ผลประโยชน์จากการเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้
“เราคือยะโฮวา พระเจ้าของเจ้า ผู้สั่งสอนเจ้าเพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน.”—ยะซายา 48:17.
1. อาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติอะไรได้โดยความเกรงกลัวพระเจ้า?
หากอาดามได้ปลูกฝังความเกรงกลัวพระเจ้า ความเกรงกลัวนั้นคงยับยั้งเขาไว้ได้จากการบาปที่นำไปสู่ความตายตลอดกาลของเขาเองและสู่หลายพันปีแห่งความโศกเศร้าสำหรับลูกหลานของเขา. ถ้าชนชาติยิศราเอลโบราณได้เอาใจใส่คำแนะนำของพระยะโฮวาที่ให้เกรงกลัวพระองค์และรักพระองค์ ชาตินั้นคงไม่ต้องถูกนำไปเป็นเชลยยังบาบูโลน และพวกเขาคงไม่ได้ปฏิเสธพระบุตรของพระเจ้าและมีความผิดฐานทำให้โลหิตของพระองค์ตก. ถ้าโลกทุกวันนี้เกรงกลัวพระเจ้า ก็คงไม่มีการทุจริตในการปกครองหรือในธุรกิจ, ไม่มีอาชญากรรม, ไม่มีสงคราม.—สุภาษิต 3:7.
2. ไม่ว่าสภาพการณ์ในโลกรอบตัวเราเป็นอย่างไร ทำไมเราควรปลูกฝังความเกรงกลัวพระยะโฮวา?
2 แต่ไม่ว่าโลกรอบตัวเราทำสิ่งใดก็ตาม พวกเราในฐานะเป็นรายบุคคล, เป็นครอบครัว, และในฐานะเป็นประชาคมแห่งผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็สามารถได้รับประโยชน์จากการปลูกฝังความเกรงกลัวต่อพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. เรื่องนี้สอดคล้องกับข้อเตือนใจที่โมเซให้แก่ชาติยิศราเอล ที่ว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะให้เจ้าทั้งหลายกระทำอย่างไร คือพระองค์จะให้เกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ดำเนินในทางทั้งปวงของพระองค์ รักและปฏิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตต์สุดใจของเจ้า และรักษาข้อบัญญัติ และข้อกฎหมายทั้งปวงของพระยะโฮวา . . . เป็นที่ให้เจ้าทั้งหลายจำเริญ?” (พระบัญญัติ 10:12, 13) ผลประโยชน์ที่เกิดแก่เราเมื่อเราเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้นั้นมีอะไรบ้าง?
สติปัญญา—ล้ำค่ากว่าทองคำ
3. (ก) ผลประโยชน์สำคัญที่สุดซึ่งเราสามารถได้รับคืออะไร? (ข) บทเพลงสรรเสริญ 111:10 หมายความอย่างไร?
3 ผลประโยชน์สำคัญที่สุดคือสติปัญญาแท้. บทเพลงสรรเสริญ 111:10 แถลงว่า “ความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นต้นเหตุให้เกิดสติปัญญา.” นั่นหมายความเช่นไร? สติปัญญาคือความสามารถใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างประสบผลสำเร็จ, หลบหลีกอันตราย, และบรรลุจุดมุ่งหมายบางประการ. สติปัญญาเกี่ยวพันกับการวินิจฉัยที่มีเหตุผล. ต้นเหตุ, ส่วนแรก, พื้นฐานแห่งสติปัญญาเช่นนั้น คือความเกรงกลัวพระยะโฮวา. เพราะเหตุใด? เพราะสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นล้วนเป็นผลจากพระหัตถกิจของพระองค์. สิ่งเหล่านั้นต้องพึ่งพระองค์. พระองค์ทรงให้มนุษย์มีเจตจำนงเสรี แต่ไม่ใช่ให้มีความสามารถจะนำฝีก้าวของตนเองอย่างประสบผลสำเร็จโดยไม่พึ่งการชี้นำจากพระองค์. (ยะโฮซูอะ 24:15; ยิระมะยา 10:23) หากเพียงแต่เราเข้าใจข้อเท็จจริงอันสำคัญเกี่ยวกับชีวิตและดำเนินชีวิตสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเหล่านั้น เราก็จะประสบความสำเร็จอันยืนนานได้. ถ้าความรู้ของเราเกี่ยวกับพระยะโฮวาทำให้เรามีความเชื่อมั่นอันไม่หวั่นไหวที่ว่า พระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะสำเร็จแน่นอนและคำสัญญาและพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการประทานบำเหน็จสำหรับความซื่อสัตย์เป็นเรื่องมั่นใจได้ละก็ ความเกรงกลัวพระเจ้าก็จะกระตุ้นเราให้ปฏิบัติอย่างสุขุม.—สุภาษิต 3:21-26; เฮ็บราย 11:6.
