“จงทำให้หัวใจของท่านมั่นคง”
“ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความเพียรอดทน เพื่อว่า เมื่อท่านกระทำให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จแล้ว ท่านจะได้รับตามคำทรงสัญญา.”—เฮ็บราย 10:36, ล.ม.
1, 2. (ก) เกิดอะไรขึ้นกับคริสเตียนบางคนในศตวรรษแรก? (ข) เหตุใดจึงง่ายที่ความเชื่อจะอ่อนลง?
ในบรรดาผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลทั้งหมด ไม่มีใครกล่าวถึงความเชื่อบ่อยเท่าอัครสาวกเปาโล. และบ่อยครั้ง ท่านกล่าวถึงคนที่ความเชื่อของเขาได้อ่อนลงหรือเป็นความเชื่อที่ตายแล้ว. ตัวอย่างเช่น ฮุเมนายและอาเล็กซันดะโรได้ “เสียความเชื่อนั้นเหมือนเรืออับปาง.” (1 ติโมเธียว 1:19, 20) เดมาละทิ้งเปาโลเพราะ “เขารักโลกปัจจุบันนี้.” (2 ติโมเธียว 4:10) ด้วยการทำอย่างไม่รับผิดชอบและอย่างที่ไม่ใช่แบบคริสเตียน บางคน “ปฏิเสธความเชื่อ.” และก็มีอีกบางคนที่ถูกหลอกโดยสติปัญญาเท็จก็ “เลยหลงไปจากความเชื่อ.”—1 ติโมเธียว 5:8; 6:20, 21.
2 เหตุใดคริสเตียนผู้ถูกเจิมเหล่านั้นพ่ายแพ้ในแนวทางดังกล่าว? เอาละ “ความเชื่อคือความคาดหมายที่แน่นอนในสิ่งซึ่งหวังไว้ เป็นการแสดงออกเด่นชัดถึงสิ่งที่เป็นจริง ถึงแม้ไม่ได้เห็นสิ่งนั้นก็ตาม.” (เฮ็บราย 11:1, ล.ม.) เราสำแดงความเชื่อในสิ่งที่เราไม่อาจมองเห็น. เราไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อสำหรับสิ่งที่เห็นได้. การทำงานเพื่อทรัพย์ที่เห็นได้นั้นง่ายกว่าการแสวงหาความมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น. (มัดธาย 19:21, 22) หลายสิ่งที่เห็นได้ อย่างเช่น “ความปรารถนาของเนื้อหนัง, ความปรารถนาของตา” มีพลังดึงดูดเนื้อหนังที่ไม่สมบูรณ์ของเรามากทีเดียว และสามารถทำให้ความเชื่อของเราอ่อนลง.—1 โยฮัน 2:16, ล.ม.
3. คริสเตียนควรปลูกฝังความเชื่อแบบใด?
3 กระนั้น เปาโลกล่าวว่า “ผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่, และต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์.” โมเซมีความเชื่อเช่นนั้น. ท่าน “เห็นแก่ประโยชน์บำเหน็จนั้น” และ “มั่นใจอยู่เหมือนหนึ่งเห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา.” (เฮ็บราย 11:6, 24, 26, 27) คริสเตียนจำต้องมีความเชื่อแบบนี้. ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในบทความก่อน อับราฮามเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้.
ตัวอย่างความเชื่อของอับราฮาม
4. วิถีชีวิตของอับราฮามได้รับผลกระทบจากความเชื่อของท่านอย่างไร?
4 อับราฮามอยู่ในเมืองอูระขณะที่ท่านได้รับคำสัญญาจากพระเจ้าว่า ท่านจะเป็นผู้ให้กำเนิดพงศ์พันธุ์ที่จะเป็นพระพรแก่ประชาชนในทุกชาติ. (เยเนซิศ 12:1-3; กิจการ 7:2, 3) โดยคำนึงถึงคำสัญญานั้น อับราฮามเชื่อฟังพระยะโฮวา โดยก่อนอื่นท่านย้ายไปยังเมืองฮารานแล้วจากนั้นก็ย้ายไปที่คะนาอัน. ที่นั่น พระยะโฮวาทรงสัญญาจะประทานแผ่นดินนั้นแก่ลูกหลานของอับราฮาม. (เยเนซิศ 12:7; นะเฮมยา 9:7, 8) อย่างไรก็ตาม คำสัญญาหลายประการของพระยะโฮวาจะสำเร็จเป็นจริงหลังจากอับราฮามสิ้นชีวิตไปแล้ว. ตัวอย่างเช่น อับราฮามเองไม่เคยเป็นเจ้าของที่ดินผืนใดของคะนาอัน เว้นแต่ถ้ำมักเพลาซึ่งท่านซื้อไว้เป็นที่ฝังศพ. (เยเนซิศ 23:1-20) กระนั้น ท่านมีความเชื่อในพระดำรัสของพระยะโฮวา. ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ท่านมีความเชื่อใน “เมืองที่มีราก, ซึ่งพระเจ้าเป็นนายช่างและเป็นผู้ทรงสร้างขึ้น” ซึ่งจะมีมาในอนาคต. (เฮ็บราย 11:10) ความเชื่อเช่นนั้นค้ำจุนท่านไว้ตลอดชีวิตของท่าน.
