หนังสือนี้ลงรอยกับวิทยาศาสตร์ไหม?
ศาสนาไม่ได้มองวิทยาศาสตร์ในฐานะมิตรเสมอไป. ในศตวรรษต่าง ๆ ที่ผ่านมา นักเทววิทยาบางคน ต่อต้านการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เมื่อพวกเขารู้สึกว่าการค้นพบเหล่านั้นเป็นภัยต่อการตีความ คัมภีร์ไบเบิลของตน. แต่วิทยาศาสตร์เป็นปฏิปักษ์กับคัมภีร์ไบเบิลจริง ๆ หรือ?
หากผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลยอมรับแง่คิดทางวิทยาศาสตร์ซึ่งยึดถือกันอย่างกว้างขวางที่สุดในสมัยของตน ผลก็คงจะเป็นหนังสือแห่งความไม่ถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด. แต่พวกผู้จารึกก็ไม่ได้ส่งเสริมแนวคิดที่ผิดเช่นนั้นซึ่งไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์. ตรงกันข้าม พวกเขาเขียนถ้อยคำจำนวนไม่น้อยที่ไม่เพียงแต่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังขัดแย้งโดยตรงกับความคิดเห็นอันเป็นที่ยอมรับกันในสมัยนั้นด้วย.
โลกมีสัณฐานอย่างไร?
คำถามนี้ทำให้มนุษย์สนใจใคร่รู้มานานนับพัน ๆ ปี. ทัศนะโดยทั่วไปในสมัยโบราณคือ โลกแบน. ตัวอย่างเช่น ชาวบาบูโลนเชื่อว่าเอกภพเป็นกล่องหรือห้องหนึ่งซึ่งมีโลกเป็นพื้น. พวกพราหมณ์ในอินเดียสร้างมโนภาพว่าโลกแบนและมีผู้คนอาศัยอยู่บนแผ่นดินโลกด้านเดียวเท่านั้น. ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมเผ่าหนึ่งในเอเชียนึกภาพแผ่นดินโลกเป็นเหมือนถาดชาขนาดมหึมา.
ย้อนไปไกลถึงศตวรรษที่หก ก.ส.ศ. นักปรัชญาชาวกรีก พือทาโกราสตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่า เนื่องจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีสัณฐานกลม โลกก็ต้องเป็นทรงกลมด้วย. อาริสโตเติล (ศตวรรษที่สี่ ก.ส.ศ.) เห็นด้วยในเวลาต่อมา โดยอธิบายว่า ลักษณะทรงกลมของโลกพิสูจน์โดยจันทรคราส. เงาของโลกบนดวงจันทร์เป็นรูปโค้ง.
อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องโลกแบน (ซึ่งด้านบนเท่านั้นที่มีผู้คนอยู่อาศัย) ไม่ได้หมดไปอย่างสิ้นเชิง. บางคนไม่อาจยอมรับการบอกเป็นนัยตามเหตุผลในเรื่องโลกกลม นั่นคือแนวคิดในเรื่องแอนติโปด.a ลักทันทิอุส คริสเตียนผู้แก้ต่างในศตวรรษที่สี่ ส.ศ. เยาะเย้ยแนวคิดนี้. เขาอ้างเหตุผลว่า “มีใครบ้างที่ไร้สติถึงขนาดเชื่อว่ามีคนที่รอยเท้าของเขาอยู่สูงกว่าศีรษะ? ... เชื่อว่าธัญพืชและต้นไม้เติบโตลงข้างล่าง? เชื่อว่าฝน, และหิมะ, และลูกเห็บตกขึ้นข้างบน?”2
แนวคิดเรื่องแอนติโปดก่อความกระอักกระอ่วนแก่นักเทววิทยาบางคน. ทฤษฎีบางบทถือว่า ถ้ามีผู้คนที่อยู่บนด้านตรงข้ามของแผ่นดินโลก พวกเขาคงไม่มีทางติดต่อเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่รู้จักได้เลยเนื่องจากทะเลกว้างเกินกว่าจะเดินเรือไปหรือไม่ก็เนื่องจากบริเวณที่ร้อนจัดที่ไม่อาจผ่านไปได้ซึ่งล้อมเส้นศูนย์สูตรไว้. ถ้าเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่ด้านตรงข้ามของแผ่นดินโลกจะมาจากที่ไหนได้? ด้วยความงุนงงสับสน นักเทววิทยาบางคนอยากจะเชื่อว่า คงไม่มีผู้คนที่อยู่คนละด้านของแผ่นดินโลกเสียมากกว่า หรือแม้กระทั่งเชื่อว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะมีทรงกลม เช่นที่ลักทันทิอุสแย้ง!
