จงมีความสุขและมีระเบียบ
การเป็นคนที่มีระเบียบเปิดโอกาสให้เราทำสิ่งต่าง ๆ อย่างราบรื่นดี. การเป็นคนมีประสิทธิภาพช่วยเราใช้เวลาและทรัพยากรอย่างที่เป็นประโยชน์มากที่สุด. (ฆะลาเตีย 6:16; ฟิลิปปอย 3:16; 1 ติโมเธียว 3:2) แต่ชีวิตย่อมมีมากกว่าการมีระเบียบและประสิทธิภาพ. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญที่ได้รับการดลใจเขียนว่า “ชนประเทศที่นับถือพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของตนก็เป็นผาสุก!” (บทเพลงสรรเสริญ 144:15) ข้อท้าทายคือที่จะมีความสุขพร้อมกับมีระเบียบในทุกสิ่งที่เราทำ.
มีระเบียบและมีความสุข
พระเจ้ายะโฮวาทรงเป็นแบบอย่างอันยอดเยี่ยมที่สุดในเรื่องการจัดระเบียบที่ดี. สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวไปจนถึงที่สลับซับซ้อน ตั้งแต่อะตอมที่เล็กมากจนถึงกาแล็กซีอันกว้างใหญ่ไพศาล แสดงให้เห็นระเบียบและความเที่ยงตรง. กฎเกี่ยวกับเอกภพของพระองค์เปิดโอกาสให้เราวางแผนชีวิตของเราด้วยความมั่นใจ. เราทราบว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทุกเช้า และฤดูร้อนจะมาทีหลังฤดูหนาว.—เยเนซิศ 8:22; ยะซายา 40:26.
แต่พระยะโฮวาทรงเป็นยิ่งกว่าพระเจ้าแห่งระเบียบ. พระองค์ทรงเป็น “พระเจ้าผู้ประกอบด้วยความสุข” อีกด้วย. (1 ติโมเธียว 1:11; 1 โกรินโธ 14:33) ความสุขของพระองค์ปรากฏในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง. ลูกแมวที่ชอบเล่น, อาทิตย์อัสดงอันสวยงาม, อาหารรสอร่อย, ดนตรีที่จับใจ, งานที่ทำให้เบิกบานใจ, และสิ่งอื่น ๆ จำนวนมากแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมุ่งหมายให้เราเพลิดเพลินกับชีวิต. กฎหมายของพระองค์ไม่ใช่ข้อจำกัดที่น่าเบื่อ หากแต่เป็นการป้องกันเพื่อความสุขของเรา.
พระเยซูคริสต์ทรงเลียนแบบพระบิดาของพระองค์. พระองค์เป็น “ผู้ทรงประกอบด้วยบรมสุข และเป็นมหิศรพระองค์เดียว” และกระทำเหมือนอย่างที่พระบิดาของพระองค์ทรงกระทำทีเดียว. (1 ติโมเธียว 6:15; โยฮัน 5:19) เมื่อพระองค์ทรงบากบั่นร่วมกับพระบิดาของพระองค์ในงานสร้างสรรค์นั้น พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่า “นายช่าง” ที่มีประสิทธิภาพ พระองค์ทรงเป็นสุขเบิกบานในสิ่งที่พระองค์กระทำ. พระองค์ทรง “เปรมปรีดิ์อยู่ต่อพระพักตร์ [พระยะโฮวา] เสมอ เปรมปรีดิ์ในพิภพที่มีคนอาศัยของพระองค์ และปีติยินดี ในบุตรชายของมนุษย์.”—สุภาษิต 8:30, 31, ฉบับแปลใหม่.
เราต้องการสะท้อนความกรุณา, ความเบิกบาน, และความรักชอบอย่างเดียวกันต่อผู้คนในทุกสิ่งที่เราทำ. แต่บางครั้ง ในความพยายามที่จะมีประสิทธิภาพนั้น เราอาจลืมว่าการ “ดำเนินตามพระวิญญาณ [ของพระเจ้า]” รวมทั้งการบังเกิดผลแห่งพระวิญญาณ. (ฆะลาเตีย 5:22-25) ดังนั้น เราสมควรจะถามว่า เราจะทั้งมีระเบียบและเป็นสุขเบิกบานในกิจการงานของเราเอง และในการชี้นำงานของคนอื่นได้อย่างไร?
