ทำไมจึงรายงานเรื่องที่ไม่ดี?
“ผู้ใดเปิดเผยเรื่องราวก็ก้าวไปเป็นศัตรูกับผู้คน” เป็นภาษิตของบางคนในแอฟริกาตะวันตก. นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับโอลู เมื่อเขากล่าวหาพี่ชายว่าร่วมประเวณีกับน้องสาวของเขา. “ไอ้คนโกหก!” พี่ชายเขาตะโกนลั่น แล้วก็ตีโอลูอย่างรุนแรง ไล่ออกจากบ้าน และเผาเสื้อผ้าทั้งหมดของโอลู. ชาวบ้านเข้าข้างพี่ชาย. ในเมื่อไม่มีใครในหมู่บ้านต้อนรับเขาอีกต่อไป โอลูจึงต้องจากไป. ต่อเมื่อเริ่มสังเกตว่าน้องสาวของพี่น้องคู่นี้ตั้งครรภ์ เพื่อนบ้านจึงตระหนักว่าโอลูพูดความจริง. พี่ชายสารภาพผิด และโอลูได้กลับสู่ฐานะที่ได้รับการยอมรับเหมือนเดิม. เรื่องอาจกลับกลายเป็นคนละเรื่องเลยก็ได้. โอลูอาจถึงกับถูกฆ่าเลยทีเดียว.
เห็นได้ชัด คนที่ไม่มีความรักต่อพระยะโฮวามักจะไม่หยั่งรู้ค่าต่อการเผยให้เห็นข้อผิดพลาดของตน. แนวโน้มของมนุษย์ผิดบาปนั้นต่อต้านการว่ากล่าวแก้ไขและไม่พอใจคนที่ให้การว่ากล่าว. (เทียบกับโยฮัน 7:7.) ไม่แปลกที่หลายคนเงียบเป็นเป่าสากเมื่อถึงคราวที่ควรเปิดเผยข้อผิดพลาดของผู้อื่นต่อคนที่มีอำนาจจะแก้ไขได้.
การสำนึกถึงคุณค่าของการว่ากล่าว
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางไพร่พลพระยะโฮวานั้นมีเจตคติที่ต่างออกไปในเรื่องการว่ากล่าว. ชายหญิงที่เลื่อมใสในพระเจ้าหยั่งรู้ค่าอย่างยิ่งต่อการจัดเตรียมที่พระยะโฮวาได้ช่วยผู้ทำผิดในประชาคมคริสเตียน. พวกเขายอมรับเอาการตีสอนเช่นนั้นว่าเป็นการแสดงความรักกรุณาของพระองค์.—เฮ็บราย 12:6-11.
เรื่องนี้อาจเห็นได้จากเหตุการณ์ในชีวิตของกษัตริย์ดาวิด. แม้ว่าท่านเป็นคนชอบธรรมตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านพลาดพลั้งทำผิดร้ายแรง. ทีแรก ท่านประพฤติผิดด้วยการเล่นชู้. ต่อมา ด้วยความพยายามจะปกปิดความผิด ท่านได้จัดการให้สามีของหญิงนั้นถูกฆ่า. แต่พระยะโฮวาทรงเปิดเผยบาปของดาวิดให้ผู้พยากรณ์นาธานทราบ ผู้ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ดาวิดและทูลเรื่องนี้อย่างกล้าหาญ. โดยการใช้อุทาหรณ์อันมีพลัง นาธานถามดาวิดว่าควรทำเช่นไรกับชายร่ำรวยคนหนึ่งซึ่งมีแกะมากมาย แต่ได้จับแกะตัวเดียวที่แสนรักของชายยากจนเอามาฆ่าเพื่อเลี้ยงเพื่อน. กษัตริย์ดาวิดซึ่งในอดีตเคยเป็นคนเลี้ยงแกะรู้สึกขุ่นเคืองและโกรธ. ท่านตรัสว่า “ผู้ทำการเช่นนี้ควรจะตายแน่.” ถึงตรงนี้นาธานก็ชี้ว่าอุทาหรณ์นั้นเกี่ยวข้องกับตัวดาวิดเอง โดยกล่าวว่า “ท่านเองเป็นคนนั้นแหละ.”—2 ซามูเอล 12:1-7.
