จงรู้จักพระยะโฮวาโดยทางพระวจนะของพระองค์
“นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.”—โยฮัน 17:3, ล.ม.
1, 2. (ก) คำ “รู้” และ “ความรู้” ตามที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นหมายถึงอะไร? (ข) ตัวอย่างอะไรทำให้ความหมายนี้กระจ่าง?
ที่จะรู้จักบางคนโดยเพียงแต่คุ้นเคยกันหรือรู้จักเพียงผิวเผิน คงจะหย่อนไปจากความหมายของคำ “รู้” หรือ “ความรู้” ตามที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิล. ในพระคัมภีร์ความหมายของคำเหล่านี้รวมไปถึง “การรู้จากประสบการณ์” ความรู้ซึ่งแสดง “สัมพันธภาพแห่งความไว้วางใจระหว่างบุคคล.” (พจนานุกรมนานาชาติฉบับใหม่เกี่ยวกับเทววิทยาแห่งพระคริสตธรรมใหม่, ภาษาอังกฤษ) ทั้งนี้รวมเอาการรู้จักพระยะโฮวาโดยการคำนึงถึงการกระทำของพระองค์เฉพาะอย่าง เช่นหลายกรณีในพระธรรมยะเอศเคลที่พระเจ้าสำเร็จโทษผู้กระทำผิด และทรงประกาศว่า ‘และเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวา.’—ยะเอศเคล 38:23.
2 อาจอธิบายการใช้คำ “รู้” และ “ความรู้” ในวิธีต่าง ๆ กันหลายอย่างโดยการยกสองสามตัวอย่าง. กับหลายคนที่พากันอ้างว่าได้กระทำการในนามของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย!” พระองค์ทรงหมายความว่าพระองค์ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนั้น. (มัดธาย 7:23, ล.ม.) พระธรรม 2 โกรินโธ 5:21 (ล.ม.) บอกว่าพระคริสต์ “ไม่รู้จักบาป” ข้อนี้ไม่หมายความว่าพระเยซูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบาป แต่พระองค์เองไม่ทรงข้องแวะกับบาป. ทำนองเดียวกัน เมื่อพระเยซูตรัสว่า “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์” หมายรวมมากยิ่งกว่าเพียงการรู้จักบางสิ่งบางอย่างเรื่องพระเจ้าและพระคริสต์.—เทียบกับมัดธาย 7:21.
3. อะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระยะโฮวาทรงสำแดงเครื่องหมายระบุการเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้?
3 คุณลักษณะประการต่าง ๆ ของพระยะโฮวาอาจรู้จักได้จากคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระองค์. คุณลักษณะประการหนึ่งคือพระปรีชาสามารถของพระองค์ที่จะกล่าวคำพยากรณ์อย่างแม่นยำ. สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายของพระเจ้าเที่ยงแท้: “ให้เขานำเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้ามาแจ้งให้เราทราบ, และจงเล่าเรื่องที่แล้วไปแล้วให้เราฟัง, เพื่อเราจะได้นำขึ้นพิจารณา, และจะได้รู้ว่าที่สุดปลายจะเกิดผลอย่างไร, และสำแดงให้เราทราบถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นมาข้างหน้า. จงแจ้งถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นมาข้างหน้า, เพื่อเราจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นพระ.” (ยะซายา 41:22, 23) พระยะโฮวาทรงบอกกล่าวถึงสิ่งแรก ๆ เกี่ยวกับการสร้างแผ่นดินโลกพร้อมด้วยชีวิตบนแผ่นดินโลกไว้ในพระวจนะของพระองค์. พระองค์ทรงตรัสไว้ล่วงหน้านานก่อนสิ่งต่าง ๆ ที่จะอุบัติขึ้นภายหลัง แล้วก็เป็นจริงดังนั้น. แม้บัดนี้ พระองค์ก็ทรง “สำแดงให้เราทราบถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นมาข้างหน้า” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นใน “สมัยสุดท้าย” นี้.—2 ติโมเธียว 3:1-5, 13; เยเนซิศ 1:1-30; ยะซายา 53:1-12; ดานิเอล 8:3-12, 20-25; มัดธาย 24:3-21; วิวรณ์ 6:1-8; 11:18.
