ความหวังตลอดชีวิตของผมคือที่จะไม่ตายเลย
เล่าโดย เฮกเตอร์ อาร์. พรีสต์
“เป็นมะเร็งที่รักษาไม่ได้.” หมอบอก. “ไม่มีอะไรที่เราจะทำให้คุณได้มากกว่านี้.” มีการวินิจฉัยโรคเช่นนั้นกว่าสิบปีมาแล้ว. กระนั้น ผมก็ยังคำนึงถึงความหวังที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลอยู่เสมอคือ การมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกโดยไม่ต้องตายเลย.—โยฮัน 11:26.
คุณพ่อคุณแม่ของผมเป็นเมโทดิสต์ที่จริงใจซึ่งไปโบสถ์ในเมืองเล็ก ๆ ไม่ไกลจากฟาร์มของครอบครัวเรา. ผมเกิดในหุบเขาที่สวยงามซึ่งมีการทำฟาร์มในแถบไวราราพา ประมาณ 130 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์. ที่นั่นเราเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ, แม่น้ำใสสะอาดที่ไหลจากภูเขา, เนินเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ, และที่ราบอันอุดมสมบูรณ์.
ในคริสตจักรเมโทดิสต์ เราถูกสอนว่า คนดีทุกคนไปสวรรค์ แต่คนไม่ดีตกนรก สถานทรมานที่มีไฟลุกไหม้. ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้าประสงค์ให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในสวรรค์แล้ว ทำไมพระองค์ไม่ทรงจัดให้พวกเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกเลย. ผมกลัวตายเสมอและมักจะนึกสงสัยอยู่เนือง ๆ ว่า ทำไมเราต้องตาย. ในปี 1927 เมื่อผมอายุ 16 ปี ครอบครัวของเราประสบโศกนาฏกรรม. นั่นทำให้ผมสืบหาคำตอบสำหรับคำถามของผม.
ทำไมเร็จจึงตาย?
เมื่อเร็จน้องชายของผมอายุ 11 ขวบ เขาป่วยหนัก. หมอวินิจฉัยไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติและไม่สามารถช่วยเขาได้. คุณแม่เรียกนักเทศน์เมโทดิสต์มา. เขาอธิษฐานเผื่อเร็จ แต่นี่ไม่ได้ปลอบประโลมคุณแม่. ที่จริง ท่านบอกนักเทศน์คนนั้นว่า คำอธิษฐานของเขาไม่ได้ผลอะไร.
เมื่อเร็จเสียชีวิต คุณแม่จะพูดกับทุกคนไม่ว่าใครเพื่อพยายามจะดับความกระหายที่จะได้คำตอบที่เป็นความจริงเกี่ยวกับเหตุผลที่ลูกชายคนเล็กของท่านต้องตาย. ขณะที่คุยกับพ่อค้าคนหนึ่งในเมือง ท่านถามว่า เขารู้อะไรบ้างไหมเกี่ยวกับสภาพของคนตาย. เขาไม่รู้ แต่เขาบอกว่า “มีคนทิ้งหนังสือไว้ที่นี่เล่มหนึ่ง คุณเอาไปได้.”
คุณแม่นำหนังสือกลับบ้านแล้วเริ่มอ่าน. ท่านวางหนังสือนั้นไม่ลง. ทัศนะทั้งสิ้นของท่านค่อย ๆ เปลี่ยนไป. ท่านบอกครอบครัวว่า “ใช่แล้วล่ะ นี่คือความจริง.” หนังสือนั้นคือแผนการของพระเจ้าเกี่ยวกับยุคต่าง ๆ เป็นเล่มแรกของคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ). ทีแรกผมสงสัยและพยายามโต้แย้งคำอธิบายในหนังสือนั้นเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระผู้สร้าง. แต่ในที่สุด ผมก็เลิกโต้แย้ง.
การรับเอาความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
ผมนึกในใจ ‘คิดดูสิมีชีวิตตลอดไป โดยไม่ต้องตายเลย!’ ความหวังดังกล่าวเป็นสิ่งที่คนเราจะคาดหมายได้จากพระเจ้าองค์เปี่ยมด้วยความรัก. แผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน! ใช่แล้ว นี่เป็นความหวังที่ผมต้องการ.
