คำถามจากผู้อ่าน
▪ เอศเธระ หญิงสาวชาวยิวได้มีความสัมพันธ์ทางเพศอย่างผิดศีลธรรมกับกษัตริย์เปอร์เซียไหมเพื่อจะได้รับความโปรดปรานจากเขาและด้วยเหตุนั้นจึงได้ผลประโยชน์?
บางคนอาจลงความเห็นอย่างนี้โดยอาศัยการรายงานของชาวโลก แต่บันทึกที่เชื่อถือได้ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นในทางตรงกันข้ามกับการสันนิษฐานเอาเองเช่นนั้น.
ฟลาวิอุส โจซิฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวรายงานว่าพระนางวัศธี ราชินีเปอร์เซีย ได้ปฏิเสธจะปรากฏตัวเฉพาะพระพักตร์ของพระสวามี กษัตริย์อะหัศวะโรศ. เหตุฉะนั้น กษัตริย์องค์นี้ ซึ่งเป็นที่ชัดแจ้งว่าคือเซอร์เซสที่ 1 แห่งศตวรรษที่ห้าก่อนสากลศักราช จึงได้ปลดนางวัศธีออกเสียด้วยความพิโรธ และตกลงใจให้เสาะหาทั่วอาณาจักรเพื่อจะพบผู้ที่จะเป็นราชินีคนใหม่. หญิงสาวพรหมจารีที่สวยงามจึงถูกรวบรวมเข้ามาและให้เวลาสำหรับการตกแต่งรูปโฉมให้สวยงามเป็นเวลานานพอควรทีเดียว.
“ครั้นเมื่อ [ขันทีของกษัตริย์] เห็นว่าเหล่าหญิงสาวพรหมจารีได้รับการเอาใจใส่อย่างเพียงพอแล้ว . . . และบัดนี้มีความเหมาะสมที่จะส่งเข้าไปยังพระแท่นของกษัตริย์เขาจะส่งหญิงสาวไปยังกษัตริย์ทุกวันวันละคน ซึ่งหลังจากได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเธอแล้วกษัตริย์ก็จะส่งเธอกลับไปหาขันที. แต่คราวที่เอศเธระเข้ามาเฝ้ากษัตริย์นั้น กษัตริย์โปรดปรานเธอยิ่งและจึงได้เกิดความรักในตัวเธอ ทรงแต่งตั้งให้เธอเป็นพระมเหสีโดยถูกต้องตามกฎหมายและได้จัดพิธีอภิเษกสมรสขึ้น.”—จิววิช แอนติควิตี เล่ม 11 หน้า 184–202 แปลโดย ราล์ฟ มาร์คัส (และที่แปลโดย วิลเลียม วิสตัน เล่ม 11 บท 6 วรรค 1, 2)
บันทึกทางโลกฉบับนี้อาจชักนำให้บางคนคิดว่า พวกหญิงพรหมจารีได้ร่วมความสัมพันธ์ทางเพศอย่างผิดศีลธรรมกับกษัตริย์และสิ่งที่แตกต่างกันเพียงประการเดียวในกรณีของเอศเธระก็คือการผิดศีลธรรมทางเพศของเธอได้นำไปสู่การสมรสและการที่เธอได้เป็นราชินี. แต่อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลจัดให้เรามีรายละเอียดที่ถูกต้องแม่นยำกว่าและน่าพอใจกว่า.
หลังจากการอธิบายถึงการปรุงแต่งรูปโฉมแล้ว คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “และพวกเขาทุกคนจึงได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อะหัศวะโรศทีละคน ๆ. . . . เขาได้เข้าไปเฝ้าในเวลาเย็น และในเวลาเช้าจึงกลับออกมาและอยู่ในตึกตำหนักที่สองสำหรับผู้หญิง อยู่ในบังคับหัวหน้าพวกขันทีของกษัตริย์ ชื่อซาอัศคัศเป็นผู้รักษานางห้าม และหญิงนั้นไม่ได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อีกเลย เว้นไว้แต่กษัตริย์โปรดปรานหญิงนั้น และตรัสเรียกชื่อโดยเฉพาะ.”—เอศเธระ 2:13, 14.