ดาวิดไม่พิโรธต่อนาธาน; ท่านไม่ได้พยายามปกป้องตัวเองหรือหาเรื่องตอกกลับ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คำตำหนิจากนาธานกระตุ้นสติรู้สึกผิดชอบของท่านอย่างมาก. ด้วยความแปลบปลาบใจ ดาวิดสารภาพดังนี้: “เราทำผิดเฉพาะพระยะโฮวาแล้ว.”—2 ซามูเอล 12:13.
การเปิดโปงของนาธานในเรื่องบาปของดาวิด และการว่ากล่าวจากพระเจ้าที่ตามมานั้นก่อผลดี. แม้ว่าดาวิดไม่ได้รับการปกป้องจากผลแห่งการผิดของตน แต่ท่านกลับใจและกลับมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระยะโฮวาอีก. ดาวิดรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการว่ากล่าวเช่นนั้น? ท่านเขียนว่า “ขอให้คนชอบธรรมเฆี่ยนตีข้าพเจ้า, จะเป็นคุณ; และให้เขาตักเตือนข้าพเจ้า, จะเป็นเหมือนน้ำมันชโลมศีรษะของข้าพเจ้า; อย่าให้ศีรษะของข้าพเจ้าขัดขืนเลย.”—บทเพลงสรรเสริญ 141:5.
ในสมัยของเราก็เช่นกัน ผู้รับใช้พระยะโฮวาอาจตกเข้าสู่การกระทำผิดร้ายแรง แม้แต่คนที่ได้รับใช้อย่างซื่อสัตย์มาเนิ่นนานปีก็เหมือนกัน. ด้วยการยอมรับว่าผู้ปกครองสามารถช่วยได้ ผู้ทำผิดส่วนใหญ่เป็นฝ่ายเข้าพบเหล่าผู้ปกครองเพื่อได้รับการช่วยเหลือ. (ยาโกโบ 5:13-16) แต่บางครั้งผู้ทำผิดอาจพยายามปกปิดบาปของเขา ดังที่กษัตริย์ดาวิดทำ. เราควรทำเช่นไรหากเราทราบเรื่องการทำผิดร้ายแรงในประชาคม?
เป็นหน้าที่รับผิดชอบของใคร?
เมื่อผู้ปกครองทราบเรื่องการทำผิดร้ายแรง พวกเขาจะเข้าพบคนที่พัวพันในความผิดนั้นเพื่อให้ความช่วยเหลือและการแก้ไขที่จำเป็น. เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ปกครองที่จะตัดสินความคนทำผิดซึ่งอยู่ในประชาคมคริสเตียน. ด้วยการคอยจับตาดูสภาพฝ่ายวิญญาณของประชาคมอย่างระแวดระวัง พวกเขาช่วยและเตือนสติใครก็ตามที่ก้าวไปในทางที่ไม่สุขุมหรือทำผิด.—1 โกรินโธ 5:12, 13; 2 ติโมเธียว 4:2; 1 เปโตร 5:1, 2.