ถึงกระนั้น แนวคิดเรื่องโลกกลมก็มีชัย และในที่สุดก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง. อย่างไรก็ตาม เฉพาะเมื่อยุคอวกาศเริ่มต้นในศตวรรษที่ 20 เท่านั้นที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ในการเดินทางออกไปในอวกาศไกลพอจะยืนยันด้วยการสังเกตโดยตรงว่าโลกเป็นลูกกลม.b
และคัมภีร์ไบเบิลมีทัศนะเช่นไรในประเด็นนี้? ในศตวรรษที่แปด ก.ส.ศ. เมื่อทัศนะที่แพร่หลายคือ โลกแบน หลายศตวรรษก่อนพวกนักปรัชญาชาวกรีกตั้งทฤษฎีที่ว่าโลกอาจมีสัณฐานกลม และหลายพันปีก่อนมนุษย์ได้เห็นจากอวกาศว่าโลกเป็นลูกกลม ยะซายาผู้พยากรณ์ชาวฮีบรูกล่าวด้วยถ้อยคำเรียบง่ายอันน่าทึ่งว่า “มีผู้หนึ่งซึ่งประทับเหนือวงกลม แห่งแผ่นดินโลก.” (ยะซายา 40:22, ล.ม.) คำภาษาฮีบรูที่ว่าชูกห์ ซึ่งในที่นี้ได้รับการแปลว่า “วงกลม” อาจได้รับการแปลด้วยว่า “ทรงกลม.”3 คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลอื่น ๆ แปลคำนี้ว่า “ลูกโลก” (ฉบับแปลดูเอย์) และ “โลกที่กลม.”—มอฟฟัต.c
ยะซายาผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลได้หลีกเลี่ยงเทพนิยายเรื่องแผ่นดินโลกที่มีทั่วไป. แต่ท่านจารึกถ้อยคำที่ไม่ถูกคุกคามจากความก้าวหน้าในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์.
อะไรหนุนแผ่นดินโลกไว้?
ในสมัยโบราณ มนุษย์รู้สึกงุนงงสับสนด้วยคำถามอื่น ๆ อีกเกี่ยวกับจักรวาล เช่น โลกตั้งอยู่บนอะไร? อะไรหนุนดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, และดวงดาวต่าง ๆ ไว้? พวกเขาไม่มีความรู้เรื่องกฎความโน้มถ่วงในเอกภพซึ่งคิดขึ้นโดย ไอแซ็ก นิวตัน และมีการจัดพิมพ์ในปี 1687. แนวความคิดที่ว่า เทห์ฟากฟ้าทั้งหลาย แท้จริงแล้ว ลอยอยู่ในอวกาศที่ว่างเปล่าโดยไม่มีอะไรรองรับนั้นไม่เป็นที่รู้จักสำหรับพวกเขา. ดังนั้น คำอธิบายของพวกเขาจึงมักแนะว่า มีวัตถุหรือสสารต่าง ๆ ที่สัมผัสได้ที่หนุนโลกและเทห์ฟากฟ้าอื่น ๆ ให้ลอยอยู่.