4, 5. (ก) ทำไมการที่ชายหนุ่มคนหนึ่งศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงไม่ได้ทำให้เขามีสติปัญญาแท้? (ข) ต่อมาชายคนนี้กับภรรยาได้รับสติปัญญาแท้อย่างไร และสิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาทั้งสองอย่างไร?
4 ขอให้พิจารณาตัวอย่างหนึ่ง. หลายสิบปีมาแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยซัสแกตชวัน ในแคนาดา. มีวิชาชีววิทยารวมอยู่ด้วยในหลักสูตร และเขาได้รับการสอนเรื่องวิวัฒนาการ. หลังจากเขาสำเร็จการศึกษา เขาศึกษาโดยเฉพาะในสาขาฟิสิกส์อะตอม โดยได้รับทุนให้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต. ขณะที่เขาศึกษาอยู่นั้น เขาได้เห็นหลักฐานอันเยี่ยมยอดของความเป็นระเบียบและการออกแบบในโครงสร้างอะตอม. แต่ก็ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ใครออกแบบสิ่งทั้งปวงนี้? เมื่อไร? และทำไม? เมื่อไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้น เขาจะใช้ความรู้ของเขาอย่างสุขุมได้หรือในโลกซึ่งมีแต่สงครามในขณะนั้น. อะไรจะชี้นำเขา? ลัทธิชาตินิยมหรือ? ความปรารถนาจะได้ผลตอบแทนด้านวัตถุหรือ? จริง ๆ แล้ว เขาได้มาซึ่งสติปัญญาแท้ไหม?
5 ไม่นานหลังจากสำเร็จการศึกษา ชายหนุ่มคนนี้กับภรรยาได้เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. จากพระคำของพระเจ้าเอง เขาทั้งสองได้คำตอบที่ไม่เคยได้รับมาก่อน. เขาทั้งสองได้มารู้จักพระผู้สร้าง พระเจ้ายะโฮวา. ขณะที่ศึกษาเกี่ยวกับโมเซที่ทะเลแดง อีกทั้งเกี่ยวกับดานิเอลกับเพื่อน ๆ ในบาบูโลนด้วย เขาทั้งสองได้เรียนรู้ความสำคัญของการเกรงกลัวพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์. (เอ็กโซโด 14:10-31; ดานิเอล 3:8-30) ความเกรงกลัวพระเจ้าควบคู่กับความรักแท้ต่อพระองค์เริ่มกระตุ้นเขาทั้งสอง. ไม่นานวิถีชีวิตทั้งสิ้นของพวกเขาก็เปลี่ยนไป. ในที่สุด ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้รู้จักพระองค์ผู้นั้นซึ่งเขาได้ศึกษาพระหัตถกิจของพระองค์ในวิชาชีววิทยา. เขาเริ่มเข้าใจพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นซึ่งเขาได้เห็นพระสติปัญญาของพระองค์ที่สะท้อนออกมาในวิชาฟิสิกส์ที่เขาศึกษา. แทนที่จะใช้ความรู้ของเขาเพื่อสร้างเครื่องมือซึ่งอาจทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขากับภรรยาต้องการจะช่วยคนอื่น ๆ ให้รักพระเจ้าและให้รักเพื่อนมนุษย์. เขาทั้งสองสมัครเข้าในงานรับใช้ประเภทเต็มเวลาในฐานะผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า. ต่อมาเขาทั้งสองได้เข้าเรียนในโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดและถูกส่งไปเป็นมิชชันนารี.
6. ถ้าเรามีสติปัญญาซึ่งเกิดจากความเกรงกลัวพระยะโฮวา เราจะหลีกเลี่ยงการมุ่งติดตามเป้าหมายอะไรในระยะสั้น และเราจะทำอะไรแทน?
