คุณรักพระคำของพระเจ้าขนาดไหน?
“ข้าพเจ้ารักข้อกฎหมายของพระองค์มากเพียงใด! ข้าพเจ้าคำนึงถึงตลอดวัน.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:97, ล.ม.
1. วิธีหนึ่งซึ่งผู้เกรงกลัวพระเจ้าแสดงว่าเขารักพระคำของพระเจ้าคืออะไร?
ผู้คนหลายร้อยล้านคนมีคัมภีร์ไบเบิล. แต่มีข้อแตกต่างระหว่างการมีคัมภีร์ไบเบิลกับการรักพระคำของพระเจ้า. ใครคนหนึ่งจะอ้างได้อย่างถูกต้องไหมว่าเขารักพระคำของพระเจ้า ถ้าเขาแทบไม่ได้อ่าน? ย่อมจะอ้างไม่ได้แน่! ในทางตรงกันข้าม มีบางคนที่เมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจนัก แต่เดี๋ยวนี้อ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน. พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะรักพระคำของพระเจ้า และเช่นเดียวกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ เดี๋ยวนี้พวกเขาคำนึงถึงพระคำของพระเจ้า “ตลอดวัน.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:97, ล.ม.
2. ความเชื่อของพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งได้รับการค้ำจุนโดยวิธีใดให้ผ่านสภาพการณ์อันยากลำบาก?
2 นาโช โดรีเป็นคนหนึ่งซึ่งเรียนรู้ที่จะรักพระคำของพระเจ้า. เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมความเชื่อหลาย ๆ คน เขาอดทนมาหลายสิบปี รับใช้พระยะโฮวาอยู่ที่แอลเบเนีย ประเทศบ้านเกิดของเขา. ส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้น งานของพยานพระยะโฮวาถูกสั่งห้าม และคริสเตียนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้รับสรรพหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลไม่กี่เล่ม. กระนั้น ความเชื่อของบราเดอร์โดรียังคงเข้มแข็ง. เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เขาบอกว่า “ผมตั้งเป้าหมายไว้ที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง ซึ่งผมทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 60 ปี ก่อนที่สายตาของผมจะเสีย.” คัมภีร์ไบเบิลครบชุดในภาษาแอลเบเนียเพิ่งมีเมื่อไม่นานมานี้ แต่บราเดอร์โดรีได้เรียนภาษากรีกตอนเป็นเด็ก ดังนั้นเขาจึงอ่านคัมภีร์ไบเบิลในฉบับภาษากรีก. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำช่วยค้ำจุนบราเดอร์โดรีให้ผ่านการทดลองหลาย ๆ อย่าง และสามารถช่วยค้ำจุนเราด้วยเช่นกัน.
“จงปลูกฝังความปรารถนา” จะได้พระคำของพระเจ้า
3. คริสเตียนควรปลูกฝังเจตคติเช่นไรต่อพระคำของพระเจ้า?
3 อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “ดุจดังทารกที่เพิ่งคลอด จงปลูกฝังความปรารถนาจะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ.” (1 เปโตร 2:2, ล.ม.) เช่นเดียวกับทารกกระหายน้ำนมมารดา คริสเตียนที่สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณพบว่าการอ่านพระคำของพระเจ้าเป็นความยินดีอย่างยิ่ง. คุณรู้สึกอย่างนั้นไหม? หากไม่ ก็อย่าได้ท้อใจ. คุณเองก็สามารถปลูกฝังความปรารถนาที่จะได้พระคำของพระเจ้า.
4. อะไรเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในการทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน?