ยกตัวอย่าง ทฤษฎีโบราณเรื่องหนึ่ง อาจมีต้นตอมาจากคนที่อยู่บนเกาะ กล่าวว่า โลกมีน้ำล้อมรอบและโลกลอย อยู่ในน้ำนั้น. ชาวฮินดูสร้างมโนภาพว่า โลกมีหลายฐานรากซึ่งซ้อนกันอยู่. โลกอยู่บนช้างสี่ตัว ช้างเหล่านั้นยืนอยู่บนเต่ายักษ์ เต่านั้นยืนอยู่บนงูใหญ่มหึมา และงูนั้นขดลอยอยู่บนน้ำแห่งเอกภพ. เอ็มเพโดเคลส นักปรัชญาชาวกรีกในศตวรรษที่ห้า ก.ส.ศ. เชื่อว่า โลกอยู่บนลมบ้าหมูและลมบ้าหมูนี้เป็นสาเหตุแห่งการเคลื่อนที่ของเทห์ฟากฟ้า.
ความเห็นของอาริสโตเติลอยู่ในบรรดาความเห็นที่มีอิทธิพลมากที่สุด. แม้เขาได้ตั้งทฤษฎีที่ว่าโลกมีทรงกลม แต่เขาปฏิเสธข้อที่ว่าโลกอาจแขวนอยู่ในอวกาศว่างเปล่า. ในบทความของเขาชื่อว่าด้วยเรื่องฟ้าสวรรค์ (ภาษาอังกฤษ) เมื่อหักล้างแนวคิดที่ว่าโลกอยู่บนน้ำ เขากล่าวว่า “ไม่ใช่ธรรมชาติของน้ำ ยิ่งไม่ใช่ของโลก ที่จะอยู่กลางอากาศ แต่คงต้องตั้งอยู่บนอะไรสักอย่าง.”4 ฉะนั้น โลก “ตั้งอยู่บน” อะไร? อาริสโตเติลสอนว่า ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, และดวงดาว ติดอยู่กับผิวของทรงกลมต่าง ๆ ที่แข็งใส. ทรงกลมซ้อนอยู่ในทรงกลมโดยมีโลก—ซึ่งไม่เคลื่อนที่—อยู่ที่ศูนย์กลาง. ขณะที่ทรงกลมทั้งหลายหมุนอยู่ภายในกันและกัน วัตถุที่ติดบนทรงกลมเหล่านั้น—ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, และดาวเคราะห์ทั้งหลาย—ก็เคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้า.
คำอธิบายของอาริสโตเติลดูเหมือนมีเหตุผล. หากเทห์ฟากฟ้าไม่ติดแน่นอยู่กับอะไรสักอย่าง เทห์ฟากฟ้าเหล่านั้นจะลอยอยู่ได้อย่างไร? ความเห็นของอาริสโตเติลผู้ทรงเกียรติเป็นที่ยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงอยู่ประมาณ 2,000 ปี. ตามที่สารานุกรมเดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าว ในศตวรรษที่ 16 และที่ 17 คำสอนของเขา “ได้เลื่อนฐานะขึ้นเป็นคำสอนทางศาสนา” ในสายตาของคริสตจักร.5
พร้อมกับการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ พวกนักดาราศาสตร์เริ่มสงสัยทฤษฎีของอาริสโตเติล. กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่รู้คำตอบจนกระทั่งเซอร์ไอแซ็ก นิวตัน ชี้แจงว่า ดาวเคราะห์ทั้งหลายลอยอยู่ในอวกาศว่างเปล่า ถูกยึดให้อยู่ในวงโคจรของมันโดยแรงที่ไม่ประจักษ์แก่ตา นั่นคือความโน้มถ่วง. เรื่องนี้ดูเหมือนไม่น่าเชื่อ และผู้ร่วมงานของนิวตันบางคนเห็นว่าเป็นเรื่องยากจะเชื่อว่าอวกาศเป็นที่ว่างเปล่า ส่วนใหญ่ปราศจากมวลสาร.d6
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเช่นไรเกี่ยวกับคำถามนี้? เกือบ 3,500 ปีมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลกล่าวด้วยความชัดเจนอย่างน่าทึ่งว่า โลกแขวนอยู่ “บนความว่างเปล่า.” (โยบ 26:7, ล.ม.) ในภาษาฮีบรูดั้งเดิม คำที่แปลว่า “ว่างเปล่า” (เบลิมาห์ ʹ ) ที่ใช้ในข้อนี้หมายความตามตัวอักษรว่า “ไม่มีอะไรเลย.”7 ฉบับแปลภาษาอังกฤษร่วมสมัย ใช้คำว่า “บนอวกาศที่ว่างเปล่า.”