6 แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนสามารถเป็นมิชชันนารี. แต่เราทุกคนสามารถมีสติปัญญาซึ่งเกิดจากความเกรงกลัวพระยะโฮวา. ถ้าเราปลูกฝังสติปัญญาเช่นนั้น เราจะไม่อยากรับเอาหลักปรัชญาของมนุษย์ซึ่งแท้จริงแล้วก็เพียงแต่คาดเดาเอาว่าชีวิตมีจุดมุ่งหมายอะไร. เราจะทุ่มเทตัวเองเพื่อการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้ายะโฮวาผู้เป็นแหล่งแห่งชีวิต ผู้ทรงสามารถประทานชีวิตนิรันดรแก่เรา. (บทเพลงสรรเสริญ 36:9; โกโลซาย 2:8) แทนที่จะตกเป็นทาสระบบพาณิชย์ซึ่งตัวมันเองก็กำลังง่อนแง่นอยู่บนขอบเหวแห่งความพินาศ เราจะเอาใจใส่ฟังคำแนะนำจากพระยะโฮวาที่ให้อิ่มใจพอใจกับเครื่องอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกับที่จัดให้สัมพันธภาพของเรากับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต. (1 ติโมเธียว 6:8-12) แทนที่จะปฏิบัติราวกับอนาคตของเราขึ้นอยู่กับการได้มาซึ่งฐานะดีในโลกนี้ เราจะเชื่อพระคำของพระยะโฮวาเมื่อพระคำนั้นบอกเราว่า โลกนี้กำลังจะผ่านพ้นไปพร้อมทั้งความปรารถนาของโลกด้วย แต่ว่าผู้ที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงตลอดไปเป็นนิตย์.—1 โยฮัน 2:17.
7. (ก) สุภาษิต 16:16 ช่วยเราอย่างไรให้มีค่านิยมต่าง ๆ ที่สมดุล? (ข) มีผลตอบแทนอะไรจากการจัดให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นจุดรวมความสนใจในชีวิตของเรา?
7 สุภาษิต 16:16 (ฉบับแปลใหม่) หนุนกำลังใจเราโดยกล่าวความจริงว่า “ได้ปัญญา [ปัญญาซึ่งเริ่มต้นกับการเกรงกลัวพระยะโฮวา] ก็ดีกว่าได้ทองคำสักเท่าใด ที่จะเลือกเอาความรอบรู้ [ความเข้าใจ, ล.ม.] ก็ดีกว่าเงิน.” สติปัญญาและความเข้าใจนั้นจะกระตุ้นเราให้จัดเอาการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นจุดรวมความสนใจในชีวิตของเรา. และงานอะไรที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เหล่าพยานของพระองค์ทำสำหรับช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์? ก็คือการประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระองค์และการช่วยผู้มีหัวใจสุจริตให้มาเป็นสาวกแท้ของพระเยซูคริสต์. (มัดธาย 24:14; 28:19, 20) นี่คืองานที่ให้ผลตอบแทนด้วยความอิ่มใจพอใจแท้และความสุขมากมาย. ดังนั้น ด้วยเหตุผลอันดี คัมภีร์ไบเบิลกล่าวดังนี้: “ความผาสุกมีแก่คนนั้นที่พบพระปัญญา.”—สุภาษิต 3:13.
ป้องกันการทำผิด
8. (ก) จงบอกผลประโยชน์ประการที่สองซึ่งเกิดจากการเกรงกลัวพระเจ้า. (ข) เราได้รับการป้องกันไว้จากสิ่งไม่ดีอะไร? (ค) โดยวิธีใดที่ความเกรงกลัวพระเจ้ากลายเป็นแรงกระตุ้นอันทรงพลังมาก?
8 ผลประโยชน์ประการที่สองจากการเกรงกลัวพระเจ้าคือ ด้วยความกลัวนี้เราได้รับการป้องกันไว้จากการทำสิ่งชั่ว. คนที่เคารพพระเจ้าอย่างสุดซึ้งจะไม่ตัดสินใจด้วยตนเองว่าสิ่งใดดีและสิ่งใดชั่ว. เขาไม่ถือเอาสิ่งที่พระยะโฮวาตรัสว่าเป็นสิ่งดีนั้นว่าเป็นสิ่งไม่ดี และเขาไม่ถือว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งไม่ดีนั้นเป็นสิ่งดี. (บทเพลงสรรเสริญ 37:1, 27; ยะซายา 5:20, 21) นอกจากนี้ คนที่ถูกกระตุ้นด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าไม่หยุดอยู่แค่การรู้จัก สิ่งที่พระยะโฮวาตรัสว่าเป็นสิ่งดีและสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งไม่ดีเท่านั้น. คนเช่นนั้นรัก สิ่งที่พระยะโฮวาทรงรักและเกลียด สิ่งที่พระยะโฮวาทรงเกลียด. ผลก็คือ เขาปฏิบัติสอดคล้องกับมาตรฐานของพระเจ้า. ด้วยเหตุนี้จึงเป็นดังที่สุภาษิต 16:6 บอกไว้ว่า “โดยความยำเกรงพระยะโฮวามนุษย์จึงจะพ้น [หันหนี, ล.ม.] จากความชั่ว.” ความเกรงกลัวเช่นนั้นกลายเป็นแรงกระตุ้นอันทรงพลังมากเพื่อบรรลุความสำเร็จในสิ่งที่คนเราอาจไม่สามารถทำได้ด้วยกำลังของตนเอง.
9. ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะไม่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยมีผลกระทบอย่างไรต่อการตัดสินใจของหญิงคนหนึ่งในเม็กซิโก และมีผลประการใด?
9 ถึงแม้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้าเพิ่งเริ่มเกิดขึ้นในตัวคนเราก็ตาม ความเกรงกลัวนั้นอาจเสริมกำลังเขาให้หลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่เขาอาจเสียใจไปตลอดชีวิตได้. ตัวอย่างเช่น หญิงมีครรภ์ผู้หนึ่งในเม็กซิโกถามพยานพระยะโฮวาเกี่ยวกับการทำแท้ง. พยานฯอ่านข้อพระคัมภีร์หลายข้อให้ผู้หญิงคนนั้นฟังแล้วชักเหตุผลว่า “สำหรับพระผู้สร้าง ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้กระทั่งชีวิตของทารกที่ยังไม่เกิด.” (เอ็กโซโด 21:22, 23; บทเพลงสรรเสริญ 139:13-16) การตรวจของแพทย์บอกเป็นนัยว่าทารกอาจจะผิดปกติ. แต่ตอนนี้ โดยถูกกระตุ้นจากสิ่งที่เธอได้เห็นในพระคำของพระเจ้า ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจจะเอาลูกไว้. แพทย์ประจำตัวไม่ยอมพบเธออีกและสามีก็ขู่จะแยกทางกับเธอ แต่เธอก็มั่นคง. ในที่สุด เธอก็คลอดบุตรสาว ซึ่งเป็นปกติ, สุขภาพดี, และน่ารัก. โดยได้รับการกระตุ้นด้วยความรู้สึกขอบคุณ เธอตามหาพวกพยานฯและพวกเขาจึงเริ่มศึกษาพระคำของพระเจ้ากับเธอ. ภายในปีเดียว เธอกับสามีก็รับบัพติสมา. ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ที่การประชุมภาคแห่งหนึ่ง เขาทั้งสองดีใจมากที่ได้พบพยานฯคนแรกที่เธอพบนั้นอีกครั้ง และแนะนำพยานฯให้รู้จักลูกสาวน่ารักวัยสี่ขวบ. ความนับถืออย่างสมควรต่อพระเจ้าและความปรารถนาแรงกล้าจะไม่ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ย่อมก่อแรงชักจูงอันทรงพลังในชีวิตคนเราอย่างแน่นอน.
10. ความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถเสริมกำลังผู้คนให้หลุดพ้นจากการทำผิดแบบใดบ้าง?
10 ความเกรงกลัวพระเจ้าเสริมความเข้มแข็งให้เราต่อต้านการทำผิดหลายอย่างได้. (2 โกรินโธ 7:1) เมื่อมีการปลูกฝังอย่างถูกต้อง ความเกรงกลัวนั้นสามารถช่วยเขาให้เลิกทำบาปอย่างซ่อนเร้นที่เฉพาะแต่เขากับพระยะโฮวาเท่านั้นรู้. ความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสแอลกอฮอล์และการใช้ยาเสพย์ติดได้. คนที่เคยติดยาเสพย์ติดคนหนึ่งในแอฟริกาใต้อธิบายว่า “เมื่อผมได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ผมได้เพาะความกลัวการทำให้พระองค์เสียพระทัยหรือไม่พอพระทัยด้วย. ผมรู้ว่าพระองค์ทรงเฝ้าดูอยู่ และผมอยากจะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์. ความเกรงกลัวนั้นกระตุ้นผมให้ทำลายยาเสพย์ติดที่ผมมีอยู่ทั้งหมดโดยทิ้งลงชักโครกไปเลย.” ความเกรงกลัวพระเจ้าได้ช่วยอีกหลายพันคนในแนวทางคล้ายกันนี้.—สุภาษิต 5:21; 15:3.
