จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
ท่านเฝ้าดูและเฝ้าคอย
เอลียาห์ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะอยู่ตามลำพังกับพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์. แต่ฝูงชนรอบข้างเพิ่งได้เห็นผู้พยากรณ์แท้ท่านนี้เรียกไฟลงมาจากสวรรค์ และคงมีหลายคนอยากเข้ามาประจบเอาใจท่านแน่ ๆ. ก่อนที่เอลียาห์จะได้ขึ้นไปบนยอดภูเขาคาร์เมลที่มีลมพัดแรงและเข้าเฝ้าพระยะโฮวาพระเจ้าเป็นส่วนตัวในคำอธิษฐาน ท่านก็ต้องเผชิญกับงานที่น่าหนักใจ. ท่านต้องไปพูดกับกษัตริย์อาฮาบ.
ชายสองคนนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง. อาฮาบผู้ทรงฉลองพระองค์งดงามอย่างกษัตริย์ เป็นผู้ออกหากที่เห็นแก่ตัวและอ่อนแอ. เอลียาห์สวมชุดยาวประจำตำแหน่งของผู้พยากรณ์ซึ่งเป็นชุดเรียบ ๆ ที่อาจทำจากหนังสัตว์หรือทอจากขนอูฐหรือขนแพะ. ท่านเป็นคนกล้าหาญ, ซื่อสัตย์, และมีความเชื่อมาก. เหตุการณ์ที่ดำเนินมาถึงตอนสิ้นสุดของวันได้เผยให้เห็นอะไรหลายอย่างแล้วเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของชายทั้งสองคน.a
วันนั้นเป็นวันที่เลวร้ายสำหรับอาฮาบและผู้นมัสการบาละคนอื่น ๆ. ศาสนานอกรีตที่อาฮาบและราชินีอีซาเบล ผู้เป็นมเหสีได้ส่งเสริมในอาณาจักรอิสราเอลสิบตระกูลนั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นศาสนาเท็จ. บาละถูกเปิดโปงว่าเป็นพระเท็จ. พระที่ไร้ชีวิตองค์นี้แม้จะติดไฟสักกองหนึ่งก็ยังทำไม่ได้ ไม่ว่าพวกผู้พยากรณ์จะอ้อนวอน, โลดเต้น, หรือทำพิธีเชือดเนื้อให้เลือดไหลอย่างบ้าคลั่งเช่นไรก็ตาม. บาละไม่สามารถปกป้องชาย 450 คนนี้จากการถูกประหารอย่างสาสม. แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งด้วยที่พระเท็จองค์นี้ทำไม่ได้ และกำลังจะมีการพิสูจน์ว่าไม่อาจทำได้แน่นอน. นานกว่าสามปีแล้วที่ผู้พยากรณ์ของบาละได้ร้องขอให้พระของตนยุติความแห้งแล้งซึ่งสร้างความทุกข์เดือดร้อนไปทั่วแผ่นดิน แต่บาละก็แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม่ได้. อีกไม่ช้า พระยะโฮวาเองจะทรงสำแดงความเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้โดยยุติความแห้งแล้งนี้.—1 กษัตริย์ 16:30–17:1; 18:1-40.
แต่พระยะโฮวาจะทรงปฏิบัติการเมื่อไร? เอลียาห์จะปฏิบัติตัวเช่นไรจนกว่าจะถึงเวลานั้น? และเราเรียนอะไรได้จากชายผู้ซื่อสัตย์คนนี้? ให้เรามาดูคำตอบขณะที่พิจารณาบันทึกใน 1 กษัตริย์ 18:41-46.