อย่าโหดร้ายต่อตัวคุณเอง
จงพิจารณาคำแนะนำที่ดีซึ่งบันทึกไว้ในสุภาษิต 11:17, (ล.ม.). ทีแรกผู้เขียนที่ได้รับการดลบันดาลบอกเราว่า “ชายที่มีความรักกรุณาปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับจิตวิญญาณของตนเอง.” จากนั้นเขากล่าวโดยเปรียบเทียบว่า “แต่บุคคลที่โหดร้ายนำความน่ารังเกียจมาสู่กายของตนเอง.” ฉบับแปลใหม่ แปลข้อนั้นดังนี้: “ชายผู้มีความเอ็นดูย่อมให้ประโยชน์แก่ตน แต่ชายที่ดุร้ายย่อมทำให้ตัวเองเจ็บ.”
เราอาจโหดร้ายต่อตัวเองโดยไม่ตั้งใจได้อย่างไร? ทางหนึ่งคือโดยการมีความตั้งใจดี แต่ทว่าไม่มีระเบียบอย่างสิ้นเชิง. พร้อมด้วยผลประการใด? ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าวว่า “ความจำเสื่อม, เอกสารที่เข้าแฟ้มผิด, คำสั่งที่ไม่เข้าใจดีพอ, บันทึกข่าวสารทางโทรศัพท์ที่ไม่ถูกต้อง—สิ่งเหล่านี้คือข้อปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของความล้มเหลว เป็นตัวหนอนที่กัดกินเข้าไปในโครงสร้างแห่งประสิทธิภาพ และทำลายความมุ่งมั่นอันดีที่สุด.”—สอนตัวเองให้มีประสิทธิภาพส่วนบุคคล (ภาษาอังกฤษ).
ข้อนี้สอดคล้องกับผู้เขียนที่ได้รับการดลบันดาลผู้ซึ่งกล่าวว่า “คนที่เกียจคร้านไม่ทำงานของตนก็เป็นพี่น้องกันกับคนที่ทำความเสียหาย.” (สุภาษิต 18:9) ถูกแล้ว คนที่ไม่มีระเบียบ, ไม่มีประสิทธิภาพอาจก่อความหายนะและความล่มจมให้แก่ตัวเขาเองและคนอื่น ๆ ได้. เนื่องจากเหตุนี้ คนอื่นมักจะหลบเลี่ยงเขาเสมอ. ผลสืบเนื่องจากการที่เขาเกียจคร้าน เขานำความเสียหายมาสู่ตัวเอง.
สุนัขที่เป็นอยู่หรือว่าสิงโตที่ตายแล้ว?
แต่เราอาจโหดร้ายกับตัวเองได้โดยการตั้งมาตรฐานที่สูงเกินไป. นักเขียนในเรื่องประสิทธิภาพข้างต้นบอกว่า เราอาจมุ่งไปที่ “มาตรฐานของความสมบูรณ์ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในการบรรลุถึงอย่างครบถ้วน.” เขาบอกว่า ผลก็คือ “ทำให้ตัวเราเองตกอยู่ในความช้ำใจและฝันสลายในที่สุด.” นักนิยมความสมบูรณ์พร้อมอาจมีระเบียบที่ดีและมีประสิทธิภาพ แต่เขาจะไม่เป็นสุขอย่างแท้จริงเลย. ไม่ช้าก็เร็วเขาจะได้เพียงแต่ความช้ำใจเท่านั้น.
หากเรามีแนวโน้มไปทางเป็นนักนิยมความสมบูรณ์พร้อม เราสมควรจำไว้ว่า “สุนัขที่เป็นอยู่ มันก็ยังดีกว่าสิงโตที่ตายแล้ว.” (ท่านผู้ประกาศ 9:4) เราอาจไม่ได้ฆ่าตัวเองจริง ๆ โดยการพยายามบรรลุความสมบูรณ์พร้อมอย่างที่ไม่ตรงกับสภาพจริง แต่เราก็อาจทำอันตรายอย่างร้ายแรงแก่ตัวเราได้โดยความอ่อนล้า. นักวิชาการคนหนึ่งกล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ “การหมดเรี่ยวแรงทางด้านร่างกาย, ด้านความรู้สึก, ด้านฝ่ายวิญญาณ, ด้านสติปัญญา, และด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล.” (ความเครียดของงานและความอ่อนล้า, ภาษาอังกฤษ) การทำให้ตัวเราเองหมดเรี่ยวแรงโดยการพยายามติดตามเป้าหมายที่บรรลุถึงไม่ได้นั้นเป็นการโหดร้ายต่อตัวเองแน่ ๆ และทำให้เราสูญเสียความสุขไปอย่างเลี่ยงไม่พ้น.
จงปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง
โปรดจำไว้ว่า “คนที่มีความรักกรุณาย่อมปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับจิตวิญญาณของตนเอง.” (สุภาษิต 11:17, ล.ม.) เราปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับตัวเราเองเมื่อเราตั้งเป้าหมายแบบที่ตรงกับสภาพจริงและมีเหตุผล โดยรำลึกว่าพระยะโฮวา พระเจ้าที่ประกอบด้วยความสุขทรงทราบขีดจำกัดของเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 103:8-14) เราอาจมีความสุขได้หากเรายอมรับขีดจำกัดเหล่านั้นด้วยเช่นกัน และครั้นแล้ว “ทำสุดความสามารถ” ภายในขอบเขตความสามารถของเรา ที่จะทำให้ภาระหน้าที่ของเราสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี.—เฮ็บราย 4:11; 2 ติโมเธียว 2:15; 2 เปโตร 1:10, ล.ม.
แน่นอน มีอันตรายเสมอในการหันไปสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง—การเป็นคนกรุณาต่อตัวเองมากเกินไป. อย่าลืมคำตอบของพระเยซูต่อข้อเสนอแนะของเปโตรที่ว่า “พระองค์เจ้าข้า จงกรุณาพระองค์เองเถิด” ในเมื่อตามจริงแล้ว การกระทำอย่างเด็ดเดี่ยวเป็นสิ่งจำเป็น. ความคิดของเปโตรเป็นอันตรายถึงขนาดที่พระเยซูตรัสว่า “จงไปอยู่ข้างหลัง ซาตาน! เจ้าเป็นหินสะดุดแก่เรา เพราะที่เจ้าคิดนั้น ไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์.” (มัดธาย 16:22, 23, ล.ม.) การปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับจิตวิญญาณของเราเองนั้นไม่อนุญาตให้มีเจตคติที่สะเพร่า, ปล่อยตามใจตัวเอง. นั่นอาจทำให้เราสูญเสียความสุขทั้งหมดได้อีกด้วย. สิ่งที่เราต้องมีคือ ความมีเหตุผล หาใช่ความกระตือรือร้นแบบเลยเถิดไม่.—ฟิลิปปอย 4:5.
จงปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ
พวกอาลักษณ์และฟาริซายในสมัยของพระเยซูดูเหมือนจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนมีประสิทธิภาพสูงและจัดระเบียบอย่างดี. พจนานุกรมเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) กล่าวเกี่ยวกับวิธีการนมัสการของเขาว่า “พระบัญญัติทุกข้อที่มาจากพระคัมภีร์ถูกห้อมล้อมด้วยเครือข่ายของกฎเกณฑ์เล็ก ๆ น้อย ๆ. ไม่มีการยินยอมให้กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การเชื่อฟังอย่างพร้อมมูลต่อพระบัญญัติในรายละเอียดทุกอย่างของพระบัญญัตินั้นเป็นสิ่งที่เรียกร้องจากพวกยิวทุกคนอย่างไม่มีการผ่อนผัน . . . ข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับกฎหมายเพิ่มทวีขึ้นจนกระทั่งศาสนากลายเป็นการค้า และชีวิตเป็นภาระอันสุดแสนจะทนทาน. มนุษย์ถูกลดฐานะลงมาเป็นหุ่นยนต์ด้านศีลธรรม. เสียงของสติรู้สึกผิดชอบถูกระงับ พลังอันมีชีวิตแห่งถ้อยคำของพระเจ้าถูกทำให้เป็นโมฆะ และถูกปิดคลุมไว้อยู่ใต้กฎเกณฑ์มากมายไม่รู้จักจบ.”
ไม่น่าประหลาดใจที่พระเยซูคริสต์ทรงประณามพวกเขาในเรื่องนี้. พระองค์ตรัสว่า “ด้วยเขาดีแต่ผูกมัดของหนักซึ่งแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย.” (มัดธาย 23:4) ผู้ปกครองที่มีความรักย่อมละเว้นจากการวางภาระแก่ฝูงแกะด้วยกฎเกณฑ์และข้อบังคับเล็ก ๆ น้อย ๆ จำนวนมากมาย. พวกเขาปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับฝูงแกะของพระเจ้าโดยการดำเนินตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ด้วยความกรุณาและอย่างที่ทำให้สดชื่น.—มัดธาย 11:28-30; ฟิลิปปอย 2:1-5.
