-
การทำเกินสิทธิ์นำไปสู่ความอัปยศหอสังเกตการณ์ 2000 | สิงหาคม 1
-
-
การทำเกินสิทธิ์นำไปสู่ความอัปยศ
“มีการทำเกินสิทธิ์หรือ? ถ้าเช่นนั้น ก็จะมีความอัปยศ; แต่สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว.”—สุภาษิต 11:2, ล.ม.
1, 2. ความถือดีคืออะไร และลักษณะนิสัยเช่นนี้นำไปสู่ความหายนะอย่างไร?
ชาวเลวีผู้อิจฉาคนหนึ่งนำฝูงชนที่แข็งขืนต่อต้านผู้มีอำนาจที่พระยะโฮวาทรงตั้งไว้. เจ้าชายผู้ทะเยอทะยานวางแผนอันฉลาดแกมโกงเพื่อยึดราชบัลลังก์ของพระบิดา. กษัตริย์ผู้ขาดความอดทนไม่นับถือคำแนะนำที่ชัดเจนจากผู้พยากรณ์ของพระเจ้า. ชาวยิศราเอลทั้งสามคนนี้มีลักษณะเฉพาะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง: ความถือดี.
2 ความถือดีเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของหัวใจที่อาจก่อผลเสียหายต่อทุกคน. (บทเพลงสรรเสริญ 19:13) คนที่ถือดีหาญกล้าถือสิทธิ์ทำอะไรโดยพลการ. บ่อยครั้ง การทำเช่นนี้นำไปสู่ความหายนะ. ที่จริง ความถือดีได้ทำให้กษัตริย์บางองค์ประสบความหายนะและทำให้จักรวรรดิล่มสลาย. (ยิระมะยา 50:29, 31, 32; ดานิเอล 5:20) ความถือดีทำให้แม้แต่ผู้รับใช้บางคนของพระยะโฮวาติดกับและนำเขาไปถึงความพินาศ.
3. เราจะเรียนรู้ถึงอันตรายของการทำเกินสิทธิ์ได้อย่างไร?
3 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างสมเหตุสมผลว่า “มีการทำเกินสิทธิ์หรือ? ถ้าเช่นนั้น ก็จะมีความอัปยศ; แต่สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว.” (สุภาษิต 11:2, ล.ม.) คัมภีร์ไบเบิลบันทึกไว้หลายตัวอย่างซึ่งยืนยันความเป็นจริงของสุภาษิตข้อนี้. การตรวจดูตัวอย่างเหล่านี้บางตัวอย่างจะช่วยเราให้เห็นถึงอันตรายของการก้าวล้ำขอบเขตอันควร. ด้วยเหตุนั้น ให้เรามาพิจารณาวิธีที่ความอิจฉา, ความทะเยอทะยาน, และการขาดความอดทนทำให้ชายสามคนที่กล่าวถึงในตอนต้นทำเกินสิทธิ์ ซึ่งนำพวกเขาไปสู่ความอัปยศ.
โครา—ผู้ขืนอำนาจที่อิจฉา
4. (ก) โคราเป็นใคร และเหตุการณ์ใดซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ที่ท่านคงมีส่วนร่วมด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย? (ข) ในช่วงท้ายของชีวิต โครายุยงส่งเสริมการกระทำอันฉาวโฉ่อะไร?
4 โคราเป็นลูกหลานของโคฮาธแห่งตระกูลเลวี เป็นลูกพี่ลูกน้องของโมเซและอาโรน. ดูเหมือนว่า ท่านจงรักภักดีต่อพระยะโฮวามาหลายสิบปี. โครามีสิทธิพิเศษเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการช่วยให้รอดอย่างมหัศจรรย์ผ่านทะเลแดง และท่านคงจะมีส่วนร่วมอยู่ด้วยในการพิพากษาของพระยะโฮวาต่อชาวยิศราเอลที่นมัสการรูปโค ณ ภูเขาซีนาย. (เอ็กโซโด 32:26) อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายโครากลายเป็นผู้นำในการลุกฮือขึ้นต่อต้านโมเซและอาโรน ซึ่งในกลุ่มนี้ก็มีดาธาน, อะบีราม, และโอนแห่งตระกูลรูเบ็น พร้อมทั้งพวกหัวหน้าชาวยิศราเอล 250 คน.a พวกเขาพากันกล่าวต่อโมเซและอาโรนว่า “ท่านทำเกินเหตุไปเพราะว่าชุมนุมชนทั้งหมดก็บริสุทธิ์ทุก ๆ คนและพระเจ้าทรงสถิตท่ามกลางเขา. เหตุใดท่านจึงผยองขึ้นเหนือที่ประชุมแห่งพระเจ้า.”—อาฤธโม 16:1-3, ฉบับแปลใหม่.
5, 6. (ก) เหตุใดโคราจึงขืนอำนาจต่อโมเซและอาโรน? (ข) เหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่าโคราคงจะประเมินค่าตำแหน่งของตัวเองในการจัดเตรียมของพระเจ้าต่ำไป?
5 หลังจากที่ซื่อสัตย์มาเนิ่นนานปี ทำไมโคราจึงขืนอำนาจ? การนำชาติยิศราเอลของโมเซนั้นไม่เป็นแบบกดขี่แน่นอน เพราะท่าน “เป็นคนถ่อมจิตใจอ่อนยิ่งมากกว่าคนทั้งปวงที่อยู่บนแผ่นดิน.” (อาฤธโม 12:3) กระนั้น ดูเหมือนว่าโคราอิจฉาโมเซกับอาโรนและขุ่นเคืองในความเด่นของท่านทั้งสอง และนั่นก็ทำให้เขากล่าวอย่างผิด ๆ ว่า โมเซกับอาโรนยกตัวเองขึ้นเหนือชนทั้งชาติอย่างเห็นแก่ตัวและตามอำเภอใจ.—บทเพลงสรรเสริญ 106:16.
6 ปัญหาของโครานั้น ส่วนหนึ่งคงจะเนื่องมาจากเขาไม่เห็นคุณค่าสิทธิพิเศษของตนเองในการจัดเตรียมของพระเจ้า. จริงอยู่ ลูกหลานโคฮาธแห่งตระกูลเลวีไม่ได้เป็นปุโรหิต แต่พวกเขาก็เป็นครูสอนพระบัญญัติของพระเจ้า. พวกเขายังเป็นผู้ถือเครื่องเรือนและภาชนะต่าง ๆ ของพลับพลาในยามที่ต้องขนย้ายของเหล่านี้. งานนี้ไม่ใช่งานที่ไม่สำคัญ เพราะคนที่จะถือภาชนะบริสุทธิ์เหล่านี้ต้องเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาดด้านศาสนาและศีลธรรมเท่านั้น. (ยะซายา 52:11) ด้วยเหตุนั้น ตอนที่โมเซเผชิญหน้ากับโครา ท่านจึงถามในทำนองว่า ท่านทั้งหลายถือว่าหน้าที่มอบหมายของตัวเองนั้นไม่สำคัญจนถึงกับต้องแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตด้วยหรือ? (อาฤธโม 16:9, 10) โครามิได้ตระหนักว่าเกียรติสูงสุดนั้นคือการรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ตามการจัดเตรียมของพระองค์—ไม่ใช่การบรรลุสถานภาพหรือตำแหน่งพิเศษบางอย่าง.—บทเพลงสรรเสริญ 84:10.
