อูการิตเมืองโบราณใต้เงาบาอัล
ในปี 1928 ผาลของชาวนาซีเรียกระทบก้อนหินที่ปิดที่ฝังศพซึ่งมีเครื่องปั้นดินเผาโบราณบรรจุไว้. เขาคิดไม่ออกว่าการพบของเขาสำคัญอย่างไร. เมื่อได้ยินเรื่องการพบโดยบังเอิญนั้น นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสทีมหนึ่งซึ่งมีโคลด ชาเฟร์เป็นผู้นำจึงเดินทางไปยังสถานที่นั้นในปีต่อมา.
จากนั้นเพียงไม่นานก็มีการขุดพบคำจารึกซึ่งทำให้ทีมนักโบราณคดีนี้รู้ชื่อซากปรักหักพังที่พวกเขาใช้พลั่วขุดขึ้นมา. ที่นั่นคืออูการิต “เมืองโบราณที่สำคัญที่สุดของดินแดนตะวันออกใกล้.” นักเขียนชื่อ แบร์รี โฮเบอร์แมน ถึงกับพูดว่า “ไม่มีการค้นพบทางโบราณคดีอื่นใด ไม่แม้กระทั่งการค้นพบม้วนหนังสือแห่งทะเลเดดซี ที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลมากกว่านี้.”—นิตยสารแอตแลนติกรายเดือน.
เมืองศูนย์กลางการพาณิชย์
เพราะตั้งอยู่ที่บริเวณเนินเขาซึ่งรู้จักกันในชื่อราส ชามรา บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในส่วนที่ปัจจุบันนี้คือภาคเหนือของซีเรีย อูการิตเป็นเมืองนานาชาติที่เจริญมั่งคั่งเมื่อประมาณ 3,000 กว่าปีมาแล้ว. เขตแดนของเมืองนี้ครอบคลุมอาณาบริเวณซึ่งทอดยาวจากภูเขาคาเซียสทางเหนือลงมาถึงเทลล์ ซูกาสทางใต้เป็นระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร และจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตกไปถึงหุบเขาโอรอนเทสทางตะวันออกประมาณ 30 ถึง 50 กิโลเมตร.
การทำปศุสัตว์เจริญดีในอูการิตซึ่งมีอากาศอบอุ่นปานกลาง. เขตนี้ให้ผลผลิตเป็นธัญชาติ, น้ำมันมะกอก, เหล้าองุ่น, และไม้แปรรูป ซึ่งเป็นผลิตผลที่ในเมโสโปเตเมียและอียิปต์ขาดแคลนมาก. ยิ่งกว่านั้น การที่เมืองนี้ตั้งอยู่ ณ ชุมทางการค้าทำให้เมืองนี้เป็นเมืองท่านานาชาติแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญอยู่ในอันดับต้น ๆ ทีเดียว. ที่อูการิต มีพวกพ่อค้าจากแถบทะเลอีเจียน, อะนาโตเลีย, บาบิโลน, อียิปต์, และจากส่วนอื่น ๆ ของตะวันออกกลางที่มาค้าขายโลหะ, ผลผลิตทางการเกษตร, และสินค้ามากมายซึ่งเป็นผลผลิตของท้องถิ่น.
แม้ว่ามั่งคั่งด้านวัตถุ แต่อูการิตก็เป็นอาณาจักรที่เป็นเมืองขึ้นตลอดมา. เมืองนี้เป็นเมืองด่านที่อยู่เหนือสุดของจักรวรรดิอียิปต์จนกระทั่งถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิเฮทในศตวรรษที่ 14 ก่อน ส.ศ. อูการิตต้องส่งบรรณาการและส่งกองทหารไปสนับสนุนผู้มีอำนาจปกครอง. เมื่อ “ชาวทะเล”a เริ่มรุกรานอะนาโตเลีย (ภาคกลางของตุรกี) และภาคเหนือของซีเรีย ชาวเฮทสั่งให้อูการิตส่งกองทหารและกองเรือไปช่วย. ผลก็คือ เมืองอูการิตเองไร้การป้องกันและถูกทำลายย่อยยับประมาณในปี 1200 ก่อน ส.ศ.