4. โดยวิธีใดพระยะโฮวาเคยใช้คุณลักษณะในด้านอำนาจของพระองค์ และพระองค์จะยังทรงใช้อำนาจของพระองค์อย่างไร?
4 คุณลักษณะอีกประการหนึ่งของพระยะโฮวาได้แก่อำนาจ. ฤทธิ์อำนาจนี้ปรากฏชัดบนท้องฟ้าที่ดวงดาวทั้งหลายทำหน้าที่ประหนึ่งเตานิวเคลียร์มหึมาปล่อยทั้งแสงและความร้อนออกมา. เมื่อมนุษย์หรือทูตสวรรค์ที่ทรยศได้ท้าทายพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา พระองค์ทรงใช้อำนาจของพระองค์ดุจ “นักรบ” ปกป้องพระนามของพระองค์ที่ประเสริฐเลิศและมาตรฐานอันชอบธรรม. ณ โอกาสเช่นนั้นพระองค์มิได้รั้งรอในการใช้อำนาจกวาดล้างจนสำเร็จเสร็จสิ้น อย่างในคราวน้ำท่วมโลกสมัยโนฮา ในการทำลายล้างเมืองโซโดมกับโกโมราห์ และในคราวที่ช่วยชาวยิศราเอลผ่านทะเลแดง. (เอ็กโซโด 15:3-7; เยเนซิศ 7:11, 12, 24; 19:24, 25) ในไม่ช้า พระเจ้าจะทรงใช้อำนาจของพระองค์ “ปราบซาตานให้ยับเยินลงใต้เท้าของท่านทั้งหลาย.”—โรม 16:20.
5. พร้อมกับราชอำนาจของพระองค์ พระยะโฮวาทรงมีคุณลักษณะอะไรอีก?
5 ถึงกระนั้น แม้ทรงอำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัดเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงถ่อมพระทัย. บทเพลงสรรเสริญ 18:35, 36 ว่าดังนี้: “ซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลงนั้นกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นใหญ่ขึ้นแล้ว. พระองค์ทรงบันดาลให้ก้าวเท้าของข้าพเจ้ากว้างออกไป.” ความถ่อมพระทัยของพระเจ้าทำให้พระองค์ “ทอดพระเนตรลงมาพิจารณาดูฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก. พระองค์ทรงโปรดยกคนอนาถาขึ้นจากผงคลีดิน, และทรงอุ้มคนขัดสนออกจากกองหยากเยื่อ.”—บทเพลงสรรเสริญ 113:6, 7.
6. คุณลักษณะอะไรบ้างของพระยะโฮวาที่ช่วยชีวิตให้รอด?
6 ความเมตตาของพระยะโฮวาที่มีต่อมนุษย์เป็นการช่วยชีวิต. พระเจ้าทรงสำแดงความเมตตาอย่างเหลือหลายแก่มะนาเซ ในคราวที่ท่านได้รับการอภัยโทษ แม้ว่าท่านได้กระทำความผิดอย่างโหดร้ายก็ตาม! พระยะโฮวาตรัสว่า “เมื่อเราว่าแก่คนชั่วว่าเจ้าจะตายเป็นแท้, ถ้าเขาจะกลับจากการบาปของตน, และกระทำการสัตย์ชอบธรรม. การบาปทั้งปวงของเขาที่เขาได้ทำไว้นั้นจะมิได้เป็นที่ระลึกแก่เขา, เขาได้กระทำการสัตย์ธรรม, เขาจะมีชีวิตเป็นแท้.” (ยะเอศเคล 33:14, 16; 2 โครนิกา 33:1-6, 10-13) พระเยซูทรงสะท้อนถึงคุณลักษณะของพระยะโฮวาเมื่อพระองค์สนับสนุนการให้อภัย 77 ครั้ง กระทั่ง 7 ครั้งในวันเดียวเสียด้วยซ้ำ!—บทเพลงสรรเสริญ 103:8-14; มัดธาย 18:21, 22; ลูกา 17:4.
