พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าแห่งคำสัญญาไมตรี
“เราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา.”—ยิระมะยา 31:31.
1, 2. (ก) พระเยซูทรงริเริ่มให้มีการฉลองอะไรในคืนวันที่ 14 เดือนไนซานปี ส.ศ. 33? (ข) คำสัญญาไมตรีอะไรที่พระเยซูตรัสถึงซึ่งเกี่ยวข้องกับการวายพระชนม์ของพระองค์?
ในคืนวันที่ 14 เดือนไนซาน ปีสากลศักราช 33 พระเยซูทรงฉลองปัศคากับอัครสาวก 12 คน. เนื่องจากพระองค์ทรงทราบว่า นี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่รับประทานกับพวกเขา และไม่ช้าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือศัตรู พระเยซูทรงฉวยประโยชน์จากโอกาสนั้นอธิบายเรื่องสำคัญหลายเรื่องแก่สาวกที่สนิทที่สุดของพระองค์.—โยฮัน 13:1–17:26.
2 ตอนนี้เอง หลังจากไล่ยูดาอิศการิโอดออกไปแล้ว พระเยซูทรงตั้งการฉลองทางศาสนาเพียงอย่างเดียวซึ่งทรงมีพระบัญชาให้คริสเตียนถือปฏิบัติทุกปี นั่นคือการรำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระองค์. บันทึกบอกดังนี้: “เมื่อกำลังรับประทานอาหารอยู่, พระเยซูทรงหยิบขนมปังมาขอพระพร, แล้วทรงหักส่งให้แก่พวกสาวกและตรัสว่า, ‘จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา.’ แล้วทรงหยิบจอกมาโมทนาพระคุณ, ส่งให้แก่เขาและตรัสว่า, ‘จงกินจากจอกนี้ทุกคนเถิด ด้วยนี่เป็นโลหิตแห่งคำสัญญาของเรา, ซึ่งต้องเทออกเพื่อไถ่โทษ [“ให้อภัยบาป,” ล.ม.] คนเป็นอันมาก.’” (มัดธาย 26:26-28) ผู้ติดตามพระเยซูพึงระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระองค์ในแบบที่เรียบง่ายและสง่าผ่าเผย. และพระเยซูตรัสพาดพิงถึงคำสัญญาไมตรีอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการวายพระชนม์ของพระองค์. ในเรื่องราวที่ลูกาบันทึก คำสัญญาไมตรีดังกล่าวถูกเรียกว่า “คำสัญญา [ไมตรี] ใหม่.”—ลูกา 22:20.
3. มีคำถามอะไรบ้างเกี่ยวกับคำสัญญาไมตรีใหม่?
3 คำสัญญาไมตรีใหม่คืออะไร? ในเมื่อเป็นคำสัญญาไมตรีใหม่ ก็ย่อมหมายความว่ามีคำสัญญาไมตรีเก่า มิใช่หรือ? มีคำสัญญาไมตรีใดอีกบ้างที่เกี่ยวข้องกับคำสัญญาไมตรีใหม่นี้? คำถามดังกล่าวนับว่าสำคัญ เพราะพระเยซูตรัสว่าโลหิตแห่งคำสัญญาไมตรีจะเทออก “เพื่อไถ่โทษ [“ให้อภัยบาป,” ล.ม.].” เราทุกคนจำเป็นอย่างยิ่งต้องได้รับการให้อภัยเช่นนั้น.—โรม 3:23.
คำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม
4. คำสัญญาอะไรแต่ครั้งโบราณที่ช่วยเราให้เข้าใจคำสัญญาไมตรีใหม่?