ฟื้นอดีต
เมืองอูการิตถูกทำลายจนเหลือแต่กองดินกองหินสูงเกือบ 20 เมตร และกินเนื้อที่กว่า 150 ไร่. เพียงหนึ่งในหกของพื้นที่นี้เท่านั้นที่ถูกขุดค้นขึ้นมา. ท่ามกลางซากปรักหักพัง พวกนักโบราณคดีได้พบส่วนที่เหลือของพระราชวังมหึมาที่มีเกือบหนึ่งร้อยห้องกับลานพระราชวังหลายแห่งและมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร. พระราชวังนี้มีระบบท่อส่งน้ำ, ห้องอาบน้ำ, และระบบระบายน้ำเสีย. เครื่องเรือนประดับด้วยทองคำ, หินสีเขียวคราม, และงาช้าง. มีการพบแผ่นงาช้างที่แกะสลักอย่างประณีต. สวนที่มีกำแพงล้อมรอบกับแอ่งน้ำทำให้พระราชวังนี้ยิ่งงามน่าดู.
เมืองนี้และที่ราบรอบเมืองมีวิหารของบาอัลและดากานเป็นจุดเด่น.b หอวิหารเหล่านั้น ซึ่งอาจสูงถึง 20 เมตร ประกอบด้วยโถงทางเข้าไม่ใหญ่นักก่อนจะถึงห้องชั้นในซึ่งเป็นที่ตั้งรูปปั้นพระ. มีบันไดขึ้นไปยังระเบียงที่กษัตริย์ประทับเป็นประธานในงานฉลองต่าง ๆ. ตอนกลางคืนหรือในช่วงที่มีพายุ มีการแขวนโคมไฟไว้บนยอดวิหารเพื่อนำทางให้เรือเข้าเทียบท่าอย่างปลอดภัย. ไม่ต้องสงสัยว่าพวกกะลาสีซึ่งถือว่าพวกเขารอดปลอดภัยมาได้เพราะบาอัล-ฮะดัดเทพวายุคงต้องได้มาถวายเครื่องบูชาแก้บนเป็นสมอหิน 17 อันที่ได้พบในสถานศักดิ์สิทธิ์นั้น.
คำจารึกอันทรงค่าที่ค้นพบ
แผ่นดินเหนียวจำนวนมากถูกค้นพบทั่วบริเวณซากเมืองอูการิต. มีการพบข้อความในแปดภาษา เขียนไว้ในห้าแบบ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ, กฎหมาย, การทูต, และการบริหาร. ทีมของชาเฟร์พบคำจารึกเป็นภาษาที่ไม่รู้จักกันจนกระทั่งปัจจุบัน จึงเรียกภาษานั้นว่าภาษาอูการิต ซึ่งใช้เครื่องหมายรูปลิ่ม 30 แบบ ประกอบเป็นชุดอักษรเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบกันมา.
นอกจากกล่าวถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันแล้ว เอกสารที่ค้นพบที่อูการิตยังมีข้อความซึ่งให้ความเข้าใจใหม่ ๆ ในเรื่องศาสนาและกิจปฏิบัติต่าง ๆ ในสมัยนั้นด้วย. ศาสนาของชาวอูการิตดูเหมือนมีส่วนคล้ายกันมากกับศาสนาที่ชาวคะนาอันซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านนับถือ. ตามที่โรลอง เดอ โวกล่าว ข้อความเหล่านั้น “บอกไว้อย่างค่อนข้างถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับอารยธรรมในแผ่นดินคะนาอันก่อนถูกชาวอิสราเอลพิชิต.”
ศาสนาในเมืองของบาอัล
ในข้อความที่พบที่ราส ชามรามีการกล่าวถึงเทพเจ้าและเทพธิดามากกว่า 200 องค์. เทพเจ้าองค์สูงสุดคือเอล ถูกเรียกว่าบิดาแห่งพระและมนุษย์. และเทพวายุ บาอัล-ฮะดัด เป็น “ผู้ขี่เมฆ” และ “เจ้าพิภพ.” มีการพรรณนาว่าเอลเป็นชายชราที่ฉลาดมีเคราขาวซึ่งอยู่ต่างหากจากมนุษย์. ในทางตรงข้าม บาอัลเป็นเทพที่มีฤทธิ์มากและทะเยอทะยานซึ่งหาทางจะปกครองเหล่าพระและมนุษยชาติ.
