ใครดำเนินในความสว่างของโลก?
“ท่านทั้งหลายจึงปรากฏดุจดวงสว่างต่าง ๆ ในโลก.”—ฟิลิปปอย 2:15.
1. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเรื่องความสว่างจอมปลอมทางศาสนา?
คัมภีร์ไบเบิลให้หลักฐานชัดเจนว่าพระเยซูเป็น “ความสว่างอันใหญ่,” “ความสว่างของโลก.” (ยะซายา 9:2; โยฮัน 8:12) แต่มีไม่กี่คนที่ได้ติดตามพระองค์เมื่อพระองค์อยู่บนแผ่นดินโลก. คนส่วนใหญ่สมัครใจติดตามความสว่างปลอม ซึ่งโดยแท้แล้วอยู่ฝ่ายความมืด. พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงคนเหล่านั้นดังนี้: “คนเช่นนั้นเป็นอัครสาวกปลอม เป็นคนงานชอบหลอกลวง ปลอมตัวเป็นอัครสาวกของพระคริสต์. และไม่แปลก เพราะซาตานเองทำตัวมันเองเป็นทูตแห่งความสว่าง. ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรถ้าผู้รับใช้ของมันก็ทำตัวเองเป็นผู้รับใช้แห่งความชอบธรรมอยู่เสมอ. แต่บั้นปลายของพวกเขาก็จะเป็นไปตามการงานของตน.”—2 โกรินโธ 11:13-15, ล.ม.
2. พระเยซูตรัสว่าอะไรเป็นหลักของการพิพากษาประชาชน?
2 ดังนั้น ไม่ใช่ทุกคนต้องการความสว่าง ถึงความสว่างจะน่าพิศวงเพียงใดก็ตาม. พระเยซูตรัสว่า “หลักของการพิพากษาก็เป็นอย่างนี้ คือว่าความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้วแต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการของเขาชั่ว. เพราะผู้ที่กระทำสิ่งชั่วย่อมชังความสว่าง และไม่ได้มาถึงความสว่าง เพื่อที่การของตนจะไม่ถูกว่ากล่าว.”—โยฮัน 3:19, 20, ล.ม.
คนรักความมืด
3, 4. ผู้นำศาสนาในสมัยพระเยซูแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขาไม่ต้องการดำเนินตามความสว่าง?
3 จงพิจารณาเรื่องนั้นว่าเป็นอย่างไรในคราวที่พระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก. พระเจ้าได้ประทานอำนาจแก่พระเยซูกระทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่น่าประทับใจ ทั้งนี้เพื่อให้หลักฐานว่าพระองค์คือพระมาซีฮา. ยกตัวอย่าง วันหนึ่งซึ่งเป็นวันซะบาโต พระองค์ทรงกระทำให้สายตาชายตาบอดมาแต่กำเนิดคืนสภาพจนสามารถมองเห็นได้. ช่างเป็นการกระทำอันเปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง! ชายคนนั้นหยั่งรู้ค่ามากปานใด! เขาสามารถมองเห็นได้เป็นครั้งแรก! กระนั้น พวกผู้นำศาสนาแสดงปฏิกิริยาอย่างไร? โยฮัน 9:16, (ล.ม.) บอกว่า “บางคนในพวกฟาริซายจึงเริ่มพูดว่า ‘นี้ไม่ใช่คนซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้ถือวันซะบาโต.’” หัวใจของเขาเสื่อมทรามเสียจริง ๆ! โอกาสนั้นได้มีการรักษาอย่างอัศจรรย์ แต่แทนที่เขาจะแสดงความยินดีต่อชายที่เคยตาบอดและหยั่งรู้ค่าผู้ให้การรักษา พวกเขากลับตำหนิพระเยซู! โดยการกระทำเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยเขาได้ทำบาปต่อการสำแดงให้ปรากฏแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นบาปซึ่งไม่อาจให้อภัยได้.—มัดธาย 12:31, 32.