4 เพื่อจะเข้าใจคำสัญญาไมตรีใหม่ เราต้องย้อนไปเกือบ 2,000 ปีก่อนการรับใช้ทางแผ่นดินโลกนี้ของพระเยซู สมัยที่เธราและครอบครัว—มีอับราม (ต่อมา เปลี่ยนเป็นอับราฮาม) และซารายภรรยาของอับราม (ต่อมา เปลี่ยนเป็นซาราห์) รวมอยู่ด้วย—ย้ายถิ่นฐานจากเมืองอูระที่มั่งคั่งของชาวแคลเดียไปยังเมืองฮารานซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย. พวกเขาพักอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเธราสิ้นชีวิต. จากนั้น ตามพระบัญชาของพระยะโฮวา อับราฮามซึ่งอายุได้ 75 ปีข้ามแม่น้ำยูเฟรทีสและเดินทางลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้จนถึงดินแดนคะนาอันเพื่อใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนที่นั่นโดยอาศัยอยู่ในกระโจม. (เยเนซิศ 11:31–12:1, 4, 5; กิจการ 7:2-5) ตอนนั้นเป็นปี 1943 ก่อนสากลศักราช. ระหว่างที่อับราฮามยังอยู่ที่ฮารานนั้น พระยะโฮวาได้ตรัสแก่ท่านว่า “เราจะให้ตระกูลของเจ้าเป็นประเทศใหญ่; เราจะอวยพรให้เจ้า, จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่เลื่องลือไป; เจ้าจะเป็นที่ให้เขาเจริญขึ้น: เราจะอวยพรแก่คนที่อวยพรให้เจ้า, เราจะแช่งสาปคนที่แช่งเจ้า, และบรรดาพงศ์พันธุ์ของมนุษย์โลกจะได้พระพรเพราะเจ้า.” ต่อมา หลังจากอับราฮามข้ามเข้าสู่ดินแดนคะนาอันแล้ว พระยะโฮวาตรัสเพิ่มเติมอีกว่า “แผ่นดินนี้เราจะยกให้พงศ์พันธุ์ของเจ้า.”—เยเนซิศ 12:2, 3, 7.
5. คำสัญญาของพระยะโฮวากับอับราฮามถูกเชื่อมโยงเข้ากับคำสัญญาอันเป็นประวัติศาสตร์ข้อใด?
5 คำสัญญาที่ให้กับอับราฮามข้อนี้มีความเกี่ยวข้องกับคำสัญญาอื่น ๆ ของพระยะโฮวา. ที่จริง คำสัญญานี้ทำให้อับราฮามเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ เป็นผู้หนึ่งซึ่งเชื่อมความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์แรกสุดที่ได้มีการบันทึกเอาไว้. หลังจากอาดามและฮาวาทำบาปในสวนเอเดน พระยะโฮวาทรงประกาศคำพิพากษาต่อเขาทั้งสอง และในโอกาสเดียวกันนั้น พระองค์ตรัสแก่ซาตานผู้ได้ล่อลวงฮาวาว่า “เราจะให้เจ้ากับหญิงและพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของนางเป็นศัตรูกัน. เขาจะบดขยี้หัวของเจ้าและเจ้าจะบดขยี้ส้นเท้าของเขา.” (เยเนซิศ 3:15, ล.ม.) คำสัญญาไมตรีที่พระยะโฮวาทำกับอับราฮามบ่งชี้ว่า พงศ์พันธุ์ที่จะทำลายแผนการทั้งสิ้นของซาตานจะมาปรากฏทางเชื้อวงศ์ของปฐมบรรพบุรุษผู้นี้.
6. (ก) คำสัญญาของพระยะโฮวากับอับราฮามจะสำเร็จโดยทางผู้ใด? (ข) คำสัญญาไมตรีกับอับราฮามคืออะไร?