พระเจ้าผู้ทรงมีความรู้สึก
7. พระยะโฮวาทรงต่างไปจากบรรดาพระเจ้าของชาวกรีกในประการใด และสิทธิพิเศษอะไรซึ่งมีค่าได้เปิดให้พวกเรา?
7 พวกปราชญ์ชาวกรีก อาทิ พวกเอพิคูเรียนเชื่อศรัทธาในพระเจ้าหลายองค์ แต่ถือว่าพระเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์จนไม่ได้ใส่ใจในมนุษย์หรือไม่รู้สึกยินดียินร้ายแต่อย่างใดต่อความรู้สึกของเขา. ช่างต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างพระยะโฮวากับเหล่าพยานที่ซื่อสัตย์ของพระองค์เสียจริง ๆ! “พระยะโฮวาทรงพอพระทัยด้วยไพร่พลของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 149:4) คนชั่วสมัยก่อนน้ำท่วมโลกได้ทำให้พระองค์รู้สึกเสียพระทัย และ “โทมนัส.” ความไม่ซื่อสัตย์ของชาติยิศราเอลเป็นเหตุให้พระยะโฮวาทรงรู้สึกเจ็บช้ำพระทัย. โดยการที่คริสเตียนไม่เชื่อฟัง เขาทำให้พระยะโฮวาเศร้าพระทัยได้ แต่ด้วยความซื่อสัตย์ของเขา คริสเตียนก็จะยังความชื่นชมยินดีแก่พระองค์ได้. คิดแล้วเป็นเรื่องน่าทึ่งเพียงไรที่มนุษย์กระจ้อยร่อยบนแผ่นดินโลกสามารถทำให้พระผู้สร้างเอกภพรู้สึกเสียพระทัยหรือปลื้มพระทัยก็ได้! เมื่อคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อพวกเราเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเรามีสิทธิพิเศษอันเลอเลิศเพียงไรที่จะทำให้พระองค์เบิกบานพระทัย!—เยเนซิศ 6:6; บทเพลงสรรเสริญ 78:40, 41; สุภาษิต 27:11; ยะซายา 63:10; เอเฟโซ 4:30.
8. อับราฮามได้ใช้ความสะดวกใจในการพูดของท่านอย่างไรกับพระยะโฮวา?
8 พระวจนะของพระเจ้าชี้แจงว่า ด้วยความรักพระยะโฮวายอมให้พวกเรา ‘พูดอย่างสะดวกใจ.’ (1 โยฮัน 4:17, ล.ม.) โปรดสังเกตกรณีของอับราฮามตอนที่พระยะโฮวาเสด็จมาทำลายเมืองโซโดม. อับราฮามได้ทูลพระยะโฮวาดังนี้: “พระองค์จะประหารชีวิตคนดีกับคนชั่วด้วยกันหรือ? หากมีคนชอบธรรมอยู่ในเมืองห้าสิบคน, พระองค์จะทรงทำลายเมืองนั้นไม่งดโทษไว้เพราะคนชอบธรรมห้าสิบคนซึ่งอยู่ที่นั่นหรือ? . . . ผู้พิพากษาทั้งโลกจะไม่พิพากษาตามยุติธรรมหรือ?” ช่างเป็นการได้พูดคุยกับพระเจ้าอะไรอย่างนั้น! กระนั้น พระยะโฮวาทรงตอบตกลงจะรักษาเมืองโซโดมให้รอดหากมีคนชอบธรรมอยู่ในเมือง 50 คน. อับราฮามไม่ลดละและได้ขอลดจำนวนจาก 50 เหลือเพียง 20 คน. แล้วท่านนึกกลัวว่าท่านได้รบเร้าขอมากไป. ท่านจึงทูลว่า “ขอพระองค์เจ้า [พระยะโฮวา, ล.ม.] อย่าทรงกริ้ว, ข้าพเจ้าจะขอทูลถามอีกครั้งเดียว: หากว่าจะพบสิบคนที่นั้นเล่า?” พระยะโฮวาทรงยินยอมอีกครั้งหนึ่ง โดยตรัสดังนี้: “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น. เพราะเห็นแก่คนชอบธรรมสิบคน.”—เยเนซิศ 18:23-33.
