ได้รับการเสริมให้เข้มแข็งที่จะเผชิญความยากลำบากซึ่งมีอยู่ข้างหน้า
เล่าโดย เอดเวิร์ด มิคฮัลเลค
นายอำเภอเมืองวอร์ทัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา แสดงอาการฉุนเฉียวเอามาก ๆ. ขณะเขาพาผมเข้าคุกเป็นครั้งที่สี่ เขาตะเบ็งเสียงลั่นว่า “ทำไมคุณไม่รักษากฎข้อบังคับ?”
ผมตอบทันควันว่า “ผมมีสิทธิเต็มที่ที่จะทำงานนี้.” คำตอบดังกล่าวยิ่งทำให้นายอำเภอโกรธจัด เขาใช้กระบองโลหะหุ้มหนังตีผม. นายตำรวจคนอื่น ๆ ก็ร่วมกลุ้มรุม โดยเอาด้ามปืนตีผม.
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเกือบ 60 ปีมาแล้ว. เมื่อมองย้อนหลัง ผมเข้าใจได้เลยว่าพระยะโฮวาพระเจ้าได้ให้สภาพการณ์ดังกล่าวฝึกฝนผมเพื่อเผชิญการท้าทาย เมื่อผมเป็นหนึ่งในจำนวนพยานพระยะโฮวาแค่สองคนในโบลิเวีย ประเทศซึ่งมีขนาดเท่ากับฝรั่งเศส อยู่ในอเมริกาใต้. ประสบการณ์ในชีวิตของผมอาจช่วยให้คุณเห็นวิธีที่พระยะโฮวาสามารถเสริมความเข้มแข็งแก่คุณขณะเผชิญความยากลำบากต่าง ๆ นานา.
ย้อนไปเมื่อปี 1936 ขณะทำงานที่ร้านซ่อมวิทยุในเมืองโบลิง รัฐเท็กซัส ผมได้ฟังการบรรยายออกอากาศของโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ สมัยนั้น. ท่านบรรยายเกี่ยวกับพระพรต่าง ๆ ซึ่งจะมีมาทางราชอาณาจักรของพระเจ้าสู่มวลมนุษย์ผู้เชื่อฟัง. ผมติดใจเรื่องนี้มาก. (มัดธาย 6:9, 10; วิวรณ์ 21:3, 4) หลังจากนั้น ผมพบหนังสือบางเล่มจากห้องสมุดที่บ้านซึ่งเขียนโดย รัทเทอร์ฟอร์ด และจึงได้เริ่มอ่านหนังสือเหล่านั้น.
มารดาเลี้ยงของผมเริ่มรู้สึกร้อนใจที่เห็นผมสนใจหนังสือซึ่งเธอเรียกว่า “พวกหนังสือศาสนาโบราณพรรค์นั้น.” ท่านเอาหนังสือไปซ่อนและขู่จะเอาไปเผาทิ้งให้หมด. เมื่อผมเขียนถึงสมาคมว็อชเทาเวอร์ เพื่อบอกรับเป็นสมาชิกวารสาร เดอะ ว็อชเทาเวอร์ และ เดอะ โกลเดน เอจ เดี๋ยวนี้เรียกว่า ตื่นเถิด! สมาคมฯ จึงขอวิลเลียม ฮาร์เพอร์ จากประชาคมวอร์ทันที่เพิ่งตั้งได้ไม่นานให้ไปเยี่ยมผม. จากนั้นไม่นาน มารดาเลี้ยง, พี่ชาย, น้องชายต่างมารดาและตัวผมด้วยได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับบราเดอร์ฮาร์เพอร์. ไม่นานนัก พวกเราทุกคนก็แสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ.