ดาวเคราะห์ที่แขวนอยู่ “บนอวกาศที่ว่างเปล่า” ไม่ใช่แบบที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยโน้นนึกภาพแผ่นดินโลกเลย. กระนั้น ผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลบันทึกคำกล่าวที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งล้ำหน้าสมัยของตนมาก.
คัมภีร์ไบเบิลกับวิทยาศาสตร์การแพทย์—สอดคล้องกันไหม?
วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่สอนเรามากมายเกี่ยวกับการแพร่ของโรคและการป้องกันโรค. ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในศตวรรษที่ 19 ทำให้มีการนำเอาการฆ่าเชื้อ—การทำความสะอาดเพื่อลดการติดเชื้อ เข้ามาใช้ในการปฏิบัติทางแพทย์. ผลที่เกิดนั้นน่าทึ่ง. การติดเชื้อและการตายก่อนวัยอันควรลดลงอย่างมากทีเดียว.
แต่พวกแพทย์สมัยโบราณไม่เข้าใจเต็มที่ว่าโรคแพร่อย่างไร และพวกเขาไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขอนามัยในการป้องกันความเจ็บป่วย. จึงไม่แปลกที่การเยียวยารักษาของพวกเขาหลายอย่างดูป่าเถื่อนเมื่อเทียบกับมาตรฐานสมัยใหม่.
ตำราแพทย์เก่าที่สุดฉบับหนึ่งเท่าที่พอจะหาได้คือเอเบอส์ พาไพรัส ซึ่งเป็นการรวบรวมความรู้ทางการแพทย์ของชาวอียิปต์ซึ่งมีอายุตั้งแต่ประมาณปี 1550 ก.ส.ศ. ม้วนหนังสือนี้บรรจุประมาณ 700 วิธีสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บหลายหลากชนิด “มีตั้งแต่จระเข้กัดไปจนถึงอาการเจ็บเล็บเท้า.”8 สารานุกรมดิ อินเตอร์แนชันแนล สแตนดาร์ด ไบเบิล เอ็นไซโคลพีเดีย กล่าวดังนี้: “ความรู้ทางเวชกรรมของแพทย์เหล่านี้ล้วนอาศัยประสบการณ์เป็นหลักทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมายาการและไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เลย.”9 วิธีรักษาส่วนใหญ่ไม่ได้ผล บางวิธีเป็นอันตรายอย่างยิ่ง. สำหรับการรักษาบาดแผลตำรับหนึ่งแนะให้ใช้ส่วนผสมที่ทำจากอุจจาระคนผสมกับสารอื่น ๆ.”10
ตำราแพทย์ของชาวอียิปต์นี้เขียนขึ้นราว ๆ สมัยเดียวกับที่มีการจารึกพระธรรมเล่มแรก ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งรวมถึงพระบัญญัติของโมเซด้วย. โมเซซึ่งเกิดในปี 1593 ก.ส.ศ. เติบโตขึ้นในอียิปต์. (เอ็กโซโด 2:1-10) ในฐานะสมาชิกในราชวงศ์ฟาโรห์ ท่านได้รับ “การสอนในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์.” (กิจการ 7:22, ฉบับแปลใหม่) ท่านรู้จักคุ้นเคยกับ “พวกหมอ” ของอียิปต์. (เยเนซิศ 50:1-3) การปฏิบัติทางแพทย์ที่ไร้ผลหรือที่เป็นอันตรายของหมอเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อบทจารึกของท่านไหม?
