พระบัญญัติก่อนพระคริสต์
“ข้าพเจ้ารักข้อกฎหมายของพระองค์มากเพียงใด! ข้าพเจ้าคำนึงถึงตลอดวัน.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:97, ล.ม.
1. อะไรที่ควบคุมการโคจรของเทห์ฟากฟ้า?
ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านโยบคงจะมองขึ้นไปดูเหล่าดวงดาวด้วยความพิศวง. เป็นไปได้ว่า บิดามารดาของท่านได้สอนท่านให้รู้จักชื่อของหมู่ดาวอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย และบอกสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับกฎที่ควบคุมการโคจรของหมู่ดาวต่าง ๆ ในท้องฟ้า. ที่จริง คนในสมัยโบราณอาศัยการโคจรอันคงที่ของหมู่ดาวที่กว้างใหญ่และมีแบบแผนที่งดงามเพื่อกำหนดแบ่งฤดูต่าง ๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง. แต่ตลอดเวลาที่ท่านมองดูด้วยความเกรงขามนั้น โยบไม่รู้เลยว่า แรงอันยิ่งใหญ่อะไรบ้างที่ยึดกลุ่มดาวเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน. ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่อาจตอบได้เมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าตรัสถามท่านว่า “เจ้ารู้จักกฎธรรมชาติแห่งท้องฟ้าแล้วหรือ?” (โยบ 38:31-33) ถูกแล้ว ดาวทั้งหลายถูกควบคุมด้วยกฎ—กฎที่แม่นยำและซับซ้อนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังไม่เข้าใจอย่างเต็มที่.
2. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่า สรรพสิ่งทรงสร้างทุกอย่างถูกควบคุมด้วยกฎ?
2 พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ประทานกฎในเอกภพองค์ยิ่งใหญ่. สิ่งที่เป็นฝีพระหัตถ์ทั้งสิ้นของพระองค์ถูกควบคุมด้วยกฎ. พระบุตรที่รักของพระองค์ ผู้ “ทรงบังเกิดก่อนสรรพสิ่งทรงสร้าง” ทรงเชื่อฟังด้วยความซื่อสัตย์ต่อกฎของพระบิดาของพระองค์ตั้งแต่ก่อนมีเอกภพ! (โกโลซาย 1:15, ล.ม.) พวกทูตสวรรค์ก็ได้รับการนำโดยกฎด้วย. (บทเพลงสรรเสริญ 103:20) แม้แต่สัตว์ก็ถูกควบคุมด้วยกฎซึ่งทำให้พวกมันเชื่อฟังการบัญชาของสัญชาตญาณที่พระผู้สร้างทรงใส่เข้าไว้ในตัวพวกมัน.—สุภาษิต 30:24-28; ยิระมะยา 8:7.
3. (ก) เหตุใดมนุษยชาติต้องมีกฎหมาย? (ข) พระยะโฮวาทรงปกครองชาติยิศราเอลโดยทางใด?
3 มนุษย์เราล่ะเป็นอย่างไร? แม้ว่าเราได้รับพระพรต่าง ๆ เป็นของประทาน อย่างเช่น สติปัญญา, ความสำนึกด้านศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณ เรายังคงจำเป็นต้องมีกฎหมายของพระเจ้าอยู่บ้างเพื่อชี้นำเราในการใช้ความสามารถเหล่านี้. บิดามารดาคู่แรกของเรา อาดามและฮาวา เป็นมนุษย์สมบูรณ์ ดังนั้น มีกฎหมายไม่กี่ข้อที่จำเป็นเพื่อชี้นำพวกเขา. ความรักต่อพระบิดาทางภาคสวรรค์ของพวกเขาน่าจะเป็นเหตุผลที่เหลือเฟือแล้วสำหรับพวกเขาที่จะเชื่อฟังด้วยความยินดี. แต่พวกเขาไม่เชื่อฟัง. (เยเนซิศ 1:26-28; 2:15-17; 3:6-19) ผลก็คือ ลูกหลานของพวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดบาปซึ่งจำเป็นต้องมีกฎหมายอีกมากมายเพิ่มเข้ามาเพื่อให้การชี้นำ. เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยความรัก พระยะโฮวาทรงสนองตอบต่อความจำเป็นนี้. พระองค์ทรงประทานกฎหมายเฉพาะอย่างแก่โนฮาซึ่งท่านต้องถ่ายทอดต่อไปให้กับครอบครัวของท่าน. (เยเนซิศ 9:1-7) หลายศตวรรษต่อมา โดยทางโมเซ พระเจ้าทรงประทานประมวลพระบัญญัติซึ่งจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างละเอียด ให้กับชาติที่กำเนิดใหม่คือยิศราเอล. นี่นับเป็นครั้งแรกที่พระยะโฮวาทรงปกครองชาติทั้งชาติด้วยพระบัญญัติแห่งพระผู้เป็นเจ้า. การตรวจดูพระบัญญัตินั้นจะช่วยเราให้เข้าใจบทบาทสำคัญที่กฎหมายของพระเจ้ามีในชีวิตของคริสเตียนสมัยปัจจุบัน.
พระบัญญัติของโมเซ—จุดประสงค์ของพระบัญญัตินี้
4. เหตุใดจึงนับเป็นการท้าทายสำหรับลูกหลานที่ถูกเลือกของอับราฮามในการให้กำเนิดพงศ์พันธุ์แห่งคำทรงสัญญา?
4 อัครสาวกเปาโลซึ่งเป็นนักศึกษากฎหมายอย่างลึกซึ้งคนหนึ่งถามดังนี้: “ถ้าเช่นนั้นแล้วก็มีพระบัญญัติไว้ทำไมเล่า?” (ฆะลาเตีย 3:19) เพื่อจะตอบ เราต้องคิดย้อนไปถึงตอนที่พระยะโฮวาทรงสัญญากับอับราฮามผู้เป็นสหายของพระองค์ว่า เชื้อวงศ์ของท่านจะให้กำเนิดพงศ์พันธุ์ซึ่งจะนำพระพรอันยิ่งใหญ่มาสู่ชาติทั้งปวง. (เยเนซิศ 22:18) แต่ในเรื่องนี้มีข้อท้าทายอยู่อย่างหนึ่ง: ในบรรดาลูกหลานที่ถูกเลือกสรรของอับราฮาม คือพวกยิศราเอล ไม่ใช่ทุกคนที่รักพระยะโฮวา. เมื่อเวลาผ่านไป ปรากฏว่าส่วนใหญ่ดื้อด้าน กบฏขัดขืน—บางคนแทบจะไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองเลยทีเดียว! (เอ็กโซโด 32:9; พระบัญญัติ 9:7) สำหรับคนเช่นนั้น การได้อยู่ท่ามกลางไพร่พลของพระเจ้าเป็นเพียงเพราะบังเอิญเกิดมาอยู่ที่นั่น ไม่ใช่การสมัครใจเลือกเอา.
5. (ก) พระยะโฮวาทรงสอนอะไรกับชนยิศราเอลโดยทางพระบัญญัติของโมเซ? (ข) พระบัญญัติมุ่งหมายให้มีผลต่อการประพฤติของผู้ยึดมั่นอย่างไร?
5 ชาติที่เป็นเช่นนี้จะให้กำเนิด และได้รับประโยชน์จากพงศ์พันธุ์ที่ทรงสัญญาได้อย่างไร? แทนที่จะควบคุมพวกเขาเหมือนหุ่นยนต์ พระยะโฮวาทรงสอนพวกเขาโดยทางพระบัญญัติ. (บทเพลงสรรเสริญ 119:33-35; ยะซายา 48:17) ที่จริง คำฮีบรูโทราห์ʹ ที่ได้รับการแปลว่า “กฎหมาย” หมายถึง “การสั่งสอน.” พระบัญญัติสอนอะไร? ประการแรกสุด พระบัญญัติสอนพวกยิศราเอลถึงการที่พวกเขาจำเป็นต้องมีมาซีฮา ผู้ซึ่งจะไถ่ถอนพวกเขาจากสภาพที่ผิดบาป. (ฆะลาเตีย 3:24) พระบัญญัตินี้ยังสอนเรื่องความเกรงกลัวพระเจ้าและการเชื่อฟังพระองค์. ประสานกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับอับราฮาม พวกยิศราเอลต้องรับใช้เป็นพยานฝ่ายพระยะโฮวาต่อนานาชาติ. ดังนั้น พระบัญญัติต้องสอนพวกเขาให้มีจรรยาบรรณทางศีลธรรมที่สูงส่ง ซึ่งจะสะท้อนถึงพระยะโฮวาได้เป็นอย่างดี; พระบัญญัติจะช่วยให้ยิศราเอลแยกตัวอยู่ต่างหากจากกิจปฏิบัติที่เลวทรามของชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ.—เลวีติโก 18:24, 25; ยะซายา 43:10-12.
6. (ก) พระบัญญัติของโมเซมีตัวบทกฎหมายประมาณเท่าไร และทำไมจำนวนนี้จึงไม่นับว่ามากเกิน? (โปรดดูเชิงอรรถ.) (ข) ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งอะไรที่เราอาจได้รับจากการศึกษาเกี่ยวกับพระบัญญัติของโมเซ?