4 ในเวลาต่อมา เมื่อคนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้นซักถามชายตาบอดถึงเรื่องพระเยซู ชายคนนั้นตอบว่า “การนี้ช่างเป็นที่น่าประหลาดใจจริง ๆ ที่พวกท่านไม่รู้ว่าผู้นั้นมาจากไหน และกระนั้นท่านก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด. พวกเรารู้อยู่ว่าพระเจ้ามิได้ทรงฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดยำเกรงพระเจ้าและกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังผู้นั้น. ตั้งแต่เดิมมาไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีผู้ใดทำให้ตาคนที่เกิดมาตาบอดเห็นได้. ถ้าผู้นั้นมิได้มาจากพระเจ้า ท่านก็คงทำอะไรไม่ได้เลย.” พวกผู้นำทางศาสนามีปฏิกิริยาเช่นไร? “พวกเขาจึงตอบคนนั้นว่า ‘เอ็งเกิดมาในการบาปทั้งตัว และยังจะมาสอนเราหรือ?’ และพวกเขาจึงขับไล่เขาออกไปเสีย!” ช่างขาดความเห็นอกเห็นใจอะไรเช่นนั้น! หัวใจของเขาแข็งกระด้าง. ดังนั้น พระเยซูจึงตรัสแก่พวกเขาว่าถึงเขามองเห็นด้วยตาจริง ๆ แต่เขาตาบอดฝ่ายวิญญาณ.—โยฮัน 9:30-41, ล.ม.
5, 6. ผู้นำศาสนาในศตวรรษแรกได้ทำอะไร ซึ่งแสดงว่าเขารักความมืด?
5 ที่ว่าคนหน้าซื่อใจคดทางศาสนาเหล่านี้ทำบาปต่อพระวิญญาณของพระเจ้านั้นเห็นได้ชัดในอีกโอกาสหนึ่ง เมื่อพระเยซูทรงปลุกลาซะโรขึ้นจากตาย. เนื่องจากเห็นการอัศจรรย์ครั้งนั้น สามัญชนมากมายแสดงความเชื่อในพระเยซู. แต่ให้สังเกตสิ่งที่พวกผู้นำศาสนาได้ทำ. “พวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริซายจึงเรียกประชุมศาลซันเฮดรินแล้วเริ่มกล่าวว่า: ‘เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้กระทำหมายสำคัญหลายประการ? ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมายึดเอาทั้งที่และชาติของเรา.’” (โยฮัน 11:47, 48) พวกเขากังวลเรื่องตำแหน่งและชื่อเสียงของตน. ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร เขาต้องการทำให้ชาวโรมันพอใจ ไม่ใช่พระเจ้า. ดังนั้น เขาได้ทำอะไร? “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เขาทั้งหลายจึงคิดอ่านจะฆ่าพระองค์เสีย.”—โยฮัน 11:53, ล.ม.
6 ทั้งหมดมีแค่นี้ไหม? เปล่า. สิ่งที่เขากระทำต่อไปแสดงให้เห็นว่าพวกเขารักความมืดเพียงไร: “ฝ่ายปุโรหิตใหญ่จึงปรึกษากันจะฆ่าลาซะโรเสียด้วย เพราะเขาเป็นเหตุให้พวกยิวเป็นอันมากไปที่นั่นและวางใจในพระเยซู.” (โยฮัน 12:10, 11) ช่างชั่วช้าอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ! แม้นว่าเขาได้ทำทุกอย่างดังกล่าวเพื่อปกป้องตำแหน่งของตน แต่เกิดอะไรขึ้น? ในชั่วอายุนั้นทีเดียว พวกเขาได้ลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดิโรมัน ซึ่งมารุกรานพวกเขาในปีสากลศักราช 70 แล้วยึดเอาบ้านเมือง รวมทั้งชาติและชีวิตของพวกเขาด้วย!—ยะซายา 5:20; ลูกา 19:41-44.
ความเมตตาสงสารของพระเยซู
7. ทำไมคนรักความจริงจึงพากันเข้ามาหาพระเยซู?