ป้องกันความหวาดกลัวมนุษย์
11. ความเกรงกลัวอย่างถูกต้องต่อพระยะโฮวาป้องกันเราไว้จากกับดักอะไรซึ่งมีทั่วไป?
11 ความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างที่เป็นประโยชน์ยังป้องกันเราไว้จากความกลัวมนุษย์เช่นกัน. ผู้คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์ใจเนื่องจากความกลัวมนุษย์มากบ้างน้อยบ้าง. แม้แต่พวกอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ก็ละพระองค์และหนีไปเมื่อพระองค์ถูกทหารจับตัวในสวนเฆ็ธเซมาเน. ต่อมา ในลานบ้านของมหาปุโรหิต ด้วยจิตใจที่สับสนและตกอยู่ในความกลัว เปโตรไม่ยอมรับว่าเขาเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูและบอกว่าเขาไม่รู้จักพระองค์ด้วยซ้ำ. (มาระโก 14:48-50, 66-72; โยฮัน 18:15-27) แต่เหล่าอัครสาวกได้รับการช่วยเหลือให้ได้ความสมดุลฝ่ายวิญญาณอีกครั้ง. อีกด้านหนึ่ง ในสมัยกษัตริย์ยะโฮยาคิม อุรียาบุตรซะมายาพ่ายต่อความกลัวจนเขาละทิ้งการปรนนิบัติในฐานะผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาและหนีไปจากประเทศนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ถูกจับตัวและสังหารจนได้.—ยิระมะยา 26:20-23.
12. (ก) สุภาษิต 29:25 ชี้ถึงสิ่งใดที่ป้องกันความกลัวมนุษย์? (ข) ความไว้วางใจในพระเจ้าเกิดขึ้นอย่างไร?
12 อะไรจะช่วยคนเราให้เอาชนะความกลัวมนุษย์ได้? หลังจากเตือนว่า “การกลัวคนนั้นนำไปถึงบ่วงแร้ว” พระธรรมสุภาษิต 29:25 บอกอีกว่า “ผู้ที่ยำเกรงพระยะโฮวาจะปลอดภัย.” การไว้วางใจพระยะโฮวาคือปัจจัยสำคัญ. ความไว้วางใจเช่นนี้อาศัยความรู้และประสบการณ์. โดยการศึกษาพระคำของพระองค์ เราเห็นหลักฐานแสดงว่าแนวทางของพระยะโฮวาถูกต้อง. เราได้มาคุ้นเคยกับเหตุการณ์ที่แสดงถึงความน่าไว้วางใจของพระองค์, ความแน่นอนแห่งคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์ (ซึ่งรวมถึงคำสัญญาเรื่องการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตายด้วย), ความรักและฤทธานุภาพทุกประการของพระองค์. ครั้นแล้ว เมื่อเราปฏิบัติตามความรู้นั้น โดยทำสิ่งที่พระยะโฮวาทรงชี้นำและปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อสิ่งที่พระองค์ทรงเตือนไม่ให้ทำ เราก็เริ่มประสบด้วยตนเองถึงความใฝ่พระทัยด้วยความรักและความน่าไว้วางใจของพระองค์. เราเห็นกับตาถึงหลักฐานที่ว่า พระองค์ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจเพื่อทำให้พระทัยประสงค์ของพระองค์สัมฤทธิผล. ความมั่นใจที่เรามีในพระองค์เพิ่มขึ้น และด้วยความมั่นใจนั้น ความรักที่เรามีต่อพระองค์และความปรารถนาจะหลีกเลี่ยงการทำให้พระองค์ไม่พอพระทัยก็เพิ่มขึ้น. ความไว้วางใจเช่นนั้นถูกสร้างขึ้นบนรากฐานอันมั่นคง. ความไว้วางใจนั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความกลัวมนุษย์.
13. ความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถช่วยเราอย่างไรในที่ทำงานของเรา, ที่บ้าน, และที่โรงเรียน?
