จงสร้างสันติสุข
“ให้เรามุ่งทำสิ่งที่สร้างสันติสุข.”—โรม 14:19
1, 2. เหตุใดพยานพระยะโฮวาจึงมีสันติสุขในหมู่พวกเขา?
สันติสุขแท้หาได้ยากในโลกทุกวันนี้. แม้แต่ผู้คนในเชื้อชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกันก็มักแตกแยกกันทางศาสนา การเมือง และสังคม. ในทางตรงกันข้าม ประชาชนของพระยะโฮวามีเอกภาพแม้ว่าพวกเขามาจาก “ทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกชนชาติ และทุกภาษา.”—วิ. 7:9
2 การที่พวกเรามีสันติสุขไม่ใช่เรื่องบังเอิญ. เหตุผลหลักที่ทำให้เป็นอย่างนั้นก็เนื่องจากเรา “มีสันติสุขกับพระเจ้า” โดยอาศัยความเชื่อในพระบุตร ซึ่งพระโลหิตของพระองค์ปิดคลุมบาปของเรา. (โรม 5:1; เอเฟ. 1:7) นอกจากนั้น พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์ และผลอย่างหนึ่งของพระวิญญาณก็คือสันติสุข. (กลา. 5:22) อีกเหตุผลหนึ่งที่เรามีเอกภาพอันเปี่ยมด้วยสันติสุขก็คือ เรา “ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลก.” (โย. 15:19) แทนที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในประเด็นที่ขัดแย้งทางการเมือง เรารักษาความเป็นกลาง. เพราะเราได้ ‘ตีดาบเป็นผาลไถนา’ เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ.—ยซา. 2:4
3. สันติสุขที่เรามีทำให้อะไรเป็นไปได้ และเราจะพิจารณาอะไรในบทความนี้?
3 การมีสันติสุขไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การไม่ทำร้ายพี่น้องของเราเท่านั้น. ถึงแม้ว่าประชาคมของพยานพระยะโฮวาอาจประกอบด้วยบุคคลที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันหลายกลุ่ม แต่พวกเรา “รักกัน.” (โย. 15:17) สันติสุขที่เรามีทำให้เราสามารถ “ทำดีต่อทุกคน โดยเฉพาะต่อผู้ที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับเรา.” (กลา. 6:10) เราควรเห็นคุณค่าและปกป้องอุทยานฝ่ายวิญญาณอันเปี่ยมด้วยสันติสุขที่เรามี. ด้วยเหตุนั้น ขอให้เราตรวจสอบวิธีที่จะสร้างสันติในประชาคม.
เมื่อเราพลาดพลั้ง
4. เราอาจทำอะไรได้เพื่อสร้างสันติเมื่อเราทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง?
4 สาวกยาโกโบเขียนว่า “เราต่างพลาดพลั้งกันหลายครั้ง ถ้าผู้ใดไม่พลาดพลั้งทางวาจาเลย ผู้นั้นก็เป็นคนสมบูรณ์.” (ยโก. 3:2) ด้วยเหตุนั้น ความขัดแย้งและการเข้าใจผิดระหว่างเพื่อนร่วมความเชื่ออาจเกิดขึ้นได้. (ฟิลิป. 4:2, 3) อย่างไรก็ตาม ปัญหาระหว่างบุคคลสามารถแก้ไขได้โดยไม่ส่งผลต่อสันติสุขของประชาคม. ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาคำแนะนำที่เราควรทำตามถ้าเรารู้ว่าเราอาจทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง.—อ่านมัดธาย 5:23, 24
5. เราอาจสร้างสันติได้อย่างไรเมื่อมีใครทำผิดต่อเรา?