ไม่เลย. ตรงกันข้าม พระบัญญัติของโมเซได้รวมถึงกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยซึ่งล้ำสมัยมาก. ตัวอย่างเช่น กฎเกี่ยวกับการตั้งค่ายทหารเรียกร้องให้ฝังอุจจาระห่างจากค่าย. (พระบัญญัติ 23:13) กฎข้อนี้เป็นมาตรการป้องกันที่ล้ำหน้าอย่างยิ่งทีเดียว. กฎนี้ช่วยรักษาแหล่งน้ำไม่ให้ปนเปื้อนและเป็นการป้องกันจากการติดเชื้อโรคบิดมีตัวซึ่งแมลงวันเป็นพาหะและโรคท้องร่วงชนิดอื่น ๆ ที่ยังคงคร่าชีวิตคนเป็นล้าน ๆ ทุกปีในประเทศที่สภาพสุขอนามัยแย่มาก.
พระบัญญัติของโมเซบรรจุกฎข้อบังคับด้านสุขอนามัยอื่น ๆ ซึ่งป้องกันชาวยิศราเอลไว้จากการแพร่ของโรคติดเชื้อ. บุคคลที่เป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อจะถูกกักบริเวณ. (เลวีติโก 13:1-5) เสื้อผ้าหรือภาชนะที่ถูกต้องสัตว์ซึ่งตายเอง (บางทีเนื่องจากเป็นโรค) จะต้องซักหรือล้างก่อนนำมาใช้อีกหรือทำลาย. (เลวีติโก 11:27, 28, 32, 33) ใครก็ตามที่แตะต้องศพจะถือว่าเป็นมลทินและต้องผ่านขั้นตอนชำระล้างซึ่งรวมถึงการซักเสื้อผ้าและการอาบน้ำ. ระหว่างช่วงเจ็ดวันแห่งการเป็นมลทิน เขาต้องหลีกเลี่ยงการแตะต้องคนอื่น ๆ.—อาฤธโม 19:1-13.
กฎข้อบังคับเรื่องสุขอนามัยนี้เผยให้เห็นถึงสติปัญญาซึ่งพวกแพทย์ของชาติที่อยู่ล้อมรอบในสมัยนั้นไม่มี. หลายพันปีก่อนที่วิทยาศาสตร์การแพทย์รู้วิธีที่โรคแพร่ระบาด คัมภีร์ไบเบิลได้วางมาตรการป้องกันที่สมเหตุสมผลไว้เป็นเครื่องป้องกันโรค. จึงไม่น่าแปลกใจที่โมเซสามารถกล่าวถึงชาวยิศราเอลโดยทั่วไปในสมัยของท่านว่ามีชีวิตอยู่ถึงอายุ 70 หรือ 80 ปี.e—บทเพลงสรรเสริญ 90:10, ฉบับแปลใหม่.
คุณคงยอมรับว่าถ้อยคำในคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวก่อนหน้านี้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์. แต่ยังมีถ้อยคำอื่นอีกในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งไม่อาจพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์. นั่นต้องหมายความว่าคัมภีร์ไบเบิลขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ไหม?
การยอมรับเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้
คำกล่าวที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ใช่ว่าจะต้องไม่จริง. การพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ถูกจำกัดโดยความสามารถของมนุษย์ในการค้นพบหลักฐานให้เพียงพอและตีความหมายข้อมูลให้ถูกต้อง. แต่ความจริงบางประการไม่อาจพิสูจน์ได้ก็เพราะไม่มีการเก็บรักษาหลักฐานเอาไว้ หลักฐานเคลือบคลุมหรือยังไม่มีการค้นพบ หรือความสามารถและความชำนาญทางวิทยาศาสตร์มีไม่เพียงพอจะบรรลุข้อสรุปที่ไม่อาจโต้แย้งได้. นี่อาจเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับคำกล่าวบางประการในคัมภีร์ไบเบิลไหมซึ่งหลักฐานเฉพาะอย่างทางวัตถุขาดไป?