6 เนื่องจากคำสัญญาของพระยะโฮวาเกี่ยวข้องกับพงศ์พันธุ์ อับราฮามจึงต้องมีบุตรชายเพื่อให้พงศ์พันธุ์นั้นสามารถมาบังเกิดได้. แต่ท่านและนางซาราชรามากแล้วและก็ยังไม่มีบุตร. อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพระยะโฮวาทรงอวยพระพรทั้งสอง ฟื้นฟูความสามารถในการให้กำเนิดทายาทแก่เขาอย่างอัศจรรย์ และซาราก็มีบุตรให้กับอับราฮามเป็นชายชื่อยิศฮาค โดยวิธีนี้จึงทำให้คำสัญญาเรื่องพงศ์พันธุ์ดำเนินต่อมาได้. (เยเนซิศ 17:15-17; 21:1-7) หลายปีต่อมา หลังจากทดสอบความเชื่อของอับราฮาม—ถึงขั้นที่เห็นว่าท่านเต็มใจถวายยิศฮาคบุตรที่รักเป็นเครื่องบูชา—พระยะโฮวาทรงสัญญากับอับราฮามอีกครั้งหนึ่งดังนี้: “เราคงจะอวยพรเจ้า. ให้พงศ์พันธุ์ของเจ้ามากทวีขึ้นดุจดวงดาวบนฟ้า, และดุจเม็ดทรายที่ฝั่งมหาสมุทร; และพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตั้งอยู่ในประตูเมืองแห่งพวกข้าศึก; ชนทุกชาติทั่วโลกจะได้พรเพราะพงศ์พันธุ์ของเจ้า, เพราะเจ้าได้เชื่อฟังเสียงของเรา.” (เยเนซิศ 22:15-18) คำสัญญาที่ขยายกว้างขึ้นนี้มักเรียกกันว่าคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม และภายหลังคำสัญญาไมตรีใหม่จะผูกเข้ากับคำสัญญาไมตรีนี้อย่างแนบแน่น.
7. พงศ์พันธุ์ของอับราฮามเริ่มทวีจำนวนโดยวิธีใด และสภาพการณ์เช่นไรนำพวกเขาให้ไปอยู่ที่อียิปต์?
7 ต่อมา ยิศฮาคมีบุตรชายฝาแฝดคือเอซาวและยาโคบ. พระยะโฮวาทรงเลือกยาโคบให้เป็นบรรพบุรุษของพงศ์พันธุ์ตามคำสัญญา. (เยเนซิศ 28:10-15; โรม 9:10-13) ยาโคบมีบุตรชาย 12 คน. เห็นได้ชัดว่า บัดนี้เป็นเวลาที่พงศ์พันธุ์ของอับราฮามจะเริ่มทวีจำนวน. เมื่อบุตรชายของยาโคบเป็นผู้ใหญ่กันแล้วและหลายคนมีครอบครัวของตนเอง เกิดการกันดารอาหารซึ่งบีบบังคับพวกเขาทั้งหมดให้ย้ายลงไปอยู่ที่อียิปต์ ซึ่งที่นั่น โยเซฟบุตรชายของยาโคบได้เตรียมที่ทางไว้ให้ภายใต้การจัดเตรียมของพระเจ้า. (เยเนซิศ 45:5-13; 46:26, 27) หลังจากไม่กี่ปีผ่านไป การกันดารอาหารในคะนาอันก็ยุติลง. แต่ครอบครัวของยาโคบยังคงอยู่ในอียิปต์—ทีแรกเป็นแขก แต่ต่อมากลับกลายเป็นทาส. จนกระทั่งถึงปี 1513 ก.ส.ศ. 430 ปีหลังจากอับราฮามข้ามแม่น้ำยูเฟรทีส โมเซจึงได้นำลูกหลานของยาโคบออกจากอียิปต์สู่อิสรภาพ. (เอ็กโซโด 1:8-14; 12:40, 41; ฆะลาเตีย 3:16, 17) ถึงตอนนี้ พระยะโฮวาจะทรงเอาพระทัยใส่เป็นพิเศษต่อคำสัญญาไมตรีที่ทรงทำไว้กับอับราฮาม.—เอ็กโซโด 2:24; 6:2-5.
“คำสัญญา [ไมตรี] เก่า”
8. พระยะโฮวาทรงทำคำสัญญาไมตรีอะไรกับลูกหลานของยาโคบที่ไซนาย และเรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม?