ปี 1938 ชีลด์ ทุตเจียน ผู้แทนจากสมาคมฯ ได้เดินทางมาเยี่ยมพวกเราที่บ้านในเมืองโบลิงและให้คำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ห้องรับแขกของเราอัดแน่นไปด้วยผู้คนจนล้นออกมาข้างนอก—บางคนต้องยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องอื่น ๆ ที่อยู่ติดกับห้องรับแขก. บราเดอร์ทุตเจียนบรรยายเรื่องความอดทนของผู้พยากรณ์ยิระมะยาเมื่อท่านประกาศเตือนประชาชนสมัยนั้น แม้ว่าคนเหล่านั้นต่อต้านขัดขวาง. (ยิระมะยา 1:19; 6:10; 15:15, 20; 20:8) โดยทางคำบรรยายดังกล่าว พระยะโฮวาได้เสริมพลังเราให้เข้มแข็งพร้อมจะรับมือกับความยากลำบากที่เราจะเผชิญ.
การตัดสินใจและผลที่ตามมา
ในไม่ช้า ผมก็ตระหนักว่าผมจะต้องตัดสินใจ. ก่อนหน้านั้นผมเรียนทางด้านธุรกิจและพยายามบรรลุเป้าหมายเพื่อการมีชื่อเสียงในโลกธุรกิจ. ผมดำเนินธุรกิจขายและซ่อมวิทยุ และทำงานติดตั้งสายโทรศัพท์ให้กับบริษัทโทรศัพท์แห่งหนึ่งด้วย. แต่บัดนี้ผมเริ่มเข้าใจว่า ความสำเร็จแท้ในชีวิตนั้นหมายถึงการทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าพระผู้สร้างของเราพอพระทัย. ฉะนั้น ผมจึงเลิกกิจการและจัดการแต่งรถยนต์ให้เป็นที่พักหลับนอนได้. พอถึงวันที่ 1 มกราคม 1939 ผมก็เข้าร่วมกับกลุ่มไพโอเนียร์ ผู้เผยแพร่เต็มเวลา ซึ่งอยู่ใกล้เมืองทรีริเวอร์ เขตเมืองคานส์ รัฐเท็กซัส.
เดือนกันยายน 1939 สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นในยุโรป. พวกต่อต้านฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้กล่าวใส่ร้ายป้ายสีพยานพระยะโฮวา. พวกเขาอ้างว่าเราเป็นพวกแนวที่ห้า หรือเป็นสายลับให้พันธมิตรฝ่ายอักษะ. หลายคนหลงเชื่อข้อกล่าวหาเท็จดังกล่าวและเริ่มก่อความยากลำบากให้เรา. ช่วงต้นทศวรรษปี 1940 ผมถูกจับเข้าคุกเก้าหรือสิบครั้ง นับรวมกับที่พูดในตอนต้นคราวที่นายอำเภอและพรรคพวกของเขารุมซ้อมผมอย่างรุนแรงจนผมต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ภายหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น.
พอดี ต่อมานายอำเภอคนเดียวกันนี้ได้เสนอให้ระงับการดำเนินคดีชายคนหนึ่งซึ่งถูกฟ้องฐานเล่นการพนันผิดกฎหมาย โดยให้เขาทำความดีความชอบบางอย่างเป็นการตอบแทน นั่นคือ ให้ชายร่างกำยำ คนงานบ่อน้ำมันคนนี้ทำร้ายผม. ผลก็คือ วันหนึ่ง ขณะผมยืนเสนอวารสารข้างถนน ชายคนนั้นได้ใช้โซ่ฟาดผม! ปลัดอำเภอบางคนได้ปรากฏตัวขึ้น แต่แทนที่จะจับกุมชายผู้นั้น พวกเขากลับมาจับผมเข้าคุก! ต่อมา คนที่ทำร้ายผมได้บอกเหตุผลที่เขาลงมือทำร้ายโดยไม่มีสาเหตุและขอลุแก่โทษ.