หลังจากเรียนรู้ความจริงอันวิเศษนี้แล้ว คุณแม่กับพี่น้องหญิงคริสเตียนสามคนจากเมืองเวลลิงตัน—คือซิสเตอร์ทอมป์สัน, บาร์ทัน, และโจนส์—จะจากบ้านไปครั้งละหลายวัน เพื่อหว่านเมล็ดแห่งราชอาณาจักรไปทั่วทุกแห่งในชนบท. ถึงแม้คุณพ่อมิได้มีน้ำใจมิชชันนารีอย่างคุณแม่ก็ตาม ท่านได้สนับสนุนคุณแม่ในกิจการงานที่คุณแม่ทำ.
ผมเชื่อมั่นในความจริง แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งผมไม่ได้ทำอะไรมากนักเกี่ยวกับความเชื่อของผม. ในปี 1935 ผมแต่งงานกับโรอินา คอร์เล็ตต์ และต่อมาเรามีความยินดีที่ได้ลูกสาวชื่ออินิดกับลูกชาย คือ แบร์รี. ผมทำงานเป็นคนค้าสัตว์ รับซื้อปศุสัตว์หลายพันตัวจากเกษตรกรแถว ๆ นั้น. คราใดที่เจ้าของฟาร์มเหล่านี้ถกกันเรื่องการเมือง ผมจะรู้สึกเป็นสุขเมื่อบอกพวกเขาว่า “ความพยายามเหล่านี้ของมนุษย์จะไม่มีทางบรรลุผลสำเร็จ. ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรัฐบาลเดียวเท่านั้นที่จะทำได้.”
น่าเศร้า ผมกลายเป็นคนติดยาสูบ ผมคาบซิการ์ในปากเสมอ. ในที่สุดสุขภาพของผมทรุดโทรม และผมถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากปวดท้อง. หมอบอกว่า ผมเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบแบบเฉียบพลัน เกิดจากการที่ผมใช้ยาสูบ. ถึงแม้ผมเลิกนิสัยนั้นแล้วก็ตาม ไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับผมที่จะฝันว่า ผมกำลังสูบซิการ์หรือบุหรี่ไม่หมดมวนเสียที. การติดบุหรี่ช่างร้ายแรงเสียจริง ๆ!
หลังจากเลิกสูบบุหรี่แล้ว ผมได้ทำการปรับปรุงที่สำคัญอื่น ๆ. ในปี 1939 เมื่อผมอายุ 28 ปี ผมรับบัพติสมาในแม่น้ำมังเอไทใกล้บ้านของเราในชนบท. โรเบิร์ต เลเซนบี ผู้ซึ่งภายหลังได้ดูแลงานประกาศในนิวซีแลนด์ เดินทางมาไกลจากเวลลิงตันเพื่อให้คำบรรยายในบ้านของเราและบัพติสมาให้ผม. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมเป็นพยานที่กล้าหาญของพระยะโฮวา.
การจัดระเบียบงานประกาศ
หลังจากรับบัพติสมาแล้ว ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลประชาคมเอเคทาฮูนา. โรอินาภรรยาของผมยังไม่รับเอาความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. อย่างไรก็ดี ผมบอกให้เธอรู้ว่า ผมจะเชิญอัลฟ์ ไบรอันต์ให้ลงมาจาก พาฮีอาทูอา เพื่อแสดงให้ผมเห็นวิธีให้คำพยานตามบ้านอย่างถูกต้อง. ผมต้องการจัดระเบียบงานประกาศและทำงานทั่วทั้งเขตของเราอย่างเป็นระบบ.
โรอินาบอกว่า “เฮกเตอร์ หากคุณไปให้คำพยานตามบ้าน ฉันจะไม่อยู่ที่นี่เมื่อคุณกลับมา. ฉันจะทิ้งคุณ. ความรับผิดชอบของคุณอยู่ที่นี่—ที่บ้านกับครอบครัวของคุณ.”
ผมไม่รู้จะทำอย่างไร. ผมแต่งตัวอย่างสองจิตสองใจ ผมบอกตัวเองว่า ‘ผมต้องไป. ชีวิตผมขึ้นอยู่กับงานนี้ และชีวิตของครอบครัวผมก็ขึ้นอยู่กับงานนี้ด้วย.’ ดังนั้น ผมทำให้โรอินามั่นใจว่า ผมไม่ต้องการทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจแต่อย่างใด. ผมบอกเธอว่า ผมรักเธอมาก แต่เพราะพระนามและพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา อีกทั้งชีวิตของเราเองพัวพันอยู่ด้วย ผมจำต้องประกาศวิธีนี้.
อัลฟ์กับผมไปที่บ้านแรก และเขาเป็นฝ่ายเริ่มพูด. แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังสานต่อการสนทนา บอกเจ้าของบ้านว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของโนฮาเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสมัยของเรา และเราต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแน่ใจได้ในเรื่องความรอดของเรา. (มัดธาย 24:37-39) ผมได้จำหน่ายหนังสือเล่มเล็กบางเล่มไว้ที่นั่น.