7 สมัยของเราก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนต้องการรับความสว่างฝ่ายวิญญาณ. แต่คนที่รักความจริงย่อมต้องการเข้ามายังความสว่าง. พวกเขาต้องการพระเจ้าเป็นองค์บรมมหิศรของตน และด้วยความจริงใจ เขาหันมาหาพระเยซูผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงส่งมาชี้แจงว่าความสว่างหมายถึงอะไร และเลียนแบบพระองค์. นี้แหละเป็นสิ่งที่ประชาชนผู้มีใจถ่อมได้กระทำเมื่อพระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก. เขาไปหาพระองค์เป็นจำนวนมาก. แม้แต่พวกฟาริซายก็ยอมรับเรื่องนั้น. เขาโอดครวญว่า “ทั้งโลกตามเขาไปแล้ว.” (โยฮัน 12:19, ล.ม.) ชนเยี่ยงแกะรักพระเยซูเพราะพระองค์ไม่เหมือนผู้นำศาสนาเหล่านั้นที่เห็นแก่ตัว, หยิ่งผยอง, กระหายอำนาจ ซึ่งพระเยซูตรัสถึงพวกนี้ว่า “เขาดีแต่ผูกมัดของหนักซึ่งแบกยากไว้บนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย. เขากระทำการของเขาเพื่อให้มนุษย์เห็นเท่านั้น.”—มัดธาย 23:4, 5.
8. ต่างกันกับคนหน้าซื่อใจคดทางศาสนา พระเยซูทรงมีทัศนะอย่างไร?
8 ในทางตรงกันข้าม จะสังเกตความเมตตาสงสารของพระเยซูดังนี้: “เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงพระกรุณาเขา ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” (มัดธาย 9:36) และพระองค์ทรงทำประการใด? พระองค์ตรัสแก่ผู้คนที่ถูกระบบของซาตานขูดรีดดังนี้: “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลาย และเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” (มัดธาย 11:28-30, ล.ม.) พระเยซูกระทำอย่างที่มีบอกล่วงหน้าไว้เกี่ยวกับพระองค์ที่ยะซายา 61:1, 2, (ล.ม.) ซึ่งอ่านว่า “พระยะโฮวาได้เจิมข้าพเจ้าให้ประกาศข่าวดีแก่คนถ่อม. พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้สมานหัวใจที่ชอกช้ำ ให้ประกาศอิสรภาพแก่คนตกเป็นเชลย และการเปิดตาออกกว้างแก่ผู้ถูกคุมขัง; ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยะโฮวา และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา; ให้เล้าโลมบรรดาผู้เศร้าโศก.”
การรวบรวมผู้ถือความสว่าง
9. เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตอะไรในปีสากลศักราช 1914?
9 ภายหลังการเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูได้ทรงคอยอยู่จนกระทั่งถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงมอบอำนาจปกครองราชอาณาจักรแก่พระองค์. ครั้นแล้ว พระองค์จะทรงแยก “แกะ” ออกจาก “แพะ.” (มัดธาย 25:31-33; บทเพลงสรรเสริญ 110:1, 2) เวลานั้นก็มาถึงเมื่อ “สมัยสุดท้าย” เริ่มต้นในปี 1914. (2 ติโมเธียว 3:1-5) พระเยซูในฐานะที่ทรงได้รับขัตติยอำนาจแห่งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงเริ่มรวบรวมผู้คนซึ่งต้องการดำเนินตามความสว่างให้เข้ามาอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แสดงถึงการได้รับความโปรดปราน. หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง งานรวบรวมก็รุดหน้าไปพร้อมกับการเพิ่มทวีอย่างมากมาย.
10. อาจมีคำถามอะไรขึ้นมาเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่พระเยซูทรงใช้ออกไปรวบรวมผู้คน?