6 ดังนั้น จึงไม่แปลกที่บัญญัติของโมเซมีบทกฎหมายมากมาย—กว่า 600 ข้อ.a ประมวลกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรนี้วางกฎในเรื่องการนมัสการ, การปกครอง, ศีลธรรม, ความยุติธรรม, กระทั่งเรื่องโภชนาการและสุขอนามัย. กระนั้น นั่นหมายความว่า พระบัญญัติเป็นเพียงกฎระเบียบที่เย็นชาและคำสั่งที่ห้วน ๆ อย่างนั้นไหม? ไม่เลย! การศึกษาเกี่ยวกับประมวลกฎหมายนี้ให้ความหยั่งเห็นเข้าใจอันอุดมบริบูรณ์ในเรื่องบุคลิกภาพที่เปี่ยมด้วยความรักของพระยะโฮวา. ขอลองพิจารณาบางตัวอย่าง.
พระบัญญัติซึ่งแสดงให้เห็นชัดถึงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ
7, 8. (ก) พระบัญญัติเน้นหนักที่ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจอย่างไร? (ข) พระยะโฮวาทรงใช้พระบัญญัติอย่างมีพระเมตตาอย่างไรในกรณีของดาวิด?
7 พระบัญญัติเน้นความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะต่อคนต่ำต้อยหรือคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้. แม่ม่ายและลูกกำพร้าถูกแยกออกมาเพื่อให้การปกป้อง. (เอ็กโซโด 22:22-24) สัตว์ใช้งานได้รับการปกป้องจากความทารุณโหดร้าย. มีการให้ความนับถือต่อสิทธิในทรัพย์สินขั้นพื้นฐาน. (พระบัญญัติ 24:10; 25:4) ในขณะที่พระบัญญัติกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับการฆ่าคน แต่ก็ให้ความเมตตาในกรณีที่เป็นการทำให้คนตายโดยไม่ได้ตั้งใจ. (อาฤธโม 35:11) เห็นได้ชัดว่า ผู้พิพากษาชาวยิศราเอลได้รับอิสระในขอบเขตหนึ่งในการตัดสินพิจารณาโทษในประเด็นความผิดบางอย่าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจคติของผู้กระทำผิด.—เทียบกับ เอ็กโซโด 22:7 และเลวีติโก 6:1-7.
8 พระยะโฮวาทรงวางแบบอย่างไว้ให้กับผู้พิพากษา โดยทรงใช้พระบัญญัติด้วยความเด็ดขาดเมื่อจำเป็น แต่สำแดงความเมตตาเท่าที่เป็นไปได้. กษัตริย์ดาวิดผู้ได้ทำผิดประเวณีและฆ่าคนได้รับพระเมตตา. ไม่ใช่ท่านจะลอยนวลไม่ถูกลงโทษ เพราะพระยะโฮวาไม่ได้ทรงปกป้องท่านไว้จากผลอันร้ายกาจต่าง ๆ ซึ่งเนื่องมาจากการบาปของท่าน. กระนั้น เนื่องด้วยคำสัญญาไมตรีเรื่องราชอาณาจักร และเพราะดาวิดเป็นคนที่เมตตาการุญ และแสดงทัศนะกลับใจอย่างแท้จริงจากหัวใจ ท่านจึงไม่ได้ถูกลงโทษถึงตาย.—1 ซามูเอล 24:4-7; 2 ซามูเอล 7:16; บทเพลงสรรเสริญ 51:1-4; ยาโกโบ 2:13.
9. ความรักมีบทบาทอะไรในพระบัญญัติของโมเซ?
9 นอกจากนี้ พระบัญญัติของโมเซเน้นความรัก. ลองจินตนาการถึงสักชาติหนึ่งในปัจจุบันนี้ที่มีประมวลกฎหมายเรียกร้องอย่างแท้จริงให้มีความรัก! พระบัญญัติของโมเซไม่ได้เพียงแต่ห้ามการฆ่าคน; แต่มีบัญชาด้วยว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง.” (เลวีติโก 19:18) พระบัญญัติไม่เพียงแต่ห้ามการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมต่อคนต่างด้าว; แต่มีบัญชาด้วยว่า “ต้องรักษา [“รัก,” ล.ม.] เขาเหมือนรักษา [“รัก,” ล.ม.] ตัวเอง; เพราะว่าแต่ก่อนเจ้าทั้งหลายเป็นแขกเมืองในเมืองอายฆุบโต.” (เลวีติโก 19:34) พระบัญญัติไม่เพียงแต่ระบุว่าการเล่นชู้ผิดกฎหมาย; แต่ยังสั่งสามีทำให้ภรรยาตนมีความยินดีด้วย! (พระบัญญัติ 24:5) เฉพาะในพระธรรมพระบัญญัติเล่มเดียว คำฮีบรูซึ่งแสดงถึงคุณลักษณะแห่งความรักมีที่ใช้อยู่ประมาณ 20 แห่ง. พระยะโฮวาทรงรับรองกับชาวยิศราเอลในเรื่องความรักของพระองค์เอง—ในอดีต, ปัจจุบัน, และในอนาคต. (พระบัญญัติ 4:37; 7:12-14) ที่จริง พระบัญชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระบัญญัติของโมเซได้แก่: “เจ้าจงรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ [“หัวใจ,” ล.ม.], สุดจิตต์ [“จิตวิญญาณ,” ล.ม.] ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.” (พระบัญญัติ 6:5) พระเยซูตรัสว่า พระบัญญัติทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับพระบัญชาข้อนี้ พร้อมด้วยพระบัญชาที่ให้รักเพื่อนบ้านของตน. (เลวีติโก 19:18; มัดธาย 22:37-40) ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนว่า “ข้าพเจ้ารักข้อกฎหมายของพระองค์มากเพียงใด! ข้าพเจ้าคำนึงถึงตลอดวัน.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:97, ล.ม.
