ชื่นชมกับผลประโยชน์ต่าง ๆ จากคำสอนของพระเจ้า
“เราคือยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง.”—ยะซายา 48:17.
1. ผลจะเป็นเช่นไรหากเรานำคำสอนของพระเจ้าไปใช้ในชีวิต?
พระยะโฮวาทรงรู้ดีที่สุด. ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าพระองค์ทั้งในด้านความคิด, คำพูด, และการกระทำ. ในฐานะพระผู้สร้างของเรา พระองค์ทรงทราบดีถึงความต้องการของเราและทรงจัดหาสิ่งเหล่านั้นให้อย่างอุดมบริบูรณ์. พระองค์ทรงทราบแน่นอนว่าจะสั่งสอนเราอย่างไร. และหากเรานำคำสอนของพระเจ้าไปใช้ เราเองจะได้ประโยชน์และชื่นชมกับความสุขแท้.
2, 3. (ก) ไพร่พลของพระเจ้าในสมัยโบราณจะทำให้ตนได้รับประโยชน์อย่างไรหากพวกเขาเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์? (ข) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรานำคำสอนของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตของเราในทุกวันนี้?
2 คำสอนของพระเจ้าเปิดเผยว่าพระเจ้าทรงปรารถนาอย่างจริงจังให้ผู้รับใช้ของพระองค์หลีกเลี่ยงความหายนะและชื่นชมกับชีวิตโดยการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักการต่าง ๆ ของพระองค์. หากไพร่พลของพระองค์ในสมัยโบราณฟังพระองค์แล้วละก็ พวกเขาก็คงได้รับพระพรอันอุดมทีเดียว เพราะพระองค์ทรงแจ้งแก่พวกเขาว่า “เราคือยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง, และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน. โอ้ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของเราแล้ว, ความเจริญของเจ้าก็จะเป็นดังแม่น้ำไหล, และความชอบธรรมของเจ้าก็จะมีบริบูรณ์ดังคลื่นในมหาสมุทร.”—ยะซายา 48:17, 18.
3 ไพร่พลในสมัยโบราณของพระเจ้าคงได้ทำให้ตนได้รับประโยชน์หากพวกเขาเอาใจใส่ต่อพระบัญชาและคำสั่งสอนของพระองค์. แทนการประสบความหายนะด้วยน้ำมือชาวบาบูโลน พวกเขาคงได้ประสบความสงบสุขและความเจริญมั่งคั่งอันเต็มเปี่ยม, ยืนนาน และไม่ขาดสายดุจแม่น้ำทีเดียว. ยิ่งกว่านั้น การกระทำอันชอบธรรมของพวกเขาคงมีมากมายนับไม่ถ้วนราวกับคลื่นในทะเล. ทำนองเดียวกัน หากเรานำคำสอนของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตของเรา เราก็สามารถชื่นชมกับผลประโยชน์มากมายจากคำสอนนั้นได้. ผลประโยชน์เหล่านั้นคืออะไรบ้าง?
คำสอนของพระเจ้าเปลี่ยนวิถีชีวิต
4. คำสอนของพระเจ้าเคยมีผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมาก?