ข้อความที่ค้นพบนั้นอาจมีการกล่าวซ้ำหรืออ่านให้ฟังในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ทางศาสนา เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันเก็บเกี่ยวพืชผล. อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการตีความที่แน่ชัด. ในกวีบทหนึ่งที่เกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องการเป็นผู้ปกครอง บาอัลมีชัยเหนือยัม เทพแห่งท้องทะเล ซึ่งเป็นบุตรองค์โปรดของเอล. ชัยชนะดังกล่าวอาจทำให้กะลาสีชาวอูการิตมั่นใจว่าบาอัลจะปกป้องพวกเขาเมื่อออกทะเล. บาอัลพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับมอตและต้องลงไปยังยมโลก. นั่นทำให้เกิดความแห้งแล้งและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์หยุดไป. อานัต เทพธิดาแห่งความรักและสงครามซึ่งเป็นทั้งน้องสาวและภรรยาของบาอัลได้สังหารมอตและทำให้บาอัลคืนชีพ. บาอัลสังหารเหล่าบุตรของอาทิรัต (อะเชราห์) ภรรยาของเอลและชิงบัลลังก์คืน. แต่อีกเจ็ดปีให้หลัง มอตก็กลับมา.
บางคนอธิบายความหมายบทกวีนี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของวัฏจักรแห่งฤดูกาลในแต่ละปีซึ่งฝนที่ให้ชีวิตถูกพิชิตโดยความร้อนกล้าแห่งฤดูร้อนและกลับมาอีกในฤดูใบไม้ร่วง. ส่วนคนอื่น ๆ คิดว่าวงจรเจ็ดปีนั้นเกี่ยวข้องกับความกลัวการขาดแคลนอาหารและความแห้งแล้ง. ไม่ว่าในกรณีใด ต่างถือกันว่าความสูงส่งของบาอัลเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อความพยายามของมนุษย์จะบรรลุผล. ผู้คงแก่เรียน ปีเตอร์ เครจี ให้ข้อสังเกตว่า “เป้าหมายของศาสนาบาอัลคือเพื่อทำให้ความสูงส่งของบาอัลมั่นคง; ผู้นมัสการบาอัลเชื่อถือว่า มีแต่เวลาที่บาอัลยังคงสูงส่งเท่านั้นที่พืชผลและปศุสัตว์ซึ่งสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์จะยังอยู่รอดต่อไป.”
เครื่องป้องกันลัทธินอกรีต
ที่เห็นชัดในข้อความซึ่งได้ขุดขึ้นมานั้นคือความเสื่อมทรามในศาสนาของชาวอูการิต. พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลมีภาพประกอบ มีคำอธิบายว่า “ข้อความเหล่านั้นแสดงให้เห็นความเสื่อมทรามอันเป็นผลมาจากการนมัสการเทพเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเน้นการสงคราม, โสเภณีที่อุทิศเพื่อการบูชาเทพเจ้า, ราคะตัณหาและความเสื่อมทรามของสังคมอันเป็นผล.” เดอ โวให้ข้อสังเกตว่า “เมื่ออ่านบทกวีเหล่านั้น จึงเข้าใจความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่เหล่าผู้นมัสการยาห์เวห์และผู้พยากรณ์คนสำคัญ ๆ มีต่อการนมัสการแบบนี้.” พระบัญญัติที่พระเจ้าทรงประทานแก่ชาติอิสราเอลโบราณเป็นเครื่องปกป้องจากศาสนาเท็จเช่นนั้น.