9. เหตุใดพระยะโฮวาทรงอนุญาตให้อับราฮามพูดอย่างที่ท่านได้พูดไป และเราเรียนอะไรจากเรื่องนี้?
9 เพราะเหตุใดพระยะโฮวาทรงอนุญาตอับราฮามพูดจาอย่างสะดวกใจเช่นนั้น? เหตุผลหนึ่งคือ พระยะโฮวาทรงทราบความรู้สึกเป็นทุกข์ร้อนของอับราฮาม. พระองค์ทราบว่า โลตหลานชายอับราฮามอาศัยอยู่ในโซโดม และอับราฮามเป็นห่วงในความปลอดภัยของเขา. อนึ่ง อับราฮามเป็นมิตรของพระเจ้า. (ยาโกโบ 2:23) เมื่อบางคนใช้คำพูดรุนแรงกับเรา เราพยายามเข้าใจความรู้สึกที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาไหม และคิดที่จะลดหย่อนผ่อนผันให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคนนั้นเป็นเพื่อนซึ่งกำลังอยู่ภายใต้ความกดดันบางอย่าง? คงเป็นการประโลมใจมิใช่หรือเมื่อรู้ว่าพระยะโฮวาจะทรงเข้าใจเมื่อเราพูดอย่างสะดวกใจ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำต่ออับราฮาม?
10. การพูดอย่างสะดวกใจช่วยเราอย่างไรในการอธิษฐาน?
10 โดยเฉพาะเมื่อเราแสวงหาพระองค์ฐานะเป็นผู้ “สดับคำอธิษฐาน” ของเรา เราต้องการพูดอย่างสะดวกใจแบบนี้เพื่อจะพูดจากใจอย่างไม่อั้น ขณะที่เราเป็นทุกข์เดือดร้อนและกลุ้มใจ. (บทเพลงสรรเสริญ 51:17; 65:2, 3) แม้ในยามที่เรานึกหาคำพูดไม่ได้ “พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเราด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่จะอธิบายได้” และพระยะโฮวาทรงสดับ. พระองค์สามารถหยั่งใจเราได้ “พระองค์ได้ทรงพิจารณาดูความคิดของข้าพเจ้าจากที่ห่างไกล. . . . ด้วยว่าไม่มีสักคำบนลิ้นของข้าพเจ้า แต่ดูซิ! ข้าแต่พระยะโฮวา พระองค์ทรงทราบคำนั้นทั้งสิ้นอยู่แล้ว.” กระนั้นก็ตาม เราควรจะขอ, แสวงหา, และเคาะเรียกต่อ ๆ ไป.—โรม 8:26; บทเพลงสรรเสริญ 139:2, 4, ล.ม.; มัดธาย 7:7, 8, ล.ม.
11. อะไรแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยในพวกเราจริง ๆ?