8 เมื่อยาโคบและเหล่าบุตรชายของท่านย้ายไปที่อียิปต์ พวกเขาเป็นครอบครัวขยายครอบครัวหนึ่ง แต่ลูกหลานของพวกเขาออกจากอียิปต์โดยเป็นกลุ่มของเผ่าชนขนาดใหญ่. (เอ็กโซโด 1:5-7; 12:37, 38) ก่อนพระยะโฮวานำพวกเขาสู่คะนาอัน พระองค์ทรงนำพวกเขาลงไปทางใต้จนถึงเชิงเขาโฮเร็บ (หรือไซนาย) ในคาบสมุทรอะราเบีย. ที่นั่น พระองค์ทรงทำคำสัญญาไมตรีกับพวกเขา. คำสัญญาไมตรีนี้ต่อมาถูกเรียกว่า “คำสัญญา [ไมตรี] เก่า” ทั้งนี้โดยเทียบเคียงกับ “คำสัญญา [ไมตรี] ใหม่.” (2 โกรินโธ 3:14) โดยทางคำสัญญาไมตรีเก่านี้ พระยะโฮวาทรงจัดการให้สำเร็จในเชิงอุทาหรณ์ตามคำสัญญาที่ได้ทรงทำไว้กับอับราฮาม.
9. (ก) พระยะโฮวาทรงสัญญาสี่ประการอะไรบ้างโดยทางคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม? (ข) คำสัญญาไมตรีของพระยะโฮวากับชาติยิศราเอลเปิดให้มีการคาดหมายอะไรอีก และโดยมีเงื่อนไขอะไร?
9 พระยะโฮวาทรงแถลงต่อชาติยิศราเอลถึงเงื่อนไขของคำสัญญาไมตรีนี้ โดยตรัสว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายจะฟังถ้อยคำของเราจริง ๆ, และรักษาคำสัญญาไมตรีของเราไว้, เจ้าจะเป็นทรัพย์ประเสริฐของเรายิ่งกว่าชาติทั้งปวง: เพราะเราเป็นเจ้าของโลกทั้งสิ้น: เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต, และจะเป็นชนชาติอันบริสุทธิ์สำหรับเรา.” (เอ็กโซโด 19:5, 6) สิ่งที่พระยะโฮวาทรงสัญญาก็คือ พงศ์พันธุ์ของอับราฮามจะ (1) กลายเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง, (2) มีชัยเหนือศัตรูของพวกเขา, (3) ได้แผ่นดินคะนาอันเป็นมรดก, และ (4) เป็นร่องทางให้ชาติทั้งหลายได้พร. ถึงตอนนี้ พระองค์ทรงเปิดเผยว่าพวกเขาเองสามารถได้รับพระพรเหล่านี้เป็นมรดกในฐานะยิศราเอล ชาติพิเศษของพระองค์ซึ่งจะกลายเป็น “อาณาจักรแห่งปุโรหิต, และจะเป็นชนชาติอันบริสุทธิ์” หากพวกเขาเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์. ชนยิศราเอลเห็นชอบด้วยกับการเข้าสู่คำสัญญาไมตรีนี้ไหม? พวกเขาตอบเป็นเสียงเดียวว่า “สิ่งสารพัตรที่พระยะโฮวาตรัสนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำตาม.”—เอ็กโซโด 19:8.
10. พระยะโฮวาทรงจัดระเบียบชนยิศราเอลอย่างไรให้เป็นชาติ และพระองค์ทรงคาดหมายอะไรจากพวกเขา?
10 ฉะนั้น พระยะโฮวาทรงจัดระเบียบชนยิศราเอลให้เป็นชาติหนึ่ง. พระองค์ทรงประทานกฎหมายให้พวกเขาซึ่งควบคุมการนมัสการและการดำเนินชีวิตในฐานะพลเรือน. พระองค์ยังทรงจัดให้มีพลับพลาสำหรับพวกเขา (ต่อมา เปลี่ยนเป็นพระวิหารในกรุงยะรูซาเลม) และตั้งคณะปุโรหิตให้ถวายการรับใช้ศักดิ์สิทธิ์ในพลับพลา. การรักษาคำสัญญาไมตรีหมายถึงการเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวาและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนมัสการพระองค์แต่ผู้เดียว. ข้อแรกของพระบัญญัติสิบประการซึ่งเป็นแกนกลางของกฎหมายเหล่านี้คือ “เราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, ผู้ได้นำเจ้าออกจากประเทศอายฆุบโต, คือจากฐานะแห่งทาสนั้น. อย่าได้มีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเราเลย.”—เอ็กโซโด 20:1, 2, 3.