4 เพื่อจะทำอย่างนั้น ประการแรกจงมีวินัยต่อตัวเองในการทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ ทุกวันหากเป็นไปได้. (กิจการ 17:11) คุณอาจไม่สามารถใช้เวลาเป็นชั่วโมงในแต่ละวันอ่านคัมภีร์ไบเบิลเหมือนที่ นาโช โดรี ได้ทำ แต่คงเป็นไปได้ที่คุณจะกันเวลาส่วนหนึ่งไว้ในแต่ละวันเพื่อพิจารณาพระคำของพระเจ้า. คริสเตียนหลายคนตื่นให้เช้ากว่าที่เคยตื่นสักเล็กน้อยเพื่อจะคิดรำพึงข้อความในคัมภีร์ไบเบิล. มีวิธีใดที่ดีไปกว่านี้ในการเริ่มวันใหม่? คนอื่น ๆ ชอบปิดท้ายวันด้วยการอ่านคัมภีร์ไบเบิลก่อนเข้านอน. และก็มีอีกหลายคนที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลในเวลาอื่นที่สะดวก. สิ่งสำคัญคือการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ. จากนั้น ใช้เวลาสักเล็กน้อยคิดรำพึงในสิ่งที่คุณได้อ่านไป. ให้เรามาพิจารณาตัวอย่างของบางคนที่ได้รับประโยชน์จากการอ่านและการคิดรำพึงเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า.
ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญซึ่งรักกฎหมายของพระเจ้า
5, 6. แม้เราอาจไม่ทราบนามผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 แต่เราอาจทราบอะไรได้เกี่ยวกับผู้ประพันธ์ท่านนี้ด้วยการอ่านและใคร่ครวญในสิ่งที่ท่านได้เขียนไว้?
5 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 ต้องมีความหยั่งรู้ค่าพระคำของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งแน่ ๆ. ใครประพันธ์เพลงสรรเสริญบทนี้? ไม่ได้มีการระบุชื่อผู้ประพันธ์ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. แต่จากบริบท เราทราบรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับผู้ประพันธ์ และเราทราบว่าชีวิตของท่านเผชิญปัญหาอยู่ไม่น้อย. บางคนที่ท่านรู้จักคุ้นเคยดีซึ่งน่าจะเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวามิได้รักหลักการของคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกับท่าน. อย่างไรก็ดี ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบทนี้ไม่ปล่อยให้เจตคติของพวกเขาเข้ามากีดกันท่านจากการทำสิ่งที่ถูกต้อง. (บทเพลงสรรเสริญ 119:23) หากคุณใช้ชีวิตหรือทำงานกับบางคนที่ไม่นับถือมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล คุณก็อาจเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างสภาพของผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญท่านนี้กับสภาพของคุณเอง.
6 แม้เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญก็มิได้ถือตัวเลยว่าชอบธรรม. ท่านยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา. (บทเพลงสรรเสริญ 119:5, 6, 67) อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ปล่อยให้บาปเข้าครอบงำท่าน. ท่านถามว่า “คนหนุ่มทำไฉนจึงจะได้ชำระทางประพฤติของตนให้บริสุทธิ์?” คำตอบของท่านคือ “ให้ระวังในทางประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:9) จากนั้น เพื่อเน้นถึงพลังแห่งพระคำของพระเจ้าซึ่งกระตุ้นให้ทำดี ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวเพิ่มอีกว่า “พระดำรัสของพระองค์นั้นข้าพเจ้าได้จดจำไว้ในใจ, เพื่อข้าพเจ้าจะไม่กระทำผิดต่อพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:11) พลังที่สามารถช่วยเราให้หลีกเลี่ยงการทำผิดต่อพระเจ้านั้นช่างมีพลังจริง ๆ!
7. เหตุใดคนหนุ่มสาวควรสำนึกเป็นพิเศษถึงความจำเป็นที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน?