แต่จะว่าอย่างไรหากคุณซึ่งไม่ได้เป็นผู้ปกครองทราบเรื่องการทำผิดร้ายแรงของคริสเตียนอีกคนหนึ่ง? มีแนวชี้นำซึ่งพบในพระบัญญัติของพระยะโฮวาที่ประทานแก่ชาติยิศราเอล. พระบัญญัติระบุว่า หากใครรู้เห็นการกระทำที่ออกหาก, การก่อความไม่สงบ, การฆ่าคน, หรืออาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆ เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขาที่ต้องรายงานเรื่องนั้นและเป็นพยานในสิ่งที่เขารู้เห็น. เลวีติโก 5:1 (ล.ม.) บอกดังนี้: “บัดนี้ ในกรณีที่จิตวิญญาณหนึ่งทำบาปในประการที่เขาได้ยินคนแช่งด่าต่อหน้าธารกำนัล และเขาเป็นพยานหรือเขาได้เห็น หรือได้ทราบเรื่องนั้น ถ้าเขาไม่รายงานเรื่องนั้น แล้วเขาต้องให้การสำหรับความผิดของเขา.”—เทียบกับพระบัญญัติ 13:6-8; เอศเธระ 6:2; สุภาษิต 29:24.
แม้ไม่อยู่ใต้บัญญัติโมเซ คริสเตียนในทุกวันนี้สามารถได้รับการชี้นำจากหลักการที่อยู่เบื้องหลังบัญญัติ. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7, 8) ดังนั้น หากคุณรู้เห็นการกระทำผิดร้ายแรงของเพื่อนคริสเตียน คุณควรทำอะไร?
การจัดการเรื่องราว
ก่อนอื่น สำคัญที่จะต้องมีเหตุผลหนักแน่นที่เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริง ๆ. บุรุษผู้ฉลาดสุขุมกล่าวดังนี้: “อย่าอ้างพยานปรักปรำเพื่อนบ้านโดยไม่มีหลักฐาน, และอย่าให้ริมฝีปากพูดหลอกลวง.”—สุภาษิต 24:28.
คุณอาจตัดสินใจไปพบผู้ปกครองโดยตรง. ไม่ผิดที่จะทำดังนั้น. อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วแนวทางที่เปี่ยมด้วยความรักมากที่สุดคือเข้าพบคนที่พัวพันกับความผิดนั้น. บางทีข้อเท็จจริงไม่เป็นอย่างที่ดูเหมือนว่าเป็น. หรือบางทีผู้ปกครองกำลังจัดการเรื่องนั้นอยู่แล้ว. คุยกับคนนั้นอย่างใจเย็น ๆ. หากยังคงมีเหตุผลจะเชื่อได้ว่าได้มีการทำผิดร้ายแรงจริง สนับสนุนให้คนนั้นเข้าพบผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ และอธิบายถึงผลดีของการทำเช่นนั้น. อย่าพูดเรื่องนั้นกับคนอื่น เพราะนั่นจะกลายเป็นการซุบซิบนินทา.
หากคนนั้นไม่รายงานต่อผู้ปกครองภายในเวลาอันควร คุณควรเป็นฝ่ายรายงาน. ถึงตอนนี้ผู้ปกครองหนึ่งหรือสองคนจะพิจารณาเรื่องนั้นกับผู้ถูกกล่าวหา. ผู้ปกครองจำต้อง “ค้นคว้าสืบความไถ่ถามให้ถี่ถ้วน” เพื่อดูว่าได้มีการทำผิดจริงหรือไม่. หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาจะจัดการกับกรณีนั้นตามแนวแนะในพระคัมภีร์.—พระบัญญัติ 13:12-14.
อย่างน้อยต้องมีพยานสองปากเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทำผิด. (โยฮัน 8:17; เฮ็บราย 10:28) ถ้าคนนั้นปฏิเสธข้อกล่าวหาและมีคำให้การของคุณเพียงปากเดียว ก็จะปล่อยเรื่องนั้นไว้กับพระหัตถ์ของพระยะโฮวา. (1 ติโมเธียว 5:19, 24, 25) ที่ทำเช่นนี้เนื่องจากเราทราบว่า ทุกสิ่ง “ปรากฏแจ้ง” ต่อพระยะโฮวา และหากคนนั้นทำผิด ในที่สุดบาปของเขาจะ “ติดตามถึงตัว” เขา.—เฮ็บราย 4:13; อาฤธโม 32:23.