4 คำสอนของพระเจ้าเคยเป็นประโยชน์แก่ผู้คนมากมายโดยเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น. ผู้ที่นำคำสั่งสอนของพระยะโฮวาไปใช้ละทิ้ง “การงานของเนื้อหนัง” เช่น ความประพฤติหละหลวม, การไหว้รูปเคารพ, กิจปฏิบัติเกี่ยวกับภูติผีปิศาจ, การวิวาทกัน, และการริษยากัน. แทนสิ่งเหล่านั้น พวกเขาแสดงออกซึ่งผลแห่งพระวิญญาณอันได้แก่ความรัก, ความยินดี, สันติสุข, ความอดกลั้นทนนาน, ความกรุณา, ความดี, ความเชื่อ, ความอ่อนโยน, และการรู้จักบังคับตน. (ฆะลาเตีย 5:19-23, ล.ม.) นอกจากนั้น พวกเขายังเอาใจใส่ทำตามคำแนะนำในเอเฟโซ 4:17-24 (ล.ม.) อีกด้วย ในข้อนั้นเปาโลสนับสนุนเพื่อนร่วมความเชื่อไม่ให้ดำเนินตามอย่างที่นานาชาติทำกัน ด้วยความคิดอันไร้ประโยชน์และอยู่ในความมืดทางจิตใจ เหินห่างไปจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า. ไม่ถูกชักนำโดยหัวใจที่ขาดสติไม่รู้จักเหตุผล. บุคคลที่เป็นเยี่ยงพระคริสต์ ‘ละทิ้งบุคลิกภาพเก่าซึ่งเป็นไปตามแนวทางการประพฤติเดิมและถูกเปลี่ยนใหม่ในพลังที่กระตุ้นจิตใจของเขา.’ พวกเขา ‘สวมใส่บุคลิกภาพใหม่ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าในความชอบธรรมและความจงรักภักดีที่แท้จริง.”
5. คำสอนของพระเจ้ามีผลกระทบแนวการประพฤติของผู้คนอย่างไร?
5 ผลประโยชน์ดีเยี่ยมจากการนำคำสอนของพระเจ้าไปใช้อย่างหนึ่งคือว่าคำสอนนี้เผยให้เราเห็นวิธีดำเนินกับพระเจ้า. หากเราดำเนินกับพระยะโฮวาดังที่โนฮาได้กระทำ เราก็ติดตามแนวทางชีวิตที่มีชี้แจงไว้โดยองค์บรมครูของเรา. (เยเนซิศ 6:9; ยะซายา 30:20, 21) ผู้คนแห่งนานาชาติ “ดำเนินด้วยความคิดอันไร้ประโยชน์” ดังที่เปาโลกล่าว. และข้อเขียนบางอย่างจากความคิดของคนเหล่านั้นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง! เมื่อสังเกตข้อเขียนของคนอื่น ๆ บนกำแพงแห่งหนึ่งในเมืองปอมเปอี ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งเขียนดังนี้: “โอ กำแพงเอ๋ย มันน่าแปลกที่เจ้ายังไม่พังทลายลงด้วยน้ำหนักของข้อเขียนไร้สาระมากมายเช่นนี้.” แต่ไม่มีสิ่งไร้สาระในคำสอนของพระเจ้าและในงานเผยแพร่เรื่องราชอาณาจักรซึ่งคำสอนของพระเจ้าทำให้เป็นไปได้. (กิจการ 13:12) โดยงานนี้เอง ผู้คนที่รักความจริงจึงได้รับการช่วยให้ปฏิบัติอย่างมีสติสัมปชัญญะ. พวกเขาได้รับการสอนวิธีเลิกดำเนินในแนวทางที่ผิดบาปของตน โดยที่เขาไม่รู้จักพระประสงค์ของพระเจ้า. พวกเขาไม่อยู่ในความมืดด้านจิตใจ ทั้งไม่ถูกกระตุ้นโดยหัวใจที่ขาดสติไม่รู้จักเหตุผลซึ่งเสาะหาแต่เป้าหมายอันไร้ประโยชน์อีกต่อไป.
6. มีความสัมพันธ์อย่างไรระหว่างการที่เราเชื่อฟังคำสอนของพระยะโฮวาและความสุขของเรา?
6 คำสอนของพระเจ้ามีประโยชน์เช่นกันในข้อที่ว่าคำสอนนี้ทำให้เรารู้จักพระยะโฮวาและการดำเนินการต่าง ๆ ของพระองค์. ความรู้เช่นนั้นชักนำเราให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระเจ้า เพิ่มความรักที่เรามีต่อพระองค์ และทำให้เรามีความปรารถนาจะเชื่อฟังพระองค์มากขึ้น. 1 โยฮัน 5:3 (ล.ม.) กล่าวว่า “นี่แหละหมายถึงความรักต่อพระเจ้า คือว่าให้เรารักษาบัญญัติของพระองค์ และกระนั้นบัญญัติของพระองค์ไม่เป็นภาระหนัก.” อนึ่ง เราทำตามพระบัญชาของพระเยซูก็เพราะเราทราบว่าคำสอนของพระองค์มาจากพระเจ้า. (โยฮัน 7:16-18) การเชื่อฟังเช่นนั้นป้องกันเราไว้จากอันตรายฝ่ายวิญญาณและช่วยให้เรามีความสุข.