7 นับว่าสมควรที่หนุ่มสาวคริสเตียนจะพิจารณาคำกล่าวของท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ. ในปัจจุบัน หนุ่มสาวคริสเตียนกำลังถูกโจมตี. พญามารคงดีใจอย่างยิ่งหากมันสามารถทำให้ผู้นมัสการพระยะโฮวาที่เป็นคนรุ่นใหม่ประพฤติเสื่อมเสีย. เป้าหมายของซาตานคือเพื่อล่อลวงหนุ่มสาวคริสเตียนให้ยอมแพ้ความปรารถนาของเนื้อหนังและฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า. ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์มักสะท้อนถึงแนวคิดของพญามาร. ดาราของรายการบันเทิงเหล่านี้ดูน่าดึงดูดใจและน่าชื่นชอบ; มีการพรรณนาถึงความสัมพันธ์แบบผิดศีลธรรมในหมู่พวกเขาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา. แนวคิดที่สื่อคืออะไร? ‘ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่คนซึ่งยังไม่สมรสจะมีเพศสัมพันธ์ ตราบใดพวกเขารักกันอย่างแท้จริง.’ น่าเศร้า แต่ละปีมีหนุ่มสาวคริสเตียนจำนวนไม่น้อยตกเป็นเหยื่อของการหาเหตุผลเช่นนี้. ความเชื่อของบางคนอับปางลง. ดังนั้น มีความกดดัน! แต่ความกดดันนั้นหนักจนเป็นไปไม่ได้ที่พวกคุณซึ่งเป็นหนุ่มสาวจะรับมือได้ไหม? ไม่เลย! พระยะโฮวาได้ทรงจัดเตรียมทางหนึ่งไว้สำหรับหนุ่มสาวคริสเตียนที่จะเอาชนะความปรารถนาที่ไม่ดี. พวกเขาสามารถต้านทานอาวุธใด ๆ ก็ตามที่พญามารอาจจะคิดขึ้นได้โดย ‘ระวังในทางประพฤติตามพระดำรัสของพระเจ้า จดจำพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ.’ คุณใช้เวลามากเพียงใดในการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวและคิดรำพึงเป็นประจำ?
8. ตัวอย่างที่กล่าวในวรรคนี้ช่วยคุณได้อย่างไรให้มีความหยั่งรู้ค่าต่อพระบัญญัติของโมเซมากขึ้น?
8 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 อุทานดังนี้: “ข้าพเจ้ารักข้อกฎหมายของพระองค์มากเพียงใด!” (บทเพลงสรรเสริญ 119:97, ล.ม.) กฎหมายอะไรที่ท่านกล่าวถึงในที่นี้? นั่นก็คือพระคำที่ได้รับการเปิดเผยของพระยะโฮวา ซึ่งก็รวมถึงประมวลพระบัญญัติของโมเซด้วย. ทีแรกเมื่อมองอย่างผิวเผิน บางคนอาจไม่สนใจประมวลกฎหมายนี้เพราะดูเหมือนล้าสมัย และอาจสงสัยก็ได้ว่าใครจะรักข้อกฎหมายเหล่านี้ได้. อย่างไรก็ตาม เมื่อเราคิดรำพึงลักษณะต่าง ๆ ของพระบัญญัติของโมเซ เช่นเดียวกับที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญได้ทำ เราสามารถหยั่งรู้เข้าใจสติปัญญาที่แฝงอยู่ในพระบัญญัตินั้น. นอกจากแง่มุมเชิงพยากรณ์หลายประการของพระบัญญัติ มีข้อกำหนดต่าง ๆ ด้านสุขอนามัยและด้านโภชนาการ ซึ่งส่งเสริมความสะอาดและสุขภาพที่ดี. (เลวีติโก 7:23, 24, 26; 11:2-8) พระบัญญัติสนับสนุนให้ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจและกระตุ้นเตือนชนยิศราเอลให้แสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนผู้นมัสการที่ขัดสน. (เอ็กโซโด 22:26, 27; 23:6; เลวีติโก 19:35, 36; พระบัญญัติ 24:17-21) การพิจารณาตัดสินคดีต้องทำอย่างไม่ลำเอียง. (พระบัญญัติ 16:19; 19:15) เมื่อผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 มีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นในชีวิต ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านเห็นผลดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับคนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และความรักของท่านต่อพระบัญญัติก็มั่นคงยิ่งขึ้น. คล้ายคลึงกันในทุกวันนี้ เมื่อคริสเตียนประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาก็จะมีความรักและความหยั่งรู้ค่าต่อพระคำของพระเจ้ามากขึ้น.