7. (ก) โมเซจัดการอย่างไรกับโคราและสมัครพรรคพวก? (ข) การขืนอำนาจของโครานำไปสู่จุดจบอันเป็นความหายนะอย่างไร?
7 โมเซบอกโครากับสมัครพรรคพวกให้มารวมตัวกันในเช้าวันรุ่งขึ้นที่พลับพลาประชุมพร้อมด้วยกระถางไฟและเครื่องหอม. โคราและสมัครพรรคพวกไม่มีอำนาจหน้าที่ในการถวายเครื่องหอม เนื่องจากพวกเขามิได้เป็นปุโรหิต. หากพวกเขามาพร้อมกับกระถางไฟและเครื่องหอม ก็ย่อมแสดงอย่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้ยังคงคิดว่าตนมีสิทธิ์จะทำหน้าที่อย่างปุโรหิต—แม้ว่าได้มีเวลาทั้งคืนที่จะคิดทบทวนในเรื่องนี้. เมื่อพวกเขามาปรากฏตัวในเช้าวันรุ่งขึ้น จึงสมควรที่พระยะโฮวาทรงสำแดงพระพิโรธ. สำหรับพวกตระกูลรูเบ็น “แผ่นดินได้อ้าปากกลืนเขาทั้งหลายเข้าไป.” ส่วนพวกที่เหลือ รวมทั้งโคราด้วย ก็ถูกไฟจากพระเจ้าเผาผลาญ. (พระบัญญัติ 11:6; อาฤธโม 16:16-35; 26:10) การที่โคราทำเกินสิทธิ์เช่นนั้นนำเขาไปถึงความอัปยศอย่างยิ่ง อันได้แก่ความไม่พอพระทัยจากพระเจ้า!
จงต้านทาน “แนวโน้มที่จะอิจฉา”
8. “แนวโน้มที่จะอิจฉา” อาจปรากฏในท่ามกลางคริสเตียนได้อย่างไร?
8 เรื่องราวของโครานับเป็นคำเตือนสำหรับเรา. เนื่องจาก “แนวโน้มที่จะอิจฉา” มีอยู่ในมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ แนวโน้มนี้จึงอาจปรากฏแม้กระทั่งในประชาคมคริสเตียน. (ยาโกโบ 4:5, ล.ม.) ยกตัวอย่าง เราอาจสนใจในเรื่องตำแหน่ง. เช่นเดียวกับโครา เราอาจอิจฉาคนที่มีสิทธิพิเศษที่เราอยากมี. หรือเราอาจกลายเป็นเหมือนคริสเตียนคนหนึ่งในศตวรรษแรกที่ชื่อดิโอเตรเฟส. เขาวิพากษ์วิจารณ์อำนาจของเหล่าอัครสาวกอย่างมาก ทั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะเขาอยากทำหน้าที่นี้. ที่จริง โยฮันเขียนว่าดิโอเตรเฟส “ชอบเป็นเอก.”—3 โยฮัน 9, ล.ม.
9. (ก) เราต้องหลีกเลี่ยงเจตคติเช่นไรต่อหน้าที่รับผิดชอบในประชาคม? (ข) ทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับฐานะของเราในการจัดเตรียมของพระเจ้าควรเป็นเช่นไร?
9 แน่ละ ไม่ผิดที่ผู้ชายคริสเตียนจะเอื้อมแขนเพื่อรับเอาหน้าที่รับผิดชอบในประชาคม. เปาโลสนับสนุนให้ทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ. (1 ติโมเธียว 3:1) อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรถือเอาสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้เป็นเหมือนเครื่องหมายบ่งบอกความสำเร็จ ราวกับว่าด้วยการบรรลุสิทธิพิเศษเหล่านี้ เราได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งบนบันไดแห่งความก้าวหน้า ดังที่มีบางคนกล่าวไว้อย่างนั้น. พึงจำไว้ว่าพระเยซูตรัสดังนี้: “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ก็ให้ผู้นั้นเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย. ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของพวกท่าน.” (มัดธาย 20:26, 27) เห็นได้ชัดว่า ไม่ถูกต้องที่จะอิจฉาคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่า ราวกับว่าคุณค่าของเราในสายพระเนตรของพระเจ้าขึ้นอยู่กับ “ตำแหน่ง” ของเราในองค์การของพระองค์. พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด.” (มัดธาย 23:8) ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกาศหรือไพโอเนียร์ เป็นผู้ที่เพิ่งรับบัพติสมาหรือผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงมานาน—ทุกคนที่รับใช้พระยะโฮวาด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณอยู่ในฐานะอันมีค่าในการจัดเตรียมของพระองค์. (ลูกา 10:27; 12:6, 7; ฆะลาเตีย 3:28; เฮ็บราย 6:10) นับเป็นพระพรอย่างแท้จริงที่จะทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลายล้านคนที่กำลังพยายามอย่างยิ่งในการใช้คำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “จงคาดเอวตนเองไว้ด้วยจิตใจอ่อนน้อมต่อกันและกัน.”—1 เปโตร 5:5, ล.ม.
อับซาโลม —นักฉวยโอกาสผู้ทะเยอทะยาน
10. อับซาโลมเป็นใคร และเขาพยายามอย่างไรเพื่อหาเสียงสนับสนุนจากคนที่มาเฝ้ากษัตริย์เพื่อทูลขอให้ตัดสินความ?
10 แนวทางชีวิตของอับซาโลม ราชบุตรองค์ที่สามของกษัตริย์ดาวิด ให้บทเรียนในเรื่องความทะเยอทะยาน. นักฉวยโอกาสผู้นี้ซึ่งกำลังวางแผนร้ายพยายามหาเสียงสนับสนุนจากคนที่มาเฝ้ากษัตริย์เพื่อทูลขอให้ตัดสินความ. ทีแรก เขากล่าวเป็นเชิงว่าดาวิดไม่สนพระทัยไยดีในความทุกข์ร้อนของพวกเขา. จากนั้น เขาก็เลิกใช้เล่ห์เหลี่ยม และเผยเจตนารมณ์อันแท้จริงออกมาตรง ๆ. อับซาโลมเอื้อนเอ่ยออกมาว่า “โอ ถ้าเราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาในแผ่นดิน เพื่อทุกคนที่มีเรื่องทางกฎหมายหรือขอการตัดสินความจะมาหาเรา! ครั้นแล้วเราจะให้ความยุติธรรมแก่เขาเป็นแน่.” การเล่นการเมืองอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมของอับซาโลมนั้นไม่มีขอบเขต. คัมภีร์ไบเบิลแจ้งว่า “เมื่อเกิดมีชายคนใดเข้ามาใกล้เพื่อคำนับท่าน ท่านจะยื่นมือจับเขาไว้และจูบเขา. และอับซาโลมทำอย่างนี้เรื่อยไปแก่ชาวยิศราเอลทุกคนที่มาหากษัตริย์เพื่อขอการตัดสินความ.” ผลเป็นเช่นไร? “อับซาโลมเฝ้าชิงเอาหัวใจของชายชาวยิศราเอลไป.”—2 ซามูเอล 15:1-6, ล.ม.
11. อับซาโลมพยายามช่วงชิงบัลลังก์ของดาวิดโดยวิธีใด?