ยกตัวอย่าง ที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงดินแดนที่ไม่ปรากฏแก่ตาซึ่งพวกบุคคลวิญญาณอาศัยอยู่นั้นเป็นเรื่องไม่สามารถพิสูจน์—หรือหักล้าง—ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้. อาจกล่าวได้เช่นกันในเรื่องเหตุการณ์อัศจรรย์ต่าง ๆ ที่มีบอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. หลักฐานทางธรณีวิทยาสำหรับมหาอุทกภัยทั่วลูกโลกในสมัยโนฮามีไม่มากพอจะทำให้บางคนเชื่อมั่น. (เยเนซิศบท 7) เราต้องลงความเห็นไหมว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้น? เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาจลบเลือนไปเนื่องด้วยเวลาและการเปลี่ยนแปลง. ดังนั้น จึงเป็นไปได้มิใช่หรือที่ การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของพื้นแผ่นดินนานเป็นพัน ๆ ปีได้ทำให้หลักฐานมากมายสำหรับมหาอุทกภัยครั้งนั้นหายไป?
ต้องยอมรับว่า คัมภีร์ไบเบิลมีคำกล่าวที่ไม่อาจพิสูจน์หรือหักล้างได้ด้วยหลักฐานทางวัตถุ. แต่นั่นน่าจะทำให้เราประหลาดใจไหม? คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ แต่คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือแห่งความจริง. เราได้พิจารณาหลักฐานอันหนักแน่นมาแล้วว่า ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเป็นคนที่ซื่อสัตย์มั่นคงและซื่อตรง. และเมื่อพวกเขากล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ถ้อยคำของพวกเขาถูกต้องแม่นยำและปราศจากทฤษฎี “วิทยาศาสตร์” โบราณโดยสิ้นเชิงที่ปรากฏว่าเป็นแค่เทพนิยาย. ดังนั้น วิทยาศาสตร์ไม่เป็นปฏิปักษ์กับคัมภีร์ไบเบิล. จึงมีเหตุผลทุกประการจะใคร่ครวญด้วยใจเปิดในสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว.
[เชิงอรรถ]
a “แอนติโปด ... คือสถานที่สองแห่งที่อยู่ตรงข้ามกันบนลูกโลก. เส้นตรงระหว่างสถานที่สองแห่งนี้จะพาดผ่านจุดศูนย์กลางของโลก. ในภาษากรีกคำแอนติโปด หมายความว่า เท้าต่อเท้า. คนสองคนที่ยืนตรงสองจุดที่อยู่ตรงข้ามกันนี้คงอยู่ใกล้ชิดกันที่สุดตรงฝ่าเท้าของเขาทั้งสอง.”1—เดอะ เวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคลพีเดีย.
b กล่าวในเชิงวิชาการ โลกมีลักษณะเป็นรูปทรงสเฟียรอยด์ (รูปทรงเกือบเป็นทรงกลม); โลกมีลักษณะแบนเล็กน้อยตรงขั้วโลก.
c นอกจากนี้ เฉพาะแต่วัตถุทรงกลมเท่านั้นที่เห็นเป็นวงกลมจากทุกด้านที่มอง. ส่วนจานแบนนั้นมักจะเห็นเป็นวงรีมากกว่า ไม่ใช่วงกลม.
d ความเห็นที่โดดเด่นในสมัยของนิวตันคือว่า เอกภพเต็มไปด้วยของเหลว—“ซุป” จักรวาล—และน้ำวนต่าง ๆ ในของเหลวนั้นทำให้ดาวเคราะห์โคจร.
e ในปี 1900 ช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้ในหลายประเทศทางยุโรปและในสหรัฐนั้นต่ำกว่า 50 ปี. นับแต่นั้นมา ช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งไม่เพียงเนื่องด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในการควบคุมโรคเท่านั้น แต่เนื่องจากสุขอนามัยและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย.
[จุดเด่นหน้า 21]
คำกล่าวที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ ใช่ว่าจะต้องไม่จริง
[ภาพหน้า 18]
หลายพันปีก่อนมนุษย์ได้เห็น จากอวกาศว่าโลกเป็นลูกกลม คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึง “วงกลมแห่งแผ่นดินโลก”
[ภาพหน้า 20]
เซอร์ไอแซ็ก นิวตัน อธิบายว่า ดาวเคราะห์ทั้งหลายถูกยึดให้อยู่ในวงโคจรของมัน โดยความโน้มถ่วง