การใช้พระบัญญัติอย่างผิด ๆ
10. พวกยิวส่วนใหญ่มีทัศนะเช่นไรต่อพระบัญญัติของโมเซ?
10 ช่างน่าเศร้าที่ชาวยิศราเอลส่วนใหญ่ขาดความหยั่งรู้ค่าพระบัญญัติของโมเซ! ประชาชนไม่เชื่อฟังพระบัญญัติ, ละเลย, หรือลืมคิดถึงพระบัญญัติไปเลย. พวกเขาทำให้การนมัสการที่บริสุทธิ์แปดเปื้อนไปด้วยกิจปฏิบัติทางศาสนาที่น่ารังเกียจของนานาชาติ. (2 กษัตริย์ 17:16, 17; บทเพลงสรรเสริญ 106:13, 35-38) และพวกเขาทรยศต่อพระบัญญัติในทางอื่นด้วย.
11, 12. (ก) พวกผู้นำทางศาสนากลุ่มใดบ้างที่ทำให้เกิดความเสียหายภายหลังสมัยของเอษรา? (ดูกรอบ.) (ข) เหตุใดพวกรับบีในสมัยโบราณรู้สึกว่าจำเป็นต้อง “ล้อมรั้วรอบพระบัญญัติ”?
11 พวกที่อ้างว่าสอนและรักษาพระบัญญัติได้ก่อความเสียหายมากที่สุดต่อพระบัญญัติ. สิ่งนี้เกิดขึ้นภายหลังสมัยของอาลักษณ์เอษราผู้ซื่อสัตย์ในศตวรรษที่ห้าก่อนสากลศักราช. เอษราต่อต้านอย่างหนักต่ออิทธิพลที่เสื่อมทรามของชาติอื่น ๆ และเน้นหนักในการอ่านและการสอนพระบัญญัติ. (เอษรา 7:10; นะเฮมยา 8:5-8) ครูสอนพระบัญญัติบางคนอ้างว่าติดตามแนวทางของเอษรา และก่อตั้งสิ่งซึ่งต่อมาเรียกว่า “ธรรมศาลาอันยิ่งใหญ่.” คติพจน์ข้อหนึ่งในหลายข้อที่พูดกันได้แก่ข้อชี้แนะที่บอกว่า “จงล้อมรั้วรอบพระบัญญัติ.” พวกผู้สอนเหล่านี้หาเหตุผลว่า พระบัญญัติเป็นเหมือนสวนที่ล้ำค่า. เพื่อไม่ให้ใครมากล้ำกรายเข้าไปในสวนนั้นโดยการละเมิดกฎต่าง ๆ แห่งพระบัญญัติ พวกเขาจึงบัญญัติกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นมา คือ “พระบัญญัติสืบปาก” เพื่อป้องกันประชาชนมิให้เข้าไปใกล้การทำข้อผิดพลาดเช่นนั้น.
12 บางคนอาจโต้ว่า พวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวรู้สึกแบบนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว. หลังสมัยเอษรา พวกยิวถูกครอบงำโดยอิทธิพลของชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะกรีซ. เพื่อต่อต้านอิทธิพลของปรัชญาและวัฒนธรรมกรีก ได้เกิดกลุ่มต่าง ๆ ของพวกผู้นำทางศาสนาขึ้นในหมู่ชาวยิว. (ดูกรอบ หน้า 10.) ต่อมา บางกลุ่มได้กลายเป็นคู่แข่งของพวกปุโรหิตชาวเลวี และแม้กระทั่งล้ำหน้าไปเสียด้วยซ้ำในฐานะครูสอนพระบัญญัติ. (เทียบกับมาลาคี 2:7.) พอถึงปี 200 ก่อนสากลศักราช กฎหมายสืบปากก็เริ่มมีอิทธิพลเข้ามาในชีวิตของชาวยิว. ทีแรก กฎหมายเหล่านี้ไม่มีการจารึก เพราะกลัวว่าจะมีการถือว่าเทียบเท่าพระบัญญัติที่ได้รับการจารึก. แต่ทีละเล็กทีละน้อย ความคิดของมนุษย์ก็ขึ้นหน้าพระดำริของพระเจ้า จนในที่สุด “รั้ว” นี้ในความเป็นจริงแล้วกลับทำลาย “สวน” นั้นที่มุ่งหวังไว้ว่าจะให้การปกป้อง.