13 ความไว้วางใจที่เรามีในพระยะโฮวา ควบคู่กับความเกรงกลัวพระเจ้า จะทำให้เรามั่นคงเพื่อสิ่งที่ถูกหากนายจ้างขู่จะไล่เราออกจากงานเนื่องจากไม่ยอมมีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่ไม่ซื่อสัตย์ทางธุรกิจ. (เทียบกับมีคา 6:11, 12.) ความเกรงกลัวพระเจ้าเช่นนั้นทำให้คริสเตียนหลายพันคนสามารถยืนหยัดมั่นคงในการนมัสการแท้เมื่อเผชิญการต่อต้านจากสมาชิกที่ไม่เชื่อในครอบครัว. ความเกรงกลัวนี้ยังทำให้เยาวชนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่มีความกล้าจะแสดงตัวว่าเป็นพยานพระยะโฮวา และความเกรงกลัวนี้เสริมกำลังพวกเขาให้รับมือกับการเยาะเย้ยจากเพื่อนนักเรียนซึ่งดูถูกมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิล. ด้วยเหตุนี้ พยานฯวัยรุ่นคนหนึ่งจึงกล่าวว่า “พวกเขาจะคิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญเลยจริง ๆ. แต่พระยะโฮวาทรงคิดอย่างไรต่างหากที่สำคัญ.”
14. เหล่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาสามารถผ่านพ้นด้วยชัยชนะได้อย่างไรแม้แต่เมื่อพวกเขาถูกขู่เอาชีวิต?
14 ความเชื่อมั่นเช่นเดียวกันนั้นเสริมกำลังคริสเตียนแท้ให้ยึดมั่นอยู่กับแนวทางของพระยะโฮวาถึงแม้ในยามที่ถูกขู่เอาชีวิต. พวกเขาทราบว่า พวกเขาต้องคาดหมายการกดขี่ข่มเหงจากโลก. พวกเขาตระหนักว่า เหล่าอัครสาวกถูกเฆี่ยนตีและทราบว่าพระเยซูคริสต์เองก็ถูกเหล่าคนชั่วช้าทุบตีและสังหาร. (มาระโก 14:65; 15:15-39; กิจการ 5:40; เทียบกับดานิเอล 3:16-18.) แต่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า พระองค์ทรงสามารถเสริมกำลังพวกเขาให้เพียรอดทน มั่นใจว่า ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาสามารถผ่านพ้นด้วยชัยชนะ มั่นใจว่า พระยะโฮวาจะทรงประทานบำเหน็จแก่คนที่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน—แม้แต่โดยการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายสู่ชีวิตในโลกใหม่ของพระองค์ด้วยซ้ำหากจำเป็น. ความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าควบคู่กับความเกรงกลัวพระองค์กระตุ้นพวกเขาอย่างแรงกล้าให้หลีกเว้นการทำสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย.
15. อะไรทำให้พยานพระยะโฮวาสามารถคงความซื่อสัตย์มั่นคงได้เมื่ออยู่ในค่ายกักกันของนาซี?
15 แรงกระตุ้นเช่นนี้ทำให้พยานพระยะโฮวาสามารถเผชิญความสยดสยองในค่ายกักกันของนาซีในช่วงทศวรรษปี 1930 และ 1940 ได้อย่างกล้าหาญ. พวกเขาใส่ใจในคำแนะนำของพระเยซูซึ่งมีอยู่ในลูกา 12:4, 5 ที่ว่า “มิตรสหายของเราเอ๋ย, เราบอกท่านทั้งหลายว่า, อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย, และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก. แต่เราจะสำแดงให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวผู้ใด จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฆ่าตนแล้วก็ยังมีฤทธิ์ที่จะทิ้งลงในนรก [เกเฮนนา, ล.ม.] ได้. แท้จริงเราบอกท่านว่า, จงกลัวพระองค์นั้นแหละ.” ด้วยเหตุนี้ กุสตาฟ เอาช์เนอร์ พยานฯคนหนึ่งซึ่งอยู่ในค่ายกักกันซัคเซนเฮาเซน ได้เขียนในเวลาต่อมาดังนี้: “พวกเอสเอสยิงเป้าเอากุสต์ ดิคมันน์ และขู่จะยิงเป้าพวกเราที่เหลือถ้าเราไม่เซ็นเอกสารแสดงการปฏิเสธความเชื่อของเรา. พวกเราไม่เซ็นกันสักคน. เรากลัวการทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัยมากกว่ากลัวกระสุนของพวกเขา.” ความกลัวมนุษย์นำไปสู่การประนีประนอม แต่ความเกรงกลัวพระเจ้าทำให้คนเรามั่นคงเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง.”