11 อับซาโลมตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะช่วงชิงตำแหน่งกษัตริย์จากราชบิดา. ห้าปีก่อนหน้านั้น เขาสั่งให้สังหารอำโนนราชบุตรหัวปีของดาวิด ทำทีว่าเพื่อล้างแค้นที่อำโนนข่มขืนธามารน้องสาวของอับซาโลม. (2 ซามูเอล 13:28, 29) อย่างไรก็ตาม อาจจะตั้งแต่ในตอนนั้นแล้วที่อับซาโลมหมายตาราชบัลลังก์ และเห็นช่องที่จะสังหารอำโนนเพื่อกำจัดคู่แข่ง.b ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อได้จังหวะ อับซาโลมก็ลงมือ. เขาใช้คนให้ประกาศการขึ้นครองบัลลังก์ของเขาไปทั่วแผ่นดิน.— 2 ซามูเอล 15:10.
12. จงอธิบายว่าการทำเกินสิทธิ์ของอับซาโลมนำเขาไปสู่ความอัปยศอย่างไร.
12 ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง อับซาโลมประสบความสำเร็จ เพราะ “การที่คบคิดกันนั้นก็มีกำลังพรรคพวกมากสมัครเข้ากับอับซาโลม.” ต่อมา กษัตริย์ดาวิดต้องหนีเอาชีวิตรอด. (2 ซามูเอล 15:12-17) อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าวิถีชีวิตของอับซาโลมก็จบสิ้นลงเมื่อเขาถูกสังหารโดยโยอาบ, โยนลงหลุมแอ่ง, และปิดทับด้วยหิน. ขอให้นึกภาพดูเถอะ—ชายผู้ทะเยอทะยานคนนี้ที่ต้องการจะเป็นกษัตริย์ไม่ได้รับแม้กระทั่งที่ฝังศพอันสมพระเกียรติเมื่อสิ้นชีวิต!c การทำเกินสิทธิ์นำอับซาโลมไปสู่ความอัปยศอย่างแท้จริง.— 2 ซามูเอล 18:9-17.
จงหลีกเลี่ยงความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัว
13. น้ำใจทะเยอทะยานอาจก่อรากขึ้นในหัวใจของคริสเตียนได้อย่างไร?
13 การขึ้นมามีอำนาจของอับซาโลมและความตกต่ำของเขาในเวลาต่อมา เป็นบทเรียนสำหรับเรา. ในโลกปัจจุบันอันทารุณโหดเหี้ยม เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะป้อยอผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าตน พยายามประจบเอาใจเพียงเพื่อจะสร้างความประทับใจหรือไม่ก็หวังจะได้รับอภิสิทธิ์บางอย่างหรือการเลื่อนตำแหน่ง. ในเวลาเดียวกัน เขาอาจคุยโตโอ้อวดกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยหวังจะได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากพวกเขา. หากเราไม่ระวัง น้ำใจทะเยอทะยานเช่นนั้นอาจก่อรากขึ้นในหัวใจเราได้. ดูเหมือนว่ามีบางคนในศตวรรษแรกประพฤติตัวอย่างนี้ ทำให้เหล่าอัครสาวกจำเป็นต้องตักเตือนคนเช่นนั้นอย่างแรง.—ฆะลาเตีย 4:17; 3 โยฮัน 9, 10.
14. เหตุใดเราควรหลีกเลี่ยงน้ำใจทะเยอทะยานและยกตัวเอง?
14 พระยะโฮวาไม่ทรงยอมให้มีผู้วางแผนร้ายที่คุยโตซึ่งพยายาม “เที่ยวเสาะหาเกียรติยศใส่ตนเอง” อยู่ในองค์การของพระองค์. (สุภาษิต 25:27) ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า “พระยะโฮวาจะทรงตัดริมฝีปากที่ป้อยอนั้นออกเสียทั้งหมด; รวมทั้งลิ้นที่คุยโตด้วย.” (บทเพลงสรรเสริญ 12:3) อับซาโลมมีคำพูดที่ฟังรื่นหู. เขาพูดป้อยอคนที่เขาต้องการจะได้ความเห็นชอบ—ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่มีอำนาจที่เขาอยากได้. ในทางตรงกันข้าม เราได้รับพระพรสักเพียงไรที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องซึ่งปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลโดยที่ “ไม่ทำสิ่งใดเพราะชอบทุ่มเถียงหรือเพราะถือดี แต่ด้วยจิตใจอ่อนน้อม ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.”—ฟิลิปปอย 2:3, ล.ม.
ซาอูล—กษัตริย์ผู้ขาดความอดทน
15. ซาอูลเคยแสดงตัวอย่างไรว่าเป็นคนเจียมตัว?
15 ซาอูล ซึ่งภายหลังได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาติยิศราเอล เคยเป็นคนเจียมตัวมาก่อน. เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านยังเยาว์วัย. เมื่อซามูเอลผู้พยากรณ์ของพระเจ้ากล่าวชมท่าน ซาอูลตอบอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าพเจ้าเป็นแต่ตระกูลเบ็นยามิน, คือตระกูลน้อยที่สุดในท่ามกลางตระกูลยิศราเอลทั้งวงศ์ของข้าพเจ้าก็ต่ำกว่าบรรดาวงศ์ในตระกูลเบ็นยามินนั้นมิใช่หรือ? เหตุไรท่านจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าอย่างนั้น?”—1 ซามูเอล 9:21.
16. ซาอูลแสดงเจตคติที่ขาดความอดทนอย่างไร?
16 อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาความเจียมตัวของซาอูลได้สูญไปเสียสิ้น. ระหว่างที่ทำศึกกับพวกฟะลิศตีม ท่านล่าถอยมาที่ฆีละฆาลซึ่งท่านจะต้องคอยอยู่ที่นั่นเพื่อให้ซามูเอลมาถวายเครื่องบูชาวิงวอนต่อพระเจ้า. เมื่อซามูเอลไม่ได้มาตามเวลากำหนด ซาอูลทำเกินสิทธิ์ของตนด้วยการถวายเครื่องบูชาเผาด้วยตัวเอง. ทันทีที่ท่านถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง. ซามูเอลทูลถามว่า “ท่านได้ทำอะไร?” ซาอูลตอบว่า “เราเห็นชนนิกรกระจัดกระจายไป, ทั้งท่านก็มิได้มาตามเวลากำหนด, . . . เหตุฉะนั้นเราจำเป็นต้องถวายเครื่องบูชายัญ.”—1 ซามูเอล 13:8-12.
17. (ก) เมื่อมองเผิน ๆ ทำไมอาจดูเหมือนว่าการกระทำของซาอูลมีเหตุผลที่ฟังขึ้น? (ข) เหตุใดพระยะโฮวาทรงตำหนิซาอูลสำหรับการกระทำอย่างขาดความอดทนของท่าน?