จุดมุ่งหมายแท้ในชีวิต
7, 8. (ก) เราจะเข้าใจบทเพลงสรรเสริญ 90:12 อย่างไร? (ข) เราจะมีหัวใจประกอบด้วยสติปัญญาได้อย่างไร?
7 คำสอนของพระเจ้าเป็นประโยชน์ในการแสดงให้เราเห็นวิธีใช้ชีวิตของเราอย่างที่เต็มไปด้วยจุดมุ่งหมาย. แท้จริง คำสอนของพระเจ้าเผยให้เราทราบวิธีนับวันเวลาของเราด้วยวิธีพิเศษ. ช่วงชีวิต 70 ปีตามการประเมินนั้นทำให้คาดหวังว่าจะมีประมาณ 25,550 วัน. คนที่อายุ 50 ปี ใช้เวลาไปแล้ว 18,250 วัน และ 7,300 วันของเขาที่ยังเหลืออยู่ดูน้อยเสียจริง. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนั้นแหละที่เขาอาจหยั่งรู้เข้าใจเต็มที่มากขึ้นว่าทำไมผู้พยากรณ์โมเซจึงทูลอธิษฐานต่อพระเจ้าที่บทเพลงสรรเสริญ 90:12 ดังนี้: “ขอทรงโปรดสอนให้ข้าพเจ้านับวันคืนทั้งหลายของพวกข้าพเจ้าเป็น, เพื่อจะได้มีใจประกอบไปด้วยสติปัญญา.” แต่ด้วยคำกล่าวเช่นนั้น โมเซหมายความอย่างไร?
8 โมเซไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะทรงเปิดเผยจำนวนวันเวลาแน่นอนที่จะมีในช่วงชีวิตของชาวยิศราเอลแต่ละคน. ตามบทเพลงสรรเสริญบท 90 ข้อ 9 และ 10 ผู้พยากรณ์ชาวฮีบรูท่านนี้ยอมรับว่าช่วงชีวิตหนึ่งคงจะมีประมาณ 70 หรือ 80 ปี—ซึ่งสั้นเสียจริง ๆ. ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญบท 90 ข้อ 12 นั้นแสดงถึงความปรารถนาในคำทูลอธิษฐานของโมเซที่ขอพระยะโฮวาเผยให้ทราบหรือสอนท่านและไพร่พลของท่านให้ใช้สติปัญญาในการประเมินค่า ‘วันเวลาแห่งช่วงชีวิตของพวกเขา’ และใช้วันเวลาเหล่านั้นในแนวทางที่พระเจ้าทรงพอพระทัย. ถ้าเช่นนั้น เราล่ะจะว่าอย่างไร? เราหยั่งรู้ค่าแต่ละวันอันมีค่าไหม? เรากำลังมีใจประกอบด้วยสติปัญญาโดยพยายามจะใช้แต่ละวันด้วยแนวทางที่คุ้มค่าเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ายะโฮวาองค์บรมครูของเราไหม? คำสอนของพระเจ้าจะช่วยเราให้ทำเช่นนั้นแหละ.
9. อาจคาดหมายอะไรได้หากเราเรียนรู้ที่จะนับวันเวลาของเราเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยะโฮวา?