10 ภายใต้การนำของพระเยซูคริสต์ งานรวบรวมผู้คนดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง. ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าได้มีผู้คนมากมายจากทุกชาติถูกรวบรวมเข้ามายังการนมัสการแท้ที่ได้รับความสว่าง. และเวลานี้ใครคือผู้ที่ดำเนินตามความสว่างซึ่งมาจากพระเจ้าและพระคริสต์? ใครกำลังทำสิ่งนั้นอยู่ ดังคำกล่าวในฟิลิปปอย 2:15 ที่ว่า “ปรากฏดุจดวงสว่างต่าง ๆ ในโลก” และเชิญคนอื่นให้ ‘มารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่เสียค่า’?—วิวรณ์ 22:17.
11. สถานะของคริสต์ศาสนจักรเป็นเช่นไรเกี่ยวข้องกับความสว่างฝ่ายวิญญาณ?
11 คริสต์ศาสนจักรกำลังทำงานนี้ไหม? เป็นที่แน่นอนว่า คริสต์ศาสนจักรพร้อมด้วยลัทธินิกายต่าง ๆ หาได้ส่องแสงดุจดวงสว่างไม่. ที่จริง นักเทศน์นักบวชก็เหมือนกับพวกผู้นำศาสนาสมัยพระเยซู. พวกเขาไม่ได้สะท้อนความสว่างแท้ที่มาจากพระเจ้าและพระคริสต์. สามสิบสามปีมาแล้ว วารสารเทววิทยาสมัยปัจจุบัน (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “น่าเศร้าที่ต้องยอมรับว่าความสว่างนี้ไม่ได้ส่องแสงรุ่งโรจน์น่าเกรงขามในคริสต์จักร . . . . คริสต์จักรเองมีแนวโน้มจะกลายเป็นเหมือนชุมชนที่อยู่ล้อมรอบคริสต์จักรมากขึ้นทุกที. คริสต์จักรไม่ได้เป็นความสว่างของโลก แต่เป็นแค่สิ่งสะท้อนแสงต่าง ๆ ซึ่งส่องสว่างในโลกเท่านั้นเอง.” และสถานการณ์ในคริสต์ศาสนจักรทุกวันนี้ยิ่งย่ำแย่. สิ่งที่เรียกว่าความสว่างซึ่งคริสต์ศาสนจักรสะท้อนจากโลก จริง ๆ แล้วก็คือความมืด เพราะว่านั่นเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นซึ่งซาตานและโลกของมันจะเสนอได้. เปล่าเลย ไม่มีความสว่างด้านความจริงออกมาจากศาสนาต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรซึ่งขัดแย้งกันและเป็นฝ่ายโลกอย่างเต็มที่.
12. ใครประกอบกันเป็นองค์การที่ส่องแสงสว่างแท้สมัยปัจจุบัน?
12 เราสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ทุกวันนี้ สังคมโลกใหม่ของพยานพระยะโฮวาเป็นองค์การที่ถือความสว่างแท้. มวลสมาชิกขององค์การนี้—ทั้งชาย, หญิง, และเด็กก็เช่นกัน—ต่างก็ให้ความสว่างของตนซึ่งมาจากพระยะโฮวาและพระคริสต์นั้นส่องออกไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างเป็นเอกภาพ. ปีที่แล้ว ประชาคมพยานพระยะโฮวาที่กระจายอยู่ทั่วโลกเกือบ 70,000 ประชาคม พร้อมด้วยผู้ถือความสว่างสี่ล้านกว่าคนได้ทำงานอย่างแข็งขันบอกเล่าให้คนอื่นฟังเรื่องพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์. และบัดนี้ในแต่ละปี เราแลเห็นการรวบรวมผู้คนมากมายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนเหล่านี้ต้องการรับความสว่างฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน. คนจำนวนนับแสนได้รับบัพติสมาหลังจากได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและได้มาซึ่งความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวด้วยความจริง. จริงทีเดียว พระเจ้าทรงมี “พระประสงค์ให้คนทุกชนิดรับความรอดและบรรลุความรู้อันถ่องแท้เรื่องความจริง.”—1 ติโมเธียว 2:4, ล.ม.