17 เมื่อมองเผิน ๆ การกระทำของซาอูลอาจดูเหมือนมีเหตุผลที่ฟังขึ้น. อันที่จริง ไพร่พลของพระเจ้า “อยู่ในที่คับแค้น” “มีความลำบากมาก” และตัวสั่นเนื่องด้วยสถานการณ์เข้าตาจน. (1 ซามูเอล 13:6, 7) แน่นอน ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะริเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างเมื่อสถานการณ์ทำให้มีเหตุผลสมควรจะทำอย่างนั้น.d อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาทรงสามารถอ่านหัวใจและมองเห็นแรงกระตุ้นในส่วนลึกของเรา. (1 ซามูเอล 16:7) ด้วยเหตุนั้น พระองค์คงต้องเห็นปัจจัยบางอย่างเกี่ยวกับซาอูลที่ไม่มีกล่าวถึงโดยตรงในบันทึกของคัมภีร์ไบเบิล. ยกตัวอย่าง พระยะโฮวาอาจทรงมองเห็นว่าการขาดความอดทนของซาอูลนั้นถูกกระตุ้นโดยความหยิ่ง. อาจเป็นได้ว่า ซาอูลขุ่นเคืองอยู่ลึก ๆ ว่าตัวเขาเป็นถึงกษัตริย์ของยิศราเอลทั้งหมด แต่กลับต้องมาคอยคนที่เขาเห็นว่าเป็นผู้พยากรณ์แก่ ๆ ที่ชักช้าอืดอาด! ไม่ว่าจะอย่างไร ซาอูลรู้สึกว่าการมาช้าของซามูเอลทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง และไม่นำพาคำสั่งที่ชัดเจนซึ่งเขาได้รับ. ผลเป็นอย่างไร? ซามูเอลมิได้สรรเสริญการมีความคิดริเริ่มของซาอูล. ตรงกันข้าม ท่านตำหนิซาอูลอย่างแรงโดยกล่าวว่า “พระราชตระกูลของท่านจะดำรงอยู่ไม่ได้ . . . ด้วยท่านมิได้รักษาพระบัญญัติตามซึ่งพระยะโฮวาทรงสั่งไว้แล้ว.” (1 ซามูเอล 13:13, 14) อีกครั้งหนึ่ง การทำเกินสิทธิ์นำไปสู่ความอัปยศ.
จงระวังการขาดความอดทน
18, 19. (ก) จงพรรณนาวิธีที่การขาดความอดทนอาจทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าในปัจจุบันกระทำอย่างถือดี. (ข) เราควรจำอะไรไว้เกี่ยวกับการดำเนินงานของประชาคมคริสเตียน?
18 เรื่องราวเกี่ยวกับการทำเกินสิทธิ์ของซาอูลได้บันทึกไว้ในพระคำของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเรา. (1 โกรินโธ 10:11) เป็นเรื่องง่ายที่เราอาจรู้สึกรำคาญความไม่สมบูรณ์ของพี่น้อง. เช่นเดียวกับซาอูล เราอาจขาดความอดทน รู้สึกว่าเพื่อจะจัดการเรื่องราวอย่างที่ควรเป็น เราต้องลงมือทำด้วยตัวเอง. เพื่อเป็นตัวอย่าง สมมุติว่าพี่น้องคนหนึ่งมีความสามารถเป็นเยี่ยมในการจัดระเบียบ. เขาเป็นคนตรงเวลา, รู้ขั้นตอนล่าสุดเกี่ยวกับการดำเนินงานในประชาคม, และมีพรสวรรค์ในการบรรยายและการสอน. ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกว่าคนอื่น ๆ ทำไม่ได้ตามมาตรฐานอันพิถีพิถันอย่างยิ่งของเขา และมีประสิทธิภาพห่างไกลระดับที่เขาอยากให้เป็น. เรื่องนี้ทำให้เขามีเหตุผลอันฟังขึ้นที่จะแสดงความไม่อดทนไหม? เขาควรวิพากษ์วิจารณ์พี่น้องไหม อาจจะโดยพูดเป็นนัย ๆ ว่าหากไม่ใช่เพราะความพยายามของเขาแล้วก็คงไม่มีทางจะทำอะไรได้สำเร็จและประชาคมคงขาดประสิทธิภาพ? นั่นย่อมเป็นความถือดีจริง ๆ!
19 จริง ๆ แล้ว อะไรที่ยึดประชาคมไว้ด้วยกัน? ความเชี่ยวชาญในการจัดการไหม? ความมีประสิทธิภาพไหม? ความรู้อันลึกซึ้งไหม? จริงอยู่ คุณลักษณะเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการดำเนินงานที่ราบรื่นของประชาคม. (1 โกรินโธ 14:40; ฟิลิปปอย 3:16; 2 เปโตร 3:18) อย่างไรก็ตาม พระเยซูตรัสว่าความรักเป็นเครื่องหมายสำคัญที่ระบุตัวเหล่าสาวกของพระองค์. (โยฮัน 13:35) นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ปกครองที่เอาใจใส่ แม้ว่ามีระเบียบ แต่ก็ตระหนักว่าประชาคมไม่ใช่บริษัททำธุรกิจที่จำเป็นต้องจัดการอย่างเข้มงวด; ตรงกันข้าม ประชาคมประกอบด้วยฝูงแกะที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างนุ่มนวล. (ยะซายา 32:1, 2; 40:11) การไม่นำพาต่อหลักการดังกล่าวอย่างถือดีมักยังผลเป็นความไม่ปรองดองกัน. ในทางตรงกันข้าม ความเป็นระเบียบพร้อมด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าก่อให้เกิดสันติสุข.— 1 โกรินโธ 14:33; ฆะลาเตีย 6:16.
20. จะมีการพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
20 เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับโครา, อับซาโลม, และซาอูลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการทำเกินสิทธิ์นำไปสู่ความอัปยศ ดังกล่าวไว้ที่สุภาษิต 11:2 (ล.ม.). อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ข้อเดียวกันนี้กล่าวอีกด้วยว่า “สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว.” ความเจียมตัวคืออะไร? มีตัวอย่างอะไรบ้างจากคัมภีร์ไบเบิลที่สามารถช่วยให้ความกระจ่างมากขึ้นเกี่ยวกับคุณลักษณะนี้ และเราจะแสดงความเจียมตัวได้อย่างไรในทุกวันนี้? คำถามเหล่านี้จะได้พิจารณากันในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a เนื่องจากรูเบ็นเป็นบุตรหัวปีของยาโคบ คนที่เป็นลูกหลานของเขาซึ่งถูกโคราชักนำให้ขืนอำนาจอาจขุ่นเคืองที่โมเซ ซึ่งเป็นลูกหลานของเลวี มีอำนาจปกครองพวกเขา.
b คิละอาบ ราชบุตรองค์ที่สองของดาวิด ไม่ถูกกล่าวถึงอีกเลยภายหลังการประสูติ. อาจเป็นได้ว่า เขาเสียชีวิตก่อนที่อับซาโลมจะก่อกบฏ.
c ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล พิธีฝังศพผู้เสียชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง. ด้วยเหตุนั้น การไม่ได้รับการจัดฝังศพนับเป็นความหายนะและมักเป็นเครื่องแสดงถึงความไม่พอพระทัยของพระเจ้า.—ยิระมะยา 25:32, 33.
d ตัวอย่างเช่น ฟีนะฮาศลงมือทำอย่างฉับไวเพื่อหยุดโรคร้ายที่ทำให้ชาวยิศราเอลหลายหมื่นคนเสียชีวิต และดาวิดสนับสนุนคนของท่านที่หิวโหยให้ร่วมกับท่านในการรับประทานขนมปังถวายใน “โบสถ์ของพระเจ้า.” เหตุการณ์ทั้งสองนี้ไม่ถูกตำหนิจากพระเจ้าว่าเป็นการทำเกินสิทธิ์.—มัดธาย 12:2-4; อาฤธโม 25:7-9; 1 ซามูเอล 21:1-6.