การเสี่ยงทาย, โหราศาสตร์, และเวทมนตร์ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในอูการิต. มีการค้นหาเครื่องหมายบอกเหตุไม่เพียงในเทห์ฟากฟ้าเท่านั้นแต่ในตัวอ่อนที่มีรูปร่างพิการและเครื่องในของสัตว์ที่ถูกฆ่าแล้วด้วย. ชากลีน กาเช นักประวัติศาสตร์ ให้ความเห็นดังนี้: “เชื่อกันว่าสัตว์ที่ถูกทำพิธีบูชายัญแก่พระได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระและวิญญาณของพระได้หลอมรวมกับวิญญาณสัตว์. ผลก็คือ การอ่านเครื่องหมายบอกเหตุที่ปรากฏบนอวัยวะเหล่านั้นทำให้รู้แจ้งได้เกี่ยวกับวิญญาณของพระซึ่งสามารถให้คำตอบทั้งในทางดีและในทางร้ายสำหรับคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต หรือคำถามที่ว่าจะทำอะไรในสถานการณ์เฉพาะอย่าง.” (เลอ เปอี ดูการิต โอตูร์ เดอ 1200 อาวาง ชี. เซ.) ในทางตรงข้าม ชาวอิสราเอลต้องหลีกหนีจากกิจปฏิบัติเหล่านั้น.—พระบัญญัติ 18:9-14.
พระบัญญัติของโมเซห้ามไว้ชัดแจ้งในเรื่องการร่วมเพศกับสัตว์. (เลวีติโก 18:23) ชาวเมืองอูการิตมองเรื่องนี้อย่างไร? ในข้อความที่ค้นพบ บาอัลมีเพศสัมพันธ์กับวัวสาว. ไซรัส กอร์ดอน นักโบราณคดี ให้ความเห็นว่า “ถ้าแย้งว่าบาอัลแปลงกายเป็นวัวเพื่อทำเช่นนั้น พวกปุโรหิตของบาอัลที่แสดงบทบาทของบาอัลในละครเกี่ยวกับตำนานของบาอัลย่อมทำตามอย่างบาอัลไม่ได้.”
ชาวอิสราเอลได้รับพระบัญชาดังนี้: “อย่าเชือดเนื้อเพราะคนตาย.” (เลวีติโก 19:28) แต่เมื่อทราบเรื่องความตายของบาอัล เอล “ใช้มีดเชือดเนื้อของตน เขาใช้มีดโกนเชือดเนื้อ เขาเฉือนแก้มและคางของตน.” ปรากฏว่าการเชือดเนื้อทรมานตนเองในพิธีกรรมเป็นประเพณีอย่างหนึ่งในหมู่ผู้นมัสการบาอัล.—1 กษัตริย์ 18:28.
ร้อยกรองบทหนึ่งของชาวอูการิตดูเหมือนชี้ให้เห็นว่าการเอาลูกแพะต้มในน้ำนมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ที่ทำกันทั่วไปในศาสนาของชาวคะนาอัน. แต่ในพระบัญญัติของโมเซ ชาวอิสราเอลได้รับพระบัญชาดังนี้: “อย่าได้ต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมของแม่มันเลย.”—เอ็กโซโด 23:19.
การเปรียบเทียบกับข้อความในคัมภีร์ไบเบิล
ในต้อนแรกเริ่ม มีการแปลข้อความภาษาอูการิตโดยใช้ภาษาฮีบรูที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลช่วย. ปีเตอร์ เครจีให้ข้อสังเกตว่า “มีหลายถ้อยคำในข้อความภาษาฮีบรูของคัมภีร์ไบเบิลที่ความหมายไม่ชัดเจนและบางครั้งก็ไม่เป็นที่รู้จัก; พวกผู้แปลยุคก่อนศตวรรษที่ 20 ใช้หลายวิธีเพื่อเดาความหมายที่พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็น. แต่เมื่อมีถ้อยคำเดียวกันปรากฏในข้อความภาษาอูการิต ก็ทำให้เข้าใจความหมายได้.”
ตัวอย่างเช่น คำภาษาฮีบรูที่ใช้ในยะซายา 3:18 (ล.ม.) ปกติแล้วได้รับการแปลว่า “ผ้าคาดศีรษะ.” รากศัพท์อูการิตที่คล้ายกันมีความหมายถึงทั้งดวงอาทิตย์และสุริยเทวี. ดังนั้น พวกผู้หญิงชาวเยรูซาเลมที่คำพยากรณ์ของยะซายากล่าวถึงนั้นอาจเคยประดับกายด้วยตุ้มหูรูปอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ รวมทั้ง “เครื่องประดับรูปดวงจันทร์” เพื่อให้เกียรติเหล่าพระของชาวคะนาอัน.