5 จะว่าอย่างไรถ้ามีคนทำผิดต่อเราในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ? เราควรคาดหมายให้ผู้ทำผิดมาหาเราและขอโทษเราไหม? 1 โครินท์ 13:5 กล่าวว่า “[ความรัก] ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจ.” เมื่อมีคนทำให้เราขุ่นเคือง เราสร้างสันติโดยให้อภัยและลืมเสีย กล่าวคือ “ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจ.” (อ่านโกโลซาย 3:13) การทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันสามารถจัดการได้ดีที่สุดด้วยวิธีนี้ เพราะการทำอย่างนี้ส่งเสริมให้มีสายสัมพันธ์อันสงบสุขกับเพื่อนผู้นมัสการและทำให้เรามีใจสงบ. สุภาษิตข้อหนึ่งกล่าวไว้อย่างฉลาดสุขุมว่า “การไม่ถือโทษนั้นก็เป็นมงคลแก่เขา.”—สุภา. 19:11
6. เราควรทำอะไรถ้ารู้สึกว่ายากมากที่จะมองข้ามความผิดที่คนอื่นทำต่อเรา?
6 จะว่าอย่างไรถ้าเรารู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากที่เราจะมองข้ามการกระทำผิดบางอย่าง? การเล่าต่อเรื่องนั้นให้ใครต่อใครฟังไม่ใช่แนวทางแห่งสติปัญญาอย่างแน่นอน. การซุบซิบดังกล่าวมีแต่จะทำลายสันติสุขของประชาคม. เราควรทำอะไรเพื่อแก้ไขเรื่องนั้นอย่างสันติ? มัดธาย 18:15 กล่าวว่า “ถ้าพี่น้องของเจ้าทำบาป จงไปแจ้งความผิดนั้นกับเขาสองต่อสอง ถ้าเขาฟังเจ้า เจ้าก็ได้พี่น้องของเจ้าคืนมา.” แม้ว่ามัดธาย 18:15-17 เกี่ยวข้องกับกรณีที่มีการทำบาปร้ายแรง แต่เราควรเข้าหาผู้ทำผิดเป็นส่วนตัวอย่างกรุณาและพยายามฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันสงบสุขกับเขาโดยมีน้ำใจตามหลักการที่กล่าวไว้ในข้อ 15.a
7. ทำไมเราควรรีบแก้ไขข้อขัดแย้ง?
7 อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ถ้าจะโกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก ทั้งอย่าเปิดช่องให้พญามาร.” (เอเฟ. 4:26, 27) พระเยซูตรัสว่า “จงรีบประนีประนอมกับผู้ที่กล่าวหาเจ้าขณะเจ้าไปที่ศาลกับเขา.” (มัด. 5:25) ดังนั้น การสร้างสันติจึงเรียกร้องให้จัดการข้อขัดแย้งโดยเร็ว. เพราะเหตุใด? เนื่องจากการทำเช่นนั้นป้องกันไม่ให้ข้อขัดแย้งลุกลามเหมือนกับแผลติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา. ขออย่าให้ความหยิ่ง ความอิจฉา หรือการให้ความสำคัญมากเกินไปกับสิ่งฝ่ายวัตถุกีดกันเราไว้จากการแก้ไขข้อขัดแย้งโดยเร็วหลังจากที่เกิดขึ้น.—ยโก. 4:1-6
เมื่อข้อขัดแย้งเกี่ยวข้องกับหลายคน
8, 9. (ก) มีทัศนะที่ต่างกันอย่างไรในประชาคมที่กรุงโรมในศตวรรษแรก? (ข) เปาโลให้คำแนะนำอะไรแก่คริสเตียนในกรุงโรมเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาถกเถียงกัน?