5, 6. ความเชื่อของอับราฮามถูกทดสอบในทางใดเกี่ยวด้วยคำสัญญาของพระยะโฮวา?
5 จะเห็นได้เลยว่าเป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคำสัญญาที่ว่าลูกหลานของอับราฮามจะกลายเป็นชาติใหญ่. เพื่อจะเป็นเช่นนั้นได้ อับราฮามจำต้องมีบุตรชาย และท่านรอคอยมานานที่จะได้รับการอวยพระพรให้มีสักคนหนึ่ง. เราไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าใดเมื่อท่านได้ยินคำสัญญาของพระเจ้าเป็นครั้งแรก แต่เมื่อท่านเดินทางไกลไปที่เมืองฮาราน พระยะโฮวายังมิได้ประทานบุตรแก่ท่าน. (เยเนซิศ 11:30) ท่านอยู่ในเมืองฮารานนานพอที่จะ ‘สะสมทรัพย์สมบัติและบรรดาผู้คน’ และเมื่อท่านย้ายไปที่คะนาอัน ท่านมีอายุได้ 75 ปี และซาราอายุ 65 ปี. กระนั้น ทั้งสองยังคงไม่มีบุตร. (เยเนซิศ 12:4, 5) เมื่อซาราอายุล่วงเลยมาจนถึงราว ๆ 75 ปี เธอลงความเห็นว่าบัดนี้เธอชราเกินกว่าจะมีบุตรให้แก่อับราฮามได้เสียแล้ว. ฉะนั้น เธอทำตามธรรมเนียมในเวลานั้นโดยยกทาสหญิงที่ชื่อฮาฆารให้อับราฮาม และท่านก็มีบุตรชายคนหนึ่งกับนาง. แต่นี่ไม่ใช่บุตรที่ทรงสัญญาไว้. ผลสุดท้าย ฮาฆารกับบุตรซึ่งมีชื่อว่ายิศมาเอลก็ถูกไล่ไป. แม้กระนั้น เมื่ออับราฮามทูลวิงวอนเพื่อให้ทรงเห็นแก่สองแม่ลูก พระยะโฮวาทรงสัญญาจะอวยพระพรแก่ยิศมาเอล.—เยเนซิศ 16:1-4, 10; 17:15, 16, 18-20; 21:8-21.
6 เมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้าเอง—หลังจากที่ทั้งสองได้ยินคำสัญญาในครั้งแรกมาช้านานแล้ว—อับราฮามซึ่งมีอายุได้ 100 ปีและซาราอายุ 90 ปีจึงได้มีบุตรน้อย ซึ่งชื่อว่ายิศฮาค. นั่นคงต้องเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสักเพียงไร! สำหรับสามีภรรยาที่ชราแล้วคู่นี้ เหตุการณ์นี้เป็นดุจการกลับเป็นขึ้นจากตายซึ่งร่างกายของทั้งสองที่ “ตายแล้ว” ถูกนำคืนสู่ชีวิตใหม่. (โรม 4:19-21) การรอคอยนั้นยาวนาน แต่เมื่อคำสัญญานั้นสำเร็จเป็นจริงในที่สุด การรอคอยนั้นนับว่าคุ้มค่าทีเดียว.
7. ความเชื่อเกี่ยวข้องกับความอดทนอย่างไร?