11 พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัย. พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับชีวิตที่พระองค์ได้สร้างขึ้นมา. “นัยน์ตาของสรรพสัตว์ทั้งปวงคอยท่าพระองค์ด้วยความหวัง และพระองค์ทรงประทานอาหารให้ตามฤดูกาล. พระองค์ทรงแบพระหัตถ์ของพระองค์ และประทานให้แก่สรรพสัตว์จนอิ่มหนำตามความปรารถนา.” (บทเพลงสรรเสริญ 145:15, 16, ล.ม.) เราได้รับการเชิญชวนให้มองดูว่าพระองค์ทรงเลี้ยงนกในพฤกษ์ไพรอย่างไร. ให้มองดอกไม้ที่ทุ่งนาว่าพระองค์ทรงตกแต่งให้งดงามอย่างไร. พระเยซูตรัสเสริมว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูพวกเราและตกแต่งให้มากยิ่งกว่าที่ได้ทรงกระทำแก่นกและดอกไม้. ฉะนั้น เราจะกังวลทำไม? (พระบัญญัติ 32:10; มัดธาย 6:26-32; 10:29-31) พระธรรม 1 เปโตร 5:7, (ล.ม.) เชิญชวนคุณให้ “ฝากความกระวนกระวายทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.”
“แบบพระฉายของพระองค์นั้นเองทีเดียว”
12, 13. นอกเหนือจากการมองเห็นพระยะโฮวาโดยทางสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างขึ้น และการกระทำต่าง ๆ ของพระองค์ซึ่งบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว เราสามารถจะเห็นและได้ยินพระองค์โดยทางไหนอีก?
12 เราสามารถเห็นพระเจ้ายะโฮวาได้โดยทางสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา; เราสามารถเห็นพระองค์โดยการอ่านเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยการกระทำของพระองค์; นอกจากนี้ เราสามารถเห็นพระองค์ได้จากคำตรัสและการกระทำซึ่งได้บันทึกไว้เกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์. พระเยซูเองตรัสเช่นนั้นด้วย ที่โยฮัน 12:45, (ล.ม.) ดังนี้: “ผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ที่ทรงใช้เรามา.” อีกครั้งหนึ่งที่โยฮัน 14:9, (ล.ม.) “ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดาด้วย.” โกโลซาย 1:15 บอกว่า “พระองค์ [พระเยซู] เป็นแบบพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา.” เฮ็บราย 1:3 แถลงอย่างนี้ “[พระเยซู] เป็นภาพสะท้อนแห่งสง่าราศี [ของพระเจ้า], และเป็นการแสดงอย่างถูกต้องแม่นยำของความเป็นอยู่ของพระองค์นั้นทีเดียว.”
13 พระยะโฮวาได้ทรงใช้พระบุตรของพระองค์ไม่เพียงแต่ให้เป็นค่าไถ่ แต่เพื่อเป็นตัวอย่างซึ่งควรลอกแบบทั้งคำพูดและการกระทำ. พระเยซูได้ตรัสพระวจนะของพระเจ้า. พระองค์ตรัสไว้ที่โยฮัน 12:50, (ล.ม.) ว่า “สิ่งที่เราพูด พระบิดาบอกเราอย่างไร เราก็พูดอย่างนั้น.” พระองค์ไม่ได้กระทำสิ่งใดตามความประสงค์ของพระองค์เอง แต่ทรงทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่พระเจ้าสั่งให้กระทำ. ที่โยฮัน 5:30, (ล.ม.) พระองค์ตรัสดังนี้: “เราจะกระทำสิ่งใดด้วยความริเริ่มของเราเองไม่ได้.”—โยฮัน 6:38.