8 บางครั้งข้อขัดแย้งในประชาคมเกี่ยวข้องไม่เพียงแค่สองคน แต่เกี่ยวข้องกับหลายคน. นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสเตียนในกรุงโรมที่อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายที่มีขึ้นโดยการดลใจไปถึงพวกเขา. มีการถกเถียงกันในหมู่คริสเตียนชาวยิวกับคริสเตียนชาวต่างชาติ. ดูเหมือนว่าบางคนในประชาคมนี้ดูถูกคนที่สติรู้สึกผิดชอบอ่อนแอหรือเข้มงวดเกินไป. พี่น้องเหล่านี้ตัดสินคนอื่น ๆ อย่างไม่เหมาะสมในเรื่องที่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องส่วนตัว. เปาโลให้คำแนะนำอะไรแก่ประชาคมนี้?—โรม 14:1-6
9 เปาโลแนะนำพี่น้องทั้งสองฝ่ายที่ถกเถียงกัน. ท่านแนะนำคนที่เข้าใจอย่างถูกต้องว่าคริสเตียนไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติของโมเซอีกต่อไป โดยบอกว่าพวกเขาไม่ควรดูถูกพี่น้องคนอื่น. (โรม 14:2, 10) ทัศนคติเช่นนั้นอาจทำให้พี่น้องบางคนสะดุด เพราะพวกเขายังคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจที่จะรับประทานสิ่งที่พระบัญญัติห้าม. เปาโลเตือนพวกเขาว่า “จงเลิกทำลายการงานของพระเจ้าเพียงเพราะเห็นแก่อาหาร . . . เป็นการดีถ้าจะไม่กินเนื้อหรือดื่มเหล้าองุ่นหรือทำสิ่งใดที่ทำให้พี่น้องสะดุด.” (โรม 14:14, 15, 20, 21, เชิงอรรถ) ในทางตรงกันข้าม เปาโลแนะนำคริสเตียนที่มีสติรู้สึกผิดชอบที่เข้มงวดกว่าว่าอย่าตัดสินพี่น้องที่มีทัศนะที่เปิดกว้างกว่าว่าพวกเขาไม่ซื่อสัตย์. (โรม 14:13) ท่านบอก “ทุกคนว่า อย่าคิดถึงตัวเองเกินกว่าที่จำเป็น.” (โรม 12:3) เมื่อให้คำแนะนำแก่ทั้งสองฝ่ายที่ถกเถียงกันในเรื่องนี้ เปาโลเขียนว่า “ดังนั้น ให้เรามุ่งทำสิ่งที่สร้างสันติสุขและสิ่งที่ส่งเสริมกันให้เจริญ.”—โรม 14:19
10. เช่นเดียวกับประชาคมในกรุงโรมศตวรรษแรก เราจำเป็นต้องทำอะไรเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งในทุกวันนี้?
10 เราแน่ใจได้ว่าประชาคมในกรุงโรมตอบรับคำแนะนำของเปาโลเป็นอย่างดีและแก้ไขตามที่จำเป็น. ในสมัยนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นในหมู่เพื่อนคริสเตียน เราควรแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยความกรุณาโดยขอคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์และทำตาม. เช่นเดียวกับพี่น้องในกรุงโรม ทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันในทุกวันนี้อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขเพื่อ “รักษาสันติสุข.”—มโก. 9:50
เมื่อมีคนขอให้ช่วย
11. ผู้ปกครองควรทำอะไรถ้าพี่น้องต้องการคุยกับเขาเกี่ยวกับข้อขัดแย้งที่มีกับเพื่อนร่วมความเชื่อ?
