พระยะโฮวาทรงบริบูรณ์ด้วยเหตุผล!
“สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . มีเหตุผล.”—ยาโกโบ 3:17, ล.ม.
1. มีบางคนวาดภาพไว้อย่างไรว่าพระเจ้าไม่มีเหตุผล และคุณรู้สึกอย่างไรต่อทัศนะเช่นนั้นเกี่ยวกับพระเจ้า?
คุณนมัสการพระเจ้าชนิดใด? คุณเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรมที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้, เด็ดขาด, ทรงมีพระทัยเข้มงวดและไม่ยอมผ่อนผันไหม? จอห์น เคลวิน ผู้นำขบวนการปฏิรูปลัทธิโปรเตสแตนต์เข้าใจว่า พระเจ้าคงต้องมีลักษณะดังกล่าว. เคลวินอ้างว่า พระเจ้าทรงมี “แผนการที่ถาวรและเปลี่ยนแปลงไม่ได้” เกี่ยวกับปัจเจกบุคคลแต่ละราย ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผู้นั้นจะมีชีวิตเป็นสุขตลอดไป หรือจะได้รับการทรมานชั่วนิตย์นิรันดร์ในนรก. นึกภาพดูซิว่า หากเป็นจริงอย่างนั้น คุณจะประกอบการใดก็ตาม ไม่ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหน ก็จะไม่เปลี่ยนแผนการระยะยาวของพระเจ้าที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวดสำหรับคุณและอนาคตของคุณ. คุณจะถูกดึงดูดให้เข้าหาพระเจ้าที่ไม่มีเหตุผลเช่นนั้นไหม?—เทียบกับยาโกโบ 4:8.
2, 3. (ก) เราอาจให้ตัวอย่างอย่างไรเกี่ยวกับการไม่มีเหตุผลแห่งสถาบันและองค์การของมนุษย์? (ข) นิมิตที่ยะเอศเคลมองเห็นเกี่ยวกับราชรถของพระยะโฮวาในสวรรค์เผยให้เห็นอย่างไรถึงความสามารถของพระองค์ที่จะปรับเปลี่ยน?
2 ช่างโล่งอกเสียจริง ๆ ที่เราได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิลโดดเด่นในความมีเหตุผล! ไม่ใช่พระเจ้า แต่มนุษย์ต่างหากโน้มเอียงจะเป็นคนเคร่งครัดและไม่ยืดหยุ่น เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง. อาจเปรียบองค์การของมนุษย์เหมือนกับขบวนรถสินค้าที่เทอะทะ. เมื่อรถไฟสินค้าขบวนใหญ่แล่นจะไปปะทะสิ่งกีดขวางบนราง การหลบหลีกให้พ้นนั้นเป็นไปไม่ได้ และจะหยุดรถก็ยากมากเช่นกัน. รถไฟบางขบวนมีแรงเฉื่อยมาก ซึ่งกว่าจะหยุดได้ก็ต้องเป็นระยะทางเกินหนึ่งกิโลเมตรหลังจากได้ห้ามล้อแล้ว! ทำนองคล้ายกัน เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ หลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว จะแล่นต่อไปเป็นระยะทางถึงแปดกิโลเมตร. แม้เดินเครื่องยนต์ถอยหลังแล้วก็ตาม เรือก็ยังอาจแล่นฝ่าไปได้อีกถึงสามกิโลเมตร! แต่ตอนนี้ให้เราพิจารณายานพาหนะที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าสองอย่างที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งพาหนะนั้นเป็นภาพเล็งถึงองค์การของพระเจ้า.
3 กว่า 2,600 ปีมาแล้ว พระยะโฮวาทรงโปรดให้ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลเห็นนิมิตอันเป็นภาพเล็งถึงองค์การของพระองค์ในสวรรค์ ซึ่งประกอบด้วยบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เป็นกายวิญญาณ. นิมิตนั้นแสดงภาพราชรถอันน่าเกรงขาม เป็น “ยานพาหนะ” ของพระยะโฮวาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์เสมอ. ที่น่าสนใจอย่างยิ่งได้แก่วิธีเคลื่อนตัวของยานนี้. กงล้อมหึมามีสี่ข้างและมีตาโดยรอบ ดังนั้น กงล้อเหล่านี้สามารถเห็นได้ทุกแห่งและสามารถเปลี่ยนทิศทางได้ทันที โดยไม่มีการหยุดชะงักหรือเลี้ยว. และยานพาหนะมหึมานี้ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่อย่างอืดอาดเหมือนเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่หรือขบวนรถไฟสินค้า. ยานนี้สามารถเคลื่อนเร็วเท่าความเร็วของแสง กระทั่งสามารถหักเลี้ยวเป็นมุมฉากได้ด้วยซ้ำ! (ยะเอศเคล 1:1, 14-28) พระยะโฮวาทรงต่างไปจากพระเจ้าองค์ที่เคลวินสอนเหมือนราชรถของพระองค์ต่างไปจากเครื่องจักรกลอันเทอะทะที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา. พระองค์ทรงปรับเปลี่ยนได้ดีเยี่ยม. การหยั่งรู้ค่าคุณลักษณะด้านนี้ของพระยะโฮวาน่าจะช่วยเราเป็นผู้ที่ปรับเปลี่ยนได้เสมอและหลีกเว้นหลุมพรางของความไร้เหตุผล.
