บทแปด
คุณจะ “มีชีวิตอยู่ต่อไป” เช่นเดียวกับยิระมะยาห์ไหม?
1, 2. ทำไมจึงมีเหตุผลที่จะสนใจทั้งรายบุคคลและครอบครัวด้วย?
หลังจากยะโฮซูอะกระตุ้นชาวอิสราเอลให้เลือกว่าจะรับใช้ผู้ใด ท่านได้กล่าวว่า “ฝ่ายเราทั้งครอบครัว จะปฏิบัติพระยะโฮวา.” (ยโฮ. 24:15) ยะโฮซูอะตั้งใจจะภักดีต่อพระเจ้าและมั่นใจว่าครอบครัวของท่านจะภักดีด้วยเช่นกัน. หลังจากนั้นอีกนาน ขณะที่พินาศกรรมของกรุงเยรูซาเลมใกล้เข้ามา ยิระมะยาห์ได้ทูลกษัตริย์ซิดคียาว่า หากท่านสวามิภักดิ์ต่อบาบิโลน “ท่านกับครอบครัวของท่าน จะมีชีวิตอยู่ต่อไป.” (ยิระ. 38:17, ล.ม.) การเลือกที่ไม่ดีของกษัตริย์ก่อผลเสียหายต่อตัวท่าน รวมทั้งบรรดามเหสีกับราชบุตรของท่าน. ท่านได้เห็นราชบุตรทั้งหลายถูกประหาร แล้วตัวท่านถูกทำให้ตาบอดและถูกพาไปเป็นเชลยที่บาบิโลน.—ยิระ. 38:18-23; 39:6, 7
2 ในสองวลีดังกล่าวที่พิมพ์เป็นตัวเอน มีการพาดพิงโดยตรงถึงบุคคลคนหนึ่ง. แต่ก็มีการกล่าวถึงครอบครัวของเขาด้วย. นี่เป็นเรื่องที่มีเหตุผล. ผู้ใหญ่แต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า. ถึงกระนั้นชาวอิสราเอลส่วนใหญ่มีครอบครัว. ครอบครัวนับว่าสำคัญสำหรับคริสเตียนเช่นกัน. เราทราบเรื่องนี้จากสิ่งที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลและเรื่องที่เราพิจารณา ณ การประชุมคริสเตียนเกี่ยวกับการสมรส การเลี้ยงดูบุตรและความนับถือต่อสมาชิกในครอบครัว.—1 โค. 7:36-39; 1 ติโม. 5:8
พระบัญชาที่ไม่ปกติ
3, 4. สภาพการณ์ของยิระมะยาห์ต่างจากคนส่วนใหญ่ในทางใดบ้าง และท่านได้รับประโยชน์อย่างไร?
3 ยิระมะยาห์เป็นคนหนึ่งที่ “ได้รอดชีวิต” ในสมัยของท่าน. ท่านรอดชีวิตจากการทำลายกรุงเยรูซาเลม ถึงแม้สภาพส่วนตัวของท่านต่างจากคนส่วนใหญ่. (ยิระ. 21:9; 40:1-4) พระเจ้าได้ทรงบัญชาท่านมิให้แต่งงานหรือมีลูกหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมธรรมดาอื่น ๆ ในชีวิตชาวยิวสมัยนั้น.—อ่านยิระมะยา 16:1-4
4 ในวัฒนธรรมสมัยยิระมะยาห์ การแต่งงานและการมีบุตรถือเป็นเรื่องปกติ. ผู้ชายชาวยิวส่วนใหญ่ได้ทำเช่นนั้น จึงช่วยรักษาที่ดินของบรรพบุรุษให้อยู่ในตระกูลและครอบครัวของตน.a (บัญ. 7:14) ทำไมยิระมะยาห์ไม่แต่งงาน? โดยคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า พระเจ้าทรงบัญชามิให้ท่านมีส่วนร่วมในกิจกรรมธรรมดาที่ก่อความโศกเศร้าหรือความยินดี. ท่านต้องไม่ปลอบโยนคนที่โศกเศร้าหรือกินอาหารกับเขาหลังจากพิธีฝังศพ ทั้งไม่เข้าร่วมความสนุกสนานในงานสมรสของชาวยิว. อีกไม่นานไม่ว่าใครก็ตามคงหมดโอกาสที่จะเลี้ยงและชื่นชมยินดีเช่นนั้น. (ยิระ. 7:33; 16:5-9) แนวทางชีวิตของยิระมะยาห์สามารถช่วยคนอื่นให้เชื่อถือข่าวสารของท่านและตอกย้ำว่าการพิพากษาที่กำลังจะมาถึงนั้นร้ายแรงมาก. ในที่สุดเกิดความหายนะจริง. คุณนึกภาพออกไหมถึงความรู้สึกของคนที่ต้องจำใจกินเนื้อมนุษย์เนื่องจากความอดอยาก หรือคนที่เห็นผู้เป็นที่รักของตนกลายเป็นเพียงซากศพเน่า? (อ่านยิระมะยา 14:16; ทุกข์. 2:20) ดังนั้น ไม่ต้องมีใครสมเพชยิระมะยาห์ที่ไม่ได้แต่งงาน. การล้อมกรุง 18 เดือนและการสังหารที่เป็นผลจากการล้อมนั้นทำให้ครอบครัวต่าง ๆ สูญสิ้นไป แต่ยิระมะยาห์ไม่ต้องโศกเศร้าเนื่องจากสูญเสียบุตรหรือภรรยา.
5. พระบัญชาที่ยิระมะยา 16:5-9 ส่งผลเช่นไรต่อคริสเตียน?
5 แต่จะกล่าวได้ไหมว่ายิระมะยา 16:5-9 นำมาใช้ได้กับพวกเรา? ไม่ได้. คริสเตียนควร “ชูใจคนที่ตกอยู่ในความทุกข์ลำบากต่าง ๆ” และ “ชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี.” (2 โค. 1:4; โรม 12:15) พระเยซูทรงเข้าร่วมงานสมรสและมีส่วนทำให้เกิดความชื่นชมยินดี. ถึงกระนั้น เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับระบบชั่วนี้นับว่าร้ายแรง. แม้กระทั่งคริสเตียนอาจเผชิญความลำบากและการขาดแคลน. พระเยซูทรงเน้นว่าให้เราพร้อมจะทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อจะอดทนและรักษาความซื่อสัตย์ เช่นเดียวกับพี่น้องของเราซึ่งหนีจากแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก. ดังนั้น เราควรคิดอย่างจริงจังว่าจะอยู่เป็นโสดหรือแต่งงาน หรือว่าจะมีบุตรหรือไม่.—อ่านมัดธาย 24:17, 18
6. ใครบ้างอาจได้รับประโยชน์จากการไตร่ตรองดูพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้แก่ยิระมะยาห์?
6 เราจะเรียนอะไรได้จากพระบัญชาของพระเจ้าที่ไม่ให้ยิระมะยาห์แต่งงานและมีบุตร? ทุกวันนี้ คริสเตียนที่ภักดีบางคนไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีบุตร. พวกเขาอาจเรียนอะไรได้จากเรื่องของยิระมะยาห์? และทำไมแม้แต่คริสเตียนที่แต่งงานแล้วและมีบุตรก็ควรเอาใจใส่ชีวิตของยิระมะยาห์ในด้านนี้?
7. ทำไมพวกเราในปัจจุบันควรพิจารณากรณีที่ยิระมะยาห์ต้องไม่มีบุตร?