11 จะว่าอย่างไรถ้าคริสเตียนต้องการคุยกับผู้ปกครองเกี่ยวกับปัญหาที่เขามีกับญาติหรือเพื่อนร่วมความเชื่อ? สุภาษิต 21:13 กล่าวว่า “คนที่ปิดหูของตนไว้ไม่ฟังคำร้องทุกข์ของคนจน เขาเองคงจะต้องร้องทุกข์แต่จะไม่มีใครฟังเขา.” คงไม่มีผู้ปกครองคนใด ‘ปิดหูของเขา.’ อย่างไรก็ตาม สุภาษิตอีกข้อหนึ่งเตือนว่า “ผู้ที่ให้การก่อนดูเหมือนว่าเป็นฝ่ายถูก, แต่คู่ความมาชี้ให้เห็นพิรุธของเขา.” (สุภา. 18:17) ผู้ปกครองควรฟังอย่างกรุณา แต่เขาต้องระวังที่จะไม่เข้าข้างฝ่ายที่มาฟ้องความผิด. หลังจากฟังเรื่องแล้ว เขาน่าจะถามว่าคนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำได้ไปคุยกับคนที่ทำให้เขาขุ่นเคืองแล้วหรือยัง. นอกจากนั้น ผู้ปกครองอาจทบทวนขั้นตอนต่าง ๆ ตามหลักพระคัมภีร์ว่าเขาควรทำอะไรเพื่อสร้างสันติ.
12. จงยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอันตรายของการรีบร้อนดำเนินการหลังจากที่ได้ฟังปัญหา.
12 ตัวอย่างสามเรื่องจากคัมภีร์ไบเบิลเน้นให้เห็นอันตรายของการรีบลงมือทำหลังจากที่ฟังความเพียงฝ่ายเดียว. โพติฟาเชื่อเรื่องที่ภรรยาเล่าว่าโยเซฟพยายามข่มขืนนาง. ด้วยความโกรธ โพติฟาจับโยเซฟขังคุกอย่างไม่เป็นธรรม. (เย. 39:19, 20) กษัตริย์ดาวิดเชื่อซีบา ที่บอกว่ามะฟีโบเซ็ธ นายของเขา เข้าข้างศัตรูของดาวิด. ดาวิดแสดงปฏิกิริยาอย่างหุนหันพลันแล่นโดยบอกว่า “ดูเถิดทรัพย์ของมะฟีโบเซ็ธตกอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น.” (2 ซามู. 16:4; 19:25-27) มีผู้แจ้งแก่กษัตริย์อะระธาสัศธาว่าชาวยิวสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเลมขึ้นใหม่และกำลังจะก่อกบฏต่อจักรวรรดิเปอร์เซีย. กษัตริย์เชื่อรายงานเท็จนี้และสั่งให้ระงับการบูรณะฟื้นฟูทั้งหมดที่กรุงเยรูซาเลม. ผลก็คือ การบูรณะพระวิหารของพระเจ้าที่ชาวยิวทำจึงต้องหยุดเสีย. (เอษรา 4:11-13, 23, 24) คริสเตียนผู้ปกครองควรทำตามคำแนะนำของเปาโลที่ให้แก่ติโมเธียวว่าเขาไม่ควรรีบร้อนในการตัดสินใจ.—อ่าน 1 ติโมเธียว 5:21, 22
13, 14. (ก) เราทุกคนมีข้อจำกัดอะไรในเรื่องข้อขัดแย้งของคนอื่น? (ข) อะไรช่วยผู้ปกครองให้ตัดสินเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนร่วมความเชื่อได้อย่างถูกต้อง?
13 แม้แต่เมื่อดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันเปิดเผยเรื่องนั้นแล้ว นับว่าสำคัญที่จะตระหนักว่า “ถ้ามีใครคิดว่าเขามีความรู้ในเรื่องใด เขาก็ยังไม่รู้เรื่องนั้นอย่างที่ควรจะรู้.” (1 โค. 8:2) เรารู้รายละเอียดทั้งหมดทุกอย่างที่ทำให้เกิดการขัดแย้งกันจริง ๆ ไหม? เราเข้าใจภูมิหลังของแต่ละคนที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ไหม? เมื่อผู้ปกครองถูกขอให้ช่วยตัดสิน นับว่าสำคัญสักเพียงไรที่เขาต้องระวังเพื่อจะไม่ถูกหลอกโดยเรื่องเท็จ กลอุบาย หรือข่าวลือ! พระเยซูคริสต์ ผู้พิพากษาที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม. พระองค์ไม่ “วินิจฉัยตามที่ตาของท่านเห็นนั้น, และท่านจะไม่ตัดสินตามที่หูของท่านได้ยินนั้น.” (ยซา. 11:3, 4) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระเยซูได้รับการชี้นำจากพระวิญญาณของพระยะโฮวา. คริสเตียนผู้ปกครองได้รับประโยชน์จากการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน.
