื่อท่านดื่ม ท่านก็เปลี่ยนเป็นคนรุนแรง. ดิฉันจำได้ถึงความหวาดกลัวที่ทั้งครอบครัวรู้สึก. ในช่วงที่ดิฉันน่าจะมีวัยเด็กอันแสนสุข ดิฉันเรียนรู้ที่จะฝังเก็บความรู้สึก, ความต้องการ, ความปรารถนา, และความหวังเอาไว้. คุณแม่และคุณพ่อง่วนอยู่กับการแก้ปัญหาของตัวเองจนไม่มีเวลาว่างสำหรับดิฉัน. ดิฉันไม่มีค่าควรแก่เวลาของท่าน. ดิฉันรู้สึกตัวไร้ค่า. เมื่ออายุได้แปดขวบ บทบาทที่ยัดเยียดให้ดิฉัน ทำให้ต้องเลิกเป็นเด็ก—ให้เติบโตขึ้นทันทีทันใดและแบกความรับผิดชอบทางครอบครัว. ชีวิตเหมือนถูกชะงักไว้.
“พฤติกรรมของคุณพ่อช่างน่าละอายจนความละอายนั้นติดมาถึงดิฉัน. เพื่อชดเชย ดิฉันพยายามจะเป็นคนดีไม่มีที่ติ. ดิฉันให้ครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามจะซื้อความรัก ไม่เคยรู้สึกว่ามีค่าคู่ควรกับความรักชนิดที่ปราศจากเงื่อนไขใด ๆ. ชีวิตของดิฉันเหมือนการแสดงละครที่เล่นด้วยความรู้สึกเย็นชา. หลายปีต่อมา สามีและลูกบอกว่า ฉันเหมือนหุ่นยนต์ เหมือนเครื่องจักร. ตลอด 30 ปี ดิฉันทำงานเยี่ยงทาสของพวกเขา เสียสละความต้องการทางอารมณ์ของตัวเองเพื่อพวกเขา ได้ให้พวกเขาเหมือนอย่างที่ดิฉันเคยให้กับคุณพ่อคุณแม่เสมอมา. และนี้คือผลตอบแทนหรือ? มันเป็นรอยแผลที่เจ็บปวดอย่างที่สุด!
“ด้วยความโกรธ, ความสับสน, และหมดหนทาง, ดิฉันปลงใจจะค้นหาให้ได้ว่าดิฉันผิดปกติตรงไหน. ขณะที่ดิฉันพูดกับคนอื่นซึ่งได้รับการเลี้ยงดูในบ้านที่มีผู้ติดสุรา ความรู้สึกที่อัดอั้นไว้หลายอย่างก็เริ่มระบายออกมา สิ่งที่ดิฉันไม่เคยคิดถึง สิ่งซึ่งเป็นเหตุของความซึมเศร้าที่ทำให้อ่อนแออยู่บ่อย ๆ. เหมือนกับการปลดแอกที่หนักอึ้ง เป็นการระบายอารมณ์. โล่งอก ปลอดโปร่งเหลือเกินเมื่อรู้ว่ามิใช่มีดิฉันคนเดียว คนอื่นก็มีความรู้สึกเช่นนี้และเข้าใจความบอบช้ำทางจิตใจอันเนื่องมาจากการเติบโตในบ้านที่มีผู้ติดสุรา!
“ดิฉันเข้าไปร่วมกลุ่มที่เรียกว่า ลูกที่โตแล้วของผู้ติดสุรา และเริ่มเอาวิธีบำบัดบางอย่างของพวกเขาไปใช้. สมุดแบบฝึกหัดช่วยเปลี่ยนทัศนะอันบิดเบือน. ดิฉันจดบันทึกประจำวันเพื่อขุดเอาความรู้สึกต่าง ๆ ที่สะสมไว้ภายในออกมา ความรู้สึกซึ่งฝังนานนับปี. ดิฉันฟังเทปสอนวิธีช่วยตัวเอง. ดิฉันดูรายการสัมมนาทางทีวีโดยผู้ซึ่งเป็นลูกที่โตแล้วของผู้ติดสุรา. หนังสือฟีลิง กูด จากสถาบันแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเพ็นซิลเวเนีย ช่วยดิฉันสร้างความนับถือตัวเองและปรับปรุงรูปแบบความคิดที่บิดเบือนของดิฉัน.