7 ทีแรกขอพิจารณาว่ายิระมะยาห์ต้องไม่มีบุตร. พระเยซูมิได้ห้ามเหล่าสาวกมีบุตร. แต่น่าสังเกตที่พระองค์ประกาศว่า “วิบัติ” จะเกิดแก่หญิงมีครรภ์หรือหญิงที่มีลูกอ่อนตอนที่ความทุกข์ลำบากมาถึงในปี ส.ศ. 66-70. ช่วงนั้นคงจะลำบากโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงเหล่านั้นเมื่อคำนึงถึงสภาพของพวกเธอ. (มัด. 24:19) ปัจจุบันเรากำลังจะเผชิญกับความทุกข์ลำบากที่ใหญ่กว่า. คู่สมรสคริสเตียนซึ่งตัดสินใจว่าจะมีบุตรหรือไม่ ควรคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง. คุณเห็นด้วยมิใช่หรือว่าดูเหมือนยากขึ้นทุกทีที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์ในสมัยนี้? และหลายคู่ได้ยอมรับว่าเป็นเรื่องท้าทายทีเดียวที่จะเลี้ยงดูบุตรซึ่งจะ “มีชีวิต” ผ่านพ้นอวสานของระบบปัจจุบัน. แม้ว่าคู่สมรสแต่ละคู่ต้องตัดสินใจว่าจะมีบุตรหรือไม่ แต่ก็สมควรจะพิจารณากรณีของยิระมะยาห์. จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับพระบัญชาของพระเจ้าที่ไม่ให้ท่านแต่งงานด้วยซ้ำ?
ยิระมะยาห์ได้รับพระบัญชาที่ไม่ปกติอะไร และพระบัญชานั้นควรกระตุ้นเราให้พิจารณาอะไร?
คุณจะเรียนอะไรจากการที่ยิระมะยาห์เป็นโสด?
8. เหตุใดเราจึงกล่าวได้ว่าการแต่งงานไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย?
8 การที่พระเจ้าห้ามไม่ให้ยิระมะยาห์แต่งงาน ไม่ได้เป็นการตั้งบรรทัดฐานไว้ให้ผู้รับใช้ทุกคนของพระองค์ปฏิบัติตาม. การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดี. พระยะโฮวาทรงริเริ่มการสมรสของมนุษย์เพื่อให้มีคนอยู่เต็มแผ่นดินโลกและเพื่อเป็นแหล่งที่มาของความพอใจและความยินดีอย่างยิ่ง. (สุภา. 5:18) แต่ไม่ใช่ทุกคนแต่งงาน. อาจมีขันทีบางคนที่สมทบกับประชาชนของพระเจ้าระหว่างช่วงที่ยิระมะยาห์พยากรณ์.b นอกจากนั้น คุณแน่ใจได้ว่ามีแม่ม่ายและพ่อม่ายหลายคนด้วย. ดังนั้น ยิระมะยาห์ไม่ใช่ผู้นมัสการแท้เพียงคนเดียวที่ไม่มีคู่ครอง. แน่นอน ท่านมีเหตุผลที่ไม่แต่งงาน และคริสเตียนบางคนในทุกวันนี้ก็มีเหตุผลที่ไม่แต่งงานเช่นกัน.
9. เราควรไตร่ตรองคำแนะนำอะไรที่มีขึ้นโดยการดลใจเกี่ยวกับการสมรส?