เจ้าชายผู้กล้าแตกต่าง
9. กษัตริย์ฮิศคียาปลูกฝังเจตคติเช่นไรต่อพระคำของพระเจ้า?
9 เนื้อความของเพลงสรรเสริญบท 119 สอดคล้องอย่างดีกับสิ่งที่เราทราบเกี่ยวกับฮิศคียาตอนที่ท่านยังเป็นเจ้าชายหนุ่ม. ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลบางคนสันนิษฐานว่าฮิศคียาเป็นผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบทนี้. แม้ไม่แน่ว่าจริงหรือไม่ แต่เราทราบว่าฮิศคียามีความนับถืออย่างยิ่งต่อพระคำของพระเจ้า. โดยวิถีชีวิตของท่าน ท่านแสดงว่าเห็นด้วยอย่างสุดหัวใจกับคำกล่าวที่บทเพลงสรรเสริญ 119:97. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงฮิศคียาว่า “ท่านได้เข้าสนิทกับพระยะโฮวา, และติดตามพระองค์ไปไม่ได้หลงผิด, แต่ได้รักษาพระบัญญัติทั้งหลายของพระยะโฮวา, ซึ่งพระองค์ได้มีรับสั่งแก่โมเซ.”—2 กษัตริย์ 18:6.
10. ตัวอย่างของฮิศคียาให้กำลังใจเช่นไรแก่คริสเตียนที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูโดยบิดามารดาที่เกรงกลัวพระเจ้า?
10 ตามข้อมูลที่มีอยู่ ฮิศคียาไม่ได้เติบโตในครอบครัวที่เกรงกลัวพระเจ้า. ราชบิดาของท่าน คือกษัตริย์อาฮาศ เป็นผู้บูชารูปเคารพที่ไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งได้เผาบูชายัญบุตรของตนเองอย่างน้อยหนึ่งคนซึ่งเป็นพี่หรือน้องของฮิศคียาเองเพื่อถวายแก่พระเท็จ! (2 กษัตริย์ 16:3) แม้เห็นตัวอย่างไม่ดีเช่นนี้ ฮิศคียาสามารถ “ชำระทางประพฤติของตนให้บริสุทธิ์” พ้นจากอิทธิพลนอกรีตด้วยการคุ้นเคยกับพระคำของพระเจ้า.—2 โครนิกา 29:2.
11. ขณะที่ฮิศคียาเฝ้าสังเกต มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับราชบิดาผู้ไม่ซื่อสัตย์?
11 ขณะที่ฮิศคียาเติบโตขึ้น ท่านเห็นกับตาตัวเองถึงวิธีบริหารประเทศของราชบิดาผู้บูชารูปเคารพ. อาณาจักรยูดามีศัตรูอยู่ล้อมรอบ. หนึ่งนั้นคือระซีน กษัตริย์ซุเรีย ซึ่งร่วมมือกับเพคากษัตริย์แห่งยิศราเอลยกทัพมาล้อมกรุงยะรูซาเลม. (2 กษัตริย์ 16:5, 6) นอกจากนี้ก็มีพวกอะโดมและพวกฟะลิศตีม ซึ่งประสบความสำเร็จในการบุกรุกยูดาและยึดได้เมืองของยูดาหลายเมืองเสียด้วยซ้ำ. (2 โครนิกา 28:16-19) อาฮาศรับมือวิกฤตการณ์เหล่านี้อย่างไร? แทนที่จะร้องขอต่อพระยะโฮวาให้ช่วยต่อสู้ซุเรีย อาฮาศกลับหันไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์อัสซีเรีย ติดสินบนด้วยทองและเงิน รวมทั้งทรัพย์ที่มาจากคลังของพระวิหาร. แต่การทำเช่นนี้ไม่ได้นำสันติสุขถาวรมาสู่ยูดา.—2 กษัตริย์ 16:6, 8.