9 หากเราเรียนรู้ที่จะ ‘นับวันเวลาของเรา’ เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยะโฮวา เราอาจนับวันเวลาของเราได้เรื่อยไป เพราะคำสอนของพระเจ้าถ่ายทอดความรู้เพื่อชีวิตนิรันดร์. พระเยซูได้ตรัสว่า “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3, ล.ม.) แน่นอน ถ้าเราได้มาซึ่งความรู้ฝ่ายโลกที่มีอยู่ทั้งสิ้น สิ่งนั้นไม่อาจทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์. แต่ชีวิตนิรันดร์จะเป็นของเราได้หากเราได้รับและใช้ความรู้เกี่ยวกับบุคคลสำคัญที่สุดในเอกภพสองพระองค์และแสดงความเชื่ออย่างแท้จริง.
10. สารานุกรมเล่มหนึ่งกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการศึกษา และเรื่องนี้เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ต่าง ๆ จากคำสอนของพระเจ้าแล้วเป็นอย่างไร?
10 ไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนแล้วก็ตาม ให้เราจดจำผลประโยชน์อันโดดเด่นประการนี้ของคำสอนของพระเจ้าเอาไว้: คำสอนนี้ทำให้ผู้ที่นำคำสอนนี้ไปใช้มีจุดมุ่งหมายแท้ในชีวิต. สารานุกรม เวิลด์ บุก กล่าวดังนี้: “การศึกษาน่าจะช่วยผู้คนให้เป็นสมาชิกที่มีประโยชน์ของสังคม. การศึกษาน่าจะช่วยพวกเขาสร้างความหยั่งรู้ค่าต่อวัฒนธรรมประเพณีที่ตกทอดมาและดำเนินชีวิตอย่างที่น่าพอใจมากขึ้น.” คำสอนของพระเจ้าเป็นประโยชน์ในการช่วยเราให้ดำเนินชีวิตอย่างน่าพอใจ. คำสอนนี้สร้างความหยั่งรู้ค่าอันลึกซึ้งภายในตัวเราต่อมรดกฝ่ายวิญญาณในฐานะไพร่พลของพระเจ้า. และคำสอนนี้ทำให้เราเป็นสมาชิกที่มีประโยชน์ของสังคมอย่างแน่นอน เพราะคำสอนนี้ทำให้เราสามารถแสดงบทบาทสำคัญยิ่งในการสนองความจำเป็นของผู้คนทั่วโลก. เพราะเหตุใดจึงอาจกล่าวเช่นนั้นได้?
โครงการสอนตลอดทั่วโลก
11. โทมัส เจ็ฟเฟอร์สัน เน้นความจำเป็นในเรื่องการศึกษาที่ถูกต้องอย่างไร?
11 ไม่เหมือนกับโครงการสอนอื่นใด คำสอนของพระเจ้าสนองความต้องการของผู้คนในด้านการศึกษา. ความจำเป็นที่จะสอนผู้คนได้มีการชี้แจงไว้โดยโทมัส เจ็ฟเฟอร์สัน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐ. ในจดหมายลงวันที่ 13 สิงหาคม 1786 ถึง จอร์ช วิท เพื่อนและผู้ร่วมลงนามคนหนึ่งในการประกาศเอกราช เจ็ฟเฟอร์สันเขียนดังนี้: “ผมคิดว่ากฎหมายที่สำคัญที่สุดในประมวลกฎหมายทั้งหมดของเราคือกฎหมายสำหรับการแพร่ความรู้ในท่ามกลางประชาชน. ไม่มีรากฐานอันมั่นคงอื่นใดอีกแล้วที่อาจคิดออกได้ เพื่อการรักษาไว้ซึ่งอิสระภาพและความสุข. . . . เพื่อนที่รัก โปรดสนับสนุนการรณรงค์อย่างขันแข็งต่อการไม่มีความรู้ ก่อตั้งและปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้การศึกษาแก่สามัญชน. ขอให้เพื่อนร่วมชาติของเรารู้ . . . ว่าเงินภาษีซึ่งจะจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์นี้ [เพื่อการศึกษา] ยังน้อยกว่าหนึ่งในพันของส่วนที่จะต้องจ่ายให้กษัตริย์, บาทหลวง, และพวกขุนนาง ซึ่งจะเกิดขึ้นในท่ามกลางพวกเราหากเราปล่อยให้ประชาชนไม่มีความรู้.”
12. เพราะเหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่า การสอนจากพระเจ้าเป็นโครงการให้การศึกษาทั่วโลกที่ประสบผลสำเร็จและเป็นประโยชน์ที่สุด?
12 แทนจะปล่อยให้ผู้คนที่มีแนวโน้มในทางชอบธรรมตกอยู่ในความไม่รู้ การสอนจากพระยะโฮวาจัดให้มีโครงการดีที่สุดเพื่อให้การศึกษาทั่วโลกเพื่อประโยชน์ของพวกเขา. ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงลุกลามอยู่เมื่อ 50 ปีมาแล้ว คณะกรรมการฟื้นฟูการศึกษาแห่งสหรัฐได้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนต่อ “การศึกษาทั่วโลก.” ความจำเป็นนั้นยังคงมีอยู่ แต่การสอนจากพระเจ้าเป็นโครงการให้การศึกษาทั่วโลกเพียงโครงการเดียวที่ประสบผลสำเร็จ. อนึ่ง โครงการนี้ยังเป็นประโยชน์ที่สุดเพราะการสอนจากพระเจ้าทำให้ผู้คนพ้นจากความสิ้นหวัง, ยกระดับทางศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณของพวกเขาขึ้น, ช่วยพวกเขาพ้นจากความหยิ่งยโสและอคติของโลก, และถ่ายทอดความรู้เพื่อชีวิตนิรันดร์. ที่สำคัญยิ่งคือ โครงการนี้ทำให้ผู้คนทุกหนทุกแห่งได้รับประโยชน์โดยสอนพวกเขารับใช้พระเจ้ายะโฮวา.
13. ยะซายา 2:2-4 กำลังสำเร็จเป็นจริงอย่างไรในทุกวันนี้?
13 ผลประโยชน์ต่าง ๆ จากการสอนจากพระเจ้ากำลังเป็นที่ชื่นชมโดยฝูงชนมากมายซึ่งบัดนี้ได้มาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า พวกเขาสำนึกถึงความต้องการฝ่ายวิญญาณของเขา และพวกเขาทราบว่าวันของพระยะโฮวาอยู่ใกล้แล้ว. (มัดธาย 5:3; 1 เธซะโลนิเก 5:1-6) เดี๋ยวนี้แหละ ใน “สมัยสุดท้าย” ผู้คนเหล่านั้นจากทุกชาติกำลังหลั่งไหลไปยังภูเขาแห่งพระยะโฮวา การนมัสการแท้ของพระองค์. การนมัสการนี้ถูกสถาปนาไว้อย่างมั่นคงและถูกยกขึ้นสูงเหนือการนมัสการทุกอย่างที่ขัดกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (ยะซายา 2:2-4) หากคุณเป็นพยานที่อุทิศตัวแล้วของพระยะโฮวา คุณปีติยินดีที่ได้อยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่นมัสการพระยะโฮวาและได้รับประโยชน์จากการสอนจากพระเจ้ามิใช่หรือ? เป็นสิ่งยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ร้องออกมาว่า “ท่านทั้งหลายจงสรรเสริญพระยะโฮวาเถิด!”—บทเพลงสรรเสริญ 150:6.
ผลกระทบซึ่งเป็นประโยชน์ที่มีต่อน้ำใจของเรา
14. การปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลที่ 1 โกรินโธ 14:20 เป็นประโยชน์อย่างไร?