9 คริสเตียนหลายคนแต่งงาน แต่ไม่ใช่ทุกคน. คุณก็รู้ว่าพระเยซูไม่ได้แต่งงาน และพระองค์ตรัสว่าสาวกบางคนจะมีของประทานที่จะ “จัดชีวิต” เพื่อเป็นโสดซึ่งก็เกี่ยวข้องกับทั้งความคิดและหัวใจ. พระองค์ทรงกระตุ้นคนเหล่านั้นที่สามารถเป็นโสดได้ให้ทำเช่นนั้น. (อ่านมัดธาย 19:11, 12 ) ดังนั้น คงเหมาะสมที่จะชมเชยคนที่เป็นโสดเพื่อจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้น แทนที่จะเย้าแหย่เขา. จริงอยู่ คริสเตียนบางคนเป็นโสด อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากสภาพการณ์ต่าง ๆ. ตัวอย่างเช่น เขาอาจไม่พบคู่ที่เหมาะสมซึ่งเป็นคริสเตียน และก็น่าชมเชยที่เขาตั้งใจจะสนับสนุนมาตรฐานของพระเจ้าที่ให้สมรสกับ “ผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้น. (1 โค. 7:39) แน่นอน ผู้รับใช้บางคนของพระเจ้าเป็นแม่ม่ายหรือพ่อม่าย จึงเป็นเหมือนคนโสด.c พวกเขาไม่ควรลืมว่าพระเจ้า (และพระเยซู) ได้แสดงความห่วงใยมานานแล้วต่อคนที่ไม่มีคู่ครองดังกล่าว.—ยิระ. 22:3; อ่าน 1 โครินท์ 7:8, 9
10, 11. (ก) อะไรได้ช่วยยิระมะยาห์ให้ประสบผลสำเร็จในการเป็นโสด? (ข) ประสบการณ์สมัยปัจจุบันยืนยันอย่างไรว่าคนที่รักษาความเป็นโสดสามารถมีชีวิตที่น่าพอใจได้?
10 ดังนั้น ขณะที่ยิระมะยาห์รักษาความเป็นโสด ท่านพึ่งอาศัยการสนับสนุนจากพระเจ้า. โดยวิธีใด? ขอจำไว้ว่ายิระมะยาห์มีความยินดีในพระคำของพระยะโฮวา. นั่นคงเป็นแหล่งที่มาของกำลังและคำรับรองที่ทำให้ยิระมะยาห์อุ่นใจตลอดหลายสิบปีที่ท่านมุ่งสนใจในงานรับใช้ที่พระเจ้าทรงมอบหมาย. นอกจากนั้น ด้วยความระมัดระวังท่านหลีกเลี่ยงการคบหากับคนเหล่านั้นที่อาจเยาะเย้ยท่านที่เป็นโสด. ท่านเต็มใจที่จะ “นั่งลงอยู่คนเดียว” แทนที่จะอยู่กับคนที่ชอบเยาะเย้ยเช่นนั้น.—อ่านยิระมะยา 15:17
11 คริสเตียนหลายคนที่ไม่มีคู่ครอง ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ว่าอยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือสูงอายุกำลังปฏิบัติตามตัวอย่างที่ดีของยิระมะยาห์. ประสบการณ์ต่าง ๆ แสดงว่า สิ่งที่ช่วยได้มากก็คือการหมกมุ่นในงานรับใช้พระเจ้าและมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในกิจกรรมฝ่ายวิญญาณที่เป็นประโยชน์. ตัวอย่างเช่น พยานฯคนหนึ่งที่รับใช้ร่วมกับประชาคมภาษาจีนให้ข้อสังเกตว่า “การเป็นไพโอเนียร์ทำให้ชีวิตดิฉันมีจุดมุ่งหมาย. เนื่องจากเป็นโสด ชีวิตดิฉันจึงเต็มด้วยการงานซึ่งทำให้ไม่เหงา. ดิฉันรู้สึกอิ่มใจเมื่อถึงตอนเย็นของแต่ละวันเพราะเห็นได้ว่างานรับใช้ของดิฉันได้ช่วยผู้คนจริง ๆ ทำให้ดิฉันมีความยินดีมาก.” ไพโอเนียร์วัย 38 ปีคนหนึ่งกล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าเคล็ดลับที่ทำให้มีความสุขคือมองหาแง่ดีไม่ว่าอยู่ในสภาพการณ์ใดก็ตาม.” คริสเตียนที่ไม่ได้แต่งงานคนหนึ่งในยุโรปใต้ได้พูดตรง ๆ ว่า “ชีวิตดิฉันอาจไม่เป็นอย่างที่ตัวเองวางแผนไว้ แต่ดิฉันก็มีความสุขและก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป.”