แต่สมมุติว่าคนนั้นปฏิเสธข้อกล่าวหา และคุณเป็นพยานเพียงคนเดียวที่กล่าวหาเขา. ตอนนี้คุณอาจถูกฟ้องกลับและต้องรับผิดฐานใส่ร้ายป้ายสีไหม? ไม่ เว้นแต่คุณได้ไปซุบซิบนินทากับคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น. ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทด้วยวาจาที่จะรายงานต่อคนที่มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแลและแก้ไขเรื่องราวในเรื่องซึ่งมีผลต่อประชาคม. ที่จริง เป็นการกระทำซึ่งสอดคล้องกับความปรารถนาของเราที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องและภักดีเสมอ.—เทียบกับลูกา 1:74, 75.
การธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในประชาคม
เหตุผลหนึ่งของการรายงานการทำผิดคือ ช่วยรักษาความสะอาดของประชาคมเอาไว้. พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าที่สะอาดและบริสุทธิ์. พระองค์เรียกร้องทุกคนที่นมัสการพระองค์ให้สะอาดทางฝ่ายวิญญาณและทางศีลธรรม. พระคำของพระองค์ที่ได้รับการดลใจเตือนเราดังนี้: “ในฐานะเป็นบุตรที่เชื่อฟัง จงเลิกจากการถูกนวดปั้นตามความปรารถนาที่ท่านทั้งหลายมีแต่ก่อนในตอนที่ท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์. แต่ประสานกับพระองค์ผู้บริสุทธิ์ผู้ซึ่งได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็เช่นกันจงเป็นคนบริสุทธิ์ในการประพฤติทั้งสิ้น ของท่าน เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘ท่านทั้งหลายต้องเป็นคนบริสุทธิ์เพราะเราเป็นผู้บริสุทธิ์.’” (1 เปโตร 1:14-16, ล.ม.) ปัจเจกบุคคลที่ประพฤติอย่างไม่สะอาดหรือทำผิดอาจนำมลทินและความไม่พอพระทัยของพระยะโฮวามาสู่ทั้งประชาคม เว้นแต่มีการแก้ไขและขจัดคนเช่นนั้นออกไป.—เทียบกับยะโฮซูอะบท 7.
จดหมายของอัครสาวกเปาโลถึงประชาคมคริสเตียนที่โกรินโธแสดงถึงวิธีที่การรายงานการทำผิดยังผลเป็นการชำระไพร่พลพระเจ้าที่นั่นให้สะอาด. ในจดหมายฉบับแรกของท่าน เปาโลเขียนดังนี้: “เกิดมีการเล่าลือ [“รายงาน,” ล.ม.] กันขึ้นอยู่แล้วว่าในพวกท่านมีการผิดประเวณี, และการผิดนั้นถึงแม้ท่ามกลางพวกต่างประเทศก็ยังไม่เคยมีเลย, คือว่าคนหนึ่งได้เอาภรรยาบิดาเป็นเมียของตน.”—1 โกรินโธ 5:1.
คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกเราว่าท่านอัครสาวกได้รับรายงานนี้จากใคร. อาจเป็นได้ว่า เปาโลรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากซะเตฟานา, โฟระตูโน, และอะฆายะโก ซึ่งได้เดินทางจากเมืองโกรินโธมายังเมืองเอเฟโซที่เปาโลพักอยู่. เปาโลยังได้รับจดหมายสอบถามอีกฉบับหนึ่งด้วยจากประชาคมคริสเตียนในเมืองโกรินโธ. ไม่ว่าจะจากแหล่งใดก็ตาม เมื่อพยานที่ไว้ใจได้รายงานเรื่องต่อเปาโลแล้ว ท่านจึงได้สามารถให้การชี้นำในเรื่องนั้น. ท่านเขียนดังนี้: “จงขับไล่คนชั่วนั้นออกเสียจากพวกท่าน.” ชายคนนั้นถูกขับออกจากประชาคม.—1 โกรินโธ 5:13; 16:17, 18.