พระพรที่มาทางคำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติ
11, 12. คำสัญญาในคำสัญญาไมตรีเก่าสำเร็จกับชาติยิศราเอลในทางใดบ้าง?
11 คำสัญญาในคำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติสำเร็จเป็นจริงกับชาติยิศราเอลไหม? ชาติยิศราเอลได้กลายเป็น “ชาติบริสุทธิ์” ไหม? ในฐานะลูกหลานของอาดาม ชนยิศราเอลเป็นคนบาป. (โรม 5:12) ถึงกระนั้น ภายใต้พระบัญญัติ มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อปิดคลุมบาปของพวกเขา. เกี่ยวกับเครื่องบูชาที่ถวายในวันไถ่โทษประจำปี พระยะโฮวาตรัสดังนี้: “ในวันนั้นปุโรหิตจะกระทำไถ่โทษท่านทั้งหลาย, จะชำระท่านทั้งหลายให้เป็นสะอาดปราศจากการบาป, ที่ท่านทั้งหลายได้กระทำต่อพระพักตร์พระยะโฮวา.” (เลวีติโก 16:30) ดังนั้น เมื่อพวกเขาซื่อสัตย์ ชาติยิศราเอลนับเป็นชาติบริสุทธิ์ สะอาดสำหรับการรับใช้พระยะโฮวา. แต่สภาพสะอาดนี้ขึ้นอยู่กับการที่พวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติและถวายเครื่องบูชาอยู่เรื่อยไป.
12 ชาติยิศราเอลได้กลายเป็น “อาณาจักรแห่งปุโรหิต” ไหม? ตั้งแต่ต้นทีเดียว ชาตินี้เป็นอาณาจักรที่มีพระยะโฮวาเป็นพระมหากษัตริย์ทางภาคสวรรค์. (ยะซายา 33:23) นอกจากนั้น คำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติรวมถึงการจัดเตรียมให้มีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ด้วย เพื่อว่าในเวลาต่อมากษัตริย์องค์ต่าง ๆ ที่ปกครองยะรูซาเลมจะเป็นตัวแทนของพระยะโฮวา. (พระบัญญัติ 17:14-18) แต่ชาติยิศราเอลเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต ไหม? เอาละ ชาตินี้มีคณะปุโรหิตทำหน้าที่ถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ที่พลับพลา. พลับพลา (ต่อมา เปลี่ยนเป็นพระวิหาร) เป็นศูนย์กลางการนมัสการบริสุทธิ์สำหรับทั้งชนยิศราเอลและคนอื่นที่ไม่ใช่ชาวยิศราเอล. และชาตินี้เป็นร่องทางเดียวในการเปิดเผยความจริงแก่มนุษยชาติ. (2 โครนิกา 6:32, 33; โรม 3:1, 2) ไม่เฉพาะแต่พวกปุโรหิตตระกูลเลวีเท่านั้น แต่ชาวยิศราเอลที่ซื่อสัตย์ทั้งหมดล้วนเป็น “พยาน” ของพระยะโฮวา. ยิศราเอลเป็น “ผู้รับใช้” ของพระยะโฮวา ซึ่งพระองค์รวบรวมเพื่อ ‘สรรเสริญพระองค์.’ (ยะซายา 43:10, 21) คนต่างประเทศที่มีใจถ่อมหลายคนเห็นฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวาซึ่งทรงแสดงเพื่อประโยชน์ของไพร่พลของพระองค์และถูกดึงดูดเข้ามายังการนมัสการแท้. พวกเขาได้กลายมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา. (ยะโฮซูอะ 2:9-13) แต่มีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่รับใช้เป็นปุโรหิตซึ่งได้รับการเจิมจริง ๆ.
ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวในชาติยิศราเอล
13, 14. (ก) เหตุใดจึงกล่าวได้ว่า ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวไม่ใช่ผู้มีส่วนร่วมในคำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติอย่างเต็มที่? (ข) ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวเข้ามาอยู่ภายใต้คำสัญญาแห่งพระบัญญัติอย่างไร?