ที่พระธรรมสุภาษิต 26:23 ในสำเนาต้นฉบับมาโซเรต “ริมฝีปากที่อบอุ่นกับใจชั่วช้า” ถูกเปรียบเทียบกับภาชนะดินที่เคลือบด้วย “กากเงิน.” รากศัพท์อูการิตเปิดช่องให้แปลคำเปรียบเทียบนั้นว่า “เหมือนสีเคลือบบนเศษหม้อแตก.” ฉบับแปลโลกใหม่ แปลสุภาษิตข้อนี้อย่างเหมาะสมว่า “ปากหวานกับหัวใจชั่วเปรียบเหมือนเศษภาชนะดินเผาเคลือบด้วยเงิน.”
เป็นพื้นฐานสำหรับข้อความในคัมภีร์ไบเบิลไหม?
การตรวจสอบข้อความที่พบที่ราส ชามราทำให้ผู้คงแก่เรียนบางคนอ้างว่าข้อความบางตอนในคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนที่รับมาจากหนังสือบทกวีของชาวอูการิต. อังเดร กาโก สมาชิกสถาบันภาษาฝรั่งเศส กล่าวว่า “วัฒนธรรมของชาวคะนาอันเป็นพื้นฐานของศาสนาของชาวอิสราเอล.”
มิตเชล เดฮาด จากสถาบันของโปปเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลซึ่งอยู่ในกรุงโรมให้ความเห็นเกี่ยวกับพระธรรมบทเพลงสรรเสริญบท 29 ว่า “เพลงสรรเสริญบทนี้เป็นเพลงที่พวกนับถือยาห์เวห์รับมาจากเพลงสวดที่เก่าแก่กว่าซึ่งชาวคะนาอันร้องสรรเสริญเทพวายุบาอัล . . . เดี๋ยวนี้เกือบทุกคำในเพลงสรรเสริญบทนี้จะทำสำเนาได้จากข้อความที่เก่าแก่กว่าของชาวคะนาอัน.” การลงความเห็นเช่นนั้นถูกต้องไหม? ไม่อย่างแน่นอน!
ผู้คงแก่เรียนที่มีเหตุผลกว่ายอมรับว่า ความเหมือนนั้นเป็นการพูดเกินจริง. ส่วนคนอื่น ๆ ตำหนิแนวโน้มที่พวกเขาเรียกว่า อะไร ๆ ก็อูการิต. แกร์รี แบรนต์ลีย์ นักเทววิทยา กล่าวว่า “ไม่มีข้อความภาษาอูการิตสักแห่งเดียวจะเทียบได้กับเพลงสรรเสริญบท 29 ทั้งบท. ที่บอกว่าเพลงสรรเสริญบท 29 (หรือข้อความอื่นใดในคัมภีร์ไบเบิล) เป็นการรับมาจากเทพนิยายนอกรีตนั้นไม่มีหลักฐานเลย.”
ข้อเท็จจริงที่ว่าความคล้ายคลึงกันในภาพพจน์, ด้านบทกวี, และการใช้สำนวน เป็นข้อพิสูจน์ไหมว่ามีการรับเอามา? ในทางตรงข้าม ความคล้ายคลึงกันนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคาดหมาย. สารานุกรมศาสนา บอกว่า “สาเหตุที่มีความคล้ายคลึงกันในด้านรูปแบบและเนื้อหาคือวัฒนธรรม: แม้ว่ามีความแตกต่างอันสำคัญในด้านภูมิศาสตร์และยุคสมัยระหว่างชาวอูการิตกับชาวอิสราเอล แต่ทั้งสองพวกก็เป็นส่วนของวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่าซึ่งมีบทกวีและคำศัพท์ทางศาสนาร่วมกัน.” ดังนั้น แกร์รี แบรนต์ลีย์จึงลงความเห็นว่า “เป็นการอธิบายที่ไม่ถูกต้องที่ยัดเยียดความเชื่อนอกรีตเข้าไปในข้อความของคัมภีร์ไบเบิลเพียงเพราะความคล้ายคลึงกันด้านภาษา.”