พระยะโฮวา—ผู้ทรงสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างดีที่สุดในเอกภพ
4. (ก) พระนามของพระยะโฮวาเปิดเผยให้เห็นในทางใดบ้างว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ปรับเปลี่ยนได้? (ข) ฉายานามอะไรบ้างที่ใช้ได้กับพระเจ้ายะโฮวา และเพราะเหตุใดฉายานามเหล่านั้นจึงเหมาะสม?
4 พระนามของพระยะโฮวานั่นแหละหมายถึงการปรับเปลี่ยนของพระองค์. “ยะโฮวา” ความหมายแท้ ๆ ตามตัวอักษรคือ “พระองค์ทรงบันดาลให้เป็น.” ทั้งนี้หมายความชัดทีเดียวว่า พระยะโฮวาทรงบันดาลให้พระองค์เองเป็นผู้ซึ่งทำให้คำสัญญาทุกประการของพระองค์สำเร็จเป็นจริง. เมื่อโมเซทูลถามพระเจ้าว่าพระนามของพระองค์ว่าอย่างไร พระยะโฮวาได้ทรงให้ความหมายในรายละเอียดดังนี้: “เราจะสำแดงว่าเป็น ซึ่งเราจะสำแดงว่าเป็น.” (เอ็กโซโด 3:14, ล.ม.) ฉบับแปลของรอเทอร์แฮมใช้คำพูดตรง ๆ ว่า “เราจะเป็นไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราพอใจจะเป็น.” พระยะโฮวาทรงบันดาลให้เป็นหรือทรงพอพระทัยจะเป็น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จำเป็นต่อการทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ต่าง ๆ อันชอบธรรมและตามคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์. ฉะนั้น พระองค์ทรงมีฉายานามหลายอย่างที่น่าประทับใจ อาทิ พระผู้สร้าง, พระบิดา, องค์บรมมหิศร, ผู้อภิบาล, พระยะโฮวาแห่งพลโยธาทั้งหลาย, ผู้สดับคำอธิษฐาน, ผู้พิพากษา, พระบรมครู, ผู้ไถ่ถอน. พระองค์ทรงบันดาลให้พระองค์เป็นสิ่งทั้งปวงเหล่านี้และมากกว่านั้นอีกเพื่อกระทำให้ลุล่วงตามพระประสงค์ของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยวามรัก.—ยะซายา 8:13; 30:20; 40:28; 41:14; บทเพลงสรรเสริญ 23:1; 65:2; 73:28; 89:26; วินิจฉัย 11:27; ฉบับแปลโลกใหม่ ดูภาคผนวก 1Jด้วย.
5. เหตุใดพวกเราไม่ควรลงความเห็นว่า ความสามารถปรับเปลี่ยนได้ของพระยะโฮวาหมายถึงการเปลี่ยนบุคลิกลักษณะหรือมาตรฐานของพระองค์?