14. (ก) พระเยซูได้เห็นภาพอะไรซึ่งทำให้พระองค์เกิดความสงสาร? (ข) ทำไมวิธีการพูดของพระเยซูได้ดึงดูดประชาชนเข้ามาฟังพระองค์
14 พระเยซูได้พบเห็นคนโรคเรื้อน, คนพิการ, คนหูหนวก, คนตาบอด, และคนถูกผีสิง, และคนที่โศกเศร้าอาลัยคนตาย. ด้วยความรู้สึกสงสาร พระองค์ทรงรักษาคนเจ็บป่วยและปลุกคนตายให้ฟื้น. พระองค์ทรงเห็นคนถูกโกง และอิดโรยฝ่ายวิญญาณ พระองค์จึงตั้งต้นสั่งสอนเขาหลายข้อหลายประการ. พระองค์ไม่สอนแค่ถ้อยคำที่ถูกต้อง แต่ด้วยคำตรัสอย่างน่าฟังซึ่งกล่าวออกมาจากหัวใจของพระองค์แล้วซึ้งเข้าถึงหัวใจของคนอื่นโดยตรง ซึ่งดึงดูดพวกเขาเข้ามาหาพระองค์, ซึ่งให้เขาพากันมายังพระวิหารแต่เช้าตรู่เพื่อฟังพระองค์สั่งสอน, ซึ่งทำให้พวกเขาติดตามพระองค์ไป, ให้ฟังพระองค์ด้วยความเพลิดเพลิน. เขาติดตามพระองค์เป็นฝูงเพื่อฟังพระองค์ โดยประกาศว่า ‘ไม่เคยมีใครพูดเหมือนท่านผู้นี้’ และประหลาดใจในวิธีการสอนของพระองค์. (โยฮัน 7:46; มัดธาย 7:28, 29; มาระโก 11:18; 12:37; ลูกา 4:22; 19:48; 21:38) และครั้นศัตรูของพระองค์พยายามตั้งคำถามดักพระองค์ พระองค์ก็ได้พลิกกลับสถานการณ์ จนพวกศัตรูต้องนิ่งเงียบ.—มัดธาย 22:41-46; มาระโก 12:34; ลูกา 20:40.
15. สาระสำคัญแห่งการสั่งสอนของพระเยซูได้แก่อะไร และพระองค์ทรงนำเอาคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในงานเผยแพร่ข่าวนั้นมากถึงขีดไหน?
15 พระองค์ทรงประกาศว่า “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.” และได้กระตุ้นผู้อื่นให้ “แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป.” พระองค์ได้ส่งคนอื่นออกไปให้ประกาศว่า “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว” “และทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก” ให้เป็นพยานของพระคริสต์ “จนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก.” ทุกวันนี้ เหล่าพยานของพระยะโฮวาเกือบสี่ล้านห้าแสนคนกำลังเจริญรอยตามพระเยซู และกระทำสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว.—มัดธาย 4:17; 6:33; 10:7; 28:19, (ล.ม.) กิจการ 1:8.
16. คุณลักษณะของพระยะโฮวาในด้านความรักต้องได้ผ่านการทดสอบอย่างหนักหน่วงอย่างไร ทว่าการนี้สำเร็จประโยชน์ในทางใดแก่มนุษยชาติ?
16 หนึ่งโยฮัน 4:8 บอกเราว่า “พระเจ้าเป็นความรัก.” คุณลักษณะที่โดดเด่นนี้ของพระองค์ถูกชันสูตรอย่างหนักหน่วงยิ่งสุดจะสามารถนึกคิดได้ เมื่อพระองค์ได้ส่งพระบุตรที่รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ให้มาตายบนแผ่นดินโลก. ความเจ็บปวดซึ่งพระบุตรที่รักองค์นี้ได้ทนเอาและคำวิงวอนของพระองค์ที่ได้ทูลต่อพระบิดาทางภาคสวรรค์คงต้องทำให้พระยะโฮวาทรงรู้สึกเศร้าพระทัยมากจริง ๆ แม้ว่าพระเยซูพิสูจน์หักล้างคำท้าท้ายของซาตานที่ว่าพระยะโฮวาไม่อาจจะมีใครในโลกซึ่งจะยังคงรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์เมื่อตกอยู่ในการทดลองอย่างสาหัสสากรรจ์. อีกประการหนึ่ง สมควรที่เราพึงหยั่งรู้ค่าการเสียสละอันใหญ่หลวงของพระเยซู เพราะพระเจ้าได้ส่งพระองค์ลงมาเพื่อตายแทนเรา. (โยฮัน 3:16) ทั้งนี้ไม่ใช่การตายอย่างง่ายดายและรวดเร็ว. เพื่อจะหยั่งรู้ค่าการเสียสละของพระยะโฮวาและพระเยซูแล้วตระหนักในการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ทั้งสองเพื่อพวกเรา ให้เรามาตรวจสอบบันทึกของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวด้วยสิ่งที่ได้เกิดขึ้น.