13 ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวเหล่านี้มีฐานะเช่นไร? เมื่อพระยะโฮวาทรงทำคำสัญญาไมตรี พระองค์ทรงทำเฉพาะกับชาติยิศราเอล; คนเหล่านั้นที่เป็น “ฝูงชนชาติอื่นเป็นอันมาก” แม้ว่าอยู่ที่นั่นด้วย แต่ไม่ถูกเอ่ยชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในคำสัญญาไมตรีนั้น. (เอ็กโซโด 12:38; 19:3, 7, 8) บุตรหัวปีของพวกเขาไม่ถูกนับรวมด้วยเมื่อมีการคิดค่าไถ่สำหรับบุตรหัวปีของยิศราเอล. (อาฤธโม 3:44-51) หลายทศวรรษต่อมา เมื่อแผ่นดินของชาวคะนาอันถูกแบ่งกันระหว่างตระกูลต่าง ๆ ของชาวยิศราเอล ไม่มีการกันแผ่นดินส่วนใดไว้สำหรับผู้เชื่อถือที่ไม่ใช่ชาวยิศราเอล. (เยเนซิศ 12:7; ยะโฮซูอะ 13:1-14) เพราะเหตุใด? เพราะคำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติไม่ได้ทำกับผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิว. แต่ผู้ชายที่เปลี่ยนมาถือศาสนายิวได้รับสุหนัตตามพระบัญชาในพระบัญญัติ. พวกเขาถือรักษากฎระเบียบ และพวกเขาได้รับประโยชน์จากการจัดเตรียมต่าง ๆ ของกฎระเบียบเหล่านี้. เช่นเดียวกับชาวยิศราเอล ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวเข้ามาอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติ.—เอ็กโซโด 12:48, 49; อาฤธโม 15:14-16; โรม 3:19.
14 ตัวอย่างเช่น หากผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวทำให้ใครสักคนตายโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็สามารถหนีไปเมืองคุ้มภัยได้เช่นเดียวกับชาวยิศราเอล. (อาฤธโม 35:15, 22-25; ยะโฮซูอะ 20:9) ในวันไถ่โทษ มีการถวายเครื่องบูชา “สำหรับชุมนุมชนอิสราเอล.” ในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคม ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวมีส่วนร่วมในพิธีการและได้รับการปิดคลุมบาปโดยเครื่องบูชานั้น. (เลวีติโก 16:7-10, 15, 17, 29, ฉบับแปลใหม่; พระบัญญัติ 23:7, 8) ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวมีความสัมพันธ์กับชาติยิศราเอลภายใต้พระบัญญัติใกล้ชิดมากถึงขนาดที่เมื่อถึงวันเพนเตคอสเตปี ส.ศ. 33 เมื่อ “ลูกกุญแจแห่งราชอาณาจักร” ดอกแรกถูกไขเพื่อชาวยิว ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวก็ได้รับประโยชน์ด้วย. ผลคือ “นิโกลาวชาวเมืองอันติโอเกียซึ่งเป็นผู้เข้าจารีตฝ่ายศาสนายูดาย” ได้เข้ามาเป็นคริสเตียนและอยู่ในกลุ่ม “เจ็ดคน . . . ซึ่งมีชื่อเสียงดี” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลความจำเป็นด้านต่าง ๆ ของประชาคมยะรูซาเลม.—มัดธาย 16:19, ล.ม.; กิจการ 2:5-10; 6:3-6; 8:26-39.
พระยะโฮวาทรงอวยพรพงศ์พันธุ์ของอับราฮาม
15, 16. คำสัญญาไมตรีที่พระยะโฮวาทำกับอับราฮามสำเร็จอย่างไรภายใต้คำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติ?