-
-
“สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว”หอสังเกตการณ์ 2000 | สิงหาคม 1
-
-
“สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว”
“อะไรคือสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกคืนจากเจ้านอกจาก . . . ให้เจียมตัวในการดำเนินกับพระเจ้าของเจ้า?”—มีคา 6:8, ล.ม.
1, 2. ความเจียมตัวคืออะไร และคุณลักษณะนี้ต่างกับความถือดีอย่างไร?
อัครสาวกผู้โดดเด่นปฏิเสธที่จะเรียกร้องความสนใจมายังตัวเอง. ผู้วินิจฉัยที่กล้าหาญชาวยิศราเอลเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในวงศ์บิดา. บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมายอมรับว่าตนมิได้มีอำนาจไม่จำกัด. ชายเหล่านี้แต่ละคนแสดงออกซึ่งความเจียมตัว.
2 ความเจียมตัวตรงกันข้ามกับความถือดี. บุคคลที่เจียมตัวประมาณความสามารถและคุณค่าของตัวเองแต่พอควร และไม่หลงตัวเองหรือภูมิใจในตัวเองเกินไป. แทนที่จะหยิ่ง, โอ้อวด, หรือทะเยอทะยาน คนที่เจียมตัวสำนึกเสมอถึงข้อจำกัดของเขา. ดังนั้น เขาแสดงความนับถือและคำนึงถึงความรู้สึกและทัศนะของผู้อื่นอย่างเหมาะสม.
3. สติปัญญา “อยู่กับคนเจียมตัว” อย่างไร?
3 คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างสมเหตุสมผลว่า “สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว.” (สุภาษิต 11:2, ล.ม.) คนเจียมตัวนั้นสุขุมเพราะเขาปฏิบัติตามแนวทางที่พระเจ้าพอพระทัย และเขาหลีกเลี่ยงน้ำใจถือดีซึ่งนำไปสู่ความอัปยศ. (สุภาษิต 8:13; 1 เปโตร 5:5) สติปัญญาแห่งความเจียมตัวนั้นได้รับการรับรองจากแนวทางชีวิตของผู้รับใช้พระเจ้าจำนวนมาก. ให้เรามาพิจารณาสามตัวอย่างที่ได้กล่าวถึงในวรรคแรก.
เปาโล—“ผู้ที่อยู่ใต้บัญชา” และ “ผู้อารักขา”
4. เปาโลได้รับสิทธิพิเศษเช่นไรที่ไม่มีอะไรเทียบ?
4 เปาโลเป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นในท่ามกลางคริสเตียนสมัยแรก ซึ่งก็ไม่แปลกที่เป็นอย่างนั้น. ในเส้นทางงานรับใช้ของท่าน ท่านเดินทางหลายพันกิโลเมตรทั้งทางบกและทางทะเล และท่านได้ก่อตั้งประชาคมขึ้นเป็นจำนวนมาก. นอกจากนี้ พระยะโฮวาทรงอวยพรเปาโลด้วยนิมิตและของประทานในการพูดภาษาต่างประเทศ. (1 โกรินโธ 14:18; 2 โกรินโธ 12:1-5) พระองค์ทรงดลใจเปาโลให้เขียนจดหมาย 14 ฉบับซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกด้วย. เห็นได้ชัด อาจกล่าวได้ว่าเปาโลได้ทำการงานอันเหนื่อยยากยิ่งกว่าอัครสาวกคนอื่น ๆ ทั้งหมด.—1 โกรินโธ 15:10.
5. เปาโลแสดงอย่างไรว่าท่านมองตัวเองอย่างเจียมตัว?
5 เนื่องจากเปาโลอยู่ในระดับแนวหน้าของกิจการงานคริสเตียน บางคนอาจคาดหมายว่าท่านคงจะชอบเป็นจุดสนใจ หรือแม้กระทั่งวางอำนาจด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม เปาโลไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะท่านเป็นคนเจียมตัว. ท่านเรียกตัวเองว่า “ผู้น้อยที่สุดในพวกอัครสาวก” และยังกล่าวอีกด้วยว่า “[ข้าพเจ้า] ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวก, เพราะว่าข้าพเจ้าได้เคี่ยวเข็ญคริสตจักรของพระเจ้า.” (1 โกรินโธ 15:9) ในฐานะอดีตผู้ข่มเหงคริสเตียน เปาโลไม่เคยลืมว่าเป็นเพราะพระกรุณาอันไม่พึงได้รับเท่านั้นที่ทำให้ท่านสามารถมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่ท่านได้รับสิทธิพิเศษแห่งงานรับใช้. (โยฮัน 6:44; เอเฟโซ 2:8) ด้วยเหตุนั้น เปาโลไม่คิดว่าความสำเร็จเป็นพิเศษในงานรับใช้ทำให้ท่านเหนือกว่าคนอื่น.— 1 โกรินโธ 9:16.
6. เปาโลแสดงความเจียมตัวอย่างไรในปฏิสัมพันธ์กับชาวโกรินโธ?
6 ความเจียมตัวของเปาโลเห็นได้ชัดเป็นพิเศษในปฏิสัมพันธ์ที่ท่านมีกับชาวโกรินโธ. ดูเหมือนว่า พวกเขาบางคนชื่นชอบหลงใหลคนที่เขาคิดว่าเป็นผู้ดูแลที่โดดเด่น อย่างเช่น อะโปโล, เกฟา, และเปาโลเอง. (1 โกรินโธ 1:11-15) แต่เปาโลไม่ได้ร้องขอคำสรรเสริญจากชาวโกรินโธ อีกทั้งไม่ได้แสวงหาประโยชน์จากความนิยมชมชอบของพวกเขา. เมื่อเยี่ยมพวกเขา ท่านไม่ได้แสดงตัวเอง “พร้อมด้วยคำพูดหรือสติปัญญาเลิศลอยเกินความจริง.” แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เปาโลกล่าวถึงตัวท่านเองและเพื่อนร่วมเดินทางว่า “ให้ผู้คนถือว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ใต้บัญชาพระคริสต์และเป็นผู้อารักขาความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า.”a—1 โกรินโธ 2:1-5; 4:1, ล.ม.
7. เปาโลแสดงความเจียมตัวอย่างไรแม้กระทั่งเมื่อให้คำแนะนำ?
7 เปาโลแสดงความเจียมตัวแม้แต่เมื่อท่านต้องให้คำแนะนำและการชี้นำที่หนักแน่น. ท่านวิงวอนเพื่อนคริสเตียนโดย “อาศัยความเมตตาสงสารของพระเจ้า” และ “เพราะเห็นแก่ความรัก” ยิ่งกว่าจะอาศัยอิทธิพลแห่งอำนาจอัครสาวกของท่าน. (โรม 12:1, 2, ล.ม.; ฟิเลโมน 8, 9) เหตุใดเปาโลทำอย่างนี้? เพราะท่านมองตัวเองว่าเป็น “เพื่อนร่วมทำงาน” กับพี่น้องของท่านอย่างแท้จริง ไม่ใช่ ‘นายเหนือความเชื่อของพวกเขา.’ (2 โกรินโธ 1:24, ล.ม.) ไม่ต้องสงสัย ความเจียมตัวของเปาโลนั่นเองที่ทำให้ท่านเป็นที่รักเป็นพิเศษของประชาคมคริสเตียนสมัยศตวรรษแรก.—กิจการ 20:36-38.