14 ก่อนที่ผู้ปกครองจะตัดสินเกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมความเชื่อ เขาต้องอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระยะโฮวาและพึ่งการชี้นำจากพระวิญญาณโดยค้นดูพระคำของพระเจ้าและสรรพหนังสือที่จัดพิมพ์โดยชนชั้นทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.—มัด. 24:45
เราต้องรักษาสันติสุขกับพระเจ้า
15. เมื่อไรที่เราควรแจ้งการทำผิดร้ายแรงที่เรารู้แก่ผู้ปกครอง?
15 ในฐานะคริสเตียน เราได้รับการกระตุ้นให้สร้างสันติ. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลยังกล่าวด้วยว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น ประการแรก บริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้มีสันติ.” (ยโก. 3:17) การรักษาสันติมีความสำคัญรองจากความบริสุทธิ์ ซึ่งได้แก่การรักษามาตรฐานศีลธรรมที่บริสุทธิ์สะอาดของพระเจ้าและการบรรลุข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของพระองค์. ถ้าคริสเตียนรู้ว่าเพื่อนร่วมความเชื่อคนหนึ่งทำผิดร้ายแรง เขาควรสนับสนุนพี่น้องคนนั้นให้สารภาพความผิดกับผู้ปกครอง. (1 โค. 6:9, 10; ยโก. 5:14-16) ถ้าคนที่ทำผิดไม่สารภาพ คริสเตียนที่รู้เรื่องนั้นควรแจ้งผู้ปกครอง. ถ้าเขาไม่แจ้งเรื่องนั้นเพราะต้องการจะรักษาสันติกับคนที่ทำผิด เขาเองจะมีส่วนในการทำผิดนั้นด้วย.—อ่านเลวีติโก 5:1;b สุภา. 29:24
16. เราเรียนอะไรได้จากเหตุการณ์ที่เยฮูเผชิญหน้ากับกษัตริย์ยะโฮราม?
16 บันทึกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเยฮูแสดงให้เห็นว่าความชอบธรรมของพระเจ้าสำคัญกว่าการรักษาสันติสุข. พระเจ้าทรงใช้เยฮูให้สำเร็จโทษตามการพิพากษาของพระองค์ต่อเชื้อวงศ์กษัตริย์อาฮาบ. กษัตริย์ยะโฮรามที่ชั่วช้า ราชบุตรของอาฮาบและอีซาเบล ทรงรถม้าไปพบเยฮูแล้วพูดว่า “เยฮู มาอย่างสันติหรือ?” เยฮูตอบอย่างไร? ท่านตอบว่า “จะสันติได้อย่างไร? เมื่อการเล่นชู้และวิทยาคมของเยเซเบล [อีซาเบล] มารดาของท่านยังมีอยู่มากเช่นนี้.” (2 กษัต. 9:22, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน) เมื่อกล่าวดังนั้นแล้ว เยฮูก็ชักธนูออกมาและยิงยะโฮรามทะลุหัวใจ. เช่นเดียวกับที่เยฮูลงมือปฏิบัติการ ผู้ปกครองต้องไม่อะลุ่มอล่วยให้แก่คนที่ประพฤติผิดอย่างจงใจและไม่กลับใจเพื่อจะรักษาสันติสุขไว้. พวกเขาขับไล่คนทำผิดที่ไม่กลับใจเพื่อประชาคมจะมีสันติสุขกับพระเจ้าต่อ ๆ ไปได้.—1 โค. 5:1, 2, 11-13
17. คริสเตียนทุกคนมีบทบาทอะไรในการสร้างสันติ?