7 ตัวอย่างของอับราฮามเตือนใจเราว่า ความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่ควรมีแค่ช่วงสั้น ๆ. เปาโลเชื่อมโยงความเชื่อเข้ากับความอดทน เมื่อท่านเขียนว่า “ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความเพียรอดทน เพื่อว่า เมื่อท่านกระทำให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จแล้ว ท่านจะได้รับตามคำทรงสัญญา. . . . เราทั้งหลายไม่ใช่คนชนิดที่ถอยกลับไปสู่ความพินาศ แต่เป็นชนิดที่มีความเชื่อที่จะรักษาจิตวิญญาณให้มีชีวิตอยู่.” (เฮ็บราย 10:36-39, ล.ม.) หลายคนได้คอยความสำเร็จเป็นจริงของคำสัญญานี้มาเป็นเวลานาน. บางคนได้คอยมาชั่วชีวิต. ความเชื่อที่เข้มแข็งของพวกเขาได้ค้ำจุนเขาไว้. และเช่นเดียวกับอับราฮาม พวกเขาจะ ได้รับรางวัลตามเวลากำหนดของพระยะโฮวา.—ฮะบาฆูค 2:3.
การฟังพระเจ้า
8. เราฟังพระเจ้าโดยวิธีใดในทุกวันนี้ และเหตุใดการทำเช่นนั้นจะเสริมความเชื่อของเราให้เข้มแข็ง?
8 มีปัจจัยอย่างน้อยสี่ประการที่ทำให้ความเชื่อของอับราฮามเข้มแข็ง และปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยเราได้เช่นกัน. ประการแรก ท่านแสดง ‘ความเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่’ โดยตั้งใจฟังเมื่อพระยะโฮวาตรัส. ด้วยเหตุนั้น ท่านต่างไปจากชาวยิวในสมัยของยิระมะยา ซึ่งเชื่อในพระยะโฮวาแต่ไม่มีความเชื่อในพระดำรัสของพระองค์. (ยิระมะยา 44:15-19) ปัจจุบัน พระยะโฮวาตรัสแก่เราทางหน้าหนังสือของคัมภีร์ไบเบิลอันเป็นพระคำที่มีขึ้นโดยการดลใจ ซึ่งเปโตรกล่าวว่าเป็นเสมือน “ตะเกียงส่องสว่างในที่มืด ในหัวใจของท่านทั้งหลาย.” (2 เปโตร 1:19, ล.ม.) เมื่อเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างตั้งใจจริง เราย่อม “ได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ.” (1 ติโมเธียว 4:6, ล.ม.; โรม 10:17) นอกจากนั้น ในสมัยสุดท้ายนี้ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” กำลังจัดเตรียม ‘อาหารฝ่ายวิญญาณตามเวลาที่สมควร’ ให้การชี้นำในการใช้หลักการของคัมภีร์ไบเบิลและในการทำความเข้าใจคำพยากรณ์ของพระคัมภีร์. (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) การฟังพระยะโฮวาในวิธีเหล่านี้นับว่าจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อจะมีความเชื่อที่เข้มแข็ง.
9. จะเกิดผลเช่นไรถ้าเราเชื่ออย่างแท้จริงในความหวังของคริสเตียน?
9 ความเชื่อของอับราฮามเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความหวังของท่าน. ท่าน “มีความหวังว่าท่านจะได้เป็นบิดาของชนหลายประเทศ.” (โรม 4:18) นี่คือปัจจัยประการที่สองซึ่งสามารถช่วยเราได้. เราไม่ควรลืมว่าพระยะโฮวาทรงเป็น “ผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์.” อัครสาวกเปาโลกล่าวดังนี้: “เราจึงทำงานหนักและทุ่มเทตัวเอง เพราะเราได้ฝากความหวังไว้กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.” (1 ติโมเธียว 4:10, ล.ม.) หากเราเชื่ออย่างแท้จริงในความหวังของคริสเตียน วิถีชีวิตทั้งสิ้นของเราจะแสดงถึงความเชื่อของเรา ดังในกรณีของอับราฮาม.
การสนทนากับพระเจ้า
10. คำอธิษฐานแบบใดที่จะเสริมความเชื่อของเราให้เข้มแข็ง?