หลังจากเราออกจากบ้านนั้น อัลฟ์บอกว่า “คุณรู้เรื่องราวทั้งหมดนั้นจากที่ไหน? คุณไม่จำเป็นต้องมีผม. คุณไปเองได้ และเราจะทำเขตงานนี้ได้เป็นสองเท่า.” ดังนั้น เราจึงทำเช่นนั้น.
เมื่อเรากลับบ้าน ผมไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอเราอยู่. สิ่งที่ยังความประหลาดใจและความยินดีแก่ผมก็คือ โรอินาได้เตรียมน้ำชาไว้พร้อมสำหรับเรา. สองสัปดาห์ต่อมา ภรรยาได้สมทบกับผมในงานเผยแพร่ต่อสาธารณชน และกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของความมีใจแรงกล้าแบบคริสเตียน.
พวกแรกในหุบเขาทำฟาร์มที่เราอยู่ซึ่งเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาก็มี ม็อด แมนเซอร์, วิลเลียมลูกชาย และรูบีลูกสาวของเธอ. สามีของม็อดเป็นคนแข็งกร้าวซึ่งมีท่าทางดุดัน. วันหนึ่งผมกับโรอินามาถึงฟาร์มของเขาเพื่อพาม็อดออกไปในงานเผยแพร่. หนุ่มวิลเลียมได้จัดแจงให้เราใช้รถยนต์ของเขา แต่พ่อของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น.
สถานการณ์ตึงเครียด. ผมขอให้โรอินาอุ้มอินิด ลูกสาวของเราที่ยังแบเบาะอยู่. ผมขึ้นรถของวิลเลียมแล้วขับออกมาจากโรงรถอย่างเร็วขณะที่นายแมนเซอร์พยายามจะรีบปิดประตูโรงรถก่อนที่เราออกไปได้. แต่เขาทำไม่สำเร็จ. หลังจากขับพ้นไปได้แล้ว เราก็จอดรถ และผมลงจากรถเพื่อเผชิญหน้ากับนายแมนเซอร์ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ. ผมบอกเขาว่า “เรากำลังจะไปทำงานเผยแพร่ตามบ้าน และคุณนายแมนเซอร์จะไปกับเรา.” ผมขอร้องเขา และความโกรธของเขาสงบลงไปบ้าง. เมื่อมองย้อนหลัง ผมน่าจะจัดการกับสถานการณ์นั้นอย่างที่ต่างออกไป แต่ทีหลังเขากลับนิยมชมชอบพยานพระยะโฮวามากขึ้น ถึงแม้เขาไม่ได้เข้ามาเป็นพยานฯเลยก็ตาม.
ไพร่พลของพระยะโฮวามีเพียงไม่กี่คนในช่วงเวลานั้น. เราชอบและได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการเยี่ยมของผู้รับใช้เต็มเวลาซึ่งมาพักกับเราที่ฟาร์ม. ผู้มาเยือนเหล่านี้ก็มีเอเดรียน ทอมป์สันกับมัลลีน้องสาวของเขารวมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งคู่เข้าเรียนในรุ่นแรก ๆ ของโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดสำหรับมิชชันนารีและได้รับใช้ในเขตมอบหมายต่างประเทศในญี่ปุ่นและปากีสถาน.
ประสบการณ์ในภาวะสงคราม
ในเดือนกันยายน 1939 สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้น และในเดือนตุลาคม 1940 รัฐบาลนิวซีแลนด์สั่งห้ามกิจการของพยานพระยะโฮวา. พี่น้องชายคริสเตียนหลายคนถูกบังคับให้ไปปรากฏตัวต่อหน้าศาลของประเทศ. บางคนถูกส่งไปยังค่ายแรงงานและถูกพรากจากภรรยากับลูก ๆ. ขณะที่สงครามลุกลามอยู่นั้น ถึงแม้เรามีฟาร์มโคนมก็ตาม ผมนึกสงสัยว่าตัวเองจะถูกเกณฑ์เป็นทหารหรือไม่. ครั้นแล้วก็มีคำประกาศแจ้งว่า จะไม่มีการเกณฑ์ชาวนาชาวไร่เป็นทหารอีกต่อไป.
โรอินากับผมยังทำงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนต่อไป เราต่างอุทิศเวลาเดือนละมากกว่า 60 ชั่วโมงให้กับงานประกาศ. ระหว่างช่วงเวลานี้ ผมมีสิทธิพิเศษในการช่วยพยานฯหนุ่ม ๆ ซึ่งรักษาความเป็นกลางแบบคริสเตียน. ผมได้ปรากฏตัวเพื่อแก้ต่างให้แก่พวกเขาต่อหน้าศาลแห่งเมืองเวลลิงตัน, พาล์มเมอร์สตัน นอร์ท, พาฮีอาทูอา, และเขตแมสเตอร์ตัน. ตามปกติมีสมาชิกของนักเทศน์อยู่ในคณะกรรมการสอบสวนการเกณฑ์ทหาร และเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะเปิดโปงการสนับสนุนที่ไม่ใช่แบบคริสเตียนของพวกเขาในสงคราม.—1 โยฮัน 3:10-12.
คืนหนึ่ง ขณะที่ผมกับโรอินากำลังศึกษาหอสังเกตการณ์ อยู่นั้น พวกนักสืบเข้าตรวจค้นบ้านของเรา ได้พบสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. เขาบอกเราว่า “คุณติดคุกได้เพราะสิ่งนี้.” เมื่อพวกนักสืบขึ้นรถจะไป เขาพบว่าเบรกค้างและรถไม่ขยับเขยื้อน. วิลเลียม แมนเซอร์ช่วยซ่อมรถให้เขา และเราไม่ได้ข่าวจากพวกนั้นอีกเลย.
ระหว่างการถูกสั่งห้าม เราจะซ่อนสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลไว้ในโรงนาซึ่งอยู่ลับตาในฟาร์มของเรา. ตอนกลางดึก ผมจะไปที่สำนักงานสาขานิวซีแลนด์ และเอารถของผมบรรทุกสรรพหนังสือมา. แล้วผมจะนำหนังสือมาที่บ้านและเก็บไว้ในโรงนาที่ลับตา. คืนหนึ่งขณะที่ผมมาถึงสาขาเพื่อรับหนังสือซึ่งขนกันอย่างลับ ๆ ทันใดนั้นเองไฟก็สว่างขึ้นทั่วบริเวณนั้น! ตำรวจตะโกนว่า “เราจับคุณได้แล้ว!” อย่างไรก็ดี น่าประหลาด พวกเขาปล่อยผมโดยไม่เอาเรื่อง.
ในปี 1949 โรอินาและผมขายฟาร์มแล้วตัดสินใจที่จะเป็นไพโอเนียร์จนกระทั่งเงินของเราหมด. เราย้ายไปอยู่บ้านในแมสเตอร์ตันและเป็นไพโอเนียร์ร่วมกับประชาคมแมสเตอร์ตัน. ภายในสองปี มีการตั้งประชาคมเฟเทอร์สตันโดยมีผู้ทำงานประกาศ 24 คน และผมรับใช้ฐานะผู้ดูแลผู้เป็นประธาน. ครั้นแล้ว ในปี 1953 ผมได้รับสิทธิพิเศษในการเดินทางไปสหรัฐเพื่อเข้าร่วมการประชุมนานาชาติของพยานพระยะโฮวาแปดวัน ณ สนามกีฬาแยงกีในนครนิวยอร์ก. โรอินาไม่สามารถไปกับผมได้ เพราะเธอต้องดูแลอินิดลูกสาวของเราซึ่งเป็นอัมพาตเนื่องจากสมองใหญ่ได้รับความเสียหาย.
หลังจากผมกลับมายังนิวซีแลนด์ ผมต้องทำงานอาชีพ. เราย้ายกลับไปยังประชาคมแมสเตอร์ตัน ที่นั่นผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธาน. ราว ๆ ช่วงนี้ วิลเลียม แมนเซอร์ได้ซื้อโรงละครเล็ก ๆ ในแมสเตอร์ตัน และอาคารนี้กลายเป็นหอประชุมแห่งแรกในไวราราพา. ระหว่างทศวรรษปี 1950 ประชาคมของเรามีการเจริญเติบโตอย่างดีด้านวิญญาณและด้านจำนวน. เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ดูแลหมวดมาเยี่ยม เขามักจะสนับสนุนคนที่อาวุโสให้ย้ายไปยังส่วนอื่นของประเทศเพื่อช่วยงานประกาศที่นั่น และหลายคนได้ทำเช่นนั้น.