5 เช่นนั้นแล้ว จะหมายความว่า ลักษณะหรือมาตรฐานของพระเจ้าเปลี่ยนไปไหม? หามิได้ ดังกล่าวในยาโกโบ 1:17 (ล.ม.) ดังนี้: “ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนอย่างที่เงาเปลี่ยนไป.” ข้อนี้ขัดแย้งกันไหม? ไม่เลย. ยกตัวอย่าง บิดาหรือมารดาคนใดบ้างที่รักบุตรจะไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทเฉพาะอย่างเพื่อประโยชน์ของบุตร? เพียงชั่ววันเดียว บิดาหรือมารดาอาจเป็นผู้ให้คำปรึกษา, ผู้ทำอาหาร, ผู้ดูแลบ้านช่องให้เรียบร้อย, เป็นครู, เป็นผู้ว่ากล่าวตีสอน, เป็นเพื่อน, เป็นช่างเครื่อง, เป็นพยาบาล—เป็นสารพัดไม่จบสิ้น. บิดาหรือมารดาไม่เปลี่ยนบุคลิกภาพเมื่อสวมบทบาทเหล่านี้ เขาเพียงแต่ปรับตัวให้เหมาะกับความจำเป็นที่เกิดขึ้น. เป็นเช่นนั้นกับพระยะโฮวาแต่ในขอบข่ายที่กว้างขวางกว่ามาก. ไม่มีข้อจำกัด พระองค์ทรงสามารถบันดาลให้พระองค์เองสวมบทบาทไหนก็ได้เพื่อประโยชน์แก่บรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น. ความลึกซึ้งแห่งพระสติปัญญาของพระองค์นั้นน่าประหลาดใจเสียจริง ๆ!—โรม 11:33.
ความมีเหตุผลเป็นลักษณะเด่นแห่งพระสติปัญญาของพระเจ้า
6. อะไรคือความหมายตามตัวอักษรและความหมายที่แฝงอยู่ของคำภาษากรีกที่ยาโกโบได้ใช้พรรณนาถึงสติปัญญาของพระเจ้า?
6 สาวกยาโกโบได้ใช้ถ้อยคำน่าสนใจพรรณนาสติปัญญาของพระเจ้าองค์นี้ผู้ทรงปรับตัวเป็นเลิศ. ท่านได้เขียนว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . มีเหตุผล.” (ยาโกโบ 3:17, ล.ม.) คำภาษากรีก (เอพิไอเคสʹ) ที่ท่านนำมาใช้ตรงนี้แปลได้ยาก. นักแปลหลายคนใช้คำต่าง ๆ เช่น “สุภาพ” “ไม่เข้มงวด” “อดกลั้น” และ “เห็นอกเห็นใจ.” คัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ แปลคำนี้ว่า “มีเหตุผล” พร้อมกับเชิงอรรถซึ่งแสดงว่าความหมายตามตัวอักษรคือ “ยอมให้.”a คำนี้ยังให้ความหมายในแง่ไม่ยืนกรานจะให้เป็นตามลายลักษณ์อักษรแห่งตัวบทกฎหมาย ไม่เข้มงวดหรือเคร่งครัดเกินเหตุ. วิลเลียม บาร์กเลย์ผู้คงแก่เรียนได้ให้ข้อคิดในหนังสือคำศัพท์ในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ดังนี้: “สิ่งอันเป็นมูลฐานและหลักเบื้องต้นเกี่ยวกับเอพิไอเคีย นั้นคือความหมายของคำนั้นเริ่มกับพระเจ้า. ถ้าพระเจ้ายืนกรานในสิทธิของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงใช้เฉพาะแต่มาตรฐานแห่งกฎหมายอันเข้มงวด แล้วเราจะอยู่ที่ไหนล่ะ? พระเจ้าทรงเป็นแบบอย่างอันล้ำเลิศของบุคคลที่เป็นเอพิไอเคส และผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นแบบเอพิไอเคีย.”
7. พระยะโฮวาได้ทรงสำแดงความมีเหตุผลในสวนเอเดนนั้นอย่างไร?
7 ให้เรานึกถึงสมัยที่มนุษยชาติต่อต้านพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา. เป็นการง่ายเพียงไรหากพระเจ้าจะสำเร็จโทษพวกอกตัญญูทั้งสาม ซึ่งได้แก่อาดาม, ฮาวา, และซาตาน! พระองค์คงหลีกเลี่ยงความปวดร้าวพระทัยมากเพียงไร! และใครหรือจะกล้าคัดค้านว่า พระองค์ไม่มีสิทธิดำเนินงานถูกต้องตามความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด? กระนั้นก็ดี พระยะโฮวาไม่เคยทำให้องค์การของพระองค์ซึ่งเป็นประหนึ่งราชรถฝ่ายสวรรค์พลันต้องชะงักไปด้วยมาตรฐานที่เข้มงวด ความยุติธรรมดัดแปลงไม่ได้. ดังนั้น ราชรถของพระเจ้าจึงไม่ได้วิ่งทับครอบครัวมนุษย์และความหวังทั้งมวลสำหรับอนาคตที่เป็นสุขของมนุษยชาติ. ตรงกันข้าม พระยะโฮวาทรงเปลี่ยนทิศทางราชรถของพระองค์อย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ. ทันทีทันใดหลังการกบฏ พระเจ้ายะโฮวาได้ทรงวางเค้าโครงวัตถุประสงค์ระยะยาวซึ่งเปิดทางแผ่ความเมตตาและความหวังให้แก่ลูกหลานทั้งปวงของอาดาม.—เยเนซิศ 3:15.