การแปดเปื้อนของลัทธิฟาริซาย
13. พวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวบางคนได้หาเหตุผลอย่างไรในการตั้งกฎขึ้นมากมาย?
13 พวกรับบีหาเหตุผลว่า เนื่องจากโทราห์ คือพระบัญญัติของโมเซนั้นสมบูรณ์ พระบัญญัติจึงต้องมีคำตอบต่อทุกปัญหาที่อาจเกิดขึ้น. ความคิดนี้ไม่ได้เป็นการแสดงความนับถืออย่างแท้จริง. ในความเป็นจริง ความคิดนี้ให้อิสระอย่างไม่สำนึกถึงความรับผิดชอบแก่พวกรับบีที่จะใช้การหาเหตุผลที่หลักแหลมของมนุษย์ ทำให้ดูเหมือนว่า พระคำของพระเจ้าเป็นพื้นฐานสำหรับกฎต่าง ๆ ในหลายเรื่อง—บางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัว อีกหลายอย่างเป็นเพียงแต่เรื่องหยุม ๆ หยิม ๆ.
14. (ก) พวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวได้ขยายความกฎคำสอนของพระคัมภีร์เรื่องการแยกอยู่ต่างหากจากนานาชาติจนเลยเถิดจากหลักของพระคัมภีร์อย่างไร? (ข) อะไรแสดงว่ากฎของพวกรับบีไม่ได้ป้องกันชาวยิวจากอิทธิพลนอกรีต?
14 ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกผู้นำทางศาสนาเอากฎคำสอนของพระคัมภีร์ไปขยายความเสียจนเลยเถิด. ตัวอย่างเช่น พระบัญญัติของโมเซส่งเสริมการอยู่ต่างหากจากนานาชาติ แต่พวกรับบีสอนความคิดที่ไร้เหตุผลให้ดูถูกเหยียดหยามทุกสิ่งที่ไม่เป็นของยิว. พวกเขาสอนว่าคนยิวต้องไม่ทิ้งให้ปศุสัตว์ของตนอยู่ที่โรงเตี๊ยมของคนต่างชาติ เพราะคนต่างชาติเป็นผู้ “ต้องสงสัยในเรื่องการร่วมเพศกับสัตว์.” หญิงชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำคลอดหญิงชาวต่างชาติ เพราะหากทำเรื่องนี้ก็เท่ากับ “เป็นการช่วยให้กำเนิดเด็กที่เกิดมาสำหรับการบูชารูปเคารพ.” เนื่องจากไม่ไว้ใจโรงกายบริหารของพวกกรีกซึ่งก็เป็นเรื่องที่นับว่าสมควร พวกรับบีห้ามการออกกำลังด้วยการเล่นกีฬาทุกชนิด. ประวัติศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นว่า ทั้งหมดนี้แทบไม่ช่วยอะไรในการปกป้องพวกยิวจากความเชื่อของต่างชาติ. ที่จริง พวกฟาริซายเองในภายหลังกลับสอนคำสอนนอกรีตของชาวกรีกในเรื่องจิตวิญญาณเป็นอมตะเสียเอง!—ยะเอศเคล 18:4.
15. พวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวบิดเบือนพระบัญญัติเรื่องความบริสุทธิ์สะอาด และการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดอย่างไร?
15 พวกฟาริซายยังได้บิดเบือนพระบัญญัติเกี่ยวกับความบริสุทธิ์สะอาดด้วย. ว่ากันว่า พวกฟาริซายจะชำระดวงอาทิตย์ให้หมดจดด้วยซ้ำไปหากมีโอกาสจะทำได้. กฎหมายของพวกเขาถือว่า “การกลั้นอุจจาระปัสสาวะ” ก็ทำให้คนเราเป็นมลทิน! การล้างมือกลายมาเป็นจารีตที่ซับซ้อน ซึ่งมีกฎว่ามือไหนควรล้างก่อนและล้างอย่างไร. พวกเขาถือว่าผู้หญิงไม่บริสุทธิ์สะอาดอย่างยิ่ง. อาศัยคำสั่งในพระคัมภีร์ไม่ให้ “เข้าใกล้” คนที่เป็นญาติฝ่ายเนื้อหนัง (จริง ๆ แล้วเป็นกฎหมายห้ามการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิด) พวกรับบีวางกฎว่า สามีต้องไม่เดินตามหลังภรรยา อีกทั้งจะสนทนากับเธอในตลาดก็ไม่ควรทำ.—เลวีติโก 18:6.
16, 17. กฎหมายสืบปากขยายพระบัญชาให้รักษาซะบาโตประจำสัปดาห์อย่างไร และผลเป็นเช่นไร?