เจตคติที่จริงจังต่อการอธิษฐาน
เอลียาห์ไปเฝ้าอาฮาบและกล่าวว่า “เชิญเสด็จขึ้นเสวยและดื่มเถิด; เพราะมีเสียงฝนห่าใหญ่มาแล้ว.” (ข้อ 41) กษัตริย์ผู้ชั่วช้าได้เรียนอะไรจากเหตุการณ์ในวันนั้นไหม? บันทึกไม่ได้บอก แต่เราก็ไม่พบว่าอาฮาบได้กล่าวอะไรที่แสดงถึงการกลับใจ เขาไม่ได้ร้องขอให้ผู้พยากรณ์เอลียาห์ช่วยกราบทูลพระยะโฮวาและขอการอภัยโทษ. อาฮาบเพียงแต่ “เสด็จไปจะเสวยและดื่ม.” (ข้อ 42) แล้วเอลียาห์ล่ะ?
“เอลียาห์จึงขึ้นไปบนยอดภูเขาคารเม็ล; น้อมตัวลงถึงพื้นดิน, ซบหน้าลงหว่างเข่า.” ขณะที่อาฮาบไปรับประทานอาหาร เอลียาห์กลับใช้โอกาสนั้นเพื่ออธิษฐานถึงพระบิดาของท่าน. ขอสังเกตท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งพรรณนาที่นี่—เอลียาห์ทรุดตัวลงกับพื้นและศีรษะของท่านก้มต่ำจนหน้าของท่านแทบจะติดเข่า. เอลียาห์กำลังอธิษฐานเรื่องอะไร? เราไม่จำเป็นต้องเดา. ที่ยาโกโบ 5:18 คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าเอลียาห์อธิษฐานขอให้ความแห้งแล้งยุติ. ไม่ต้องสงสัยว่าท่านคงกำลังอธิษฐานถึงเรื่องนี้เมื่ออยู่บนยอดภูเขาคาร์เมล.
ก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาตรัสว่า “เราจะบันดาลให้ฝนตกบนพื้นแผ่นดิน.” (1 กษัตริย์ 18:1) ดังนั้น เอลียาห์จึงอธิษฐานขอให้พระประสงค์ของพระบิดาสำเร็จเป็นจริงตามที่ตรัสไว้ เหมือนกับที่พระเยซูทรงสอนผู้ติดตามพระองค์ให้อธิษฐานประมาณหนึ่งพันปีหลังจากนั้น.—มัดธาย 6:9, 10.
ตัวอย่างของเอลียาห์สอนเราหลายอย่างเกี่ยวกับการอธิษฐาน. สิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเอลียาห์คือการที่พระประสงค์ของพระบิดาของท่านสำเร็จเป็นจริง. เมื่อเราอธิษฐาน นับว่าดีที่จะจำไว้ว่า “สิ่งใดก็ตามที่เราทูลขอ ถ้าสิ่งนั้นสอดคล้องกับพระประสงค์ [ของพระเจ้า] พระองค์จะทรงฟังเรา.” (1 โยฮัน 5:14) ดังนั้น เห็นได้ชัดว่า เราจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อเราจะอธิษฐานได้อย่างที่พระเจ้าทรงยอมรับ จึงมีเหตุผลดีที่เราจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำทุกวัน. แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่เอลียาห์ต้องการเห็นความแห้งแล้งยุติก็เพราะผู้คนในบ้านเกิดเมืองนอนของท่านกำลังทุกข์ลำบาก. หัวใจของท่านคงเปี่ยมด้วยความขอบพระคุณหลังจากได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระยะโฮวาทรงทำในวันนั้น. ความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของคนอื่นและความรู้สึกขอบพระคุณจากใจจริงควรเป็นส่วนสำคัญในคำอธิษฐานของเราเช่นกัน.—2 โครินท์ 1:11; ฟิลิปปอย 4:6.