13. เราอาจเปรียบความสว่างที่มาจากพระยะโฮวาเหมือนกับสิ่งใด?
13 เราอาจเทียบความสว่างที่มาจากพระยะโฮวาในทุกวันนี้กับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเมื่อไพร่พลของพระเจ้าสมัยโบราณออกมาจากอียิปต์: “พระยะโฮวาได้ทรงนำหน้าในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ, และในเวลากลางคืนด้วยเสาไฟ, ให้เขามีสว่าง; เพื่อจะได้เดินไปได้ทั้งกลางวันและกลางคืน.” (เอ็กโซโด 13:21, 22) เมฆในเวลากลางวันและไฟในเวลากลางคืนเป็นเครื่องนำทางจากพระเจ้าซึ่งวางใจได้. สิ่งเหล่านี้เป็นที่วางใจได้เหมือนดวงอาทิตย์ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้เพื่อให้ความสว่างแก่เราในเวลากลางวัน. ฉะนั้น เราย่อมวางใจในพระยะโฮวาได้เช่นกันว่าพระองค์จะยังคงให้ความสว่างฝ่ายวิญญาณส่องอยู่เรื่อยไปแก่ผู้แสวงความจริงในสมัยสุดท้ายที่ชั่วนี้. สุภาษิต 4:18 (ล.ม.) ให้คำรับรองแก่พวกเราว่า “วิถีของเหล่าคนชอบธรรมเป็นดุจแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ซึ่งส่องแสงกล้าขึ้นทุกที จนกระทั่งถึงวันได้ตั้งขึ้นมั่นคง.”
การสะท้อนความสว่างของราชอาณาจักร
14. อะไรต้องเป็นจุดประสงค์สำคัญสำหรับผู้ถือความสว่าง?
14 ในเมื่อพระยะโฮวาทรงเป็นแหล่งกำเนิดความสว่าง และพระคริสต์ทรงเป็นผู้สะท้อนความสว่างองค์เอก เหล่าสาวกของพระองค์ก็ต้องสะท้อนความสว่างนั้นเช่นกัน. พระองค์ได้ตรัสแก่พวกเขาดังนี้: “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก . . . ให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น, เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของท่าน, แล้วจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์.” (มัดธาย 5:14, 16) และอะไรเป็นสาระสำคัญแห่งแสงสว่างนี้ที่บรรดาสาวกของพระองค์ต้องให้ส่องออกไปต่อหน้ามนุษย์ทั้งปวง? พวกเขาจะสอนอะไรในช่วงสุดยอดแห่งประวัติศาสตร์โลก? พระเยซูไม่ได้บอกว่าสาวกของพระองค์จะสอนเรื่องระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ, การรวมกันของคริสต์จักรกับรัฐ, หรือความคิดอื่น ๆ ในทางโลก. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ที่มัดธาย 24:14, (ล.ม.) พระองค์ได้ตรัสไว้ล่วงหน้าว่าถึงแม้ต้องได้เผชิญการต่อต้านจากทั่วโลก แต่ “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; แล้วจุดอวสานจะมาถึง.” ดังนั้น ผู้ถือความสว่างสมัยนี้จึงบอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าที่จะทำให้โลกของซาตานถึงอวสาน และจะนำโลกใหม่ที่ชอบธรรมเข้ามา.—1 เปโตร 2:9.
15. บรรดาผู้ประสงค์ความสว่างจะหันไปทางไหน?