บทเรียนต่าง ๆ ที่ได้จากความยากลำบาก
การเผชิญความลำบากดังกล่าวหลายครั้งหลายหนจริง ๆ แล้วเป็นการเสริมความเชื่อของผมในพระเจ้าให้มั่นคง. สิ่งหนึ่งคือ ผมจำไม่ได้ว่ารู้สึกเจ็บปวดขณะถูกตี แต่ผมจำได้ว่าผมมีใจสงบหลังจากนั้น. (กิจการ 5:40-42) โดยวิธีนี้ ผมได้เรียนรู้ที่จะทำดังอัครสาวกเปาโลกระตุ้นเตือนไว้ว่า “มีความภูมิใจในความยากลำบากด้วย, เพราะรู้อยู่แล้วว่าความยากลำบากนั้นกระทำให้บังเกิดมีความอดทน.” (โรม 5:3) ภายหลัง คราวใดที่ผมหวนนึกถึงการถูกทำร้าย มันทำให้ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่า ด้วยการช่วยเหลือของพระยะโฮวา ผมจะไม่มีวันยอมให้ตัวแทนใด ๆ ของซาตานมาทำให้ผมเงียบเสียงลง.
ยิ่งกว่านั้น ผมได้รับอีกบทเรียนหนึ่งอันทรงค่า. นั่นคือการที่ผมพูดไปอย่างไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาว่า “ผมมีสิทธิเต็มที่ที่จะทำงานนี้.” ได้ยั่วให้นายอำเภอบันดาลโทสะ. ต่อมา เขาเผชิญหน้าผมอีก คราวนี้เขาโกรธมากเนื่องจากพยานฯ ไม่เข้าร่วมในการทำสงคราม. (ยะซายา 2:4) เพื่อยั่วให้ผมโกรธ เขาถามผมว่า “ถ้าคุณถูกเกณฑ์ให้รับใช้ประเทศชาติ คุณจะไปไหม?”
มาถึงตอนนี้ ผมได้เรียนรู้มาแล้วถึงการรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ผมจึงตอบว่า “ถ้าผมแน่ใจว่าเรื่องนี้เป็นพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา แน่นอน ผมจะไป.” การตอบเช่นนั้นดับความโกรธของเขา และไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น.
การฝึกอบรมเพื่องานประจำชีพ
ฉากเด่นที่สุดในชีวิตของผมคือการเป็นนักศึกษารุ่นที่สามของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด ปี 1944. โรงเรียนนี้จัดหลักสูตรฝึกอบรมเป็นเวลาห้าเดือนสำหรับงานมิชชันนารี. ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ ผมหวาดกลัวเมื่อพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก. แต่การที่ต้องบรรยายเป็นประจำต่อหน้านักเรียนประมาณหนึ่งร้อยคน บ่อยครั้งฝึกกันที่กลางแจ้งเช่นนั้นช่วยผมได้จริง ๆ. แมกซ์เวลล์ เฟรนด์ ผู้สอนการบรรยายต่อสาธารณชนมักจะพูดขัดจังหวะแถมตะโกนว่า “บราเดอร์มิคฮัลเลค ผมไม่ได้ยินคุณพูด!” โดยวิธีนี้ ผมได้มาตระหนักว่า ตามจริงแล้ว ผมพูดเสียงดังได้.
หลังจากนาธาน เอช. นอรร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสมัยนั้นได้ประกาศมอบหมายเขตงานมิชชันนารีให้ผมไปที่โบลิเวีย ผมระลึกถึงคำที่ท่านเตือนว่า “คุณจะพบคนใจถ่อมหลายคนที่นั่น. พึงรักพวกเขา, เพียรอดทนกับเขา, และเห็นอกเห็นใจเขา.” เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองยังดำเนินอยู่ เราจึงต้องรอระยะหนึ่งก่อนไปยังเขตมอบหมายของเรา. ในที่สุด วันที่ 25 ตุลาคม 1945 ผมกับแฮโรลด์ มอร์ริส—เพื่อนร่วมชั้น ได้ไปถึงท่าอากาศยานเอล อัลโต นอกกรุงลาปาซ เมืองหลวงของประเทศโบลิเวีย. ด้วยเหตุนี้ เราจึงเป็นพยานฯ เพียงสองคนในประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสามของทวีปอเมริกาใต้.
รถโดยสารได้พาเราลงจากท่าอากาศยานสูงเหนือระดับน้ำทะเล 4,100 เมตรเข้าสู่กรุงลาปาซ เมืองหลวงซึ่งขยายผังเมืองไปตามที่ราบและพื้นที่ข้างหุบเขามหึมา. นับว่าเป็นสิ่งท้าทายที่จะปรับตัวให้เข้ากับการดำรงชีวิตในที่ ๆ สูงกว่าสามพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล.
การเริ่มต้นด้วยจำนวนน้อยและวุ่นวาย
เราเริ่มเยี่ยมประชาชนตามบ้านเรือนทันที. ประชาชนใจดีและอดทนฟังขณะที่เราพยายามพูดภาษาสเปนที่เรารู้เพียงไม่กี่คำ. ไม่นาน เราสองคนก็สามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านคนละ 18 ถึง 20 รายแต่ละสัปดาห์. หกเดือนต่อมา เมื่อวันที่ 16 เมษายน 1946 กลุ่มเล็ก ๆ ที่เป็นสุขเบิกบานได้มาร่วมประชุมอนุสรณ์ประจำปีกับเราเพื่อรำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์. ไม่นานหลังจากนั้น อีกสี่คนซึ่งจบจากโรงเรียนกิเลียดก็เดินทางมาถึง เอลิซาเบ็ธ ฮอลลินส์อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งต่อมาก็ได้มาเป็นภรรยาของผม.
ไม่นานหลังจากนั้น บราเดอร์มอร์ริสกับผมได้เริ่มเยี่ยมเมืองอื่น ๆ รวมถึงเมืองโคชาบัมบาและโอรูโร เมืองใหญ่อันดับสองและสามในประเทศโบลิเวียตอนนั้น. เมื่อผมรายงานบราเดอร์นอรร์ถึงเรื่องที่เราพบคนสนใจและเรื่องที่เราได้จำหน่ายสรรพหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิล ท่านแนะนำเราให้ไปเยี่ยมเมืองเหล่านี้ทุก ๆ สามเดือนหรือราว ๆ นั้น เพื่อจะช่วยคนเหล่านั้นที่แสดงความสนใจ. หลายคนในจำนวนนี้ที่มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ต่อมาก็เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา.
เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงเพียงหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ประเทศโบลิเวียจึงเริ่มเกิดความวุ่นวายทางการเมือง. การแข่งขันชิงอำนาจฝ่ายการเมืองและความวิตกกลัวลัทธินาซีจะฟื้นตัวอีกในอเมริกาใต้ทำให้มีการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนและการลอบสังหาร. ในช่วงฤดูร้อนปี 1946 ประธานาธิบดีประเทศโบลิเวียถูกสังหาร และร่างของเขาถูกแขวนบนเสาไฟหน้าทำเนียบประธานาธิบดีเลยทีเดียว. บางครั้ง ความรุนแรงเป็นเหตุให้ประชาชนไม่กล้าออกจากเคหสถานของตนเสียด้วยซ้ำ.
วันหนึ่ง ขณะที่เอลิซาเบ็ธโดยสารรถประจำทางผ่านย่านการค้า เธอแลเห็นร่างชายหนุ่มสามคนถูกแขวนอยู่บนเสา. ด้วยความตกใจกลัว เธอร้องออกมาเบา ๆ. ผู้โดยสารที่นั่งใกล้ ๆ บอกว่า “ถ้าไม่อยากมองภาพอย่างที่เห็นอยู่นี้ คุณก็หันหน้าไปทางอื่นก็หมดเรื่อง.” เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เราตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องหมายพึ่งพระยะโฮวาอย่างเต็มที่.