10 อับราฮามสนทนากับพระเจ้า และนี่เป็นปัจจัยที่สามซึ่งเสริมสร้างความเชื่อของท่าน. ปัจจุบัน เราก็เช่นกันสามารถสนทนากับพระยะโฮวา โดยใช้ของประทานแห่งคำอธิษฐานผ่านทางพระเยซูคริสต์. (โยฮัน 14:6; เอเฟโซ 6:18) หลังจากทรงเล่าอุปมาเรื่องหนึ่งที่เน้นความจำเป็นต้องอธิษฐานเสมอ พระเยซูทรงถามว่า “เมื่อบุตรมนุษย์จะมา. ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ.” (ลูกา 18:8) คำอธิษฐานที่เสริมสร้างความเชื่อไม่ใช่แบบที่กล่าวโดยไม่คิดใคร่ครวญหรือโดยอัตโนมัติ. คำอธิษฐานที่เสริมสร้างความเชื่อนั้นมีความหมายลึกซึ้ง. ตัวอย่างเช่น คำอธิษฐานที่แสดงความรู้สึกจากหัวใจนั้นสำคัญยิ่งเมื่อเราต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญหรือเมื่อเราตกอยู่ในสภาพที่กดดันอย่างหนัก.—ลูกา 6:12, 13; 22:41-44.
11. (ก) อับราฮามได้รับการเสริมกำลังอย่างไรเมื่อท่านเปิดหัวใจของท่านต่อพระเจ้า? (ข) เราสามารถเรียนรู้อะไรได้จากประสบการณ์ของอับราฮาม?
11 เมื่ออับราฮามเข้าสู่วัยชราและพระยะโฮวาก็ยังมิได้ประทานพงศ์พันธุ์ตามที่ทรงสัญญาไว้แก่ท่าน ท่านสนทนากับพระเจ้าถึงสิ่งที่ท่านเป็นห่วง. พระยะโฮวาทรงให้คำรับรองแก่ท่าน. ผลเป็นเช่นไร? อับราฮาม “เชื่อวางใจในพระยะโฮวา; และที่เชื่อนั้นพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน.” จากนั้นพระยะโฮวาก็ทรงจัดให้มีหมายสำคัญเพื่อยืนยันคำรับรองของพระองค์. (เยเนซิศ 15:1-18) หากเราเปิดหัวใจของเราต่อพระยะโฮวาในคำอธิษฐาน, ตอบรับคำรับรองของพระยะโฮวาในคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์, และเชื่อฟังพระองค์ด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยม พระยะโฮวาก็จะทรงทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งด้วยเช่นกัน.—มัดธาย 21:22; ยูดา 20, 21.
12, 13. (ก) อับราฮามได้รับพระพรอย่างไรเมื่อท่านดำเนินตามการชี้นำของพระยะโฮวา? (ข) ประสบการณ์แบบใดที่จะเสริมความเชื่อของเราให้เข้มแข็ง?
12 ปัจจัยที่สี่ซึ่งเสริมความเชื่อของอับราฮามคือการสนับสนุนที่พระยะโฮวาทรงมีให้แก่ท่านเมื่อท่านติดตามการชี้นำของพระองค์. เมื่ออับราฮามตามไปช่วยโลตจากเงื้อมมือกษัตริย์ที่รุกราน พระยะโฮวาประทานชัยชนะแก่ท่าน. (เยเนซิศ 14:16, 20) ระหว่างที่อับราฮามอาศัยอยู่ในฐานะผู้พักอาศัยชั่วคราวในดินแดนที่ลูกหลานของท่านจะได้รับเป็นมรดก พระยะโฮวาทรงอวยพระพรแก่ท่านด้านวัตถุ. (เทียบกับเยเนซิศ 14:21-23.) พระยะโฮวาทรงนำทางให้คนต้นเรือนของท่านประสบผลสำเร็จในการหาภรรยาที่เหมาะสมให้แก่ยิศฮาค. (เยเนซิศ 24:10-27) ใช่แล้ว พระยะโฮวา “ทรงอวยพร [อับราฮาม] ให้เจริญบริบูรณ์ทุกประการ.” (เยเนซิศ 24:1) ด้วยเหตุนี้ความเชื่อของท่านจึงเข้มแข็งยิ่งและสัมพันธภาพที่ท่านมีกับพระยะโฮวาพระเจ้าก็ใกล้ชิดมากถึงขนาดที่พระยะโฮวาทรงเรียกท่านว่า “มิตรสหายของเรา.”—ยะซายา 41:8; ยาโกโบ 2:23.
13 เราในทุกวันนี้สามารถมีความเชื่อเข้มแข็งเช่นนั้นได้ไหม? ได้. หากเราทำเช่นเดียวกับอับราฮาม คือลองดูพระยะโฮวาด้วยการเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงอวยพระพรเราเช่นกัน และนั่นจะช่วยเสริมความเชื่อของเรา. ตัวอย่างเช่น การตรวจดูคร่าว ๆ ในรายงานการรับใช้ประจำปี 1998 ทำให้เห็นว่าหลายคนได้รับพระพรในแนวทางอันน่าพิศวงเมื่อเขาเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ที่ให้ประกาศข่าวดี.—มาระโก 13:10.