ทัศนะอันเจียมตัวต่อสิทธิพิเศษที่เราได้รับ
8, 9. (ก) เหตุใดเราควรมองตัวเราเองอย่างเจียมตัว? (ข) คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างจะแสดงความเจียมตัวได้อย่างไร?
8 เปาโลวางตัวอย่างที่ดีไว้สำหรับคริสเตียนในทุกวันนี้. ไม่ว่าเราได้รับหน้าที่รับผิดชอบอะไรก็ตาม ไม่ควรมีใครในพวกเราคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น. เปาโลเขียนว่า “ถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง.” (ฆะลาเตีย 6:3, ฉบับแปลใหม่) เพราะเหตุใด? เพราะ “คนทั้งปวง ได้ทำบาปและขาดไปจากสง่าราศีของพระเจ้า.” (โรม 3:23; 5:12, ล.ม.) ถูกแล้ว เราไม่ควรลืมว่าเราทุกคนได้รับบาปและความตายตกทอดมาจากอาดาม. สิทธิพิเศษต่าง ๆ ไม่ได้ยกเราขึ้นให้พ้นจากสภาพผิดบาปและต่ำต้อยของเรา. (ท่านผู้ประกาศ 9:2) ดังที่เป็นจริงในกรณีของเปาโล เป็นเพราะพระกรุณาอันไม่พึงได้รับเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้ามามีสัมพันธภาพกับพระเจ้า ยังไม่ต้องพูดถึงการรับใช้พระองค์ในหน้าที่อันเป็นสิทธิพิเศษบางอย่าง.—โรม 3:12, 24.
9 โดยตระหนักอย่างนี้ คนที่เจียมตัวย่อมไม่มองสิทธิพิเศษที่ตนได้รับอย่างกระหยิ่มใจ อีกทั้งไม่โอ้อวดความสำเร็จของตน. (1 โกรินโธ 4:7) เมื่อให้คำแนะนำหรือการชี้นำ เขาทำในฐานะเพื่อนร่วมงาน—ไม่ใช่ในฐานะผู้เป็นนาย. แน่นอน คงไม่ถูกต้องสำหรับคนที่เก่งในงานบางอย่างจะเที่ยวขอให้ผู้อื่นยกย่องตนหรือหาประโยชน์จากความนิยมชมชอบของเพื่อนร่วมความเชื่อ. (สุภาษิต 25:27; มัดธาย 6:2-4) คำยกย่องอันมีค่านั้นต้องมาจากผู้อื่นเท่านั้น—และควรมาเองโดยไม่ได้เรียกขอ. หากมีใครยกย่องเรา ก็ไม่ควรทำให้เราคิดถึงตัวเองเกินกว่าที่จำเป็น.—สุภาษิต 27:2; โรม 12:3.
10. จงอธิบายวิธีที่บางคนอาจดูต่ำต้อย แต่จริง ๆ แล้ว “ร่ำรวยในความเชื่อ.”
10 เมื่อเราได้รับหน้าที่รับผิดชอบบางอย่าง ความเจียมตัวจะช่วยเราให้หลีกเลี่ยงการเน้นที่ตัวเราเองจนเกินควร โดยพยายามสร้างความประทับใจว่าประชาคมกำลังก้าวหน้าเนื่องด้วยความพยายาม และความสามารถของเราล้วน ๆ. ยกตัวอย่าง เราอาจมีพรสวรรค์เป็นพิเศษในการสอน. (เอเฟโซ 4:11, 12) อย่างไรก็ตาม หากเราเจียมตัว เราย่อมจะตระหนักว่าบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีการเรียนรู้กัน ณ การประชุมประชาคมนั้นไม่ได้มาจากเวที. อาทิเช่น คุณได้รับการหนุนกำลังใจมิใช่หรือเมื่อคุณเห็นบิดาหรือมารดาไร้คู่มาที่หอประชุมราชอาณาจักรเป็นประจำพร้อมกับบุตรที่ตามมาด้วย? หรือคนที่มีอาการซึมเศร้าซึ่งมาร่วมประชุมสม่ำเสมอแม้มีความรู้สึกที่ฝังแน่นว่าตัวเองไร้ค่า? หรือเยาวชนที่ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณอย่างต่อเนื่องแม้ว่ามีอิทธิพลไม่ดีในโรงเรียนและที่อื่น ๆ? (บทเพลงสรรเสริญ 84:10) คนเหล่านี้อาจไม่เด่นในสายตาของคนทั่วไป. การทดสอบความซื่อสัตย์มั่นคงที่พวกเขาเผชิญนั้นคนอื่นมักจะไม่ค่อยสังเกตเห็น. กระนั้น พวกเขาอาจ “ร่ำรวยในความเชื่อ” เช่นเดียวกับคนที่เด่นกว่า. (ยาโกโบ 2:5, ล.ม.) ที่จริง ในที่สุดแล้วความซื่อสัตย์อย่างนั้นแหละที่ได้รับความพอพระทัยจากพระยะโฮวา.—มัดธาย 10:22; 1 โกรินโธ 4:2.
ฆิดโอน—“ผู้น้อยที่สุด” ในวงศ์บิดา
11. ฆิดโอนแสดงความเจียมตัวอย่างไรเมื่อพูดกับทูตสวรรค์ของพระเจ้า?
11 ฆิดโอน ชายหนุ่มผู้กำยำล่ำสันแห่งตระกูลมะนาเซ มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาอันปั่นป่วนวุ่นวายในประวัติศาสตร์ของชาติยิศราเอล. ไพร่พลของพระเจ้าได้ถูกพวกมิดยานกดขี่อยู่เจ็ดปี. อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่พระยะโฮวาจะช่วยไพร่พลของพระองค์. ด้วยเหตุนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏแก่ฆิดโอนและกล่าวว่า “ท่านบุรุษกล้าหาญเอ๋ย, พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ด้วยท่าน.” ฆิดโอนนั้นเจียมตัว ดังนั้นท่านมิได้พอใจในคำชมที่มิได้คาดหมายนี้. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านกล่าวอย่างนับถือต่อทูตสวรรค์ว่า “ท่านเจ้าข้า, ถ้าพระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ด้วย, เป็นไฉนเหตุร้ายนี้จึงเกิดแก่พวกข้าพเจ้าเล่า?” ทูตสวรรค์ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ แล้วจึงกล่าวแก่ฆิดโอนว่า “จงไปช่วยพวกยิศราเอลให้พ้นมือมิดยาน.” ฆิดโอนตอบอย่างไร? แทนที่จะรีบรับเอางานมอบหมายนั้นอย่างที่เป็นโอกาสจะสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะวีรบุรุษของชาติ ฆิดโอนกลับตอบว่า “ข้าแต่พระองค์, ข้าพเจ้าจะช่วยพวกยิศราเอลให้รอดพ้นอย่างไรได้? ด้วยเชื้อวงศ์ของข้าพเจ้าต่ำในตระกูลมะนาเซ, ส่วนตัวข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในวงศ์ของบิดา.” ช่างเจียมตัวสักเพียงไร!—วินิจฉัย 6:11-15.