12, 13. (ก) ทัศนะอะไรที่ตรงกับความเป็นจริงในเรื่องความเป็นโสดและการสมรส? (ข) ชีวิตและคำแนะนำของเปาโลเน้นอะไรเรื่องความเป็นโสด?
12 อาจเป็นได้ไหมที่ยิระมะยาห์ได้สังเกตว่าชีวิตไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ขณะที่ท่านเติบโตขึ้น? แต่ท่านอาจได้ตระหนักว่าเป็นเช่นนั้นกับหลายคนที่สมรสและมีบุตรด้วย. ไพโอเนียร์คนหนึ่งในสเปนเล่าว่า “ดิฉันรู้จักคนที่แต่งงานแล้ว บางคนมีความสุขและบางคนก็ไม่มีความสุข. ความเป็นจริงนี้ทำให้ดิฉันมั่นใจว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าดิฉันจะแต่งงานในอนาคตหรือไม่.” ไม่มีข้อสงสัย ประสบการณ์ของยิระมะยาห์ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในคนโสดมากมาย พิสูจน์ว่ามีทางเป็นไปได้ที่คนโสดจะมีชีวิตที่อิ่มใจพอใจและมีความสุข. อัครสาวกเปาโลยืนยันเรื่องนี้ด้วยโดยเขียนว่า “ข้าพเจ้าขอบอกคนที่ไม่แต่งงานและพวกแม่ม่ายว่า ที่พวกเขาอยู่ในสถานภาพนั้นต่อไปเหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว.” (1 โครินท์ 7:8) เปาโลอาจเป็นพ่อม่าย. ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ท่านไม่มีคู่ครองตอนที่ทำงานรับใช้อย่างแข็งขันฐานะมิชชันนารี. (1 โค. 9:5) นับว่ามีเหตุผลมิใช่หรือที่จะสรุปว่าการไม่มีคู่ครองทำให้ท่านมีข้อได้เปรียบ? สำหรับท่านแล้วนั่นหมายถึง “[การ] รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอโดยไม่วอกแวก” และท่านจึงเกิดผลดีมากมาย.—1 โค. 7:35
13 เปาโลได้รับการดลใจให้กล่าวเพิ่มเติมว่า “คนที่แต่งงานก็จะทำให้ตัวเองลำบาก.” พระเจ้าทรงให้เปาโลรวมเอาความจริงที่ลึกซึ้งนี้ไว้ด้วยที่ว่า “ถ้าคนใดตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเป็นโสด . . . ก็ทำดีแล้ว. เพราะฉะนั้น คนโสดที่ตัดสินใจแต่งงานก็ทำดี แต่คนที่รักษาความเป็นโสดไว้ก็ทำดีกว่า.” (1 โค. 7:28, 37, 38) ยิระมะยาห์ไม่เคยได้อ่านถ้อยคำเหล่านี้ แต่แนวทางชีวิตของท่านตลอดหลายสิบปีพิสูจน์ว่าความเป็นโสดใช่ว่าจะขัดขวางคนเราไม่ให้มีชีวิตที่อิ่มใจพอใจในการรับใช้พระเจ้า. ที่จริง ความเป็นโสดช่วยให้ชีวิตมุ่งอยู่ที่การนมัสการแท้ซึ่งทำให้ชีวิตมีความหมายอย่างแท้จริง. แม้ว่าสมรสแล้ว กษัตริย์ซิดคียาก็มิได้เอาใจใส่ฟังคำแนะนำของยิระมะยาห์จึงไม่ได้ “รอดชีวิต” ในขณะที่ผู้พยากรณ์ซึ่งไม่ได้แต่งงานได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไป.
คุณจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของยิระมะยาห์ที่เป็นโสดตลอดหลายสิบปี?