ประวัติบันทึกความเชื่อในปัจจุบัน
14. พระยะโฮวาทรงอวยพระพรการรณรงค์แจกแผ่นพับข่าวราชอาณาจักร หมายเลข 35 อย่างไร?
14 ย้อนไปในเดือนตุลาคมปี 1997 การรณรงค์ทั่วโลกในการแจกแผ่นพับข่าวราชอาณาจักร หมายเลข 35 ประสบผลสำเร็จอย่างโดดเด่น ทั้งนี้ก็ด้วยความมีใจแรงกล้าและความกระตือรือร้นของพยานฯ หลายล้านคน. สิ่งที่เกิดขึ้นที่ประเทศกานานับว่าเป็นตัวอย่างทีเดียว. มีการแจกแผ่นพับนี้ออกไปเกือบ 2.5 ล้านแผ่นในสี่ภาษา และยังผลให้มีเกือบ 2,000 คนขอศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ที่เกาะไซปรัส พยานฯ สองคนที่กำลังแจกแผ่นพับข่าวราชอาณาจักร สังเกตว่ามีนักเทศน์คนหนึ่งตามเขามา. อีกชั่วครู่ต่อมา ทั้งสองจึงเสนอจะให้แผ่นพับข่าวราชอาณาจักร แก่เขา. แต่เขาได้รับมาก่อนแล้วแผ่นหนึ่ง และเขาบอกว่า “ผมรู้สึกประทับใจข่าวสารในแผ่นพับนี้มาก จึงอยากจะขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้จัดเตรียมแผ่นพับนี้.” ที่เดนมาร์ก ได้มีการแจกแผ่นพับข่าวราชอาณาจักร 1.5 ล้านแผ่นพร้อมด้วยผลที่ดี. สตรีผู้หนึ่งที่นั่นซึ่งทำงานด้านประชาสัมพันธ์กล่าวว่า “แผ่นพับนี้มีข่าวสารสำหรับทุกคน. ข้อความอ่านเข้าใจง่าย และกระตุ้นให้อยากจะทราบมากขึ้น. แผ่นพับนี้นับว่าทำได้ตรงเป้าจริง ๆ!”
15. ประสบการณ์อะไรบ้างที่แสดงว่าพระยะโฮวาทรงอวยพระพรความพยายามในการเข้าถึงผู้คนในทุกหนแห่ง?
15 ในปี 1998 ได้มีการพยายามประกาศไม่เฉพาะที่บ้านของผู้คน แต่ทุกหนทุกแห่ง. ที่โกตดิวัวร์ มิชชันนารีสามีภรรยาคู่หนึ่งไปเยี่ยมตามเรือ 322 ลำที่ท่าเรือต่าง ๆ. ทั้งสองจำหน่ายหนังสือได้ 247 เล่ม, วารสาร 2,284 เล่ม, จุลสาร 500 เล่ม, และแผ่นพับหลายร้อยใบ รวมทั้งวีดิทัศน์อีกหลายม้วนเพื่อให้กะลาสีเรือได้ชมขณะออกทะเล. ที่แคนาดา พยานฯ คนหนึ่งได้ไปที่ร้านทำตัวถังรถยนต์แห่งหนึ่ง. เจ้าของร้านแสดงความสนใจ และพี่น้องชายคนนั้นอยู่ที่นั่นสี่ชั่วโมงครึ่ง แม้ว่าเวลาที่ใช้ไปจริง ๆ ในการให้คำพยานนั้นเพียงราว ๆ หนึ่งชั่วโมงในช่วงที่ไม่มีลูกค้า. ในที่สุด ได้มีการนัดศึกษากันเวลา 22:00 น. อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งต้องรอจนถึงเที่ยงคืนจึงจะสามารถเริ่มศึกษากันได้ และกว่าจะจบก็ล่วงไปถึงตีสองของวันใหม่. ตารางเวลาดูเหมือนเป็นเรื่องท้าทาย แต่ว่ามีการบังเกิดผลที่ดีทีเดียว. ชายคนนั้นตัดสินใจปิดร้านในวันอาทิตย์เพื่อจะเข้าร่วมการประชุมได้. ไม่นานนัก เขากับครอบครัวก็ทำความก้าวหน้าอย่างดี.