15 โดยที่ลูกหลานของอับราฮามได้รับการจัดระเบียบเป็นชาติภายใต้พระบัญญัติ พระยะโฮวาทรงอวยพรพวกเขาตามที่ทรงสัญญาไว้กับปฐมบรรพบุรุษ. ในปี 1473 ก.ส.ศ. ยะโฮซูอะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากโมเซก็ได้นำชาติยิศราเอลเข้าสู่คะนาอัน. การแบ่งส่วนที่ดินในระหว่างตระกูลต่าง ๆ ในเวลาต่อมาทำให้คำสัญญาของพระยะโฮวาที่จะประทานแผ่นดินให้พงศ์พันธุ์ของอับราฮามสำเร็จเป็นจริง. เมื่อยิศราเอลซื่อสัตย์ พระยะโฮวาทรงทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จโดยประทานชัยชนะแก่พวกเขาเหนือศัตรู. เรื่องนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด. พอถึงสมัยของซะโลโมราชบุตรของดาวิด แง่มุมที่สามของคำสัญญาไมตรีกับอับราฮามก็สำเร็จ. “ชนชาวยูดาและยิศราเอลมีจำนวนเป็นอันมาก, ดุจทรายซึ่งอยู่ริมชายทะเล, เขาก็กินและดื่มและเล่นการสนุก.”—1 กษัตริย์ 4:20.
16 อย่างไรก็ตาม โดยวิธีใดชาติต่าง ๆ จะทำให้ตัวเองได้พรทางชาติยิศราเอลผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮาม? ดังกล่าวไปแล้ว ชาติยิศราเอลเป็นไพร่พลพิเศษของพระยะโฮวา เป็นตัวแทนของพระองค์ท่ามกลางนานาชาติ. ก่อนที่ชาติยิศราเอลจะเดินทัพเข้าสู่คะนาอันไม่นานนัก โมเซกล่าวดังนี้: “ชนประเทศทั้งหลายเอ๋ย จงยินดีกับไพร่พลของพระองค์.” (พระบัญญัติ 32:43) ชาวต่างชาติจำนวนมากตอบรับ. “ฝูงชนชาติอื่นเป็นอันมาก” ได้ติดตามชาติยิศราเอลออกมาจากอียิปต์ เป็นพยานรู้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวาในถิ่นทุรกันดาร และได้ยินคำเชิญของโมเซให้ยินดี. (เอ็กโซโด 12:37, 38) ต่อมา รูธชาวโมอาบสมรสกับโบอัศชาวยิศราเอลและกลายเป็นบรรพสตรีของพระมาซีฮา. (ประวัตินางรูธ 4:13-22) ยะโฮนาดาบชาวคีนีและลูกหลานของเขาและเอเบ็ดเมเล็กชาวเอธิโอเปียต่างก็แสดงตัวชัดเจนโดยยึดมั่นกับหลักการที่ถูกต้องในขณะที่ชาวยิศราเอลโดยกำเนิดจำนวนมากไม่ซื่อสัตย์. (2 กษัตริย์ 10:15-17; ยิระมะยา 35:1-19; 38:7-13) ภายใต้จักรวรรดิเปอร์เซีย ชาวต่างชาติหลายคนกลายมาเป็นผู้ถือศาสนายิวและต่อสู้ศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาติยิศราเอล.—เอศเธระ 8:17, ล.ม. เชิงอรรถ.
จำเป็นต้องมีคำสัญญาไมตรีใหม่
17. (ก) เหตุใดพระยะโฮวาทรงปฏิเสธอาณาจักรยิศราเอลทั้งเหนือและใต้? (ข) อะไรที่ทำให้ชาวยิวถูกปฏิเสธในที่สุด?