15 บรรดาผู้รักความสว่างจะไม่ยอมเขวไปตามข้อเสนอและเป้าหมายของโลก. ข้อเสนอและเป้าหมายเหล่านั้นทั้งหมดจะสูญสิ้นไปในไม้ช้า เนื่องจากโลกนี้ใกล้ถึงจุดจบเต็มที. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้รักความชอบธรรมย่อมต้องการหันไปหาข่าวดีซึ่งได้รับการบ่าวประกาศโดยคนเหล่านั้นซึ่งกำลังให้ความสว่างแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าส่องออกไปทั่วทุกมุมโลก. คนเหล่านี้คือกลุ่มชนซึ่งได้บอกไว้ล่วงหน้าที่วิวรณ์ 7:9, 10, (ล.ม.) ดังนี้: “ข้าพเจ้าได้เห็น และดูเถิด ชนฝูงใหญ่ ซึ่งไม่มีใครนับจำนวนได้ จากบรรดาชาติและตระกูล และชนชาติและภาษาทั้งปวง ยืนอยู่ต่อหน้าราชบัลลังก์ [ของพระเจ้า] และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก [พระคริสต์] . . . และพวกเขาร้องเสียงดังไม่หยุดว่า: ‘ความรอดนั้น [เราได้] เนื่องมาจากพระเจ้าของเราผู้ประทับบนราชบัลลังก์ และเนื่องมาจากพระเมษโปดก.’” ข้อ 14 แจ้งว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่ออกมาจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่.” ใช่แล้ว พวกเขารอดผ่านอวสานของโลกนี้เข้าสู่โลกใหม่อันไม่มีที่สิ้นสุดภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า.
โลกใหม่ที่ได้รับความสว่าง
16. อะไรจะเกิดแก่โลกของซาตาน ณ ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่?
16 แสงสว่างอันเจิดจ้าแห่งความจริงจะสาดส่องไปทั่วโลกใหม่. จริงทีเดียว ขอให้พิจารณาสภาพการณ์จะเป็นเช่นไรในวันถัดไป หลังจากพระเจ้าได้นำระบบนี้ไปสู่อวสาน. ซาตาน, ผีปีศาจ, ระบบการเมือง, การค้า, และศาสนาของมันจะหมดสิ้นไป—ไม่เหลืออะไรเลย! เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้นของซาตานจะสูญสิ้นไปด้วย. ฉะนั้น ภายหลังความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ จะไม่มีหนังสือพิมพ์รายวัน, นิตยสาร, หนังสือ, หนังสือเล่มเล็ก, หรือใบปลิวแม้แต่แผ่นเดียวที่ลงพิมพ์สนับสนุนโลกชั่วนี้. จะไม่มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์หรือเสนอข่าวทางวิทยุกระจายเสียงอันเป็นการส่งเสริมความเสื่อมทรามอีกต่อไป. สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษภัยทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกับโลกของซาตานจะถูกกำจัดเสียสิ้นเพียงการโจมตีด้วยอานุภาพครั้งเดียว!—มัดธาย 24:21; วิวรณ์ 7:14; 16:14-16; 19:11-21.
17, 18. คุณจะพรรณนาอย่างไรถึงสภาพแวดล้อมฝ่ายวิญญาณหลังจากโลกของซาตานถึงอวสาน?
17 ช่างจะเป็นการปลดเปลื้องที่ใหญ่โตอะไรเช่นนั้น! นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป เฉพาะความสว่างฝ่ายวิญญาณที่เสริมสร้างและดีพร้อมซึ่งมาจากพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์เท่านั้นจะมีอิทธิพลต่อมนุษยชาติ. ยะซายา 54:13 บอกไว้ล่วงหน้าว่า “บรรดาลูกหลานของเจ้าจะเป็นสาวกของพระยะโฮวา, และบรรดาบุตรของเจ้าจะมีความสุขสำราญ.” เมื่อการปกครองของพระเจ้าครอบคลุมแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คำสัญญาของพระองค์เป็นไปตามที่กล่าวในยะซายา 26:9 ที่ว่า “พลโลกจะเรียนรู้ถึงความชอบธรรม.”
18 สภาพแวดล้อมทางจิตใจและฝ่ายวิญญาณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว. สิ่งต่าง ๆ ในทางเสริมสร้างจะกลายเป็นลักษณะเด่นในสมัยนั้นแทนสิ่งต่าง ๆ อันไร้ศีลธรรมและน่าหดหู่ซึ่งแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน. ทุกคนที่มีชีวิตในสมัยนั้นจะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและพระประสงค์ต่าง ๆ ของพระองค์. คำพยากรณ์ที่ยะซายา 11:9 จะสำเร็จสมจริงอย่างครบถ้วนที่สุด ซึ่งกล่าวดังนี้: “แผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาดุจน้ำท่วมเต็มมหาสมุทร.”