คำสั่งของเปาโลก่อผลดีไหม? เป็นเช่นนั้นจริง ๆ! ปรากฏชัดว่าผู้ทำผิดคนนั้นได้สำนึกในความผิดของเขา. ในจดหมายฉบับที่สองถึงชาวโกรินโธ เปาโลกระตุ้นเตือนให้ประชาคม ‘ยกโทษให้และเล้าโลมใจ’ คนที่กลับใจ. (2 โกรินโธ 2:6-8, ฉบับแปลใหม่) ฉะนั้น การรายงานการทำผิดชักนำให้มีการกระทำซึ่งยังผลเป็นการชำระให้ประชาคมสะอาด และช่วยคนที่สัมพันธภาพของเขากับพระเจ้าได้เสียไปให้กลับมาได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า.
เราพบอีกตัวอย่างหนึ่งในจดหมายฉบับแรกของเปาโลที่มีไปถึงประชาคมคริสเตียนในเมืองโกรินโธ. คราวนี้ท่านอัครสาวกออกชื่อพยานที่รายงานเรื่องนี้. ท่านเขียนว่า “มีบางคนมาจากนางโคลเอได้เล่าเรื่องของท่านทั้งหลายให้ข้าพเจ้าฟังว่า, เกิดการทุ่มเถียงกันในระหว่างพวกท่าน.” (1 โกรินโธ 1:11) เปาโลทราบว่าการแตกแยกนี้ ประกอบกับการให้เกียรติแก่บางคนเกินสมควร ได้ก่อเจตคติแบ่งพรรคแบ่งพวกซึ่งอาจทำลายความเป็นเอกภาพของประชาคม. ดังนั้น ด้วยความเป็นห่วงอย่างลึกซึ้งต่อสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของเพื่อนร่วมความเชื่อที่นั่น เปาโลลงมืออย่างฉับไวและเขียนคำแนะนำว่ากล่าวแก้ไขไปยังประชาคมนี้.
ปัจจุบัน พี่น้องชายหญิงมากมายในประชาคมต่าง ๆ ทั่วโลกพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาความสะอาดฝ่ายวิญญาณของประชาคมโดยการรักษาฐานะอันเป็นที่ชอบต่อพระเจ้าในส่วนของตนเอง. บางคนทนความยากลำบากเพื่อทำเช่นนั้น; ส่วนคนอื่นถึงกับยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาความซื่อสัตย์มั่นคง. แน่นอน การมองข้ามหรือปกปิดการกระทำผิดย่อมแสดงว่าขาดความหยั่งรู้ค่าต่อความพยายามเหล่านี้.
การช่วยเหลือสำหรับคนทำผิด
เหตุใดบางคนที่พลาดพลั้งทำบาปร้ายแรงรีรอในการเข้าพบผู้ปกครองประชาคม? บ่อยครั้งเนื่องจากพวกเขาไม่สำนึกถึงผลประโยชน์ของการไปหาผู้ปกครอง. บางคนเชื่ออย่างผิด ๆ ว่าหากเขาสารภาพ ความผิดของเขาจะถูกเปิดโปงต่อทั้งประชาคม. คนอื่น ๆ ลวงตัวเองว่าแนวทางของตนนั้นไม่ร้ายแรงนัก. บางคนคิดว่าเขาสามารถปรับปรุงตัวเองใหม่โดยไม่ต้องให้ผู้ปกครองช่วยเหลือ.
แต่ผู้ทำผิดเช่นนั้นจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยความรักจากผู้ปกครองประชาคม. ยาโกโบเขียนดังนี้: “มีผู้ใดในพวกท่านป่วยหรือ? จงให้เขาเชิญบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ของประชาคมมาหา ตน และให้คนเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา เอาน้ำมันทาเขาในนามของพระยะโฮวา. และคำอธิษฐานด้วยความเชื่อจะทำให้ผู้ที่ไม่สบายหาย และพระยะโฮวาจะทรงพยุงเขาขึ้น. และหากเขาได้กระทำบาป เขาจะได้รับการอภัย.”—ยาโกโบ 5:14, 15, ล.ม.