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความวุ่นวายสับสน ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลได้หยั่งรากลงในหัวใจคนถ่อม. เดือนกันยายน 1946 สำนักงานสาขาก็ตั้งขึ้นในกรุงลาปาซ และผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลสาขา. อพาร์ตเมนต์ที่เราได้เช่าเป็นสำนักงานก็ถูกใช้เป็นบ้านมิชชันนารีด้วย. สองสามเดือนถัดมา เมื่อจัดตั้งประชาคมแห่งแรกในโบลิเวีย เราใช้อพาร์ตเมนต์เดียวกันนี้สำหรับการประชุมของเรา.
อนึ่ง ปี 1946 เราเริ่มจัดให้มีการบรรยายสาธารณะ. เราใช้ห้องโถงใหญ่ของห้องสมุดเทศบาลซึ่งอยู่ในย่านธุรกิจของกรุงลาปาซสำหรับคำบรรยายแรก. ชายชาวยูโกสลาเวียผู้มีอัธยาศัยดีซึ่งศึกษาพระคัมภีร์กับพวกเราได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเชิญชวนให้มาฟังคำบรรยาย. ผู้คนได้มาฟังแน่นขนัด. เนื่องจากผมยังอยู่ในระหว่างเรียนภาษาสเปน ผมรู้สึกกังวลมากที่ต้องบรรยายคราวนั้น. แต่โดยการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา การประชุมประสบผลสำเร็จด้วยดี. ปรากฏว่า นั่นเป็นคำบรรยายแรกในชุดคำบรรยายสี่เรื่องที่เราจัดขึ้นในหอประชุมแห่งนี้.
ปี 1947 เราได้ต้อนรับมิชชันนารีจากกิเลียดอีกหกคน และมีเพิ่มเข้ามาอีกสี่คนเมื่อปี 1948. บ้านที่เราสามารถเช่าได้นั้นไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ทันสมัย. นอกจากต้องรักษาตารางเวลาของมิชชันนารีซึ่งมีงานมากอยู่แล้ว ในที่สุดพวกเรามิชชันนารีรุ่นแรกยังต้องทำงานอาชีพบางเวลาเพื่อมีเงินซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่แทนชุดเก่าคร่ำคร่าของเรา. การเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเป็นการท้าทายเช่นกัน. บ่อยครั้ง ผมเดินทางผ่านเส้นทางบนเทือกเขาอันหนาวเย็น โดยนั่งท้ายรถบรรทุกไม่มีหลังคา. แต่พระยะโฮวาทรงให้การชูใจเสริมกำลังพวกเรามิได้ขาดโดยทางองค์การของพระองค์.
เดือนมีนาคม 1949 บราเดอร์นอรร์พร้อมด้วยมิลตัน เฮนเชล เลขานุการประจำตัว มาจากนิวยอร์กเพื่อเยี่ยมบ้านมิชชันนารีของเราสามแห่ง ที่กรุงลาปาซ, โคชาบัมบา, และโอรูโร. นับว่าเป็นการชูใจอย่างแท้จริงเมื่อได้ฟังเรื่องการเพิ่มทวีใหญ่โตในหลายประเทศและข่าวการก่อสร้างสำนักเบเธลแห่งใหม่และอาคารโรงพิมพ์ที่สำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาในบรุกลินที่กำลังดำเนินงานอยู่! บราเดอร์นอรร์เสนอแนะว่าพวกเราควรมีบ้านและหอประชุมอยู่ใกล้ใจกลางเมืองมากกว่านี้ในกรุงลาปาซ. ท่านบอกพวกเราด้วยว่าจะส่งมิชชันนารีมาเพิ่มอีกหลายคน.
ต่อมาในปี 1949 เราจัดการประชุมหมวดครั้งแรกที่เมืองโอรูโร. นับว่าเป็นการหนุนกำลังใจสำหรับพวกพี่น้องคริสเตียนชายหญิงของเราซึ่งเป็นพี่น้องใหม่ที่ได้พบปะกันเป็นครั้งแรก. จนถึงวันนั้น ประเทศโบลิเวียได้บรรลุยอดผู้ประกาศราชอาณาจักร 48 คน และมีสามประชาคม.