แม้แต่เมื่อความรับผิดชอบทางด้านองค์การเพิ่มทวีขึ้นก็ตาม ผู้ปกครองที่เอาใจใส่จะไม่มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า เขาติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้คน—ผู้คนซึ่งพระเจ้าทรงรัก. (1 เปโตร 5:2, 3, 7; 1 โยฮัน 4:8-10) เขาจะไม่วุ่นอยู่กับเรื่องราวหรือวิธีดำเนินงานเกี่ยวกับองค์การจนกระทั่งเขาลืมหน้าที่ประการแรกของเขาในฐานะผู้บำรุงเลี้ยง, ผู้พิทักษ์, และผู้ปกป้องฝูงแกะ.—สุภาษิต 3:3; 19:22; 21:21; ยะซายา 32:1, 2; ยิระมะยา 23:3, 4.
ตัวอย่างเช่น การจดจ่ออยู่กับตารางเวลาและสถิติอาจเบียดความห่วงใยต่อผู้คนออกไป. จงพิจารณาดูคนขับรถประจำทางซึ่งคิดว่าหน้าที่อันดับแรกของเขาคือยึดอยู่กับตารางเวลาของเขาอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดขึ้น. เขาหมกมุ่นอยู่กับความปรารถนาที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางในเวลาที่กำหนดไว้พอดี. น่าเสียดาย จากแง่คิดของเขา ผู้โดยสารเป็นตัวถ่วง. พวกเขาชักช้าและทำให้ยุ่งเหยิงและมักจะถึงป้ายจอดรถขณะที่เขาขับเคลื่อนออกไปแล้ว. แทนที่จะจำไว้ว่าจุดมุ่งหมายแท้ ๆ แห่งงานของเขาคือสนองความต้องการของผู้โดยสาร เขากลับเห็นว่าพวกนั้นเป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพของเขา และจึงหลีกเลี่ยงพวกเขา.
จงเอาใจใส่ต่อปัจเจกบุคคลแต่ละคน
การมุ่งมั่นอย่างไม่คำนึงถึงผู้อื่นเพื่อจะมีประสิทธิภาพนั้นมักจะมองข้ามความต้องการของปัจเจกบุคคล. ผู้อ่อนแอกว่าที่ขาดประสิทธิภาพอาจถูกมองว่าเป็นภาระ. เมื่อเป็นอย่างนี้ ผลอันน่าสยดสยองอาจติดตามมาก็ได้. ตัวอย่างเช่น ในนครรัฐสปาร์ตาของกรีกโบราณ เด็กที่อ่อนแอและเป็นโรคถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย. พวกเขาจะไม่โตขึ้นเป็นทหารที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพในการปกป้องรัฐที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ. นักปราชญ์เบอร์ทรานด์ รัสเซลล์กล่าวว่า “เมื่อเด็กเกิดมา บิดานำเขามาไว้ต่อหน้าผู้อาวุโสในครอบครัวของเขาเพื่อตรวจสอบดู หากเด็กมีสุขภาพดี เด็กก็จะถูกคืนให้บิดาไปเลี้ยงดู ถ้าไม่แข็งแรงเด็กก็จะถูกโยนลงไปในบ่อน้ำลึก.”—ประวัติแห่งปรัชญาทางตะวันตก (ภาษาอังกฤษ).
ความแข็งกร้าวและความเข้มงวด หาใช่ความสุขไม่ เป็นสภาพในรัฐที่ไร้ความปรานีเช่นนั้น. (เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:9.) ไม่ต้องสงสัยว่าผู้มีอำนาจในนครสปาร์ตารู้สึกว่าเรื่องประสิทธิภาพเป็นเหตุผลที่ดีสำหรับการกระทำของเขา แต่พฤติกรรมของเขาปราศจากความเมตตาสงสารหรือความกรุณาทั้งสิ้น. วิธีการของเขามิใช่วิธีการของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 41:1; สุภาษิต 14:21) ในทางตรงกันข้าม ผู้ดูแลในประชาคมคริสเตียนระลึกว่าแกะทั้งสิ้นของพระเจ้ามีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ และพวกเขาปฏิบัติอย่างที่เป็นประโยชน์กับแต่ละคนในฝูงแกะนั้น. เขาเอาใจใส่ไม่เพียงแต่ 99 คนซึ่งมีสุขภาพดีเท่านั้น แต่เอาใจใส่คนเดียวที่อ่อนแอหรือได้รับความกระทบกระเทือนด้านอารมณ์ด้วย.—มัดธาย 18:12-14; กิจการ 20:28; 1 เธซะโลนิเก 5:14, 15; 1 เปโตร 5:7.