17-19. พระเยซูได้พรรณนาอย่างไรในเรื่องความทุกข์ทรมานที่รอพระองค์อยู่เบื้องหน้า?
17 พระเยซูทรงบอกกล่าวแก่เหล่าอัครสาวกอย่างน้อยสี่ครั้งถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น. ก่อนจะมีเหตุการณ์เพียงไม่กี่วัน พระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ, เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงยะรูซาเลม, และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับปุโรหิตใหญ่และพวกอาลักษณ์, และเขาจะปรับโทษท่านถึงตาย, และจะมอบท่านไว้กับคนต่างประเทศ คนต่างประเทศนั้นจะเยาะเย้ยท่าน, ถ่มน้ำลายรดท่าน, จะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่านเสีย.”—มาระโก 10:33, 34.
18 พระเยซูทรงตระหนักถึงความกดดันที่พระองค์จะเผชิญในไม่ช้า ทรงเข้าใจถึงความร้ายกาจน่ากลัวของการเฆี่ยนแบบชาวโรมัน. แส้หนังที่ใช้เฆี่ยนคนก็มีโลหะและกระดูกแกะฝังแทรกลงไว้ ดังนั้น ขณะที่ลงแส้อย่างต่อเนื่อง จะปรากฏรอยเฆี่ยนขึ้นที่หลังและที่ขาฉีกเป็นแนวมีเลือดออก. หลายเดือนก่อนหน้านั้นพระเยซูทรงชี้ถึงความตึงเครียดที่จะเกิดจากการทดลองอย่างรุนแรงซึ่งรอพระองค์อยู่ ด้วยคำตรัสดังที่เราอ่านที่ลูกา 12:50 ว่า “เราจะต้องรับบัพติศมาอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากเท่าใดกว่าจะสำเร็จ!”
19 ความกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เวลายิ่งกระชั้นเข้ามา. พระองค์ได้ทูลพระบิดาทางภาคสวรรค์ถึงเรื่องนี้ว่า “บัดนี้จิตวิญญาณของเราเป็นทุกข์ และเราจะพูดว่าอย่างไร? ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากยามนี้เถิด. แต่กระนั้น เพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงได้มาถึงยามนี้.” (โยฮัน 12:27, ล.ม.) พระยะโฮวาคงต้องได้รับการกระทบกระเทือนสักเพียงไรจากคำวิงวอนของพระบุตรที่ได้รับกำเนิดองค์เดียว! ที่สวนเก็ธเซมาเน ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์ พระเยซูทรงเป็นทุกข์มิใช่น้อย และได้ตรัสแก่เปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันดังนี้: “จิตใจของเราเป็นทุกข์เพียงจะตาย.” สักครูหนึ่งหลังจากนั้น พระองค์ทรงกล่าวคำอธิษฐานครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อพระยะโฮวาด้วยเสียงดังว่า “‘พระบิดาเจ้าข้า, ถ้าพระองค์พอพระทัย, ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้า แต่ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า, ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด.’ เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก, พระองค์ก็ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน เสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่.” (มัดธาย 26:38; ลูกา 22:42, 44) นี้อาจเป็นอาการซึ่งทางด้านการแพทย์รู้กันว่าคือเฮมาไทโดรซิส. ไม่ค่อยจะมีปรากฏบ่อย แต่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าอยู่ในสภาพเครียดจัด.
20. อะไรได้ช่วยพระเยซูให้อดทนผ่านความทุกข์ทรมานไปได้?