เพื่อนคู่ใจที่ซื่อสัตย์ของผม
ผลสืบเนื่องจากการร่วมงานมิชชันนารีด้วยกันหลายปี เอลิซาเบ็ธกับผมจึงได้มารู้จักกันแล้วเราก็รักกัน. ในที่สุด ปี 1953 เราแต่งงาน. เธอเริ่มงานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์เดือนมกราคม 1939 ซึ่งผมเองก็เริ่มงานปีนั้น. การเป็นไพโอเนียร์ในตอนแรก ๆ ก็ยากสำหรับเธอเหมือนกัน. เนื่องจากกิจกรรมด้านงานประกาศอย่างกล้าหาญ เธอถูกจับเข้าคุกเช่นกัน ถูกบังคับให้เดินไปตามถนนสายต่าง ๆ ในเมืองเหมือนอาชญากรทั่วไป.
เอลิซาเบ็ธยอมรับว่ากลัวเมื่อเธอร่วมเดินไปตามถนนพร้อมกับแขวนแผ่นป้ายประกบหน้าหลังมีข้อความว่า “ศาสนาเป็นบ่วงแร้วและกลลวง.” แต่เธอได้ทำตามสิ่งที่องค์การของพระยะโฮวาชี้แนะให้เราทำในครั้งนั้น. ดังที่เธอพูดว่า เธอทำเพื่อพระยะโฮวา. ประสบการณ์เหล่านั้นหนุนกำลังเธอให้เข้มแข็งสู้ความยากลำบาก ซึ่งเธอได้อดทนตลอดช่วงแรกในประเทศโบลิเวีย.
งานมอบหมายหลายรูปแบบต่างกัน
ประมาณสองปีหลังจากเราแต่งงาน เราได้ใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางเยี่ยมพี่น้อง. ไม่เพียงแต่เยี่ยมสี่ประชาคมในโบลิเวีย แต่กลุ่มผู้สนใจที่อยู่ห่างไกลโดดเดี่ยว รวมทั้งทุกเมืองซึ่งมีประชากรมากกว่า 4,000 คน. จุดประสงค์ของเราเพื่อสืบหาและเพาะความสนใจใด ๆ ในด้านความจริงของคัมภีร์ไบเบิลท่ามกลางประชาชนในพื้นที่เหล่านั้น. เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่เห็นว่า พอถึงกลางทศวรรษปี 1960 มีประชาคมเกือบทั่วทุกเมืองเล็ก ๆ ที่พวกเราเคยไปเยี่ยมประมาณสิบปีก่อนหน้านั้น.
ในช่วงนั้น ผมมีปัญหาด้านสุขภาพซึ่งเลวลงเนื่องจากระดับความสูงของกรุงลาปาซ. ดังนั้น ปี 1957 บราเดอร์อีกคนหนึ่งเข้ามารับผิดชอบดูแลสำนักงานสาขา แล้วผมกับเอลิซาเบ็ธได้รับมอบหมายให้อยู่ที่บ้านมิชชันนารีในเมืองโคชาบัมบา เมืองในหุบเขาซึ่งระดับความสูงต่ำกว่าที่อยู่เดิม. เมื่อเราประชุมกันเป็นครั้งแรก มีมิชชันนารีไม่กี่คนเข้าร่วม แต่ไม่มีชาวโบลิเวียแม้แต่คนเดียว. ต่อมาอีก 15 ปีเราก็ไปจากเมืองโคชาบัมบา ในปี 1972 มีสองประชาคมที่นั่น. เวลานี้มี 35 ประชาคมกระจายอยู่ตามชนบททั่วหุบเขาโคชาบัมบา พร้อมกับผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า 2,600 คน!
ปี 1972 เราถูกย้ายไปที่เมืองแซนตา ครูซ ที่ราบลุ่มเขตร้อน. เรายังคงพำนักอยู่ที่นี่ ซึ่งมีสองห้องอยู่ชั้นบนของหอประชุม. เมื่อเรามาถึงตอนนั้น ที่เมืองแซนตา ครูซ มีสองประชาคมเช่นกัน แต่เดี๋ยวนี้มีมากกว่า 45 ประชาคม และผู้ประกาศที่ร่วมงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนมีมากกว่า 3,600 คน.