8. (ก) ทัศนะอย่างผิด ๆ ของคริสต์ศาสนจักรเกี่ยวกับความมีเหตุผลต่างกันอย่างไรกับความมีเหตุผลที่แท้จริงของพระยะโฮวา? (ข) เหตุใดเราจึงกล่าวได้ว่า ความมีเหตุผลของพระยะโฮวาไม่หมายถึงการอะลุ้มอล่วยในหลักการของพระเจ้า?
8 อย่างไรก็ตาม ความมีเหตุผลของพระยะโฮวาหาได้หมายถึงการอะลุ้มอล่วยในหลักการของพระองค์ไม่. คริสตจักรต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรสมัยนี้อาจคิดเสียว่า พวกตนมีเหตุผลเมื่อเขายอมให้กับการผิดศีลธรรมเพียงเพื่อเอาใจสานุศิษย์ที่ดื้อรั้นของตน. (เทียบกับ 2 ติโมเธียว 4:3.) พระยะโฮวาไม่เคยละเมิดข้อกฎหมายของพระองค์เอง และพระองค์ก็ไม่เคยอะลุ้มอล่วยหลักการต่าง ๆ ของพระองค์. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์ทรงแสดงความเต็มพระทัยยอมปรับพระองค์ให้เข้ากับสภาพการณ์ เพื่อว่าหลักการเหล่านั้นอาจนำไปใช้ในทางเที่ยงธรรมและเต็มไปด้วยความเมตตา. พระองค์ทรงคำนึงเสมอถึงการทำให้การใช้ความยุติธรรมและอำนาจของพระองค์สมดุลกับความรักและพระสติปัญญาอันมีเหตุผลของพระองค์ด้วย. ขอให้เราพิจารณาสามวิถีทางซึ่งพระยะโฮวาทรงสำแดงความมีเหตุผลของพระองค์.
“พร้อมจะให้อภัย”
9, 10. (ก) การ “พร้อมจะให้อภัย” เกี่ยวข้องอย่างไรกับความมีเหตุผล? (ข) ดาวิดได้รับประโยชน์อย่างไรจากการที่พระยะโฮวาทรงพร้อมจะให้อภัย และเพราะเหตุใด?
9 ดาวิดเขียนไว้ว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, พระองค์ทรงคุณความดีและพร้อมจะให้อภัย; และความรักกรุณาเหลือล้นแก่ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 86:5, ล.ม.) เมื่อได้มีการแปลคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก ถ้อยคำที่ว่า “พร้อมจะให้อภัย” นั้นได้รับการแปลเป็นภาษากรีกว่าเอพิไอเคสʹ, หรือ “มีเหตุผล.” อันที่จริง บางทีการพร้อมจะให้อภัยและการแสดงความเมตตาอาจเป็นแนวทางสำคัญที่สุดในการสำแดงความมีเหตุผล.
10 ดาวิดเองตระหนักดีว่า พระยะโฮวาทรงมีเหตุผลเพียงไรในเรื่องนี้. เมื่อดาวิดทำผิดประเวณีกับนางบัธเซบะ และวางแผนเพื่อให้สามีของนางต้องสิ้นชีวิต ทั้งดาวิดและบัธเซบะน่าจะต้องโทษถึงตาย. (พระบัญญัติ 22:22; 2 ซามูเอล 11:2-27) หากผู้พิพากษาที่เป็นมนุษย์จะตัดสินคดีนี้อย่างเฉียบขาด บุคคลทั้งสองคงต้องถึงแก่ความตายแน่. แต่พระยะโฮวาทรงแสดงความมีเหตุผล (เอพิไอเคสʹ) ดังที่ พจนานุกรมอรรถาธิบายคำศัพท์ในคัมภีร์ไบเบิลของไวน์ ชี้แจงว่า คำนี้ “แสดงออกซึ่งการคำนึงถึงผู้อื่นซึ่งพิจารณา ‘ข้อเท็จจริงของกรณี ด้วยมนุษยธรรมและมีเหตุผล.’” ข้อเท็จจริงอันเป็นพลังผลักดันพระยะโฮวาให้ตัดสินด้วยความเมตตา คงรวมเอาการสำนึกผิดจากใจจริงและความเมตตาซึ่งดาวิดเองเคยได้แสดงต่อผู้อื่นมาแล้ว. (1 ซามูเอล 24:4-6; 25:32-35; 26:7-11; มัดธาย 5:7; ยาโกโบ 2:13) อย่างไรก็ดี สอดคล้องกันกับคำพรรณนาที่พระยะโฮวากล่าวถึงพระองค์เองที่เอ็กโซโด 34:4-7 จึงนับว่าชอบด้วยเหตุผลที่พระยะโฮวาได้ทรงว่ากล่าวดาวิด. พระองค์ทรงใช้ผู้พยากรณ์นาธานไปแจ้งข่าวสารที่รุนแรงแก่ดาวิด ย้ำเตือนดาวิดให้สำนึกว่า ท่านได้ดูหมิ่นพระคำของพระยะโฮวา. ดาวิดสำนึกผิดและกลับใจ และจึงไม่ตายเพราะบาปของตน.—2 ซามูเอล 12:1-14.