เป็นการเร่งด่วนที่จะติดตามความสว่าง
19, 20. ทำไมคนที่ประสงค์จะดำเนินในความสว่างจึงต้องระวังระไว?
19 บัดนี้เป็นช่วงปลายของระบบชั่วแล้ว จึงเป็นการเร่งด่วนที่จะติดตามความสว่างของโลก. และพวกเราจำต้องระวังระไว เพราะเป็นช่วงการประกาศสงครามกับพวกเราอย่างดุเดือดเพื่อยับยั้งมิให้เราดำเนินในความสว่าง. อุปสรรคดังกล่าวมาจากพวกมีอำนาจแห่งความมืด—จากซาตาน, พวกผีปีศาจ, และองค์การทางแผ่นดินโลกของซาตาน. ด้วยเหตุนี้อัครสาวกเปโตรจึงเตือนว่า “จงรักษาสติของท่านไว้ จงระวังระไวให้ดี. พญามาร ปรปักษ์ของท่านทั้งหลาย เที่ยวเดินไปเหมือนสิงโต แผดเสียงร้อง เสาะหาคนหนึ่งคนใดที่มันจะขย้ำกลืนเสีย.”—1 เปโตร 5:8, ล.ม.
20 ซาตานจะวางเครื่องกีดขวางทุกอย่างดักคนเหล่านั้นที่กำลังเข้ามาติดต่อกับความสว่าง เพราะมันต้องการให้เขาอยู่ในความมืดต่อไป. อาจเป็นในรูปความกดดันจากญาติหรือเพื่อนฝูงซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านความจริง. อาจเป็นความสงสัยในเรื่องคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ เนื่องจากผู้นั้นเหมือนคนตาบอดโดยได้รับคำสอนของศาสนาเท็จ หรือการโฆษณาชวนเชื่อของนักอเทวนิยมและผู้ยึดถืออไนยนิยม. อาจเป็นเพราะแนวโน้มในทางบาปของตัวเองซึ่งทำให้ยากที่จะดำเนินชีวิตตามข้อเรียกร้องของพระเจ้า.
21. ทุกคนที่ต้องการอาศัยอยู่ในโลกใหม่ของพระเจ้าควรลงมือทำอะไร?
21 ไม่ว่าอุปสรรคกีดขวางจะเป็นอะไรก็ตาม คุณต้องการดำรงชีวิตในโลกใหม่ที่ปลอดความยากจน, อาชญากรรม, ความอยุติธรรม, และสงครามไหม? คุณต้องการชื่นชมกับสุขภาพสมบูรณ์และชีวิตชั่วนิรันดร์ในแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานไหม? หากต้องการก็จงรับรองพระเยซูและติดตามพระองค์ผู้ทรงเป็นความสว่างของโลก และเชื่อฟังข่าวสารซึ่งประกาศโดยคนเหล่านั้นที่ยึดมั่นกับ “พระคำแห่งชีวิต” และ “ปรากฏดุจดวงสว่างต่าง ๆ ในโลก.”—ฟิลิปปอย 2:15, 16.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พวกผู้นำศาสนาได้แสดงอย่างไรว่าพวกเขารักความมืด?
▫ พระเยซูทรงมีทัศนะเช่นไรต่อประชาชน?
▫ การรวบรวมผู้ถือความสว่างได้รุดหน้าไปอย่างไร?
▫ การเปลี่ยนแปลงใหญ่อะไรจะเกิดขึ้นในไม่ช้า?
▫ ทำไมเวลานี้จึงเป็นความเร่งด่วนที่พึงติดตามความสว่างของโลก?
[รูปภาพหน้า 14, 15]
ชาวฟาริซายใจแข็งกระด้างได้ไล่ชายตาบอดที่พระเยซูทรงรักษาจนมองเห็นได้