16. ประสบการณ์อะไรบ้างที่แสดงว่าจุลสารเรียกร้อง และหนังสือความรู้ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในงานประกาศและงานสอน?
16 จุลสารพระผู้สร้างทรงเรียกร้องอะไรจากเรา? และหนังสือความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีพลังอยู่ต่อไปในการประกาศและงานสอน. ที่อิตาลี แม่ชีคนหนึ่งซึ่งคอยรถประจำทางอยู่ได้รับแผ่นพับข่าวราชอาณาจักร แผ่นหนึ่ง. วันต่อมา ได้มีการเข้าไปหาเธออีกครั้งหนึ่งและเธอรับจุลสารเรียกร้อง. หลังจากนั้นในแต่ละวัน เธอได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล 10 ถึง 15 นาที ณ ป้ายรถประจำทาง. หลังจากหนึ่งเดือนครึ่งผ่านไป เธอตัดสินใจลาออกจากสำนักชีและกลับบ้านที่ประเทศกัวเตมาลาเพื่อศึกษาต่อไป. ที่ประเทศมาลาวี ผู้ไปโบสถ์ที่เอาจริงเอาจังคนหนึ่งชื่อโลบีนารู้สึกไม่พอใจเมื่อลูกสาวเธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. ถึงกระนั้น พวกเด็ก ๆ เล่าความจริงของคัมภีร์ไบเบิลให้แม่ของเขาฟังเมื่อมีโอกาส. ในเดือนมิถุนายนปี 1997 โลบีนาเห็นหนังสือความรู้ และรู้สึกสะดุดใจวลีที่ว่า “ความรู้ซึ่งนำ.” เธอตกลงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในเดือนกรกฎาคม. ในเดือนสิงหาคม เธอเข้าร่วมการประชุมภาคและตั้งใจฟังตลอดระเบียบวาระการประชุม. พอถึงสิ้นเดือนนั้น เธอก็ลาออกจากโบสถ์ที่เธอร่วมอยู่และบรรลุคุณวุฒิในฐานะผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา. เธอรับบัพติสมาในเดือนพฤศจิกายนปี 1997.
17, 18. วีดิทัศน์ของสมาคมฯ ปรากฏว่าเป็นประโยชน์อย่างไรในการช่วยผู้คนให้ “มองเห็น” สิ่งฝ่ายวิญญาณ?
17 วีดิทัศน์ของสมาคมฯ ได้ช่วยหลายคนให้ “มองเห็น” สิ่งฝ่ายวิญญาณ. ที่เกาะมอริเชียส ชายคนหนึ่งเลิกไปโบสถ์เนื่องจากความไม่ปรองดองกันที่นั่น. มิชชันนารีคนหนึ่งแสดงให้เขาเห็นเอกภาพในท่ามกลางพยานพระยะโฮวาโดยใช้วีดิทัศน์เป็นเอกภาพโดยการสอนจากพระเจ้า. ชายผู้นี้กล่าวด้วยความประทับใจว่า “พวกคุณพยานพระยะโฮวาอยู่ในอุทยานกันแล้วล่ะ!” เขาตอบตกลงศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ญี่ปุ่นให้สามีที่ไม่เชื่อของเธอดูวีดิทัศน์พยานพระยะโฮวา—องค์การเบื้องหลังชื่อนี้ ซึ่งกระตุ้นเขาให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ. หลังจากได้ชมวีดิทัศน์เป็นเอกภาพโดยการสอนจากพระเจ้า เขาก็ต้องการจะเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง. ชุดวีดิทัศน์ซึ่งมีสามม้วนที่ชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิล—หนังสือแห่งความจริงและคำพยากรณ์ ช่วยเขาให้ใช้หลักการของคัมภีร์ไบเบิลในชีวิตของเขา. ท้ายสุด วีดิทัศน์ที่ชื่อพยานพระยะโฮวายืนหยัดมั่นคงภายใต้การโจมตีของนาซี แสดงให้เขาเห็นว่าพระยะโฮวาทรงเสริมความเข้มแข็งแก่ไพร่พลพระองค์เพื่อต่อต้านการโจมตีของซาตาน. ชายผู้นี้รับบัพติสมาเมื่อเดือนตุลาคมปี 1997.