14 หนึ่งในบรรดาผลประโยชน์มากมายจากการสอนจากพระเจ้าก็คือผลกระทบอันดีเยี่ยมที่การสอนนี้มีต่อแนวความคิดและน้ำใจของเรา. การสอนนี้กระตุ้นเราให้คิดในสิ่งชอบธรรม, บริสุทธิ์, ดีงาม, และน่าสรรเสริญ. (ฟิลิปปอย 4:8) การสอนจากพระยะโฮวาช่วยเราให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “จงเป็นทารกในเรื่องความชั่ว; กระนั้น จงเป็นผู้ใหญ่ด้านความสามารถในการเข้าใจ.” (1 โกรินโธ 14:20, ล.ม.) หากเรานำคำเตือนข้อนี้ไปใช้ เราก็จะไม่เสาะหาความรู้ในเรื่องความชั่ว. เปาโลยังเขียนอีกด้วยดังนี้: “จงให้ความขมขื่นอย่างประสงค์ร้าย และความโกรธ และการบันดาลโทสะ และการร้องโวยวาย และคำพูดหยาบหยาม พ้นจากท่านทั้งหลายรวมทั้งความชั่วทุกอย่าง.” (เอเฟโซ 4:31, ล.ม.) การเอาใจใส่คำแนะนำเช่นนั้นจะช่วยเราหลีกเลี่ยงการผิดศีลธรรมและบาปร้ายแรงอื่น ๆ. ขณะที่การทำเช่นนี้อาจเป็นประโยชน์ได้ทั้งในทางร่างกายและจิตใจ การทำเช่นนี้จะก่อความปีติยินดีแก่เราเป็นพิเศษที่รู้ว่าเรากำลังทำให้พระเจ้ามีพระทัยยินดี.
15. อะไรอาจช่วยเราให้รักษาความคิดในสิ่งดีงามได้?
15 หากเราจะรักษาไว้ซึ่งความคิดที่ดีงาม สิ่งช่วยอย่างหนึ่งคือให้หลีกเลี่ยง ‘การคบหาที่ไม่ดีซึ่งทำให้นิสัยดีเสียไป.’ (1 โกรินโธ 15:33, ล.ม.) ในฐานะคริสเตียน เราจะไม่คบเป็นเพื่อนกับคนผิดประเวณี, คนเล่นชู้, และคนที่ทำผิดอย่างอื่น ๆ. ฉะนั้น ตามเหตุผลแล้ว เราต้องไม่คบหากับคนเช่นนั้นโดยการอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขาเพื่อความเพลิดเพลินทางโลกียวิสัยหรือโดยการดูพวกเขาในโทรทัศน์หรือในภาพยนตร์. หัวใจคนเรานั้นไว้ใจไม่ได้ อาจรับเอาความปรารถนาในสิ่งชั่ว และอาจถูกล่อลวงให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยง่าย. (ยิระมะยา 17:9) เพราะฉะนั้น ให้เราหลีกเลี่ยงการล่อใจเหล่านั้นโดยยึดมั่นอยู่กับการสอนจากพระเจ้า. การสอนนี้สามารถก่อผลกระทบแนวความคิดของคน “ที่รักพระยะโฮวา” ในทางที่เป็นประโยชน์ถึงขนาดที่พวกเขา “เกลียดการชั่ว.”—บทเพลงสรรเสริญ 97:10.
16. คำสอนของพระเจ้ามีผลกระทบต่อน้ำใจที่เราแสดงออกได้อย่างไร?
16 เปาโลบอกติโมเธียวเพื่อนร่วมงานของท่านดังนี้: “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับน้ำใจที่ท่านแสดง ขอความกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระองค์ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด.” (2 ติโมเธียว 4:22, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลปรารถนาจะให้พระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพอพระทัยกับพลังกระตุ้นจิตใจที่กระตุ้นติโมเธียวกับคริสเตียนคนอื่น ๆ อยู่. คำสอนของพระเจ้าช่วยเราให้แสดงออกซึ่งความรัก, ความกรุณา, น้ำใจอ่อนโยน. (โกโลซาย 3:9-14) และสิ่งนี้ช่างแตกต่างเสียจริง ๆ จากผู้คนจำนวนมากในสมัยสุดท้ายนี้! พวกเขาเป็นคนจองหอง, อกตัญญู, ขาดความรักชอบตามธรรมชาติ, ไม่ยอมตกลงกัน, หัวดื้อ, รักการสนุกสนาน, และขาดความเลื่อมใสแท้ในพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:1-5) อย่างไรก็ตาม ขณะที่เรานำเอาประโยชน์ต่าง ๆ จากคำสอนของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตของเราต่อ ๆ ไป เราก็แสดงออกซึ่งน้ำใจซึ่งทำให้เป็นที่รักของพระเจ้าและของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน.