จงแนบสนิทอยู่กับฝูงแกะ
พวกผู้ปกครองแนบสนิทอยู่กับฝูงแกะภายใต้ความดูแลของเขา. แต่ทว่า การวิจัยสมัยปัจจุบันในเรื่องวิธีการทางธุรกิจอาจชวนให้คิดว่าเพื่อจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้จัดการหรือผู้ดูแลไม่ควรสนิทสนมกับคนเหล่านั้นที่เขาควบคุมดูแล. นักวิจัยคนหนึ่งพรรณนาผลลัพธ์ที่ต่างกันซึ่งนายทหารกองทัพอากาศคนหนึ่งได้ประสบเมื่อเขาอยู่ใกล้ชิดหรือไม่ก็ห่างเหินจากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา. “เมื่อเขามีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายทหาร [ของเขา] พวกเขาดูเหมือนว่ารู้สึกปลอดภัยและพวกเขาไม่กังวลเกินไปในเรื่องประสิทธิภาพของหน่วยของเขา. ทันทีที่เขากลายเป็นคนไว้ตัวยิ่งขึ้นและสำนึกถึงตำแหน่งที่สูงกว่าของเขา เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเริ่มกังวลว่าเกิดอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ . . . และโน้มนำให้ความกังวลของพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นการให้ความเอาใจใส่มากขึ้นต่องานของพวกเขา. ผลก็คือ มีการเพิ่มพูนอย่างน่าสังเกตในเรื่องประสิทธิภาพของฐานทัพ.”—การเข้าใจองค์การ. (ภาษาอังกฤษ).
อย่างไรก็ดี ประชาคมคริสเตียนไม่ใช่องค์การทหาร. ผู้ปกครองคริสเตียนซึ่งดูแลงานของคนอื่น ๆ นั้นเลียนแบบพระเยซูคริสต์. พระองค์สนิทสนมกับเหล่าสาวกของพระองค์เสมอ. (มัดธาย 12:49, 50; โยฮัน 13:34, 35) พระองค์ไม่เคยฉวยโอกาสจากความกังวลของพวกเขาเพื่อจะคาดคั้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น. พระองค์ทรงสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นของความมั่นใจซึ่งกันและกันและความไว้วางใจระหว่างพระองค์เองกับพวกสาวกของพระองค์. ความผูกพันอันสนิทสนมของความเอ็นดูรักชอบเป็นเครื่องหมายแสดงตัวเหล่าสาวกของพระองค์. (1 เธซะโลนิเก 2:7, 8) เมื่อความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนั้นมีอยู่ ฝูงแกะที่มีความสุขซึ่งได้รับการกระตุ้นจากความรักต่อพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมนั้นจะตอบสนองอย่างดีต่อการชี้นำโดยปราศจากการบีบบังคับ และจะทำสุดกำลังของเขาในการรับใช้พระองค์ด้วยความเต็มใจ.—เทียบกับเอ็กโซโด 35:21.
ข้อคัมภีร์หลายข้อเน้นคุณลักษณะฝ่ายคริสเตียน เช่น ความสุขและความรักต่อพวกพี่น้อง. (มัดธาย 5:3-12; 1 โกรินโธ 13:1-13) โดยเทียบเคียงแล้วมีไม่กี่ข้อที่เน้นความจำเป็นในเรื่องประสิทธิภาพ. แน่นอน มีความจำเป็นในเรื่องการจัดระเบียบที่ดี. ไพร่พลของพระเจ้าได้รับการจัดระเบียบอยู่เสมอ. แต่คิดดูซิว่าผู้เขียนบทเพลงสรรเสริญพรรณนาถึงผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นคนมีความสุขนั้นบ่อยเพียงไร. บทเพลงสรรเสริญ 119 ซึ่งกล่าวไว้มากมายในเรื่องกฎหมาย, ข้อเตือนใจ, และกฎเกณฑ์ของพระยะโฮวานั้นเริ่มต้นว่า “คนทั้งหลายที่ไม่ประพฤติในทางลามกก็เป็นสุข คือคนที่ดำเนินตามบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า. คนทั้งหลายที่รักษาคำปฏิญาณของพระองค์ก็เป็นสุข คือคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:1, 2) คุณจะเผชิญการท้าทายได้ไหมที่จะเป็นทั้งคนซึ่งมีระเบียบและมีความสุข?
[รูปภาพหน้า 31]
ในฐานะผู้บำรุงเลี้ยงองค์เปี่ยมด้วยความรัก พระยะโฮวาไม่เพียงแต่เป็นพระเจ้าแห่งความมีระเบียบเท่านั้น แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสุขด้วย
[ที่มาของภาพ]
Garo Nalbandian