ให้กำลังใจคนอื่นและได้รับกำลังใจ
14. ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของอะคีลัสกับเปาโลเน้นเรื่องอะไร?
14 ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ชายหญิงส่วนใหญ่ในสมัยยิระมะยาห์ได้แต่งงานและมีครอบครัว. เป็นเช่นเดียวกันในสมัยของเปาโล. ไม่ต้องสงสัยว่า คริสเตียนส่วนใหญ่ที่มีครอบครัวคงไม่สามารถเข้าร่วมงานรับใช้ในต่างแดนได้เหมือนเปาโล แต่พวกเขาก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำได้ในเขตที่ตนอยู่ รวมถึงการที่พวกเขาสนับสนุนพี่น้องชายหญิงที่ไม่ได้แต่งงาน. ขอระลึกว่าตอนที่เปาโลไปถึงเมืองโครินท์ อะคีลัสกับปริสกิลลาได้ต้อนรับท่านให้พักที่บ้านและทำงานร่วมกับท่านเนื่องจากมีอาชีพเหมือนกัน. แต่ก็ไม่ได้มีแค่นั้น. มิตรภาพที่ครอบครัวของอะคีลัสได้แสดงต่อเปาโลคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้มีกำลังใจอย่างแน่นอน. ขอให้คิดถึงการรับประทานอาหารมื้ออร่อยด้วยกันและโอกาสอื่น ๆ ที่มีการคบหากันฉันมิตร. ยิระมะยาห์ได้รับประโยชน์จากการคบหาคล้ายกันนั้นไหม? การที่ท่านเป็นโสดก็เป็นประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า แต่เราไม่ต้องคิดว่าท่านเป็นคนที่ตัดตัวเองจากสังคม. ท่านอาจคบหาอย่างสนิทสนมกับครอบครัวของผู้รับใช้ที่เลื่อมใสพระเจ้า อาจเป็นครอบครัวของบารุค, เอเบ็ดเมเล็ก, หรือคนอื่น ๆ.—โรม 16:3; อ่านกิจการ 18:1-3
15. ในทางใดบ้างที่ครอบครัวคริสเตียนจะช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงที่เป็นโสดได้มากทีเดียว?
15 คริสเตียนที่เป็นโสดในทุกวันนี้ได้รับประโยชน์เช่นกันจากมิตรภาพอันอบอุ่นแบบเดียวกับที่ครอบครัวของอะคีลัสได้แสดงต่อเปาโล. หากคุณมีครอบครัว คุณพยายามจัดให้มีการคบหากับคนที่ไม่ได้แต่งงานไหม? พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้เผยความรู้สึกในใจทำนองนี้ “ดิฉันได้ออกจากสังคมโลกแล้วและไม่อยากกลับไปหาอีก. อย่างไรก็ดี ดิฉันยังคงต้องการให้มีคนเอาใจใส่และแสดงความรัก. ดิฉันอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้จัดเตรียมอาหารฝ่ายวิญญาณและการหนุนกำลังใจเป็นพิเศษสำหรับพวกเราคริสเตียนที่เป็นโสด. เราไม่อยากให้ใครมองข้ามเรา และใช่ว่าเราทุกคนอยากจะแต่งงานเหลือเกิน. แต่ในแง่หนึ่งดูเหมือนว่าเราไม่มีที่พึ่ง. จริงอยู่ เราสามารถหมายพึ่งพระยะโฮวาได้เสมอ แต่เมื่อเราต้องการคบหากับคนอื่น ๆ เราจะพูดคุยกับครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเราได้ไหม?” พี่น้องชายหญิงที่เป็นโสดจำนวนมากสามารถตอบอย่างจริงใจว่า ได้. พวกเขามีการคบหาเช่นนั้นในประชาคม. กลุ่มเพื่อนของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่พี่น้องชายหญิงที่อยู่ในวัยเดียวกับตนเท่านั้น. เนื่องจากสนใจคนอื่น ๆ พวกเขาจึงเป็นเพื่อนกับคนหลายวัย รวมทั้งผู้สูงอายุหรือหนุ่มสาวในครอบครัวคริสเตียนซึ่งอยู่ในท้องถิ่นด้วย.