ประโยชน์ในความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์
17. ทำไมการร่วมมือด้วยความถ่อมใจจึงสำคัญยิ่ง?
17 คำสอนของพระเจ้าช่วยเราให้มองเห็นประโยชน์จากการร่วมมือด้วยความถ่อมใจกับเพื่อผู้นมัสการ. (บทเพลงสรรเสริญ 138:6) ไม่เหมือนผู้คนจำนวนมากในทุกวันนี้ เราไม่ละเมิดหลักการอันชอบธรรมแต่เปิดโอกาสให้มีการตกลงกัน. ยกตัวอย่าง มีผลอันดีมากมายเนื่องจากผู้ดูแลซึ่งได้รับการแต่งตั้งยอมตกลงกันในการประชุมของผู้ปกครอง. ขณะที่ไม่ยอมให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลหรือก่อความแตกแยก คนเหล่านี้สามารถพูดด้วยความสงบเพื่อประโยชน์แห่งความจริง. สมาชิกทุกคนของประชาคมจะได้ประโยชน์จากน้ำใจแห่งเอกภาพที่เรามีหากเราทุกคนนำคำสอนของพระเจ้าไปใช้อยู่เสมอ.—บทเพลงสรรเสริญ 133:1-3.
18. คำสอนของพระเจ้าช่วยเราให้มีทัศนะเช่นไรต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ?
18 คำสอนของพระเจ้ายังเป็นประโยชน์เช่นกันในการช่วยเราให้มีทัศนะที่ถูกเกี่ยวกับเพื่อนร่วมความเชื่อ. พระเยซูตรัสดังนี้: “ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้, เว้นไว้พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะชักนำเขา.” (โยฮัน 6:44) โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1919 พระยะโฮวาได้ทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ประกาศการพิพากษาของพระองค์และระบบโลกของซาตานก็ถูกเขย่าและทำให้สั่นสะเทือนโดยคำเตือนนี้ซึ่งมีไปทั่วโลก. ในช่วงเวลาเดียวกัน มนุษย์ที่เกรงกลัวพระเจ้า—“สิ่งน่าปรารถนา”—ก็ถูกพระเจ้าชักนำให้แยกตัวเองต่างหากจากนานาชาติและร่วมกับคริสเตียนผู้ถูกเจิมในการทำให้พระวิหารแห่งการนมัสการของพระยะโฮวาเต็มไปด้วยสง่าราศี. (ฮาฆี 2:7) แน่นอน เราควรมองดูผู้คนที่น่าปรารถนาเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าทรงชักนำเข้ามาว่าเป็นเพื่อนที่รักของเรา.
19. คำสอนของพระเจ้าเผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งด้านบุคลิกภาพส่วนตัวกับเพื่อนคริสเตียน?