20 เรื่องเวลานั้นในสวนเก็ธเซมาเน เฮ็บราย 5:7 ระบุว่า “ฝ่ายพระคริสต์นั้น, ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนัง, พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐานและคำวิงวอนด้วยทรงพระกันแสงมากมายและน้ำพระเนตรไหล, คือถวายแก่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อาจที่จะช่วยพระองค์นั้นให้พ้นจากความตายได้, และพระเจ้าได้ทรงฟังเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง.” เนื่องจากพระองค์ไม่ได้รับการช่วยให้มีชีวิตรอดโดยพระเจ้า “ที่อาจช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้” เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าได้สดับคำอธิษฐานของพระองค์ในแง่ไหน? ลูกา 22:43 ตอบอย่างนี้: “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระองค์ช่วยชูกำลังของพระองค์.” พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานโดยทูตสวรรค์ที่ถูกส่งมาได้ชูกำลังพระเยซู เพื่อพระองค์จะสามารถทนการทรมานอันหนักหน่วงนั้นได้.
21. (ก) อะไรแสดงว่าพระเยซูได้ผ่านความทุกข์ยากแสนสาหัสด้วยความมีชัย? (ข) เมื่อความทุกข์ยากของเรารุนแรงมากขึ้น เราต้องการที่จะสามารถพูดได้อย่างไร?
21 สิ่งนี้ปรากฏชัดจากผลที่ออกมาภายหลัง. ครั้นพระเยซูได้เสร็จสิ้นการต่อสู้ภายในแล้ว พระองค์ก็ลุกขึ้นกลับไปหาเปโตร, ยาโกโบ, และโยฮัน แล้วตรัสว่า “ลุกขึ้น, ให้เราพากันไปเถอะ.” (มาระโก 14:42) ที่แท้แล้ว พระองค์ตรัสทำนองนี้ ‘ไปกันเถอะ เพื่อเราจะถูกคนทรยศจูบ เพื่อพวกเหล่าร้ายจะได้จับเรา เพื่อจะถูกพิจารณาคดีอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถูกลงโทษอย่างอยุติธรรม. ให้เราไปเพื่อถูกเขาเยาะเย้ย, ถ่มน้ำลายรด, เฆี่ยน, และตรึงเราติดเสาทรมาน.’ พระองค์ถูกแขวนอยู่นานหกชั่วโมง ปวดร้าวแสนสาหัส อดทนถึงที่สุด. ขณะสิ้นชีวิต พระองค์ร้องขึ้นด้วยความมีชัยดังนี้: “สำเร็จแล้ว.” (โยฮัน 19:30, ล.ม.) พระองค์ได้ทรงยืนหยัดมั่นคงและพิสูจน์ความซื่อสัตย์ภักดีด้วยการเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา. พระองค์ทรงกระทำสำเร็จทุกอย่างตามที่พระยะโฮวาได้ส่งพระองค์ให้มาทำงานในโลก. เมื่อเราตายหรือเมื่ออาร์มาเก็ดดอนเริ่ม เราสามารถจะพูดได้ไหมในเรื่องการอุทิศตัวของเราแด่พระยะโฮวาว่า “สำเร็จแล้ว”?
22. อะไรแสดงให้เห็นว่าความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาจะแผ่แพร่ไปอย่างกว้างขวาง?
22 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราแน่ใจได้ว่า ภายในเวลากำหนดของพระยะโฮวาที่เคลื่อนใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วนั้น ทั่วทั้ง “แผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาดุจน้ำท่วมเต็มมหาสมุทร.”—ยะซายา 11:9.
คุณจำได้ไหม?
▫ ที่จะรู้จัก และที่จะมีความรู้หมายความว่าอย่างไร?
▫ พระคำของพระยะโฮวาแสดงให้เราเห็นความเมตตา และการให้อภัยของพระองค์อย่างไร?
▫ โดยวิธีใดอับราฮามได้ใช้ประโยชน์ของความสะดวกใจในการพูดกับพระยะโฮวา?
▫ ทำไมพวกเราสามารถมองไปที่พระเยซูและในพระองค์นั้นเราเห็นคุณลักษณะประการต่าง ๆ ของพระยะโฮวา?