16 ที่ฉาวโฉ่เป็นพิเศษก็คือการที่กฎหมายสืบปากบิดเบือนกฎหมายซะบาโต. พระเจ้าทรงให้พระบัญชาที่เรียบง่ายแก่ชาวยิศราเอลว่า อย่ากระทำการงานใด ๆ ในวันที่เจ็ดของสัปดาห์. (เอ็กโซโด 20:8-11) ทว่ากฎหมายสืบปากไปไกลถึงขนาดที่ระบุชนิดของงานที่ถูกห้ามทั้งหมด 39 อย่าง รวมถึงการมัดหรือการคลายปม, การเย็บผ้าสองฝีเข็ม, การเขียนอักษรฮีบรูสองตัว, และอื่น ๆ. จากนั้นข้อห้ามแต่ละอย่างก็จำเป็นต้องมีกฎอีกมากมายไม่รู้จบสิ้นตามมา. ปมแบบไหนที่ต้องห้ามและแบบไหนที่อนุญาตให้? กฎหมายสืบปากตอบคำถามเหล่านี้ด้วยกฎต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาตามอำเภอใจ. การรักษาโรคก็ยังถือกันว่าเป็นงานที่ถูกห้าม. ตัวอย่างเช่น ห้ามการจัดกระดูกแขนขาที่หักให้เข้าที่ในวันซะบาโต. คนที่ปวดฟันสามารถใช้น้ำส้มปรุงแต่งรสชาติอาหารของเขาได้ แต่เขาต้องไม่ดูดน้ำส้มผ่านฟันของเขาเข้าไป. นั่นอาจเป็นการรักษาฟันของเขา!
17 เนื่องจากถูกฝังอยู่ใต้กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นนับร้อย ๆ ข้อเช่นนี้ สำหรับคนยิวส่วนใหญ่แล้ว กฎหมายซะบาโตจึงสูญเสียความหมายทางฝ่ายวิญญาณไป. เมื่อพระเยซูคริสต์ “เจ้าแห่งวันซะบาโต” ทำการอัศจรรย์ที่โดดเด่นและน่าอบอุ่นใจในวันซะบาโต พวกอาลักษณ์และฟาริซายไม่รู้สึกถูกกระตุ้นใจแต่อย่างใด. พวกเขาสนใจแต่เพียงว่า พระองค์ดูเหมือนจะฝ่าฝืนกฎของพวกเขา.—มัดธาย 12:8, 10-14.
การเรียนบทเรียนจากความโฉดเขลาของพวกฟาริซาย
18. อะไรคือผลของการเพิ่มกฎหมายสืบปากและจารีตประเพณีเข้ากับพระบัญญัติของโมเซ? จงยกตัวอย่างเปรียบเทียบ.
18 กล่าวอย่างย่อ ๆ เราอาจพูดได้ว่า กฎหมายที่เพิ่มเข้ามานี้รวมทั้งประเพณีต่าง ๆ ได้ผนวกเข้ากับพระบัญญัติของโมเซอย่างเหนียวแน่นพอ ๆ กับเพรียงเกาะติดกับท้องเรือ. เจ้าของเรือต้องใช้เวลาและความพยายามมากในการขูดสิ่งมีชีวิตตัวร้ายนี้จากเรือของเขา เพราะพวกมันทำให้เรือช้าลงและทำลายสีกันสนิมเรือ. ในทำนองเดียวกัน กฎหมายสืบปากและจารีตประเพณีทำให้พระบัญญัติเป็นภาระหนัก และทำให้มีการใช้พระบัญญัติอย่างผิด ๆ ได้ง่าย. อย่างไรก็ตาม แทนที่จะขูดกฎที่ไม่จำเป็นเช่นนั้นออกไป พวกรับบีกลับเพิ่มกฎเข้ามาเรื่อย ๆ. พอถึงเวลาที่มาซีฮามาทำให้พระบัญญัติสำเร็จ “เรือ” นั้นก็ถูก “ตัวเพรียง” เกาะเสียหนาจนแทบจะลอยอยู่ไม่ได้! (เทียบกับสุภาษิต 16:25.) แทนที่จะปกป้องคำสัญญาไมตรีที่เป็นพระบัญญัติ พวกผู้นำทางศาสนาเหล่านี้กลับทำการอันโง่เขลาโดยฝ่าฝืนพระบัญญัตินั้น. แต่ทำไม “รั้ว” แห่งกฎของพวกเขาจึงล้มเหลว?
19. (ก) เหตุใด “รั้วรอบพระบัญญัติ” ล้มเหลว? (ข) อะไรแสดงว่าพวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวขาดความเชื่อแท้?