19 แน่นอน เนื่องจากเราทุกคนไม่สมบูรณ์ สิ่งต่าง ๆ ย่อมไม่ดำเนินอย่างราบรื่นเสมอไป. เมื่อเปาโลจะเริ่มออกเดินทางเผยแพร่รอบที่สอง บาระนาบาตั้งใจจะพามาระโกไปด้วย. เปาโลไม่เห็นด้วยเพราะมาระโก “ได้ทิ้งท่านเสียที่มณฑลปัมฟูเลีย, และมิได้ไปทำการด้วยกัน.” ตอนนั้นเอง ก็ได้เกิด “การเถียงกันมาก.” บาระนาบาพามาระโกไปยังเกาะกุบโร ส่วนเปาโลมีซีลาไปด้วยกันตลอดมณฑลซุเรียและกิลิเกีย. (กิจการ 15:36-41) ต่อมาก็เห็นได้ชัดว่าความหมางใจครั้งนั้นได้รับการแก้ไข เพราะมาระโกได้อยู่กับเปาโลที่โรม และอัครสาวกเปาโลก็ได้กล่าวถึงเขาเป็นอย่างดี. (โกโลซาย 4:10) ผลประโยชน์อย่างหนึ่งจากคำสอนของพระเจ้าคือว่า คำสอนนั้นเผยให้เราเห็นวิธีแก้ไขความขัดแย้งด้านบุคลิกภาพส่วนตัวระหว่างคริสเตียนโดยการปฏิบัติตามคำแนะนำเช่นที่พระเยซูทรงให้ไว้ที่มัดธาย 5:23, 24 และมัดธาย 18:15-17.
เป็นประโยชน์และมีชัยเสมอ
20, 21. การที่เราพิจารณาคำสอนของพระเจ้าควรกระตุ้นเราให้ทำอะไร?
20 จากการที่เราพิจารณาสั้น ๆ ถึงผลประโยชน์และชัยชนะบางประการของคำสอนของพระเจ้า เราทุกคนเห็นได้อย่างไม่มีข้อสงสัยถึงความจำเป็นจะต้องพากเพียรในการนำคำสอนนั้นไปใช้ในชีวิตของเรา. ครั้นแล้ว พร้อมด้วยน้ำใจเลื่อมใส ให้เราเรียนรู้ต่อ ๆ ไปจากพระบรมครูของเรา. ในไม่ช้า คำสอนของพระเจ้าจะมีชัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย. คำสอนนี้จะมีชัยเมื่อคนมีปัญญาของโลกสูดลมหายใจครั้งสุดท้าย. (เทียบกับ 1 โกรินโธ 1:19.) ยิ่งกว่านั้น ขณะที่คนนับล้าน ๆ เรียนรู้และทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า ความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาจะเต็มแผ่นดินโลกดุจน้ำท่วมมหาสมุทรทีเดียว. (ยะซายา 11:9) สิ่งนี้จะให้ประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่จริง ๆ แก่มนุษยชาติที่เชื่อฟังและพิสูจน์ว่าพระยะโฮวาทรงเป็นองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ!
21 คำสอนของพระเจ้าจะเป็นประโยชน์และมีชัยชนะเสมอไป. คุณจะรับประโยชน์ต่อ ๆ ไปจากคำสอนนี้ในฐานะนักศึกษาที่กระตือรือร้นไหมในการศึกษาหนังสือคู่มืออันยอดเยี่ยมของพระเจ้า? คุณกำลังดำเนินชีวิตประสานกับคัมภีร์ไบเบิลและสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแก่คนอื่น ๆ ไหม? ถ้าเช่นนั้น คุณก็จะสามารถคอยท่าชัยชนะขั้นเด็ดขาดแห่งคำสอนของพระเจ้า เพื่อพระเกียรติแห่งองค์บรมครูของเรา พระยะโฮวาองค์บรมมหิศร.
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
▫ คำสอนของพระเจ้าอาจมีผลกระทบอะไรได้บ้างต่อชีวิตของเรา?
▫ การสอนจากพระยะโฮวาสนองความจำเป็นด้านการศึกษาอย่างไร?
▫ ผลกระทบอันเป็นประโยชน์อะไรที่คำสอนของพระเจ้าอาจมีต่อแนวความคิดและเจตคติของเรา?
▫ คำสอนของพระเจ้าเป็นประโยชน์อย่างไรในเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์?
[รูปภาพหน้า 15]
คำสอนของพระเจ้าเผยให้เราเห็นวิธีดำเนินกับพระเจ้า ดังที่โนฮาได้ทำ
[รูปภาพหน้า 17]
ผู้คนจากทุกชาติกำลังหลั่งไหลไปยังภูเขาแห่งพระยะโฮวา