เรายินดีสักเพียงใดที่เรายังคงอยู่ในงานมอบหมายของเราฐานะมิชชันนารีนานกว่า 50 ปี และเห็นการรวบรวมไพร่พลของพระยะโฮวาเข้ามาราว ๆ 12,300 คนในประเทศนี้! เรารู้สึกดีใจจริง ๆ ที่ได้รับใช้บรรดาผู้เป็นที่รักเหล่านี้.
ชีวิตที่เป็นสุขด้วยการรับใช้คนอื่น
ก่อนที่ผมจะไปยังเขตมอบหมายในงานมิชชันนารี ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสมาคมว็อชเทาเวอร์ เฮย์เดน ซี. คัฟวิงตัน เพื่อนจากรัฐเท็กซัสบอกว่า “เอด ที่เท็กซัสเรามีพื้นที่กว้างขวางไปมาได้ทั่ว. แต่ในบ้านมิชชันนารี คุณจะเบียดเสียดร่วมกับคนอื่น. นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง.” เขาพูดถูก. การอยู่ในที่แคบ ๆ กับคนอื่นเป็นสิ่งท้าทาย แต่เรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องซึ่งคริสเตียนมิชชันนารีต้องประสบ.
ดังนั้น ถ้าคุณคิดถึงการย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อรับใช้พระยะโฮวา จำไว้ว่า ชีวิตสาวกแท้ของพระคริสต์คือการรับใช้ผู้อื่น. (มัดธาย 20:28) ฉะนั้น มิชชันนารีพึงเตรียมใจยอมรับชีวิตในแบบที่ปฏิเสธตัวเอง. บางคนอาจคาดหวังว่าตนคงจะได้รับความนับหน้าถือตา. บางทีเขาอาจจะได้—เมื่อเขากล่าวลาเพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่บ้าน. แต่สิ่งนั้นจะสูญไปเมื่อเขามาถึงเมืองเล็ก ๆ หรือย่านที่คนยากจนอาศัยอยู่ซึ่งจะเป็นเขตมอบหมายของเขา. อะไรคือข้อแนะนำของผม?
เมื่อคุณเผชิญความยากลำบาก เป็นต้นว่าปัญหาสุขภาพ, ความรู้สึกที่ว่าคุณอยู่ห่างไกลครอบครัว, หรือบางทีเกิดความยุ่งยากในเรื่องการเข้ากันกับพี่น้องคริสเตียนในเขตที่รับมอบหมาย, จงยอมรับเอาทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนตัวเอง. ถ้าคุณยอมรับ คุณจะได้รับบำเหน็จในเวลาอันควร ดังอัครสาวกเปโตรเขียนไว้ว่า “หลังจากท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วเวลาสั้น ๆ แล้ว พระเจ้าแห่งความกรุณาทั้งมวลอันไม่พึงได้รับ . . . จะทรงโปรดให้การอบรมของท่านทั้งหลายถึงที่สำเร็จ พระองค์เองจะให้ท่านทั้งหลายมั่นคง พระองค์จะทำให้ท่านทั้งหลายเข้มแข็ง.”—1 เปโตร 5:10, ล.ม.
เอดเวิร์ด มิคฮัลเลค สิ้นชีวิตในวันที่ 7 กรกฎาคม 1996 ขณะที่บทความนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนจัดพิมพ์.
[รูปภาพหน้า 19]
ที่ประเทศโบลิเวีย ปี 1947
[รูปภาพหน้า 20, 21]
ชั่วโมงเรียนการบรรยายต่อสาธารณชนมักจัดขึ้นนอกห้องเรียน ดังเห็นได้จากภาพที่ถ่ายในช่วงหลังที่โรงเรียนกิเลียด
[รูปภาพหน้า 23]
กับภรรยา