“รูปแบบความคิดใหม่ ๆ บางอย่างกลายเป็นเครื่องช่วย เป็นข้อความที่ช่วยรับมือกับชีวิตและความสัมพันธ์ได้. บางสิ่งที่ได้เรียนและนำไปใช้คือ: สิ่งสำคัญมิใช่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับเรา แต่ทัศนะหรือแง่คิดต่อสิ่งนั้น ๆ ต่างหาก. ความรู้สึกมิใช่เก็บแช่แข็งเอาไว้ภายใน แต่จำต้องตรวจสอบและแสดงออกมาในทางสร้างสรรค์หรือไม่ก็ละทิ้ง. เครื่องช่วยอีกอย่างคือสำนวนที่ว่า ‘ปฏิบัติตนเข้าสู่แนวความคิดที่ถูกต้อง.’ การกระทำที่ทำซ้ำ ๆ ย่อมก่อรูปแบบสมองชนิดใหม่.
“เครื่องช่วยชิ้นสำคัญที่สุดคือ พระวจนะของพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล. ดิฉันได้รับการรักษาทางฝ่ายวิญญาณที่ดีที่สุด และได้เรียนรู้ที่จะมีความรักอันถูกต้องต่อตัวเอง จากพระคัมภีร์และจากประชาคมของพยานพระยะโฮวา พร้อมด้วยผู้ปกครองและพยานฯ อาวุโสคนอื่น ๆ. นอกจากนั้น ดิฉันยังเรียนรู้ว่าดิฉันเป็นบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะพร้อมด้วยปัจเจกภาพ คือไม่มีใครในเอกภพที่จะเหมือนดิฉัน. สำคัญที่สุด ดิฉันรู้ว่าพระยะโฮวาทรงรักดิฉัน และพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อดิฉันรวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย.
“บัดนี้ หนึ่งปีครึ่งต่อมา ดิฉันพูดได้ว่า ดิฉันดีขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์. การหายขาดจะเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อโลกใหม่อันชอบธรรมของพระยะโฮวาได้เข้ามาแทนที่โลกชั่วช้าปัจจุบันและซาตานพญามารพระของมัน.”
สรุป
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความมุ่งหมายในใจคนลึกเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะยกขึ้นมาได้.” (สุภาษิต 20:5) จะต้องมีการสังเกตเข้าใจ ถ้าผู้ช่วยเหลือจะประสบผลในการดึงเอาสิ่งที่สร้างปัญหาออกมาจากส่วนลึกแห่งหัวใจของผู้ซึมเศร้า. มีประโยชน์อย่างมหาศาล “เมื่อมีที่ปรึกษามากหลาย” หากพวกเขามีความสังเกตเข้าใจ. (สุภาษิต 11:14) สุภาษิตถัดไปยังแสดงให้เห็นประโยชน์จากการแสวงคำแนะนำของผู้อื่นที่ว่า “เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด คนเราก็ลับเพื่อนของเราให้เฉียบแหลมขึ้นได้ฉันนั้น.” (สุภาษิต 27:17) เมื่อผู้ประสบความเดือดร้อนพูดจาติดต่อกัน อาจมีการ “หนุนใจซึ่งกันและกัน [ท่ามกลางพวกเขา].” (โรม 1:12) และเพื่อเป็นไปตามคำสั่งในพระคัมภีร์ที่ว่า “ให้หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ” ผู้ที่ให้คำหนุนน้ำใจต้องเข้าใจสาเหตุและผลกระทบจากความซึมเศร้าที่มีต่อผู้ซึ่งจะรับคำชูใจนั้น.—1 เธซะโลนิเก 5:14.
[เชิงอรรถ]
a หนังสือการทำให้ชีวิตครอบครัวของท่านมีความสุข จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิล แอนด์ แทร็กท์ ออฟ นิวยอร์ก.
[จุดเด่นหน้า 8]
บุตรหลายคนของผู้ติดแอลกอฮอล์แสดงให้เห็นอาการเครียดซึ่งเกิดจากความบอบช้ำทางจิตใจอย่างเดียวกันกับทหารผ่านศึก!
[จุดเด่นหน้า 10]
สภาพแวดล้อมของผู้ติดสุราก่อขึ้นบนการปกปิดและการปฏิเสธ
[จุดเด่นหน้า 10]
พวกเขาไปโรงเรียนด้วย “รอยยิ้มฉาบหน้าและความปวดร้าวขมวดอยู่ในท้อง”
[จุดเด่นหน้า 11]
“บัดนี้ดิฉันมีทัศนะว่าพระยะโฮวาเป็นพระบิดาของฉัน (เป็นสิ่งที่ดิฉัน ไม่เคยทำได้มาก่อน)”
[จุดเด่นหน้า 12]
เครื่องช่วยชิ้นสำคัญที่สุดคือ พระวจนะของพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล
[รูปภาพหน้า 9]
“ความรู้สึกกัดกร่อนตัวฉัน”