ครอบครัวของเรายังคงอยู่ในแมสเตอร์ตันต่อไป และช่วงหลายสิบปีต่อมา ผมไม่เพียงแต่ได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่างในประชาคม ทว่าได้รับหน้าที่มอบหมายทั้งในการประชุมภาคในประเทศและการประชุมนานาชาติ. โรอินามีส่วนร่วมในการรับใช้ตามบ้านด้วยใจแรงกล้า และช่วยคนอื่นให้ทำอย่างเดียวกันนั้นเสมอ.
อดทนการทดลองความเชื่อ
ดังที่ชี้แจงในตอนต้น ในปี 1985 ผมได้รับการวินิจฉัยโรคว่าเป็นมะเร็งที่รักษาไม่ได้. ผมกับโรอินา ภรรยาผู้ซื่อสัตย์กับลูก ๆ ของเรา ปรารถนาสักเพียงไรที่จะอยู่ในท่ามกลางหลายล้านคนที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้ซึ่งจะไม่ตายเลย! แต่หมอส่งผมกลับไปตายที่บ้าน. อย่างไรก็ดี ทีแรก พวกเขาถามผมว่า ผมมีทัศนะอย่างไรต่อการวินิจฉัยเช่นนั้น.
ผมตอบว่า “ผมจะรักษาหัวใจให้สงบและมองในแง่ดี.” ที่จริง สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลกลายเป็นยาที่ทำให้ใจผมสงบ ที่ว่า “ใจที่สงบเป็นความจำเริญชีวิตฝ่ายกาย.”—สุภาษิต 14:30.
ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งได้ยกย่องคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลข้อนั้น. พวกเขาบอกว่า “แง่คิดเช่นนั้นเป็นการเยียวยารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้หายถึง 90 เปอร์เซ็นต์.” พวกเขาเสนอแนะการรักษาด้วยวิธีฉายรังสีเป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์ด้วย. น่ายินดี ในที่สุดผมประสบผลสำเร็จในการสู้กับโรคมะเร็ง.
ระหว่างช่วงเวลาที่ลำบากมากนี้ ผมถูกจู่โจมด้วยเรื่องที่ทำให้ตระหนกตกใจอย่างร้ายแรง. ภรรยาคนสวยผู้ภักดีของผมเป็นโรคเลือดออกในสมองและเสียชีวิต. ผมพบการปลอบประโลมจากตัวอย่างของชนผู้ซื่อสัตย์ที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ และในวิธีที่พระยะโฮวาทรงจัดการปัญหาต่าง ๆ ขณะที่พวกเขารักษาความซื่อสัตย์มั่นคง. ด้วยเหตุนี้ ความหวังของผมในโลกใหม่ยังคงเจิดจ้าอยู่.—โรม 15:4.
ถึงกระนั้น ผมกลับรู้สึกซึมเศร้าและต้องการเลิกรับใช้ฐานะผู้ปกครอง. พี่น้องในท้องถิ่นหนุนกำลังใจผมจนกระทั่งมีพลังที่จะดำเนินงานต่อไปได้อีก. ผลก็คือ ผมสามารถรับใช้อย่างต่อเนื่องฐานะคริสเตียนผู้ปกครองและผู้ดูแลตลอด 57 ปีที่ผ่านมา.
เผชิญอนาคตด้วยความมั่นใจ
การรับใช้พระยะโฮวาตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เป็นสิทธิพิเศษอันประเมินค่ามิได้. ผมช่างได้รับพระพรมากมายสักเพียงไร! ดูเหมือนไม่นานมานี้เอง ขณะที่อายุ 16 ปี ผมได้ยินคุณแม่อุทานว่า “ใช่แล้วล่ะ นี่คือความจริง!” คุณแม่เป็นพยานฯที่ซื่อสัตย์ มีใจแรงกล้าเสมอจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1979 เมื่อท่านอายุ 100 กว่าปี. ลูกสาวของท่านกับลูกชายอีกหกคนเป็นพยานฯที่ภักดีด้วย.
ผมมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นการทำให้พระนามของพระยะโฮวาพ้นจากคำติเตียนทั้งมวล. ความหวังตลอดชีวิตของผมในการที่จะไม่ตายเลยนั้นจะเป็นจริงไหม? แน่ละ นั่นเป็นเรื่องที่ยังจะต้องดูกันต่อไป. อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า หลายคน ใช่แล้ว ชนนับล้านจะประสบพระพรนั้นในที่สุด. ฉะนั้น ตราบเท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมจะทะนุถนอมความหวังในการถูกนับรวมอยู่ในบรรดาคนเหล่านั้นซึ่งจะไม่ตายเลย.—โยฮัน 11:26.
[รูปหน้า 28]
คุณแม่ของผม
[รูปหน้า 28]
กับภรรยาและลูก ๆ ของผม