11. พระยะโฮวาทรงสำแดงโดยวิธีใดเกี่ยวกับความพร้อมของพระองค์ในการให้อภัยมะนาเซ?
11 ตัวอย่างของกษัตริย์มะนาเซแห่งยูดายิ่งน่าทึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากมะนาเซประพฤติชั่วช้าระยะเวลายาวนาน ต่างกันกับดาวิด. มะนาเซส่งเสริมกิจปฏิบัติทางศาสนาอย่างน่าสะอิดสะเอียนทั่วประเทศ รวมทั้งการบูชายัญมนุษย์ด้วย. นอกจากนั้น เขาอาจรับผิดชอบให้ยะซายาผู้พยากรณ์ที่สัตย์ซื่อ “ถูกเลื่อยเป็นท่อน ๆ.” (เฮ็บราย 11:37) เพื่อเป็นการลงโทษมะนาเซ พระยะโฮวาทรงปล่อยให้ท่านถูกพาตัวเป็นเชลยไปที่บาบูโลน. อย่างไรก็ดี มะนาเซได้กลับใจขณะอยู่ในคุกและได้วิงวอนขอความเมตตา. เพื่อตอบสนองการสำนึกผิดและกลับใจอย่างแท้จริงเช่นนี้ พระยะโฮวาจึงทรง “พร้อมจะให้อภัย”—กระทั่งในกรณีร้ายแรงขนาดนี้.—2 โครนิกา 33:9-13.
การเปลี่ยนแนวทางเมื่อสภาพการณ์ใหม่เกิดขึ้น
12, 13. (ก) ในกรณีของเมืองนีนะเว สภาพอะไรที่เปลี่ยนไปซึ่งทำให้พระยะโฮวาทรงปรับเปลี่ยนแนวทางของพระองค์? (ข) โยนาได้พิสูจน์อย่างไรว่า ตนมีเหตุผลน้อยกว่าพระเจ้ายะโฮวา?
12 อนึ่ง ความมีเหตุผลของพระยะโฮวาแสดงให้เห็นในการที่พระองค์เต็มพระทัยปรับเปลี่ยนแนวทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ขณะที่มีสภาพการณ์ใหม่ขึ้นมา. ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้พยากรณ์โยนามุ่งหน้าเดินไปตามถนนสายต่าง ๆ แห่งกรุงนีนะเวโบราณ ข่าวสารที่ท่านรับการดลใจให้ประกาศนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ: นครใหญ่อันเกรียงไกรนี้จะถูกทำลายภายใน 40 วัน. แต่สภาพการณ์ได้เปลี่ยนไป—อย่างน่าตื่นตะลึง! ชาวเมืองนีนะเวได้กลับใจ.—โยนาบท 3.