ประการสุดท้าย ควรสังเกตว่าถ้ามีความคล้ายคลึงกันจริงระหว่างข้อความที่ราส ชามรากับคัมภีร์ไบเบิล ข้อความเหล่านั้นเป็นเรื่องวรรณกรรมล้วน ๆ ไม่ใช่เรื่องศาสนา. ไซรัส กอร์ดอน นักโบราณคดี กล่าวว่า “หลักศีลธรรมจรรยาอันสูงส่งในคัมภีร์ไบเบิลไม่มีให้พบในอูการิต.” ที่จริง ความแตกต่างมีมากยิ่งกว่าความคล้ายคลึงใด ๆ.
การศึกษาเรื่องของอูการิตดูเหมือนดำเนินต่อไปเพื่อช่วยเหล่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้เข้าใจสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์, และทางศาสนาของพวกผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลและเรื่องราวเกี่ยวกับชาติฮีบรูโดยทั่วไป. การตรวจดูข้อความที่พบที่ราส ชามราต่อไปยังอาจทำให้ความเข้าใจภาษาฮีบรูโบราณกระจ่างขึ้นอีกด้วย. แต่ที่สำคัญคือ การค้นพบทางโบราณคดีที่อูการิตเน้นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างความเลื่อมใสอันเสื่อมทรามต่อบาอัลกับการนมัสการอันบริสุทธิ์ต่อพระยะโฮวา.
[เชิงอรรถ]
a โดยทั่วไปแล้ว มีการระบุว่า “ชาวทะเล” เป็นพวกนักเดินเรือจากหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและจากแถบชายฝั่งทะเลเดียวกันนี้. ชาวฟิลิสเตียก็อาจอยู่ในคนจำพวกนี้ด้วย.—อาโมศ 9:7.
b แม้ว่ามีความเห็นแตกต่างกันหลายอย่าง แต่บางคนก็ระบุว่าวิหารของดากานเป็นวิหารของเอล. โรลอง เดอ โว ผู้คงแก่เรียนชาวฝรั่งเศสและเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในเยรูซาเลมชี้ว่า ดากาน—หรือดาโกนในวินิจฉัย 16:23 และ 1 ซามูเอล 5:1-5 (ฉบับแปลใหม่)—เป็นชื่อเฉพาะของเอล. สารานุกรมศาสนา อธิบายว่า อาจเป็นไปได้ที่ “ดากานเป็นองค์เดียวกับเอลหรือไม่ก็รวมอยู่ในองค์เดียวกับเอล.” ในข้อความที่พบที่ราส ชามรา บาอัลถูกเรียกว่าบุตรของดากาน แต่ความหมายของคำว่า “บุตร” ในที่นี้ไม่เป็นที่ทราบแน่นอน.
[คำโปรยหน้า 25]
การค้นพบทางโบราณคดีที่อูการิตทำให้เราเข้าใจพระคัมภีร์มากขึ้น
[แผนที่/รูปภาพหน้า 24, 25]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
จักรวรรดิเฮทในศตวรรษที่ 14 ก่อน ส.ศ.
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ยูเฟรทิส
ภูเขาคาเซียส (เยเบล เอล-อะกรา)
อูการิต (ราส ชามรา)
เทลล์ ซูกาส
โอรอนเทส
ซีเรีย
อียิปต์
[ที่มาของภาพ]
รูปปั้นบาอัลขนาดเล็กและถ้วยเครื่องดื่มที่มีฐานเป็นรูปหัวสัตว์: Musée du Louvre, Paris; painting of the royal palace: © D. Héron-Hugé pour “Le Monde de la Bible”
[ภาพหน้า 25]
ส่วนที่เหลืออยู่ของทางเข้าพระราชวัง
[ภาพหน้า 26]
บทกวีเรื่องเทพนิยายของชาวอูการิตอาจบอกภูมิหลังเกี่ยวกับเอ็กโซโด 23:19
[ที่มาของภาพ]
Musée du Louvre, Paris
[ภาพหน้า 27]
หลักศิลาของบาอัล
จานทองที่มีภาพการล่าสัตว์
ฝาที่เป็นงาช้างของกล่องเครื่องสำอาง มีภาพเทพธิดาแห่งการเจริญพันธุ์
[ที่มาของภาพ]
All pictures: Musée du Louvre, Paris