ช่างเป็นการจัดเตรียมที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้เพื่อช่วยผู้ทำผิดให้ฟื้นสภาพฝ่ายวิญญาณของตน! โดยการใช้คำแนะนำที่ปลอบประโลมใจจากพระคำของพระเจ้าและโดยการอธิษฐานเพื่อผู้ทำผิด ผู้ปกครองสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยฝ่ายวิญญาณให้ฟื้นตัวจากแนวทางผิดของตน. ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะรู้สึกถูกประณาม ผู้กลับใจมักรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายเมื่อเขาเข้าพบผู้ปกครองซึ่งเปี่ยมด้วยความรัก. ชายชาวแอฟริกาตะวันตกคนหนึ่งทำผิดประเวณีและได้ปิดความผิดของเขาอยู่หลายเดือน. หลังจากที่ความผิดนั้นปรากฏออกมา เขากล่าวกับผู้ปกครองดังนี้: “ผมอยากให้มีใครสักคนถามผมเสียแต่ก่อนนี้แล้วว่าผมมีอะไรกับหญิงคนนั้นไหม! ช่างเป็นความผ่อนคลายเสียจริง ๆ ที่ได้สารภาพออกมา.”—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 32:3-5.
การกระทำที่แสดงถึงความรักตามหลักการ
ผู้รับใช้ที่รับบัพติสมาแล้วของพระเจ้าได้ “พ้นจากความตายไปถึงซึ่งชีวิตแล้ว.” (1 โยฮัน 3:14) แต่ถ้าเขาทำบาปร้ายแรง เขาได้หันกลับไปสู่แนวทางแห่งความตาย. ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาอาจกลายเป็นคนด้านชาในการทำผิด ไม่ปรารถนาจะกลับใจและหันกลับมานมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้.—เฮ็บราย 10:26-29.
การรายงานการทำผิดเป็นการกระทำที่แสดงถึงความห่วงใยอย่างแท้จริงต่อผู้ทำผิด. ยาโกโบเขียนดังนี้: “พี่น้องของข้าพเจ้า ถ้าผู้ใดในพวกท่านถูกชักนำให้หลงไปจากความจริงและอีกคนหนึ่งช่วยให้เขาหันกลับ ก็จงรู้ว่า ผู้ที่ช่วยให้คนบาปหันกลับจากความผิดแห่งแนวทางของตนก็จะช่วยให้จิตวิญญาณของเขารอดพ้นจากความตายและจะปกปิดความบาปไว้มากหลาย.”—ยาโกโบ 5:19, 20, ล.ม.
ดังนั้น เหตุใดจึงรายงานเรื่องที่ไม่ดี? เพราะการทำเช่นนี้ทำให้เกิดสิ่งที่ดี. แท้จริง การรายงานการทำผิดเป็นการแสดงความรักตามหลักการของคริสเตียนต่อพระเจ้า, ต่อประชาคม, และต่อผู้ทำผิด. ขณะที่สมาชิกแต่ละคนของประชาคมยกชูมาตรฐานอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างภักดี พระยะโฮวาจะทรงอวยพระพรอย่างอุดมต่อทั้งประชาคม. อัครสาวกเปาโลเขียนดังนี้: “พระองค์ [พระยะโฮวา] จะทรงบันดาลให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงจนถึงที่สุด, เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นจากการถูกติในวันของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.”—1 โกรินโธ 1:8.
[รูปภาพหน้า 26]
เป็นการแสดงความรักที่จะสนับสนุน เพื่อนพยานฯ ที่ทำผิดให้พูดกับผู้ปกครอง
[รูปภาพหน้า 28]
ผู้ปกครองช่วยคนทำผิด ให้กลับมาได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าอีก