19 พวกผู้นำทางศาสนาของลัทธิยูดาพลาดไปไม่ได้เข้าใจว่า การต่อสู้ความเสื่อมทรามนั้นเป็นการต่อสู้ในหัวใจ ไม่ใช่บนหน้ากระดาษของหนังสือกฎหมาย. (ยิระมะยา 4:14) เคล็ดลับที่นำไปสู่ชัยชนะคือความรัก—ความรักต่อพระยะโฮวา, ความรักต่อพระบัญญัติของพระองค์, และหลักการที่ชอบธรรมของพระองค์. ความรักเช่นนั้นก่อให้เกิดความเกลียดชังอย่างที่สอดคล้องต้องกันในสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเกลียด. (บทเพลงสรรเสริญ 97:10; 119:104) คนที่หัวใจเต็มด้วยความรักเช่นนั้นจะคงความซื่อสัตย์ต่อกฎหมายของพระยะโฮวาในโลกที่เสื่อมทรามนี้. พวกผู้นำทางศาสนายิวมีสิทธิพิเศษอันใหญ่หลวงในการสอนประชาชนเพื่อส่งเสริมและดลใจให้เกิดความรักเช่นนั้น. เหตุใดพวกเขาพลาดไปไม่ได้ทำเช่นนั้น? เห็นได้ชัดว่า พวกเขาขาดความเชื่อ. (มัดธาย 23:23, ล.ม., เชิงอรรถ) หากพวกเขามีความเชื่อในอำนาจแห่งพระวิญญาณของพระยะโฮวาที่จะปฏิบัติการในหัวใจของมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ พวกเขาคงไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีมาตรการที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมวิถีชีวิตของผู้อื่น. (ยะซายา 59:1; ยะเอศเคล 34:4) เพราะขาดความเชื่อ พวกเขาจึงไม่ได้เสริมสร้างความเชื่อ; พวกเขาวางภาระหนักบนประชาชนด้วยกฎข้อบังคับที่มนุษย์ตั้งขึ้น.—มัดธาย 15:14; 23:4.
20, 21. (ก) ความคิดแบบที่เอียงไปทางจารีตประเพณีก่อผลโดยทั่วไปเช่นไรต่อลัทธิยูดา? (ข) บทเรียนอะไรที่เราสามารถเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับลัทธิยูดา?
20 พวกผู้นำชาวยิวไม่ได้ส่งเสริมความรัก. จารีตประเพณีของพวกเขาก่อให้เกิดศาสนาที่ถูกครอบงำด้วยสิ่งที่เป็นเปลือกนอก คือการเชื่อฟังอย่างไร้ชีวิตจิตใจเพื่อโอ้อวด ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อันอุดมสำหรับความหน้าซื่อใจคด. (มัดธาย 23:25-28) กฎต่าง ๆ ของพวกเขาทำให้มีเหตุผลมากมายนับไม่ถ้วนในการตัดสินคนอื่น. ด้วยเหตุนี้ พวกฟาริซายซึ่งหยิ่งทะนงและชอบวางอำนาจจึงรู้สึกชอบด้วยเหตุผลที่จะวิพากษ์วิจารณ์พระเยซูคริสต์เสียด้วยซ้ำ. พวกเขาสูญเสียภาพแห่งจุดประสงค์หลักของพระบัญญัติ และปฏิเสธพระมาซีฮาที่แท้จริงองค์เดียวเสีย. เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์จึงต้องบอกกับชาติยิวว่า “นี่แหละ เรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า.”—มัดธาย 23:38; ฆะลาเตีย 3:23, 24.
21 บทเรียนสำหรับเราคืออะไร? เห็นได้ชัดว่า ความคิดแบบที่เคร่งครัดและเอียงไปทางจารีตประเพณี ไม่ได้ส่งเสริมการนมัสการที่บริสุทธิ์แด่พระยะโฮวา! แต่นี่หมายความว่าผู้นมัสการพระยะโฮวาทุกวันนี้ไม่มีกฎใด ๆ เว้นเสียแต่ที่มีบอกอย่างจะแจ้งในพระคัมภีร์บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้น. เพื่อได้คำตอบที่ครบถ้วน ให้เราพิจารณาในบทความถัดไปถึงวิธีที่พระเยซูคริสต์ทรงนำบัญญัติใหม่ที่ดีกว่าเดิมเข้ามาแทนที่พระบัญญัติของโมเซ.
[เชิงอรรถ]
a แน่นอน จำนวนนี้ยังไม่มากเมื่อเทียบกับระบบกฎหมายของชาติต่าง ๆ ในสมัยปัจจุบัน. ตัวอย่างเช่น ตอนต้นทศวรรษปี 1990 กฎหมายสหพันธ์แห่งสหรัฐมีเนื้อหามากกว่า 125,000 หน้า โดยที่มีกฎหมายใหม่นับพัน ๆ ข้อเพิ่มเข้ามาทุกปี.
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ สรรพสิ่งทรงสร้างทุกอย่างถูกควบคุมด้วยกฎของพระเจ้าอย่างไร?
▫ วัตถุประสงค์หลักของบัญญัติของโมเซคืออะไร?
▫ อะไรแสดงว่าพระบัญญัติของโมเซเน้นหนักที่ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ?
▫ เหตุใดพวกผู้นำทางศาสนาชาวยิวเพิ่มกฎจนนับไม่ถ้วนเข้ากับพระบัญญัติของโมเซ และผลเป็นเช่นไร?