การพิทักษ์ชีวิต
16. อะไรทำให้โนฮาคงอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องได้ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่าจนกระทั่งมหาอุทกภัย และผลเป็นเช่นไรสำหรับท่านกับครอบครัว?
16 โนฮามีชีวิตผ่านสมัยสุดท้ายของโลกสมัยก่อนน้ำท่วม. พระยะโฮวาได้ตั้งพระทัยจะทำลายโลกอันชั่วช้าในสมัยนั้นเนื่องจากความชั่วของมนุษย์. แต่ในระหว่างนั้น โนฮาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง, การผิดศีลธรรมร้ายแรง, และความไม่แยแสพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. แม้โนฮาประกาศความชอบธรรม “พวกเขาไม่แยแสจนกระทั่งน้ำมาท่วมและกวาดล้างเขาไปเสียสิ้น.” (มัดธาย 24:39, ล.ม.) กระนั้น โนฮาก็ไม่ได้เลิกจากงานที่พระเจ้ามอบให้ท่านทำ. ท่าน “ได้ทำตามทุกสิ่งที่พระเจ้าได้รับสั่งแก่ท่าน. ท่านได้กระทำอย่างนั้นทีเดียว.” (เยเนซิศ 6:22, ล.ม.) อะไรทำให้โนฮาสามารถคงอยู่ในแนวทางอันถูกต้องนี้ปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งมหาอุทกภัยนั้น? เฮ็บราย 11:7 (ล.ม.) ตอบว่า “โดยความเชื่อ หลังจากที่เขาได้รับคำเตือนจากพระเจ้าถึงสิ่งที่ยังไม่ได้เห็น โนฮาแสดงความยำเกรงพระเจ้า.” ผลก็คือ ท่านกับภรรยาและบุตรชายและภรรยาของพวกเขาได้รับการพิทักษ์ให้ผ่านพ้นมหาอุทกภัยนั้น.
17. (ก) ไม่ว่าคนอื่น ๆ ทำอะไรก็ตาม เราควรทำอะไร? (ข) ทำไมคนเหล่านั้นที่เกรงกลัวพระเจ้าจึงเป็นผู้คนที่มีความสุขอย่างแท้จริง?
17 พวกเรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาคล้ายกับสมัยของโนฮาในหลายด้าน. (ลูกา 17:26, 27) อีกครั้งที่มีการให้คำเตือนสติ. วิวรณ์ 14:6, 7 บอกถึงทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่บินอยู่กลางฟ้าสวรรค์ซึ่งเร่งเร้าผู้คนจากทุกชาติและตระกูลและภาษาให้ “เกรงกลัวพระเจ้าและถวายสง่าราศีแด่พระองค์.” ไม่ว่าโลกรอบตัวคุณทำอะไรอยู่ก็ตาม จงเอาใจใส่ถ้อยคำเหล่านั้น แล้วแผ่คำเชิญนั้นแก่คนอื่น ๆ. เหมือนโนฮา จงปฏิบัติด้วยความเชื่อและแสดงความเกรงกลัวพระเจ้า. การที่คุณทำเช่นนั้นสามารถทำให้มีการพิทักษ์ชีวิตคุณและชีวิตคนอื่น ๆ อีกจำนวนมาก. เมื่อเราใคร่ครวญผลประโยชน์นานาประการซึ่งคนที่เกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้ได้รับ เราจึงสามารถเห็นพ้องกับท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญซึ่งร้องเพลงว่า “ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่เกรงกลัวพระยะโฮวา, และยินดีมากในพระบัญญัติของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 112:1.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ผลประโยชน์อันโดดเด่นจากการเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้มีอะไรบ้าง?
▫ สติปัญญาซึ่งเกิดจากความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถป้องกันเราอย่างไร?
▫ เหตุใดความเกรงกลัวพระเจ้าทำให้เราหันหนีจากสิ่งชั่ว?
▫ ความเกรงกลัวพระเจ้าป้องกันเราจากความกลัวมนุษย์อย่างไร?
▫ ความเกรงกลัวพระเจ้าเกี่ยวพันเช่นไรกับโอกาสในเรื่องชีวิตอนาคตของเรา?
[รูปภาพหน้า 16, 17]
“ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่เกรงกลัวพระยะโฮวา, และยินดีมากในพระบัญญัติของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 112:1