13 นับว่าเป็นบทเรียนที่ให้ความรู้ที่จะดูวิธีที่ปฏิกิริยาของพระยะโฮวาต่างจากของโยนาต่อเหตุการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้. โดยแท้แล้ว พระยะโฮวาทรงเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนตัวแห่งราชรถของพระองค์ในสวรรค์. ในกรณีนี้พระองค์ได้ทรงปรับเปลี่ยน ทรงบันดาลให้พระองค์เปลี่ยนมาเป็นผู้ให้อภัยบาป แทนการเป็น “นักรบ.” (เอ็กโซโด 15:3) ส่วนโยนาไม่ยอมปรับตัว. แทนที่จะก้าวให้ทันกับราชรถของพระยะโฮวา โยนาทำตัวเหมือนขบวนรถไฟสินค้าหรือเรือบรรทุกน้ำมันที่กล่าวข้างต้น. โยนาประกาศความหายนะ ความหายนะก็น่าจะเกิดขึ้น! บางทีท่านอาจรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงใด ๆ คงทำให้ท่านเสียหน้าในสายตาของชาวนีนะเว. แต่ด้วยความอดกลั้นพระทัย พระยะโฮวาสอนบทเรียนแก่ผู้พยากรณ์หัวแข็งผู้นี้อย่างไม่มีวันลืมในเรื่องความมีเหตุผลและความเมตตา.—โยนาบท 4.
14. เพราะเหตุใดพระยะโฮวาได้ทรงเปลี่ยนแนวทางของพระองค์ในกรณีที่เกี่ยวกับยะเอศเคล?
14 พระยะโฮวาทรงเปลี่ยนแนวทาง ณ โอกาสอื่น ๆ—แม้จะเป็นเรื่องไม่ค่อยสำคัญนัก. เช่น คราวหนึ่งเมื่อพระองค์ได้ทรงมอบหมายผู้พยากรณ์ยะเอศเคลให้แสดงละครเชิงพยากรณ์ พระบัญชาของพระยะโฮวาหมายรวมถึงคำสั่งที่ให้ยะเอศเคลปรุงอาหารบนเตาไฟที่ใช้อุจาระของคนเป็นเชื้อเพลิง. ทั้งนี้คงหนักหนาเกินกว่าที่ผู้พยากรณ์จะทนได้ ถึงกับร้องออกมาว่า “พระเจ้าข้า ดูเถิด อนิจจา!” และได้อ้อนวอนขออย่าให้ทำสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนเช่นนั้นเลย. พระยะโฮวาไม่ได้บอกปัดความรู้สึกของผู้พยากรณ์ของพระองค์เสมือนไม่สำคัญ แต่ทรงยอมให้ยะเอศเคลใช้มูลสัตว์แทน ซึ่งก็เป็นเชื้อเพลิงที่หลายประเทศใช้กันทั่วไปจนทุกวันนี้.—ยะเอศเคล 4:12-15, ฉบับแปลใหม่.
15. (ก) ตัวอย่างอะไรบ้างแสดงว่า พระยะโฮวาทรงเต็มพระทัยสดับฟังและตอบสนองต่อมนุษย์? (ข) เรื่องนี้อาจเป็นบทเรียนสอนอะไรแก่เรา?
15 มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจมิใช่หรือที่จะพิจารณาความถ่อมพระทัยของพระยะโฮวาพระเจ้าของเรา? (บทเพลงสรรเสริญ 18:35) พระองค์ทรงใหญ่ยิ่งสูงส่งกว่าพวกเรามาก กระนั้นพระองค์ทรงอดทนสดับฟังมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์และกระทั่งบางครั้งทรงเปลี่ยนแนวทางของพระองค์ตามคำขอร้องนั้น. พระองค์ทรงยอมให้อับราฮามทูลขอนานก่อนการทำลายเมืองโซโดมและโกโมร์ราห์. (เยเนซิศ 18:23-33) และพระองค์ทรงยอมให้โมเซตั้งข้อคัดค้านเมื่อพระองค์มุ่งพระทัยจะทำลายพวกยิศราเอลที่เป็นกบฏแล้วให้มีชาติใหญ่มาทางโมเซแทน. (เอ็กโซโด 32:7-14; พระบัญญัติ 9:14, 19; เทียบกับอาโมศ 7:1-6.) ด้วยวิธีนี้พระองค์ทรงวางตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งควรแสดงความพร้อมทำนองคล้าย ๆ กันในอันที่จะฟังคนอื่นเมื่อมีเหตุผลอันควรและสามารถจะทำเช่นนั้นได้.—เทียบกับยาโกโบ 1:19.
ความมีเหตุผลในการใช้อำนาจ
16. พระยะโฮวาทรงต่างไปจากมนุษย์มากมายอย่างไรเกี่ยวกับการใช้อำนาจของพระองค์?