17 กระนั้น เพื่อได้รับตามคำสัญญาของพระเจ้าอย่างครบถ้วน ชาติพิเศษของพระเจ้าต้องซื่อสัตย์. ชาตินี้ไม่ซื่อสัตย์. จริงอยู่ มีชาวยิศราเอลบางคนซึ่งมีความเชื่อโดดเด่น. (เฮ็บราย 11:32–12:1) อย่างไรก็ตาม ในหลายโอกาสชาตินี้หันไปนมัสการพระนอกรีต โดยหวังผลประโยชน์ด้านวัตถุ. (ยิระมะยา 34:8-16; 44:15-18) บางคนใช้พระบัญญัติอย่างผิด ๆ หรือละเลยไม่สนใจ. (นะเฮมยา 5:1-5; ยะซายา 59:2-8; มาลาคี 1:12-14) หลังการสิ้นพระชนม์ของซะโลโม ชาติยิศราเอลถูกแบ่งเป็นอาณาจักรเหนือและใต้. เมื่ออาณาจักรที่อยู่ทางเหนือแสดงตัวกบฏอย่างโจ่งแจ้ง พระยะโฮวาทรงประกาศดังนี้: “โดยเหตุที่เจ้ามิได้ยอมรับความรู้ไว้, เราก็ไม่ยอมรับเจ้าไว้เป็นปุโรหิตของเราด้วย.” (โฮเซอา 4:6) อาณาจักรที่อยู่ทางใต้ก็ถูกลงโทษอย่างรุนแรงเหมือนกันเพราะทรยศต่อคำสัญญาไมตรี. (ยิระมะยา 5:29-31) เมื่อชาวยิวปฏิเสธพระเยซูในฐานะพระมาซีฮา พระยะโฮวาจึงทรงปฏิเสธพวกเขาด้วยเหมือนกัน. (กิจการ 3:13-15; โรม 9:31–10:4) ในที่สุด พระยะโฮวาทรงให้มีการจัดเตรียมใหม่เพื่อจัดการทำให้สำเร็จอย่างครบถ้วนตามคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม.—โรม 3:20.
18, 19. พระยะโฮวาทรงทำการจัดเตรียมใหม่อะไรเพื่อคำสัญญาไมตรีกับอับราฮามจะสำเร็จได้อย่างครบถ้วน?
18 การจัดเตรียมใหม่นี้ได้แก่คำสัญญาไมตรีใหม่. พระยะโฮวาทรงแจ้งล่วงหน้าในเรื่องนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ, วันคืนทั้งหลายจะมา, เมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา, พระยะโฮวาได้ตรัส. . . . ความสัญญาที่เราจะกระทำกับด้วยตระกูลแห่งยิศราเอลจะเป็นดังนี้ (คือว่า) เมื่อวันเหล่านั้นจะพ้นไปแล้ว, พระยะโฮวาได้ตรัส, เราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ ณ ภายในตัวเขาทั้งปวง, แลจะเขียนบทบัญญัตินั้นในใจเขา, แลเราจะเป็นพระเจ้าแก่เขาทั้งหลาย, แลเขาจะเป็นไพร่พลของเรา.”—ยิระมะยา 31:31-33.
19 นี่เป็นคำสัญญาไมตรีใหม่ที่พระเยซูตรัสถึงในวันที่ 14 เดือนไนซาน ส.ศ. 33. ในโอกาสนั้น พระองค์ทรงเปิดเผยว่า จวนจะมีการทำคำสัญญาไมตรีตามที่ทรงสัญญาระหว่างสาวกของพระองค์กับพระยะโฮวา โดยมีพระเยซูเป็นผู้กลาง. (1 โกรินโธ 11:25; 1 ติโมเธียว 2:5; เฮ็บราย 12:24) โดยทางคำสัญญาไมตรีใหม่นี้ คำสัญญาของพระยะโฮวาที่ให้ไว้กับอับราฮามจะสำเร็จอย่างรุ่งโรจน์และถาวรยิ่งกว่า ดังเราจะได้เห็นในบทความถัดไป.
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ พระยะโฮวาทรงสัญญาอะไรในคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม?
▫ พระยะโฮวาทรงดำเนินการอย่างไรกับยิศราเอลโดยกำเนิดเพื่อให้สำเร็จตามคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม?
▫ ผู้เปลี่ยนมาถือศาสนายิวได้รับประโยชน์อย่างไรจากคำสัญญาไมตรีเก่า?
▫ เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีคำสัญญาไมตรีใหม่?
[รูปภาพหน้า 9]
โดยทางคำสัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติ พระยะโฮวาทรงจัดการให้สำเร็จในขั้นต้นตามคำสัญญาไมตรีกับอับราฮาม