18 ที่กล่าวไปแล้วเป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างของประสบการณ์ที่มีมากมายในระหว่างปีรับใช้ที่ผ่านไป. ประสบการณ์เหล่านี้แสดงว่าพยานพระยะโฮวามีความเชื่อที่ขันแข็ง และพระยะโฮวากำลังเสริมความเชื่อนั้นให้เข้มแข็งโดยทรงอวยพระพรกิจกรรมของพวกเขา.—ยาโกโบ 2:17.
จงปลูกฝังความเชื่อตั้งแต่วันนี้
19. (ก) เราอยู่ในฐานะที่ดีกว่าอับราฮามอย่างไร? (ข) มีกี่คนร่วมประชุมในการรำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูเพื่อเป็นค่าไถ่เมื่อปีที่แล้ว? (ค) ประเทศใดบ้างมียอดผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ที่นับว่าเด่นในปีที่แล้ว? (โปรดดูแผนภูมิในหน้า 12 ถึง 15.)
19 ทุกวันนี้พวกเราอยู่ในฐานะที่ดีกว่าอับราฮามในหลาย ๆ ทาง. เราทราบว่าพระยะโฮวาทรงทำตามคำสัญญาทุกประการที่ให้ไว้กับอับราฮาม. ลูกหลานของอับราฮามได้รับแผ่นดินคะนาอันเป็นมรดกจริง และพวกเขาได้กลายเป็นชาติใหญ่จริง ๆ. (1 กษัตริย์ 4:20; เฮ็บราย 11:12) นอกจากนั้น ประมาณ 1,971 ปีหลังจากอับราฮามออกจากเมืองฮาราน ลูกหลานคนหนึ่งของท่านคือพระเยซูได้รับบัพติสมาในน้ำโดยโยฮันผู้ให้บัพติสมา แล้วจากนั้นก็รับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยพระยะโฮวาเองเพื่อกลายมาเป็นพระมาซีฮา พงศ์พันธุ์ของอับราฮามในความหมายฝ่ายวิญญาณที่ครบถ้วน. (มัดธาย 3:16, 17; ฆะลาเตีย 3:16) ในวันที่ 14 เดือนไนซาน ปีสากลศักราช 33 พระเยซูทรงเสนอชีวิตพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับคนที่จะแสดงความเชื่อในพระองค์. (มัดธาย 20:28; โยฮัน 3:16) หลายล้านคนในเวลานี้สามารถทำให้ตัวเองได้พระพรโดยทางพระองค์. ปีที่แล้ว มี 13,896,312 คนร่วมชุมนุมกันในวันที่ 14 เดือนไนซาน เพื่อรำลึกถึงการกระทำแห่งความรักที่ยอดเยี่ยมนี้. ช่างเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องเที่ยงธรรมของพระยะโฮวาผู้รักษาคำสัญญาองค์ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!
20, 21. ประชาชนจากทุกชาติได้ทำให้ตัวเองได้พรโดยทางพงศ์พันธุ์ของอับราฮามอย่างไรในสมัยศตวรรษแรก และพวกเขากำลังทำให้ตัวเองได้พรโดยวิธีใดในปัจจุบัน?
20 ในศตวรรษแรกสากลศักราช หลายคนจากนานาชาติ—เริ่มจากยิศราเอลฝ่ายเนื้อหนังก่อน—แสดงความเชื่อในพงศ์พันธุ์ของอับราฮามผู้นี้ และกลายมาเป็นบุตรผู้ถูกเจิมของพระเจ้า ซึ่งประกอบกันเป็นสมาชิกของชาติใหม่ฝ่ายวิญญาณที่ได้ชื่อว่า “ยิศราเอลของพระเจ้า.” (ฆะลาเตีย 3:26-29; 6:16; กิจการ 3:25, 26) พวกเขามีความคาดหวังที่มั่นใจได้ในชีวิตที่เป็นกายวิญญาณอมตะในสวรรค์โดยที่เป็นผู้ร่วมปกครองในราชอาณาจักรของพระเจ้า. เฉพาะ 144,000 คนเท่านั้นที่ได้รับพระพรในแนวทางนี้ และยังเหลืออีกไม่มากที่ยังคงอยู่บนโลก. (วิวรณ์ 5:9, 10; 7:4) ในปีที่แล้ว มี 8,756 คนยืนยันความเชื่อของตนว่าเขาอยู่ในชนกลุ่มนี้โดยรับเครื่องหมายในระหว่างการฉลองอนุสรณ์.
21 พยานพระยะโฮวาในปัจจุบันเกือบทั้งหมดเป็น “ชนฝูงใหญ่” ตามที่มีพยากรณ์ไว้ที่วิวรณ์ 7:9-17 (ล.ม.). เนื่องจากพวกเขาทำให้ตัวเองได้พระพรโดยทางพระเยซู พวกเขาจึงมีความหวังชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. (วิวรณ์ 21:3-5) 5,888,650 คนที่ร่วมงานประกาศในปี 1998 เป็นหลักฐานว่าชนกลุ่มนี้ “ใหญ่” อย่างแท้จริง. นับว่าน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่เห็นว่า ทั้งรัสเซียและยูเครนรายงานยอดผู้ประกาศมากกว่า 100,000 คนเป็นครั้งแรก. ที่นับว่าเด่นด้วยได้แก่รายงานจากสหรัฐ—ยอดผู้ประกาศ 1,040,283 คนในเดือนสิงหาคม! นี่เป็นเพียงสามประเทศในจำนวนทั้งหมด 19 ประเทศที่รายงานยอดผู้ประกาศมากกว่า 100,000 คนในปีที่แล้ว.
ความหวังจะสำเร็จเป็นจริงในอีกไม่ช้า
22, 23. (ก) เหตุใดเราควรทำให้หัวใจของเรามั่นคงในปัจจุบัน? (ข) เราจะสามารถพิสูจน์ตัวเช่นเดียวกับอับราฮามและไม่เป็นเหมือนคนขาดความเชื่อที่เปาโลเอ่ยถึงได้อย่างไร?
22 ผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ได้รับการเตือนให้ระลึกว่าเราอยู่ในช่วงที่คำสัญญาของพระยะโฮวาได้สำเร็จเป็นจริงแล้วมากเพียงใด. ในปี 1914 พระเยซูทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าทางภาคสวรรค์ เริ่มต้นการประทับของพระองค์ด้วยขัตติยอำนาจแห่งราชอาณาจักร. (มัดธาย 24:3; วิวรณ์ 11:15) ใช่ บัดนี้พงศ์พันธุ์ของอับราฮามกำลังปกครองในสวรรค์! ยาโกโบกล่าวแก่คริสเตียนในสมัยท่านดังนี้: “จงอดใจรอ จงทำให้หัวใจของท่านมั่นคงเพราะการประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาใกล้แล้ว.” (ยาโกโบ 5:8, ล.ม.) การประทับดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงอยู่ในขณะนี้! ช่างมีเหตุผลมากมายจริง ๆ ที่ทำให้หัวใจเรามั่นคง!
23 ขอให้เราเสริมความมั่นใจในคำสัญญาของพระเจ้าอยู่เสมอด้วยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและการอธิษฐานอย่างที่เปี่ยมด้วยความหมาย. ขอเราประสบพระพรของพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปขณะที่เราเชื่อฟังพระคำของพระองค์. เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็จะเป็นเช่นเดียวกับอับราฮาม และไม่เป็นเหมือนคนที่ความเชื่ออ่อนลงและตายไปดังที่เปาโลกล่าวถึง. ไม่มีสิ่งใดจะแยกเราไปจากความเชื่ออันบริสุทธิ์ยิ่งของเรา. (ยูดา 20) เราอธิษฐานขอให้เป็นจริงเช่นนี้กับผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระยะโฮวาในระหว่างปีรับใช้ 1999 นี้ และต่อ ๆ ไปจนตลอดอนาคตกาล.
คุณทราบไหม?
▫ เราสามารถฟังพระเจ้าอย่างไรในปัจจุบัน?
▫ มีผลประโยชน์อะไรบ้างในการอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างที่เปี่ยมด้วยความหมาย?
▫ หากเราติดตามการชี้นำของพระยะโฮวาด้วยความเชื่อฟัง ความเชื่อของเราจะได้รับการเสริมให้เข้มแข็งอย่างไร?
▫ แง่มุมใดบ้างในรายงานประจำปี (หน้า 12 ถึง 15) ที่คุณพบว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ?
[แผนภูมิ หน้า 12-15]
รายงานเกี่ยวกับปีรับใช้ 1998 ของพยานพระยะโฮวาตลอดทั่วโลก
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
[รูปภาพหน้า 16]
หากเราฟังพระคำของพระยะโฮวา เราก็จะได้รับการเสริมให้เชื่อมั่นในคำสัญญาของพระองค์อยู่เสมอ
[รูปภาพหน้า 18]
ความเชื่อของเราได้รับการเสริมให้เข้มแข็งเมื่อเราร่วมในงานรับใช้