มั่นใจและเฝ้าดู
เอลียาห์แน่ใจว่าพระยะโฮวาจะทรงยุติความแห้งแล้ง แต่ท่านไม่แน่ใจว่าพระองค์จะทรงทำเมื่อไร. ฉะนั้น ในระหว่างนี้ท่านผู้พยากรณ์ทำอะไร? ขอสังเกตข้อ 43 ซึ่งกล่าวว่า “[เอลียาห์] สั่งคนใช้ว่า, จงขึ้นไปดูทางทะเล. คนใช้นั้นก็ขึ้นไปดู, และบอกว่า, ไม่มีอะไรเลย. ท่านสั่งให้กลับไปดูอีกถึงเจ็ดครั้ง.” ตัวอย่างของเอลียาห์สอนบทเรียนแก่เราอย่างน้อยสองเรื่อง. ก่อนอื่นให้เราสังเกตความมั่นใจของผู้พยากรณ์เอลียาห์. จากนั้นก็พิจารณาการเฝ้าดูของท่าน.
เอลียาห์ร้อนใจอยากจะเห็นหลักฐานซึ่งแสดงว่าพระยะโฮวากำลังจะยุติความแห้งแล้ง ท่านจึงส่งคนใช้ขึ้นไปยังที่สูงเพื่อให้มองหาสัญญาณที่แนวขอบฟ้าซึ่งบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตก. คนใช้กลับมารายงานอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไรเลย.” ไม่มีอะไรที่ขอบฟ้า และดูเหมือนว่าท้องฟ้านั้นไร้เมฆ. ถึงตอนนี้ คุณสังเกตไหมว่ามีอะไรแปลก? คุณคงจำได้ว่าเอลียาห์เพิ่งจะทูลกษัตริย์อาฮาบว่า “มีเสียงฝนห่าใหญ่มาแล้ว.” ผู้พยากรณ์กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเมฆฝนยังไม่ตั้งเค้าให้เห็นเลย?
เอลียาห์รู้จักคำสัญญาของพระยะโฮวาดี. ในฐานะผู้พยากรณ์และตัวแทนของพระเจ้า ท่านแน่ใจว่าพระยะโฮวาจะทรงทำให้คำตรัสของพระองค์สำเร็จเป็นจริง. เอลียาห์มั่นใจ—ท่านมั่นใจมากราวกับว่าได้ยินเสียงฝนห่าใหญ่ตกลงมาแล้ว. เรื่องนี้อาจทำให้เรานึกถึงข้อความในคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวถึงโมเซว่า “เขายังยืนหยัดมั่นคงต่อ ๆ ไปเสมือนเห็นพระองค์ผู้ไม่ประจักษ์แก่ตา.” พระเจ้าทรงเป็นจริงสำหรับคุณขนาดนั้นไหม? พระองค์ทรงประทานหลักฐานมากมายแก่เราเพื่อเราจะมีความเชื่อแบบเดียวกันนั้นในพระองค์และคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์.—ฮีบรู 11:1, 27.
ต่อไปให้เราสังเกตว่าเอลียาห์ตื่นตัวเฝ้าระวังเพียงไร. ท่านส่งคนใช้กลับไป ไม่ใช่ครั้งเดียวหรือสองครั้ง แต่ถึงเจ็ดครั้ง! เราอาจนึกภาพคนใช้ที่ขึ้นไปดูครั้งแล้วครั้งเล่าจนเบื่อ แต่เอลียาห์ก็ยังรอดูสัญญาณบางอย่างด้วยความกระตือรือร้นและไม่ยอมเลิกรา. ในที่สุด หลังจากกลับไปเป็นครั้งที่เจ็ด คนใช้ก็มารายงานว่า “นี่แน่ะ, มีเมฆเล็ก ๆ เท่าฝ่ามือลอยมาจากทะเล.” (ข้อ 44) คุณนึกภาพออกได้ไหมเมื่อคนใช้เหยียดแขนออกแล้วใช้ฝ่ามือวัดขนาดของเมฆก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งที่กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือขอบฟ้าของทะเลใหญ่?b คนใช้อาจไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเมฆก้อนนั้น. แต่สำหรับเอลียาห์ เมฆก้อนนั้นสำคัญมาก. ท่านจึงรีบสั่งคนใช้ว่า “จงขึ้นไปทูลอาฮาบ, ให้จัดแจงเสด็จกลับลงไปเพื่อจะมิได้ติดฝน.”