12. โดยการทำเช่นไรฮิศคียาจึงสามารถหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดอย่างราชบิดา?
12 ในที่สุด อาฮาศสิ้นชีวิตและฮิศคียาก็ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ 25 พรรษา. (2 โครนิกา 29:1) ท่านอายุค่อนข้างน้อย แต่นั่นมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นกษัตริย์ที่ประสบความสำเร็จ. แทนที่จะติดตามแบบอย่างความประพฤติของราชบิดาที่ไม่ซื่อสัตย์ ท่านยึดมั่นอยู่กับพระบัญญัติของพระยะโฮวา. การทำดังกล่าวรวมถึงพระบัญชาพิเศษสำหรับผู้เป็นกษัตริย์ที่ว่า “เมื่อ [กษัตริย์] นั่งบนที่นั่งในแผ่นดินของท่านแล้ว, ท่านจะได้ลอกเขียนพระบัญญัติเหล่านี้, ออกไว้จากหนังสือพระบัญญัติที่อยู่กับพวกปุโรหิตและพวกเลวี: และพระบัญญัตินั้นจะต้องอยู่กับท่าน และท่านจะต้องอ่านพระบัญญัตินั้นมิได้ขาดจนสิ้นชีวิต; เพื่อจะได้เรียนการที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าของตน, และจะได้รักษาบรรดาถ้อยคำในพระบัญญัติ.” (พระบัญญัติ 17:18, 19) โดยอ่านพระคำของพระเจ้าทุกวัน ฮิศคียาจึงเรียนรู้ที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาและหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดอย่างเดียวกับราชบิดาผู้ไม่ยำเกรงพระเจ้า.
13. คริสเตียนจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ในแง่ฝ่ายวิญญาณแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำจะสำเร็จ?
13 ไม่เฉพาะกษัตริย์แห่งยิศราเอลเท่านั้นที่ได้รับการสนับสนุนให้ใคร่ครวญพระคำของพระเจ้าเป็นประจำ แต่ชาวยิศราเอลทั้งปวงที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย. เพลงสรรเสริญบทแรกพรรณนาถึงคนที่มีความสุขแท้ว่าเป็นผู้ที่ “ความปีติยินดีของเขาอยู่ในพระบัญญัติของพระยะโฮวา และเขาอ่านพระบัญญัติของพระองค์ด้วยออกเสียงแผ่วเบาทั้งกลางวันและกลางคืน.” (บทเพลงสรรเสริญ 1:1, 2, ล.ม.) ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวถึงคนเช่นนั้นว่า “ทุกสิ่งที่เขาทำจะสำเร็จ.” (บทเพลงสรรเสริญ 1:3, ล.ม.) ตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงคนที่ขาดความเชื่อในพระยะโฮวาพระเจ้าว่า “เขาเป็นคนสองจิตสองใจ ไม่มั่นคงในทุกวิถีทางของตน.” (ยาโกโบ 1:8, ล.ม.) เราทุกคนต้องการมีความสุขและประสบความสำเร็จ. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างมีความหมายเป็นประจำสามารถช่วยเราให้มีความสุข.
พระคำของพระเจ้าค้ำจุนพระเยซู
14. พระเยซูทรงแสดงความรักต่อพระคำของพระเจ้าอย่างไร?
14 ในโอกาสหนึ่ง บิดามารดาของพระเยซูพบพระองค์นั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ณ พระวิหารในกรุงยะรูซาเลม. เหล่าผู้ชำนาญพระบัญญัติของพระเจ้าต่างรู้สึก “ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น” สักเพียงไร! (ลูกา 2:46, 47) เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตอนพระเยซูมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา. ถูกแล้ว แม้ตอนที่อายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงรักพระคำของพระเจ้า. ต่อมา พระเยซูทรงใช้พระคัมภีร์เพื่อตำหนิพญามาร โดยตรัสว่า “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้, แต่ด้วยบรรดาโอวาทซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า.” (มัดธาย 4:3-10) ไม่นานหลังจากนั้น พระเยซูทรงประกาศแก่ชาวเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น โดยใช้พระคัมภีร์.—ลูกา 4:16-21.