12. ฆิดโอนแสดงความสุขุมอย่างไรในการทำงานมอบหมายของท่านให้ลุล่วง?
12 ก่อนส่งฆิดโอนสู่ศึกสงคราม พระยะโฮวาทรงทดสอบท่าน. โดยวิธีใด? ฆิดโอนได้รับคำสั่งให้ทำลายแท่นบูชาบาละของบิดาท่านและหักทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ข้างแท่นนั้น. การทำงานมอบหมายนี้ต้องใช้ความกล้า แต่ฆิดโอนแสดงความเจียมตัวและความสุขุมในวิธีที่ท่านทำงานนี้ให้ลุล่วง. แทนที่จะทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน ฆิดโอนลงมือภายใต้ความมืดของกลางคืนอันเป็นเวลาซึ่งคงจะมีโอกาสน้อยที่สุดที่ใครจะมาพบเห็นท่าน. นอกจากนั้นแล้ว ฆิดโอนเริ่มลงมือด้วยความรอบคอบอย่างที่ควรจะเป็น. ท่านพาคนรับใช้ไปด้วยสิบคน—อาจจะให้บางคนยืนยามคอยป้องกันในขณะพวกที่เหลือช่วยท่านทำลายแท่นและเสาศักดิ์สิทธิ์.b ไม่ว่าจะอย่างไร ด้วยการอวยพรจากพระยะโฮวา ฆิดโอนทำงานมอบหมายได้สำเร็จ และต่อมาพระเจ้าก็ทรงใช้ท่านให้ปลดปล่อยชาติยิศราเอลจากพวกมิดยาน.—วินิจฉัย 6:25-27.
การแสดงความเจียมตัวและความสุขุม
13, 14. (ก) เราจะแสดงความเจียมตัวได้อย่างไรเมื่อมีการเสนอสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้แก่เรา? (ข) บราเดอร์ เอ. เอช. แมกมิลแลนวางตัวอย่างที่ดีในการแสดงความเจียมตัวอย่างไร?
13 เราสามารถได้บทเรียนหลายอย่างจากความเจียมตัวของฆิดโอน. ตัวอย่างเช่น เราตอบรับอย่างไรเมื่อมีการเสนอสิทธิพิเศษแห่งงานรับใช้แก่เรา? เราคิดถึงความเด่นดังหรือเกียรติคุณที่จะได้รับเป็นอันดับแรกไหม? หรือเราพิจารณาอย่างเจียมตัวและพร้อมด้วยการอธิษฐานว่าเราจะทำได้สำเร็จตามข้อเรียกร้องของงานมอบหมายนั้นได้ไหม? บราเดอร์เอ. เอช. แมกมิลแลน ซึ่งเสร็จสิ้นวิถีชีวิตทางแผ่นดินโลกในปี 1966 วางตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้. ครั้งหนึ่ง ซี. ที. รัสเซลล์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์คนแรก ขอความเห็นจากบราเดอร์แมกมิลแลนว่าน่าจะให้ใครทำหน้าที่แทนท่านเมื่อท่านไม่อยู่. ในการพิจารณาด้วยกันหลังจากนั้น บราเดอร์แมกมิลแลนไม่เคยกล่าวเป็นเชิงสนับสนุนตัวท่านเองแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าท่านคงทำอย่างนั้นได้ไม่ยาก. ในท้ายที่สุด บราเดอร์รัสเซลล์ขอร้องบราเดอร์แมกมิลแลนให้คิดถึงการรับงานมอบหมายนี้. “ผมยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น” บราเดอร์แมกมิลแลนเขียนเล่าไว้ในหลายปีต่อมา. “ผมคิดใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างหนักและอธิษฐานในเรื่องนี้อยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนที่ในที่สุดผมบอกกับท่านว่าผมยินดีจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อช่วยท่าน.”
14 หลังจากนั้นไม่นานนัก บราเดอร์รัสเซลล์ก็เสียชีวิต ทิ้งให้ตำแหน่งนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ว่างลง. เนื่องจากบราเดอร์แมกมิลแลนทำหน้าที่แทนในระหว่างที่บราเดอร์รัสเซลล์เดินทางประกาศสั่งสอนครั้งสุดท้าย พี่น้องคนหนึ่งจึงกล่าวกับท่านว่า “แมก คุณมีโอกาสมากเลยที่จะเข้ารับตำแหน่งนี้เอง. คุณเป็นตัวแทนพิเศษของบราเดอร์รัสเซลล์เมื่อท่านไม่อยู่ และท่านสั่งให้เราทุกคนทำตามที่คุณบอก. ตอนนี้ท่านก็จากไปแล้ว และจะไม่กลับมาอีก. ดูเหมือนว่าคุณน่าจะเป็นคนที่รับช่วงหน้าที่นี้ต่อไป.” บราเดอร์แมกมิลแลนตอบว่า “บราเดอร์ครับ นั่นไม่ใช่วิธีที่ควรมองเรื่องนี้. นี่เป็นงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าและตำแหน่งที่คุณจะได้รับในองค์การขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือตำแหน่งที่พระองค์ทรงเห็นควรจะมอบแก่คุณเท่านั้น; และผมแน่ใจว่าผมไม่ใช่คนที่เหมาะกับงานนี้.” หลังจากนั้น บราเดอร์แมกมิลแลนก็แนะนำคนอื่นให้เข้ารับตำแหน่งนี้. เช่นเดียวกับฆิดโอน ท่านมองตัวเองอย่างเจียมตัว—ทัศนะที่เราควรรับเอามาใช้.
15. วิธีซึ่งใช้การได้จริงอะไรบ้างที่เราสามารถใช้ความหยั่งเห็นเข้าใจเมื่อเราประกาศแก่ผู้อื่น?
15 เราก็เช่นกันควรเจียมตัวในวิธีที่เราทำหน้าที่มอบหมายของเราให้ลุล่วง. ฆิดโอนมีความสุขุม และท่านพยายามไม่ทำให้ผู้ต่อต้านท่านโกรธโดยไม่จำเป็น. คล้ายกันนั้น ในการประกาศของเรา เราควรเจียมตัวและสุขุมในวิธีที่เราพูดกับคนอื่น. จริงอยู่ เราทำสงครามฝ่ายวิญญาณเพื่อคว่ำ “สิ่งที่ฝังรากลึก” และ “การหาเหตุผล.” (2 โกรินโธ 10:4, 5, ล.ม.) แต่เราไม่ควรพูดดูถูกคนอื่นหรือทำให้เขามีสาเหตุอันฟังขึ้นที่จะโกรธเคืองข่าวสารของเรา. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราควรนับถือทัศนะของเขา เน้นในเรื่องที่เราอาจเห็นพ้อง แล้วเน้นถึงแง่มุมในด้านที่เสริมสร้างของข่าวสารของเรา.—กิจการ 22:1-3; 1 โกรินโธ 9:22; วิวรณ์ 21:4.
พระเยซู—ตัวอย่างอันประเสริฐสุดของความเจียมตัว
16. พระเยซูทรงแสดงอย่างไรว่าพระองค์ทรงมีทัศนะที่เจียมตัวเกี่ยวกับพระองค์เอง?