[กรอบหน้า 10]
พวกผู้นำทางศาสนาชาวยิว
พวกอาลักษณ์: พวกเขาถือตนเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเอษราและเป็นผู้อธิบายพระบัญญัติ. ตามหนังสือประวัติของชาวยิว “พวกอาลักษณ์ไม่ใช่คนที่มีความคิดสูงส่งไปเสียทั้งหมด และความพยายามของพวกเขาจะดึงเอาความหมายที่ซ่อนอยู่จากพระบัญญัติมักจะเสื่อมลงกลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ไร้ความหมายและข้อจำกัดที่โง่เขลา. ข้อจำกัดเหล่านี้แกร่งขึ้นจนกลายเป็นขนบธรรมเนียม ซึ่งไม่ช้าก็กลายเป็นผู้กดขี่ที่ไม่ยอมผ่อนปรน.”
พวกฮาซิดิม: ชื่อนี้มีความหมายว่า “ผู้มีศรัทธาแก่กล้า” หรือ “นักบุญ.” พวกเขาได้รับการกล่าวถึงฐานะชนชั้นกลุ่มหนึ่งเป็นครั้งแรกเมื่อราว ๆ ปี 200 ก่อนสากลศักราช เป็นพวกที่มีอำนาจทางการเมือง คลั่งไคล้ในการปกป้องความบริสุทธิ์สะอาดของพระบัญญัติเอาไว้จากการกดขี่แห่งอิทธิพลของพวกกรีก. พวกฮาซิดิมแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม: พวกฟาริซาย, พวกซาดูกาย, และพวกเอสซีน.
พวกฟาริซาย: ผู้คงแก่เรียนบางคนเชื่อว่า ชื่อนี้มาจากคำที่มีความหมายว่า “พวกที่แยกอยู่ต่างหาก” หรือ “นักแบ่งแยก.” พวกเขาคลั่งไคล้จริง ๆ ในความพยายามจะแยกอยู่ต่างหากจากคนต่างชาติ แต่พวกเขายังถือว่ากลุ่มของตนเองแยกออกมาจาก—และสูงส่งกว่า—ชาวยิวทั่วไปซึ่งไม่รู้เรื่องที่สลับซับซ้อนของกฎหมายสืบปาก. นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวถึงพวกฟาริซายดังนี้: “เมื่อมองโดยรวมแล้ว พวกเขาปฏิบัติกับผู้คนเหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ กำหนดและอธิบายความหมายแม้แต่เรื่องปลีกย่อยที่สุดในการประกอบพิธีใด ๆ.” ผู้คงแก่เรียนอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ลัทธิฟาริซายตั้งกฎซึ่งถือเป็นกฎหมายขึ้นมามากมายคลุมสภาพการณ์ทั้งหมด พร้อมด้วยผลที่ไม่อาจเลี่ยงได้ก็คือ พวกเขาขยายเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และดังนั้นจึงได้มองข้ามเรื่องที่สำคัญไป (มัด. 23:23).”
พวกซาดูกาย: กลุ่มซึ่งเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพวกขุนนางและคณะปุโรหิต. พวกเขาต่อต้านพวกอาลักษณ์และฟาริซายอย่างหนัก โดยบอกว่ากฎหมายสืบปากไม่มีผลบังคับเหมือนกับพระบัญญัติซึ่งจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร. ที่พวกเขาพ่ายแพ้ในสงครามปากครั้งนี้มีแสดงไว้ในมิชนาห์เองดังนี้: “มีความเข้มงวดในเรื่อง [การปฏิบัติตาม] คำพูดของพวกอาลักษณ์ ยิ่งเสียกว่าที่เพ่งเล็ง [ในการปฏิบัติตาม] ถ้อยคำของพระบัญญัติ [ซึ่งจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร].” ต่อมา ทัลมุดซึ่งมีคำอธิบายกฎหมายสืบปากอยู่มากมายในนั้นด้วย เลยเถิดไปไกลถึงขนาดที่กล่าวว่า “คำกล่าวของพวกอาลักษณ์ . . . มีค่ามากกว่าถ้อยคำในโทราห์.”
พวกเอสซีน: กลุ่มพวกถือสันโดษซึ่งแยกตัวเองไปอยู่ในชุมชนต่างหากก. ตามพจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลของผู้ตีความ พวกเอสซีนเย่อหยิ่งยิ่งกว่าพวกฟาริซายเสียอีก และ “บางครั้งอาจชอบธรรมแบบหน้าซื่อใจคดยิ่งกว่าพวกฟาริซายเองด้วยซ้ำ.”
[รูปภาพหน้า 9]
บิดามารดาของโยบคงได้สอนท่านเกี่ยวกับกฎต่าง ๆ ที่ควบคุมหมู่ดาวทั้งหลาย