15. พระเยซูทรงวางตัวอย่างอย่างไรเมื่อทรงประกาศสั่งสอนผู้อื่น?
15 พระเยซูทรงยกข้อความจากพระคำของพระเจ้ามาสนับสนุนการสอนของพระองค์อยู่บ่อยครั้ง. ผู้ฟังของพระองค์ “ก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์.” (มัดธาย 7:28) และไม่ต้องสงสัย คำสอนของพระองค์มาจากพระยะโฮวาพระเจ้านั่นเอง! พระเยซูตรัสว่า “สิ่งที่เราสั่งสอนนั้นไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ที่ทรงใช้เรามา. ผู้ที่พูดตามความริเริ่มของตนเองย่อมแสวงหาเกียรติยศของตนเอง; แต่ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศของพระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนสัตย์จริง และความอธรรมไม่มีในตัวเขาเลย.”—โยฮัน 7:16, 18, ล.ม.
16. พระเยซูทรงแสดงความรักต่อพระคำของพระเจ้าถึงขนาดไหน?
16 ไม่เหมือนกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 ไม่มี “ความอธรรม” ในพระเยซู. พระองค์ทรงปราศจากบาป ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่ง “ถ่อมพระองค์ และยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา.” (ฟิลิปปอย 2:8, ล.ม.; เฮ็บราย 7:26) กระนั้น แม้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ พระเยซูทรงศึกษาและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า. นี่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พระองค์สามารถรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงของพระองค์. เมื่อเปโตรใช้ดาบเพื่อพยายามปกป้องนายของตนไม่ให้ถูกจับ พระเยซูทรงตำหนิท่านอัครสาวกและตรัสว่า “ท่านถือว่าเราจะขอพระบิดาของเรา, และในประเดี๋ยวเดียวพระองค์จะทรงประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกองไม่ได้หรือ ถ้าอย่างนั้นคำที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนั้น จะสำเร็จอย่างไรได้?” (มัดธาย 26:53, 54) ถูกแล้ว ความสำเร็จของพระคัมภีร์มีความหมายต่อพระเยซูมากกว่าการหลบเลี่ยงความตายอันโหดร้ายและอัปยศอดสู. ช่างเป็นความรักต่อพระคำของพระเจ้าที่โดดเด่นอะไรเช่นนี้!
คนอื่น ๆ ที่เลียนแบบพระคริสต์
17. พระคำของพระเจ้ามีความสำคัญขนาดไหนต่ออัครสาวกเปาโล?
17 อัครสาวกเปาโลเขียนถึงเพื่อนคริสเตียนว่า “จงเป็นผู้เลียนแบบข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าเป็นผู้เลียนแบบพระคริสต์.” (1 โกรินโธ 11:1, ล.ม.) เช่นเดียวกับนายของท่าน เปาโลพัฒนาความรักต่อพระคัมภีร์. ท่านกล่าวอย่างเปิดเผยว่า “ในส่วนลึกที่สุดของตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารักพระบัญญัติของพระเจ้ายิ่งนัก.” (โรม 7:22, ฉบับแปลเดอะ เจรูซาเลม ไบเบิล) เปาโลยกข้อความจากพระคำของพระเจ้าบ่อย ๆ. (กิจการ 13:32-41; 17:2, 3; 28:23) เมื่อท่านสั่งสอนติโมเธียวเพื่อนร่วมรับใช้ที่รักของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เปาโลเน้นเกี่ยวกับส่วนสำคัญที่พระคำของพระเจ้าควรแสดงบทบาทในชีวิตประจำวันของ “คนของพระเจ้า” ทุกคน.—2 ติโมเธียว 3:15-17.
18. จงอ้างถึงตัวอย่างของผู้หนึ่งในสมัยปัจจุบัน ซึ่งได้แสดงความนับถือต่อพระคำของพระเจ้า.
18 เช่นเดียวกัน ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคนของพระยะโฮวาในสมัยปัจจุบันก็ได้เลียนแบบอย่างความรักของพระเยซูต่อพระคำของพระเจ้า. ในตอนต้นศตวรรษนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับคัมภีร์ไบเบิลจากเพื่อน. เขาเล่าถึงผลกระทบที่ของขวัญอันมีค่ายิ่งนี้มีต่อเขาว่า “ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องทำอย่างนี้ในชีวิต คืออ่านส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ไบเบิลทุก ๆ วัน.” ชายหนุ่มผู้นี้คือเฟรเดอริก แฟรนซ์ และความรักของท่านต่อคัมภีร์ไบเบิลทำให้ท่านอิ่มใจพอใจกับชีวิตที่ยืนยาวและประสบผลสำเร็จในการรับใช้พระยะโฮวา. หลายคนระลึกถึงท่านด้วยความปลื้มปีติในความสามารถของท่านที่จำข้อความจากคัมภีร์ไบเบิลและยกขึ้นมากล่าวได้เป็นบท ๆ.
19. บางคนจัดตารางเวลาการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์ในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าอย่างไร?
19 พยานพระยะโฮวาเน้นเป็นพิเศษในเรื่องการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ. แต่ละสัปดาห์ ในการเตรียมตัวสำหรับการประชุมของคริสเตียนในส่วนของโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า พวกเขาได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลหลายบท. ระหว่างการประชุม มีการพิจารณาจุดเด่นของคัมภีร์ไบเบิลในส่วนที่กำหนดไว้ให้อ่าน. พยานฯ บางคนพบว่าสะดวกดีที่จะแบ่งการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์เป็นส่วนย่อยเจ็ดส่วนแล้วอ่านวันละส่วน. ขณะอ่าน พวกเขาใคร่ครวญในเรื่องเหล่านั้น. เมื่อเป็นไปได้ พวกเขาค้นคว้าเพิ่มเติมจากสรรพหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก.
20. ต้องทำอย่างไรจึงจะมีเวลาสำหรับการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ?
20 คุณอาจจำเป็นต้อง “ใช้ประโยชน์เต็มที่จากเวลา” ที่เอามาจากกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้เป็นประจำ. (เอเฟโซ 5:16, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ย่อมจะมีมากกว่าการเสียสละใด ๆ. ขณะที่คุณพัฒนานิสัยการอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุก ๆ วัน ความรักของคุณต่อพระคำของพระเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้น. ไม่นาน คุณก็จะถูกกระตุ้นให้กล่าวเช่นเดียวกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญว่า “ข้าพเจ้ารักข้อกฎหมายของพระองค์มากเพียงใด! ข้าพเจ้าคำนึงถึงตลอดวัน.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:97, ล.ม.) เจตคติเช่นนั้นจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ทั้งในขณะนี้และในอนาคต ดังที่บทความถัดไปจะแสดงให้เห็น.
คุณจำได้ไหม?
▫ ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญบท 119 แสดงออกถึงความรักอันลึกซึ้งต่อพระคำของพระเจ้าอย่างไร?
▫ เราสามารถได้บทเรียนอะไรจากตัวอย่างของพระเยซูและเปาโล?
▫ เราแต่ละคนสามารถมีความรักต่อพระคำของพระเจ้ามากขึ้นได้โดยวิธีใด?
[รูปภาพหน้า 10]
กษัตริย์ที่ซื่อสัตย์ต้องอ่านพระคำของพระเจ้าเป็นประจำ. คุณทำอย่างนั้นไหม?
[รูปภาพหน้า 12]
แม้ขณะยังเป็นเด็ก พระเยซูทรงรักพระคำของพระเจ้า