16 ตัวอย่างอันประเสริฐสุดของความเจียมตัวได้แก่พระเยซูคริสต์.c แม้พระองค์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระบิดา พระเยซูไม่ทรงลังเลที่จะยอมรับว่าบางเรื่องนั้นเกินขอบเขตแห่งอำนาจของพระองค์. (โยฮัน 1:14) ยกตัวอย่าง เมื่อมารดาของยาโกโบและโยฮันทูลขอให้บุตรชายทั้งสองได้นั่งข้าง ๆ พระเยซูในราชอาณาจักรของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้.” (มัดธาย 20:20-23) ในอีกคราวหนึ่ง พระเยซูทรงยอมรับอย่างเปิดเผยว่า “เราจะทำสิ่งใดด้วยความริเริ่มของเราเองไม่ได้ . . . เรามิได้มุ่งที่จะทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.”—โยฮัน 5:30; 14:28, ล.ม.; ฟิลิปปอย 2:5, 6.
17. พระเยซูทรงแสดงความเจียมพระองค์อย่างไรในการปฏิบัติต่อผู้อื่น?
17 พระเยซูทรงเหนือกว่ามนุษย์ไม่สมบูรณ์ในทุกทาง และพระองค์ทรงมีอำนาจที่ไม่มีใครเทียมซึ่งได้รับจากพระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์. อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงเจียมพระองค์ในการปฏิบัติต่อเหล่าสาวก. พระองค์ไม่ทรงแสดงอำนาจเหนือพวกเขาด้วยการแสดงความรู้อันน่าประทับใจ. พระองค์แสดงความรู้สึกไวและความเมตตารักใคร่ อีกทั้งคำนึงถึงความจำเป็นตามธรรมดามนุษย์ของพวกเขา. (มัดธาย 15:32; 26:40, 41; มาระโก 6:31) ด้วยเหตุนั้น แม้พระเยซูทรงสมบูรณ์ พระองค์ไม่ทรงเป็นคนมุ่งแต่ความสมบูรณ์. พระองค์ไม่เคยเรียกร้องจากเหล่าสาวกมากกว่าที่พวกเขาสามารถให้ได้ และพระองค์ไม่เคยวางภาระไว้บนพวกเขาเกินที่เขาจะแบกได้. (โยฮัน 16:12) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนรู้สึกว่าพระองค์ทรงให้ความสดชื่น!—มัดธาย 11:29.
จงเลียนแบบอย่างความเจียมพระองค์ของพระเยซู
18, 19. เราจะเลียนแบบความเจียมพระองค์ของพระเยซูได้อย่างไร (ก) ในวิธีที่เรามองตัวเราเอง และ (ข) ในวิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่น?
18 ในเมื่อบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาแสดงความเจียมพระองค์ ย่อมสมควรมากกว่าสักเพียงไรที่เราจะแสดงความเจียมตัว. มนุษย์ไม่สมบูรณ์มักจะไม่เต็มใจยอมรับว่าจริง ๆ แล้วเขามิได้มีอำนาจโดยสมบูรณ์. อย่างไรก็ตาม ในการเลียนแบบพระเยซู คริสเตียนพยายามที่จะเป็นคนเจียมตัว. พวกเขาไม่หยิ่งเกินไปที่จะมอบหน้าที่รับผิดชอบแก่คนที่มีคุณวุฒิควรได้รับ; อีกทั้งไม่แสดงความหยิ่งยโสและความไม่เต็มใจที่จะรับการชี้นำจากผู้ที่มีอำนาจ. โดยแสดงน้ำใจให้ความร่วมมือ พวกเขาทำให้ทุกสิ่งในประชาคมดำเนินไป “อย่างที่ถูกที่ควรและเป็นไปตามระเบียบ.”—1 โกรินโธ 14:40, ล.ม.
19 ความเจียมตัวจะกระตุ้นเราด้วยให้มีเหตุผลในสิ่งที่เราคาดหมายจากผู้อื่น และคำนึงถึงความจำเป็นของพวกเขา. (ฟิลิปปอย 4:5) เราอาจมีความสามารถและจุดเด่นบางอย่างที่คนอื่นขาดไป. ถึงกระนั้น หากเราเจียมตัว เราจะไม่คาดหมายจากผู้อื่นให้ทำอย่างที่เราอยากให้เขาทำอยู่เสมอ. โดยรู้อยู่ว่าแต่ละคนมีข้อจำกัดของตนเอง หากเราเจียมตัว เราจะคิดเผื่อถึงข้อบกพร่องของผู้อื่น. เปโตรเขียนว่า “ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด จงมีความรักอันแรงกล้าต่อกันและกัน เพราะความรักปกปิดความผิดไว้มากมาย.”—1 เปโตร 4:8, ล.ม.
20. เราจะทำอะไรได้เพื่อเอาชนะความโน้มเอียงที่จะไม่เจียมตัว?
20 ดังที่เราได้เรียนไปแล้ว เป็นความจริงทีเดียวว่าสติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว. อย่างไรก็ตาม จะว่าอย่างไรหากคุณพบว่าคุณมีแนวโน้มที่จะไม่เจียมตัวหรือถือดี? อย่าได้ท้อใจ. แทนที่จะท้อใจ ขอให้ทำอย่างดาวิดซึ่งอธิษฐานว่า “ขอทรงยึดหน่วงผู้ทาสของพระองค์ไว้ให้พ้นจากการผิดโดยประมาท [“การทำเกินสิทธิ์,” ล.ม.]; อย่าให้ความผิดนั้นครอบงำข้าพเจ้าไว้เลย.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:13) ด้วยการเลียนแบบความเชื่อของบางคนอย่างเช่น เปาโล, ฆิดโอน, และ—ที่เหนือกว่าทุกคน—คือพระเยซูคริสต์ เราเองจะประสบกับความจริงของถ้อยคำที่ว่า “สติปัญญาอยู่กับคนเจียมตัว.”—สุภาษิต 11:2, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a คำภาษากรีกที่แปลในที่นี้ว่า “ผู้ที่อยู่ใต้บัญชา” อาจหมายถึงทาสที่พายเรือในแถวฝีพายชั้นล่างของเรือใหญ่. เมื่อเทียบกัน “ผู้อารักขา” อาจได้รับมอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบมากกว่า ซึ่งก็อาจได้แก่การดูแลทรัพย์สิน. อย่างไรก็ตาม ในสายตาของนายส่วนใหญ่ ผู้อารักขาอยู่ในสภาพข้ารับใช้เหมือน ๆ กับทาสฝีพายในเรือใหญ่.
b ไม่ควรตีความการกระทำอย่างสุขุมและรอบคอบของฆิดโอนว่าเป็นเครื่องชี้แสดงถึงความขี้ขลาด. ตรงกันข้าม ความกล้าหาญของท่านได้รับการยืนยันโดยเฮ็บราย 11:32-38 ซึ่งกล่าวถึงหลายคนรวมทั้งฆิดโอนด้วยว่า “มีกำลังมากขึ้น” และ “มีกำลังเรี่ยวแรงมาก [“กล้าหาญ,” ล.ม.] ในการสงคราม.”
c เนื่องจากความเจียมตัวหมายรวมถึงการตระหนักถึงข้อจำกัดของตัวเอง จึงไม่อาจกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าพระยะโฮวาทรงเจียมพระองค์. อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงถ่อมพระทัย.—บทเพลงสรรเสริญ 18:35.
-