พระคัมภีร์กล่าวว่า เอศเธระ “ถูกนำตัว” ไปที่ ‘ตำหนักผู้หญิง” เพื่อให้การบำรุงความงามเป็นเวลานาน แล้ว “เขาก็พานางเอศเธระเข้าไปเฝ้ากษัตริย์อะหัศวะโรศ . . . ฝ่ายกษัตริย์ได้รักนางเอศเธระมากกว่าหญิงทั้งปวง และนางเอศเธระนั้นได้รับความชอบและความโปรดปรานในพระเนตรของกษัตริย์มากยิ่งกว่าหญิงพรหมจารีทั้งหลายเหล่านั้น และกษัตริย์จึงเอาราชมงกุฏใส่ศีรษะนางเอศเธระ และตั้งไว้เป็นมเหสีแทนพระนางวัศธีนั้น.”—เอศเธระ 2:8, 9, 16, 17.
คุณได้สังเกตจากคัมภีร์ไบเบิลไหมว่าพวกผู้หญิงถูกนำไปที่ไหนหลังจากได้อยู่กับกษัตริย์คืนหนึ่งแล้ว? ‘นำไปที่ตำหนักที่สองสำหรับผู้หญิง อยู่ในบังคับของผู้ควบคุมนางห้ามของกษัตริย์.’ ฉะนั้น พวกนางจึงได้กลายเป็นนางห้ามไป. มาระดะคาย ผู้จารึกพระธรรมเอศเธระแห่งคัมภีร์ไบเบิลเป็นชาวฮีบรู และในท่ามกลางชนร่วมชาติของท่านในสมัยนั้น พวกนางห้ามมีฐานะในสังคมเป็นอนุภรรยา. พระบัญญัติของพระเจ้ามีว่า ชายยิศราเอลอาจเอาตัวหญิงสาวต่างชาติซึ่งถูกจับมาในระหว่างสงครามมาได้และเธอก็จะเป็นนางบำเรอหรืออนุภรรยาของเขา ทั้งได้รับสิทธิและการคุ้มครองตามกฎหมาย. (พระบัญญัติ 21:10–17, เทียบ เอ็กโซโด 21:7–11.) เด็กที่เกิดจากอนุภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นบุตรซึ่งชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิ์รับมรดกได้. บุตรชายทั้งสิบสองคนของยาโคบ ผู้เป็นบรรพบุรุษของชนยิศราเอลสิบสองตระกูล ก็เป็นบุตรแห่งภรรยาทั้งสองและอนุภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่าน.—เยเนซิศ 30:3–13.
ขั้นตอนก็คือว่าหลังจากเหล่าหญิงพรหมจารีได้อยู่กับกษัตริย์เปอร์เซีย พวกนางได้ไปที่ตำหนักนางห้าม. สิ่งนี้ชี้ว่าพวกนางได้กลายเป็นเหล่าอนุภรรยาของกษัตริย์.
เอศเธระล่ะเป็นอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวว่า เธอได้นอนกับกษัตริย์แล้วจึงได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์. คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าเธอถูกนำไปที่ตำหนักนางห้าม แต่บอกเพียงว่า “เขาก็พานางเอศเธระเข้าไปเฝ้ากษัตริย์อะหัศวะโรศ . . . กษัตริย์ได้รักนางเอศเธระมากกว่าหญิงทั้งปวง.” ขอนึกถึงว่าตั้งแต่แรกเริ่ม โดยปราศจากการอะลุ้มอล่วยฐานะทางศีลธรรมและความเป็นพรหมจารีของเธอ เธอได้เป็นที่ “ชอบใจ” เฮฆายผู้กำกับรักษาพวกผู้หญิงทั้งปวงนั้น.” ยิ่งกว่านั้น: “เอศเธระได้เป็นที่ชอบตาของคนทั้งปวงที่ได้เห็นนางนั้น.” (เอศเธระ 2:8, 9, 15–17) ดังนั้น จึงเห็นชัดว่าเอศเธระได้เป็นที่ประทับใจกษัตริย์และได้รับความนับถือจากกษัตริย์ ดังที่นางได้รับความนับถือจากคนอื่น ๆ นั้น.
เรารู้สึกขอบคุณที่สามารถมีข้อเท็จจริงและการหยั่งเห็นเข้าใจที่คัมภีร์ไบเบิลจัดเตรียมไว้ให้เรา! ด้วยเหตุนั้น แม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลจากเหตุการณ์นั้นถึงหลายพันปีก็ตาม เราก็มีเหตุผลจะมั่นใจว่าเอศเธระได้ประพฤติด้วยความบริสุทธิ์สัตย์จริงและเป็นไปตามหลักการของพระเจ้า.