17 ข้อพิพาทระหว่างพี่น้องส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำผิดร้ายแรงที่ต้องมีการพิจารณาตัดสินความ. ด้วยเหตุนั้น นับว่าดีกว่ามากที่จะแสดงความรักโดยการมองข้ามความผิดของคนอื่น. พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้ที่ปกปิดความผิดของคนอื่นไว้เป็นผู้บำรุงความรัก; แต่ผู้ที่พูดซ้ำซากเรื่องความผิดของคนอื่นก็ทำลายมิตรสนิทให้แตกแยกกัน.” (สุภา. 17:9) การทำตามถ้อยคำดังกล่าวจะช่วยพวกเราทุกคนให้รักษาสันติสุขในประชาคมและรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวา.—มัด. 6:14, 15
การสร้างสันติทำให้ได้รับพระพร
18, 19. การสร้างสันติจะก่อผลเช่นไร?
18 การที่เรา “มุ่งทำสิ่งที่สร้างสันติสุข” ทำให้เราได้รับพระพรมากมาย. เรามีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวาเมื่อเราเลียนแบบวิธีที่พระองค์ปฏิบัติ และเราส่งเสริมเอกภาพอันเปี่ยมด้วยสันติสุขในอุทยานฝ่ายวิญญาณของเรา. การสร้างสันติในประชาคมยังช่วยเราด้วยให้มองเห็นวิธีที่เราสามารถสร้างสันติกับคนที่เราประกาศ “ข่าวดีแห่งสันติสุข.” (เอเฟ. 6:15) เราถูกเตรียมให้พร้อมยิ่งขึ้นที่จะ “สุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน . . . รู้จักอดกลั้นในสภาพการณ์ที่ไม่ดี.”—2 ติโม. 2:24
19 นอกจากนั้น อย่าลืมว่า “ทั้งคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรมจะกลับเป็นขึ้นจากตาย.” (กิจ. 24:15) เมื่อความหวังนั้นเป็นจริงบนแผ่นดินโลก หลายล้านคนที่มีภูมิหลัง อุปนิสัย บุคลิกภาพที่แตกต่างกัน จะถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และจะเป็นอย่างนั้นย้อนไปจนถึงสมัยที่มี “การวางรากของโลก”! (ลูกา 11:50, 51) การสอนคนที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายเกี่ยวกับแนวทางของสันติสุขจะเป็นสิทธิเศษอันใหญ่หลวงจริง ๆ. การอบรมที่เราได้รับในตอนนี้ในฐานะผู้สร้างสันติจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงสำหรับเราในตอนนั้นอย่างแท้จริง!
[เชิงอรรถ]
a สำหรับคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์เกี่ยวกับบาปร้ายแรง เช่น การใส่ร้ายและการฉ้อโกง โปรดดูหอสังเกตการณ์ 15 ตุลาคม 1999 หน้า 17-22.
b เลวีติโก 5:1 (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน): “ถ้าผู้ใดทำบาป คือได้ยินคำประกาศเรียกพยาน โดยที่เขารู้เห็นหรือรู้เรื่องในเหตุการณ์ที่เป็นคดี แต่เขาไม่ยอมให้การ เขาต้องรับโทษความผิดของเขา.”
คุณได้เรียนรู้อะไร?
• เราอาจสร้างสันติอย่างไรถ้าเราทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง?
• เราควรทำอะไรเพื่อสร้างสันติเมื่อมีคนทำผิดต่อเรา?
• เหตุใดจึงไม่ฉลาดที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีปัญหากัน?
• เหตุใดจึงสำคัญกว่าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องแทนที่จะพยายามรักษาสันติกับคนที่ทำผิด?
[ภาพหน้า 29]
พระยะโฮวาทรงรักคนที่ให้อภัยผู้อื่นอย่างไม่อั้น