อีกครั้งหนึ่ง เอลียาห์วางตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเรา. เราเองก็มีชีวิตอยู่ในสมัยที่พระเจ้าใกล้จะทำให้พระประสงค์ที่ทรงแถลงไว้สำเร็จเป็นจริง. เอลียาห์เฝ้าคอยเวลาที่ความแห้งแล้งจะสิ้นสุด ผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวันนี้ก็เฝ้าคอยเวลาที่ระบบโลกอันเสื่อมทรามนี้จะสิ้นสุดลง. (1 โยฮัน 2:17) จนกว่าจะถึงเวลาที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติการ เราจำเป็นต้องเฝ้าดูต่อไปเช่นเดียวกับท่านเอลียาห์. พระเยซู ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงแนะนำผู้ติดตามพระองค์ว่า “ฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะเจ้าทั้งหลายไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าจะมาในวันใด.” (มัดธาย 24:42) พระเยซูทรงหมายความว่าผู้ติดตามพระองค์จะไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะถึงอวสานอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะพระองค์ตรัสไว้อย่างละเอียดว่าโลกจะเป็นเช่นไรเมื่อใกล้ถึงอวสาน. เราแต่ละคนสามารถเรียนได้เกี่ยวกับรายละเอียดของสัญญาณที่บอกว่าเป็น “ช่วงสุดท้ายของยุค.”—มัดธาย 24:3-7.c
สัญญาณแต่ละอย่างประกอบกันเป็นหลักฐานที่มีพลังและน่าเชื่อถือ. หลักฐานเหล่านี้เพียงพอที่จะกระตุ้นเราให้ลงมือทำอย่างเร่งด่วนไหม? เมฆก้อนเล็กก้อนเดียวที่โผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้าเพียงพอที่ทำให้เอลียาห์มั่นใจว่าพระยะโฮวากำลังจะลงมือปฏิบัติการ. ผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์คนนี้ผิดหวังไหม?
พระยะโฮวาทรงประทานการบรรเทาทุกข์และพระพร
บันทึกกล่าวต่อไปว่า “อีกครู่หนึ่ง, เมฆก็มืดไปในท้องฟ้า, มีพายุและฝนตกใหญ่. อาฮาบก็ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิศเรล.” (ข้อ 45) เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วมาก. ขณะที่คนใช้ของเอลียาห์กำลังนำข่าวไปทูลอาฮาบ เมฆก้อนเล็กนั้นก็กลายเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่แผ่มืดเต็มท้องฟ้า. มีลมพัดแรง. หลังจากสามปีครึ่ง ฝนก็ตกรดแผ่นดินอิสราเอลในที่สุด.d ผืนดินที่แตกระแหงดูดซับน้ำฝนที่ตกลงมา. และเนื่องจากฝนตกลงมาห่าใหญ่ น้ำในแม่น้ำคีโชนจึงเอ่อล้น และคงได้ชำระล้างโลหิตเหล่าผู้พยากรณ์ของบาละที่ถูกสังหารอย่างไม่ต้องสงสัย. ชาติอิสราเอลที่หลงผิดก็ได้รับโอกาสที่จะชำระล้างร่องรอยของการนมัสการบาละให้หมดไปจากแผ่นดินด้วยเช่นกัน.
เอลียาห์คงหวังให้เป็นอย่างนั้นแน่ ๆ! อาฮาบจะกลับใจและหันกลับจากการนมัสการบาละที่ทำให้เป็นมลทินไหม? เหตุการณ์ในวันนั้นให้เหตุผลที่มีพลังซึ่งสนับสนุนให้ทำการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น. แน่ละ เราไม่อาจรู้ได้ว่าอาฮาบคิดอะไรอยู่. บันทึกเพียงแต่บอกเราว่า กษัตริย์ “ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิศเรล.” อาฮาบได้เรียนอะไรบ้างไหม? เขาตั้งใจจะเปลี่ยนแนวทางชีวิตไหม? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นบ่งชี้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น. อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังไม่สิ้นสุดสำหรับอาฮาบ และสำหรับเอลียาห์ด้วย.
ผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาออกเดินทางโดยใช้เส้นทางเดียวกับอาฮาบ. ท่านต้องเดินทางไปอีกไกลบนเส้นทางที่เปียกแฉะและมืดมิด. แต่แล้วก็มีสิ่งที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้น.
“พระหัตถ์แห่งพระยะโฮวาก็ทรงอยู่บนเอลียา; ท่านก็ได้คาดเอวไว้, แล้ววิ่งไปข้างหน้าอาฮาบจนถึงเขตที่เข้าไปในยิศเรล.” (ข้อ 46) เห็นชัดว่า “พระหัตถ์แห่งพระยะโฮวา” กำลังปฏิบัติการเพื่อช่วยเอลียาห์ในวิธีที่เหนือธรรมชาติ. ยิศเรเอลอยู่ไกลออกไป 30 กิโลเมตร และเอลียาห์ก็ไม่ใช่คนหนุ่ม.e ขอเพียงนึกภาพผู้พยากรณ์คนนี้รวบชุดยาวของท่านขึ้นมามัดไว้ที่สะโพกเพื่อให้ขาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วก็วิ่งไปตามถนนที่เปียกแฉะ—วิ่งเร็วมากจนตามทันและแซงหน้าราชรถของกษัตริย์ด้วยซ้ำ!
คงต้องเป็นพระพรสักเพียงไรสำหรับเอลียาห์! คงต้องเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ ที่ได้รู้สึกถึงเรี่ยวแรง, ความกระฉับกระเฉงและกำลังวังชาเช่นนั้น ซึ่งอาจมากกว่าที่ท่านเคยรู้สึกเมื่อตอนเป็นหนุ่มด้วยซ้ำ. เรื่องนี้อาจทำให้เรานึกถึงคำพยากรณ์ที่รับประกันเรื่องสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์และความกระปรี้กระเปร่าสำหรับผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลายบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานซึ่งกำลังจะมาถึง. (ยะซายา 35:6; ลูกา 23:43) แน่นอนว่า ขณะที่เอลียาห์วิ่งไปตามทางที่เปียกแฉะ ท่านคงรู้ว่าท่านเป็นที่โปรดปรานของพระบิดา คือพระยะโฮวาผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว!
พระยะโฮวาทรงพร้อมเสมอที่จะอวยพร. การพยายามทำอะไรก็ตามที่เราทำได้เพื่อจะได้พระพรจากพระองค์เป็นสิ่งคุ้มค่าอย่างยิ่ง. เช่นเดียวกับเอลียาห์ เราจำเป็นต้องเฝ้าดู และประเมินอย่างรอบคอบเกี่ยวกับหลักฐานที่มีพลังซึ่งแสดงว่าพระยะโฮวากำลังจะทรงปฏิบัติการในสมัยที่อันตรายและเร่งด่วนนี้. เช่นเดียวกับเอลียาห์ เรามีเหตุผลดียิ่งที่จะมั่นใจเต็มที่ในคำสัญญาของพระยะโฮวา “พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง.”—บทเพลงสรรเสริญ 31:5.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับรายละเอียด โปรดดูบทความ “ท่านปกป้องการนมัสการอันบริสุทธิ์” ในวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มกราคม 2008.
b ปัจจุบัน ทะเลใหญ่เป็นที่รู้จักกันว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน.
c สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่แสดงว่าคำตรัสของพระเยซูกำลังสำเร็จเป็นจริงในทุกวันนี้ โปรดดูบท 9 ของหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
d บางคนสงสัยว่าคัมภีร์ไบเบิลขัดแย้งในตัวเองหรือไม่ในเรื่องระยะเวลาที่เกิดความแห้งแล้ง. โปรดดูกรอบหน้า 19.
e หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นาน พระยะโฮวาทรงมอบหมายเอลียาห์ให้ฝึกสอนอะลีซา ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะ “ผู้ได้เทน้ำล้างมือเอลียา.” (2 กษัตริย์ 3:11) อะลีซาทำหน้าที่คนใช้ของเอลียาห์ โดยให้ความช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ทำได้แก่ผู้พยากรณ์ชรา.