16 คุณเคยสังเกตไหมว่า ขณะที่ปัจเจกชนได้รับอำนาจมากขึ้น หลายคนดูเหมือนกลายเป็นคนไร้เหตุผล? ในทางตรงกันข้าม พระยะโฮวาทรงอยู่ในฐานะทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดในเอกภพ กระนั้น พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างอันดีเยี่ยมเรื่องความมีเหตุผล. พระองค์ได้ทรงใช้อำนาจของพระองค์ในวิธีที่มีเหตุผลเสมอมา. ต่างไปจากมนุษย์จำนวนมาก พระยะโฮวาหาได้หวั่นไหวในเรื่องอำนาจของพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงไม่จำเป็นต้องรักษาอำนาจไว้อย่างหวงแหน—ราวกับว่า การให้อำนาจผู้อื่นอาจเป็นการคุกคามต่ออำนาจของตนเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง. ที่จริง เมื่อมีเฉพาะอีกบุคคลหนึ่งในเอกภพ พระยะโฮวาย่อมประทานอำนาจมากให้แก่ผู้นั้น. พระองค์ทรงตั้งลอกอสเป็น “นายช่าง . . . ของพระองค์” นับแต่นั้นสารพัดสิ่งก็ได้อุบัติขึ้นโดยทางพระบุตรสุดที่รักองค์นี้ของพระองค์. (สุภาษิต 8:22, 29-31, ฉบับแปลใหม่; โยฮัน 1:1-3, 14; โกโลซาย 1:15-17) ในเวลาต่อมา พระองค์ก็ได้ทรงมอบ “อำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์ . . . และบนแผ่นดินโลก” ให้แก่พระองค์.—มัดธาย 28:18; โยฮัน 5:22.
17, 18. (ก) เพราะเหตุใดพระยะโฮวาได้ส่งทูตสวรรค์ไปเมืองโซโดมและโกโมร์ราห์? (ข) เหตุใดพระยะโฮวาจึงได้ถามทูตสวรรค์เพื่อได้ข้อเสนอวิธีที่จะเกลี้ยกล่อมกษัตริย์อาฮาบ?
17 ในทำนองเดียวกัน พระยะโฮวาได้ทรงไว้วางใจบรรดาสิ่งมีเชาวน์ปัญญาจำนวนมากโดยทรงมอบการงานแก่เขาทั้ง ๆ ที่พระองค์สามารถทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ. ยกตัวอย่าง เมื่อพระองค์ได้ตรัสแก่อับราฮามว่า “เราจะลงไป [ยังโซโดมและโกโมร์ราห์] ตรวจดูว่าคนทั้งหลายได้กระทำเหมือนเสียงร้องที่เราได้ยินนั้นทั้งสิ้นหรือไม่” พระองค์ไม่ได้หมายถึงการไปที่นั่นด้วยพระองค์เอง. แต่พระยะโฮวาทรงมอบอำนาจแก่ทูตสวรรค์ไปรวบรวมข้อมูลให้พระองค์. พระองค์ทรงให้อำนาจแก่ทูตที่จะออกไปสำรวจข้อเท็จจริงแล้วกลับมารายงานให้พระองค์ทราบ.—เยเนซิศ 18:1-3, 20-22.
18 ณ อีกโอกาสหนึ่ง เมื่อพระยะโฮวาทรงตัดสินพระทัยจะสำเร็จโทษกษัตริย์อาฮาบที่ชั่วช้า พระองค์ทรงเชิญพวกทูตสวรรค์เข้าร่วมประชุมในสวรรค์เพื่อให้เสนอวิธี “เกลี้ยกล่อม” กษัตริย์ที่ออกหากให้เข้าร่วมการสงครามซึ่งจะจบชีวิตของเขา. เป็นที่แน่นอนว่า พระยะโฮวาบ่อเกิดแห่งสติปัญญาทั้งมวล ไม่จำต้องรับความช่วยเหลือเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด! กระนั้น พระองค์ทรงให้เกียรติพวกทูตสวรรค์ด้วยการมอบสิทธิพิเศษให้เสนอทางแก้ปัญหาและใช้อำนาจดำเนินงานตามทางที่พระองค์ทรงเลือกไว้.—1 กษัตริย์ 22:19-22.
19. (ก) เพราะเหตุใดพระยะโฮวาทรงจำกัดจำนวนกฎหมายที่พระองค์บัญญัติขึ้น? (ข) พระยะโฮวาทรงสำแดงความมีเหตุผลอย่างไรในสิ่งที่พระองค์ทรงคาดหมายจากพวกเรา?
19 พระยะโฮวาหาได้ใช้อำนาจของพระองค์เพื่อควบคุมผู้อื่นอย่างไม่จำเป็น. ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน พระองค์ทรงสำแดงความมีเหตุผลอันหาที่เปรียบไม่ได้. พระองค์ทรงจำกัดจำนวนกฎหมายที่พระองค์บัญญัติขึ้นอย่างรอบคอบและห้ามผู้รับใช้ของพระองค์ “อย่าเลยขอบเขตสิ่งที่เขียนไว้” โดยการเพิ่มกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เป็นภาระหนักที่เขาเองทำขึ้น. (1 โกรินโธ 4:6, ล.ม.; กิจการ 15:28; เทียบกับมัดธาย 23:4.) พระองค์ไม่เคยเรียกร้องผู้รับใช้ของพระองค์ให้เชื่อฟังแบบงมงาย แต่ปกติแล้ว พระองค์ทรงจัดคำแนะนำไว้พอเพียงเพื่อชี้นำพวกเขาและให้เขามีทางเลือก ให้พวกเขารู้ถึงประโยชน์ของการเชื่อฟังและผลลัพธ์ของการไม่เชื่อฟัง. (พระบัญญัติ 30:19, 20) แทนที่จะบังคับขู่เข็ญไพร่พลของพระองค์ด้วยความรู้สึกผิด, รู้สึกอับอาย, หรือรู้สึกกลัว, พระองค์ทรงมุ่งจะเข้าให้ถึงหัวใจ พระองค์ทรงประสงค์จะให้ไพร่พลของพระองค์ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความรักจากใจจริงแทนที่จะทำอย่างฝืนใจ. (2 โกรินโธ 9:7) การรับใช้ด้วยสิ้นสุดหัวใจดังกล่าวก่อความปลาบปลื้มพระทัยแก่พระเจ้า พระองค์มิใช่พระเจ้าที่ “เอาใจยาก” โดยไม่มีเหตุผล.—1 เปโตร 2:18; สุภาษิต 27:11; เทียบกับมีคา 6:8.
20. ความมีเหตุผลของพระยะโฮวามีผลกระทบต่อคุณอย่างไร?
20 เป็นสิ่งน่าประหลาดมิใช่หรือที่ว่า พระเจ้ายะโฮวาผู้ทรงมีอำนาจยิ่งกว่าใคร ๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่เคยใช้อำนาจโดยปราศจากเหตุผล ไม่เคยใช้อำนาจคุกคามขู่เข็ญผู้อื่น? แต่มนุษย์กระจ้อยร่อยเมื่อเปรียบกับพระองค์กลับกลายเป็นว่ามีประวัติข่มขู่ใช้อำนาจเหนือผู้อื่น. (ท่านผู้ประกาศ 8:9) เห็นได้ชัดว่า ความมีเหตุผลเป็นคุณลักษณะที่ดีเลิศที่กระตุ้นเราให้รักพระยะโฮวามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ. ครั้นแล้ว ความรักนี้เองอาจกระตุ้นเราให้พัฒนาคุณลักษณะนี้ด้วย. เราอาจจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในบทความต่อไป.
[เชิงอรรถ]
a ย้อนไปเมื่อปี 1769 จอห์น พาร์กเฮอร์สต์ ผู้เรียบเรียงพจนานุกรมได้นิยามคำนั้นว่า “ยอมให้, มีนิสัยยินยอม, สุภาพ, อ่อนโยน, พากเพียร.” นักวิชาการคนอื่น ๆ ก็เช่นกันได้เสนอ “ยอมให้” เป็นคำจำกัดความ.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พระนามของพระยะโฮวาและนิมิตเกี่ยวกับราชรถในสวรรค์ของพระองค์เน้นความสามารถของพระองค์ที่จะปรับเปลี่ยนอย่างไร?
▫ ความมีเหตุผลคืออะไร และเพราะเหตุใดจึงเป็นสิ่งบ่งบอกถึงพระสติปัญญาของพระเจ้า?
▫ พระยะโฮวาได้ทรงสำแดงในทางใดบ้างว่าพระองค์ “พร้อมจะให้อภัย”?
▫ เหตุใดพระยะโฮวาทรงเลือกจะปรับเปลี่ยนแนวทางที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ในบางกรณี?
▫ พระยะโฮวาทรงแสดงความมีเหตุผลอย่างไรในวิธีที่พระองค์ทรงใช้อำนาจ?
[รูปภาพหน้า 10]
เพราะเหตุใดพระยะโฮวาทรงให้อภัยกษัตริย์มะนาเซที่ชั่วช้า?