16. เรื่องง่าย ๆ อะไรบ้างที่คุณจะทำได้เพื่อให้กำลังใจแก่คริสเตียนที่เป็นโสดในประชาคม?
16 หากคิดวางแผนล่วงหน้า คุณก็จะเป็นแหล่งที่ให้กำลังใจแก่คนโสดได้โดยให้พวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัวคุณ เช่นการนมัสการประจำครอบครัวในตอนเย็น. การให้พี่น้องที่เป็นโสดมาร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวอาจมีความหมายยิ่งกว่าแค่อาหารอร่อยมื้อหนึ่งเท่านั้น. คุณจะเป็นฝ่ายริเริ่มนัดหมายเพื่อจะประกาศด้วยกันได้ไหม? จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการเชิญคริสเตียนที่เป็นโสดให้ทำงานร่วมกับครอบครัวของคุณในโครงการบำรุงรักษาหอประชุมหรือการไปซื้อของด้วยกันเป็นครั้งคราว? และบางครอบครัวได้เชิญแม่ม่าย, พ่อม่าย, หรือไพโอเนียร์ที่เป็นโสดให้เดินทางไปกับพวกเขาเพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่หรือไปยังสถานที่ท่องเที่ยว. การคบหาสมาคมเช่นนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าให้กำลังใจแก่ทั้งสองฝ่าย.
17-19. (ก) เหตุใดลูก ๆ ต้องสมดุลและแสดงความรักเมื่อจัดเตรียมให้มีการดูแลบิดามารดาที่สูงอายุหรือทุพพลภาพ? (ข) เราได้รับบทเรียนอะไรจากวิธีที่พระเยซูจัดการเพื่อดูแลมารดาของพระองค์?
17 อีกขอบเขตหนึ่งที่จะพิจารณาในเรื่องพี่น้องชายหญิงที่เป็นโสดนั้นเกี่ยวข้องกับการเอาใจใส่ดูแลบิดามารดาที่สูงอายุ. ในสมัยของพระเยซู ชาวยิวที่มีชื่อเสียงบางคนได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อจะเลี่ยงการดูแลบิดามารดาของตน. พวกเขาอ้างว่าการทำตามพันธะทางศาสนาที่ตนกำหนดขึ้นเองนั้นต้องมาก่อนพันธะต่อบิดามารดาตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้. (มโก. 7:9-13) ไม่ควรเป็นเช่นนั้นในครอบครัวคริสเตียน.—1 ติโม. 5:3-8
18 แต่จะว่าอย่างไรหากบิดามารดาผู้สูงอายุมีบุตรที่เป็นคริสเตียนหลายคน? ถ้าลูกคนหนึ่งไม่ได้แต่งงาน หมายความว่าลูกคนนี้ต้องเป็นหลักในการดูแลบิดามารดาเสมอไปไหม? พี่น้องหญิงคนหนึ่งเขียนมาจากญี่ปุ่นว่า “ดิฉันอยากจะแต่งงาน แต่เนื่องจากมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลพ่อแม่ ดิฉันจึงแต่งงานไม่ได้. ดิฉันมั่นใจว่าพระยะโฮวาทรงเข้าใจความเครียดในการดูแลพ่อแม่และความรู้สึกปวดร้าวใจของคนที่เป็นโสด.” อาจเป็นได้ไหมว่าเธอมีพี่น้องชายหญิงที่แต่งงานแล้วซึ่งได้ตกลงกันให้เธอเป็นคนที่ดูแลพ่อแม่ โดยที่ไม่ได้ปรึกษาเธอก่อน? ในกรณีคล้ายกันนี้ น่าสังเกตว่ายิระมะยาห์ก็มีพี่น้องที่ไม่ได้ปฏิบัติกับท่านอย่างยุติธรรม.—อ่านยิระมะยา 12:6
19 พระยะโฮวาทรงเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคนโสดซึ่งอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก. (เพลง. 103:11-14) อย่างไรก็ดี บิดามารดาที่สูงอายุหรือทุพพลภาพก็เป็นพ่อแม่ของลูกทุกคน ไม่ใช่เพียงแต่ของลูกที่ไม่ได้แต่งงาน. จริงอยู่ ลูกบางคนอาจแต่งงานไปแล้วและมีลูก ๆ ของตนเอง. อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้ทำให้ความรักที่มีต่อบิดามารดาลดน้อยลง ทั้งไม่ปลดเปลื้องเขาจากหน้าที่ฐานะคริสเตียนที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลท่านเมื่อจำเป็น. เราจำได้ว่าแม้แต่ตอนที่พระเยซูจวนจะสิ้นพระชนม์บนหลัก พระองค์ทรงสำนึกถึงหน้าที่ของพระองค์และจัดการเพื่อดูแลมารดาของพระองค์. (โย. 19:25-27) คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้กฎเกณฑ์ที่ละเอียดเรื่องการช่วยกันดูแลบิดามารดาที่สูงอายุหรือทุพพลภาพ ทั้งมิได้บ่งชี้ว่าลูกที่ยังไม่ได้แต่งงานต้องรับผิดชอบ การดูแลมากกว่า คนอื่นโดยอัตโนมัติ. ในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ต้องคิดถึงข้อปลีกย่อยต่าง ๆ อย่างรอบคอบและทุกฝ่ายควรคำนึงถึงกันและกัน โดยจดจำตัวอย่างที่พระเยซูทรงวางไว้ในการดูแลมารดาของพระองค์.
20. คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการคบหาสมาคมกับคนโสดในประชาคมของคุณ?
20 ยิระมะยาห์ได้บอกล่วงหน้าภายใต้การดลใจว่า “เขาทั้งหลายทุกตัวคนจะไม่ต้องสั่งสอนเพื่อนบ้านของตัว, แลทุกตัวคนจะไม่ต้องสั่งสอนพี่น้องของตัวอีกว่า, ให้รู้จักพระยะโฮวา, เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราทุกตัวคน.” (ยิระ. 31:34) โดยหลักการ เรามีมิตรภาพที่โดดเด่นเช่นนั้นอยู่แล้วในประชาคมคริสเตียน รวมทั้งมิตรภาพกับพี่น้องชายหญิงที่เป็นโสด. ไม่มีข้อสงสัย เราทุกคนต้องการให้กำลังใจคนโสดอีกทั้งได้รับกำลังใจจากเขาด้วย และเห็นพวกเขา “มีชีวิตอยู่ต่อไป.”
คุณอาจทำอะไรได้อีกเพื่อให้กำลังใจพี่น้องชายหญิงบางคนที่เป็นโสดและได้รับกำลังใจจากพวกเขา?
a ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ไม่มีคำที่แปลว่า “ชายโสด.”
b ยะซายาได้กล่าวเชิงพยากรณ์ถึงขันทีจริง ๆ ในสมัยของท่านซึ่งคงมีส่วนอย่างจำกัดในการนมัสการของชาวอิสราเอล. ท่านได้บอกล่วงหน้าว่าโดยการเชื่อฟัง ขันทีเหล่านั้นจะได้รับ “[สิ่ง] ที่ดีกว่าบุตรชายและบุตรหญิง” คือจะได้ “ชื่อนิรันดร์” ในพระนิเวศของพระเจ้า.—ยซา. 56:4, 5, ฉบับ R73
c คนอื่น ๆ อาจอยู่คนเดียวเนื่องจากคู่สมรสซึ่งอาจเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ ได้แยกจากเขาหรือจดทะเบียนหย่า.