[กรอบ/ภาพหน้า 19]
ความแห้งแล้งในสมัยเอลียาห์ยาวนานเท่าไร?
เอลียาห์ ผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาประกาศแก่กษัตริย์อาฮาบว่าความแห้งแล้งที่มีมานานจะยุติในไม่ช้า. เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น “ในปีที่สาม” ซึ่งดูเหมือนนับจากวันแรกที่เอลียาห์ประกาศว่าจะเกิดความแห้งแล้ง. (1 กษัตริย์ 18:1) หลังจากเอลียาห์ทูลอาฮาบได้ไม่นาน พระยะโฮวาก็ทรงบันดาลให้ฝนตก. บางคนจึงอาจลงความเห็นว่าความแห้งแล้งยุติในระหว่างปีที่สาม และฉะนั้นจึงมีความแห้งแล้งอยู่ไม่ถึงสามปี. อย่างไรก็ตาม ทั้งพระเยซูและยาโกโบบอกเราว่าความแห้งแล้งครั้งนั้นนาน “สามปีหกเดือน.” (ลูกา 4:25; ยาโกโบ 5:17) พระคัมภีร์ขัดแย้งกันเองในเรื่องนี้ไหม?
ไม่เลย. ที่จริงแล้ว ฤดูแล้งในอิสราเอลโบราณนั้นกินเวลาค่อนข้างนาน บางครั้งนานถึงหกเดือน. ไม่ต้องสงสัยว่า เอลียาห์คงมาหาอาฮาบเพื่อทูลให้ทราบว่าจะเกิดความแห้งแล้งหลังจากที่เห็นชัดแล้วว่าฤดูแล้งคราวนั้นนานและรุนแรงกว่าปกติ. ที่จริง ความแห้งแล้งได้เริ่มมาเกือบครึ่งปีแล้ว. ดังนั้น เมื่อเอลียาห์ประกาศ “ในปีที่สาม” ว่าความแห้งแล้งจะยุติ หลังจากที่ท่านได้ประกาศก่อนหน้านั้นว่าจะเกิดความแห้งแล้ง ความแห้งแล้งนั้นก็มีอยู่เกือบสามปีครึ่งแล้ว. เวลาผ่านไป “สามปีหกเดือน” เต็มเมื่อคนทั้งปวงมาชุมนุมกันเพื่อเป็นพยานในการทดสอบบนภูเขาคาร์เมล.
เมื่อคำนึงถึงข้อที่ว่าความแห้งแล้งได้เริ่มขึ้นแล้ว คิดดูสิว่าตอนที่เอลียาห์ไปเฝ้าอาฮาบครั้งแรกจะเป็นอย่างไร. ประชาชนเชื่อว่าบาละเป็น “ผู้ขี่เมฆ” คือเป็นพระที่จะบันดาลให้ฝนตกลงมาเพื่อให้ฤดูแล้งยุติลง. ถ้าฤดูแล้งปีนั้นยาวนานกว่าปกติ ผู้คนคงสงสัยกันว่า ‘บาละอยู่ไหน? เมื่อไรท่านจะทำให้ฝนตกเสียที?’ คำประกาศของเอลียาห์ที่ว่าจะไม่มีฝนหรือน้ำค้างจนกว่าท่านจะทูลขอ คงต้องทำให้ผู้นมัสการบาละทุกข์ใจอย่างยิ่ง.—1 กษัตริย์ 17:1.
[ที่มาของภาพ]
Pictorial Archive (Near Eastern History) Est.
[ภาพหน้า 18]
คำอธิษฐานของเอลียาห์สะท้อนให้เห็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริง