การปกครองของมนุษย์นำขึ้นชั่งแล้ว
ตอน 8: การปะปนระคนกันด้านการเมืองระหว่างเหล็กกับดินเหนียว
ลัทธิชาตินิยม: การสำนึกในเรื่องชาติด้วยการยกย่องชาติหนึ่งเหนือกว่าชาติอื่น ๆ และการสนับสนุนวัฒนธรรมและผลประโยชน์ของชาติตนขึ้นหน้าชาติอื่น เป็นแนวความคิดหนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นมาในตอนปลายศตวรรษที่ 18 แต่มาบรรลุจุดสุดยอดในศตวรรษที่ 20 นี้.
การปกครองของมนุษย์ที่โงนเงนง่อนแง่นอย่างช่วยตัวเองไม่ได้เนื่องด้วยวิกฤตการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า กำลังล้มเหลวในการนำมาซึ่งเสถียรภาพแก่สังคมมนุษย์. สถานการณ์จะไม่เปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ ซบิกเนียฟ เบรสซินสกี ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของอดีตประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์.
เบรสซินสกี พร้อมด้วยผู้นำคนอื่น ๆ ของโลก ได้ถูกสัมภาษณ์โดย จอร์จี แอนนี เกเยอร์ นักหนังสือพิมพ์ ในขณะที่เธอเตรียมบทความหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1985 ชื่อเรื่องว่า “โลกของเรากำลังพังทลาย.” ในบทความนี้เธออ้างถึงคำกล่าวของเบรสซินสกีที่ว่า “ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการขาดความมั่นคงระหว่างนานาชาติกำลังจะได้เปรียบทางประวัติศาสตร์เหนือกองกำลังต่าง ๆ ที่ทำการเพื่อการร่วมมือกันมากขึ้นอย่างมีระเบียบ. ผลสรุปอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของการวิเคราะห์ใด ๆ อย่างไม่ลำเอียงเกี่ยวกับแนวโน้มของโลกก็คือการวุ่นวายยุ่งเหยิงทางสังคม การปั่นป่วนทางการเมือง วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งระหว่างนานาชาติ คงจะแผ่ขยายออกไปในช่วงที่เหลืออยู่ของศตวรรษนี้.”
ช่างเป็นการพยากรณ์เหตุการณ์ที่มืดมนจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เหล่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประหลาดใจ. สถานการณ์เช่นนี้ได้มีการบอกล่วงหน้านานมาแล้ว. เมื่อไร? ที่ไหน?
ว้าวุ่นใจเนื่องด้วยความฝัน
นะบูคัดเนซัร กษัตริย์แห่งบาบุโลนซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี 624 ถึงปี 582 ก่อน ส.ศ. ถูกรบกวนใจด้วยพระสุบิน. ในพระสุบินนั้นท่านได้เห็นรูปปั้นมหึมารูปหนึ่งมีศีรษะเป็นทองคำ อกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองเหลือง ขาเป็นเหล็ก และเท้ากับนิ้วเท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว. ดานิเอล ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้อธิบายถึงความหมายอันสำคัญ ของรูปปั้นนั้นให้นะบูคัดเนซัรทราบ โดยบอกท่านว่า “ข้าแต่ราชา . . . ศีรษะทองคำนั้นได้แก่ฝ่าพระบาทเอง. ถัดจากฝ่าพระบาทไปจะเกิดอาณาจักรขึ้นอีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งเป็นรองฝ่าพระบาทลงไป; แล้วจะเกิดมีอาณาจักรที่สามเป็นทองเหลือง ครอบครองทั่วพิภพ.” ฉะนั้นจึงชัดแจ้งว่ารูปปั้นนั้นคงต้องเกี่ยวข้องกับการปกครองของมนุษย์.—ดานิเอล 2:37–39.
ก่อนสมัยดานิเอล ทั้งชาวอียิปต์และชาวอัสซีเรียได้กดขี่ชาวยิศราเอล พลไพร่ซึ่งถูกเลือกสรรขององค์ผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิล. (เอ็กโซโด 19:5) ตามภูมิหลังในคัมภีร์ไบเบิล การนี้ทำให้ประเทศเหล่านั้นเป็นมหาอำนาจโลก ที่จริงแล้ว อยู่ในอันดับแรกของลำดับมหาอำนาจทั้งเจ็ดที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง. (วิวรณ์ 17:10) ครั้นแล้วในสมัยดานิเอล บาบุโลนก็ได้โค่นล้มยะรูซาเลมลง เนรเทศชาวยิศราเอลออกไป. ดังนั้น บาบุโลนจึงได้กลายเป็นมหาอำนาจที่สามของโลก ซึ่งมีการอ้างถึงในกรณีนี้อย่างเหมาะเจาะว่าเป็น “ศีรษะทองคำ.” ทั้งคัมภีร์ไบเบิลและประวัติศาสตร์โลกต่างระบุถึงมหาอำนาจที่จะมาเป็นอันดับต่อไปว่าคือเมโด–เปอร์เซีย, กรีซ, โรม, และสุดท้ายคือ แองโกล–อเมริกา.a
ชาติเหล่านี้ถูกจัดโดยคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นมหาอำนาจโลกก็เพราะมีการปฏิบัติต่อพลไพร่ของพระเจ้าและต่อต้านการครอบครองขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์สนับสนุน. ด้วยเหตุนั้น รูปปั้นที่นะบูคัดเนซัรเห็นจึงเป็นภาพแสดงอย่างดีถึงวิธีที่การครอบครองของมนุษย์จะดำเนินต่อ ๆ ไปในการปฏิบัติตรงข้ามกับพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าแม้กระทั่งหลังจากที่อาณาจักรของเขาสิ้นสุดลง. การสืบต่อของมหาอำนาจโลกมีแสดงเป็นภาพโดยส่วนต่าง ๆ ของรูปปั้นนั้นซึ่งเริ่มจากศีรษะลงมา. ตามเหตุผลแล้ว ส่วนเท้าและนิ้วเท้าคงจะเป็นเครื่องหมายเล็งถึงการแสดงออกส่วนสุดท้ายแห่งการครอบครองของมนุษย์ซึ่งจะดำรงอยู่ในช่วง “สมัยสุดท้าย” ดังที่ดานิเอลได้กล่าวไว้. ฉะนั้น เราควรคาดหมายอะไร?—ดานิเอล 2:41, 42; 12:4.
‘นิ้วเท้าทั้งสิบ’
บรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะกับชนชาติเดียวหรือสถานที่เดียวซึ่งทำให้พวกเขาอาจถูกบีบคั้นกดดันจากมหาอำนาจโลกเดียวอีกต่อไป. (กิจการ 1:8; 10:34, 35) ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชาติต่าง ๆ เป็นประชากรแห่งรัฐบาลของมนุษย์ทุกรูปแบบ พวกเขาประกาศอย่างกระตือรือร้นว่าสมัยสุดท้ายได้เริ่มขึ้นแล้วและว่าเวลาการครอบครองโดยมนุษย์ก็เพียงพอแล้ว—อีกไม่ช้าจะถูกแทนที่ด้วยการครอบครองของพระเจ้า.b ด้วยเหตุนั้น ข่าวสารอันหนักแน่นที่พวกเขาประกาศออกไปจึงเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจทางการเมืองทั้งสิ้น ที่ดำรงอยู่. อย่างเหมาะสม ตัวเลข “สิบ” ที่มีการใช้ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงความครบถ้วนของสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายแผ่นดินโลก. ดังนั้นการครอบครองทางการเมืองของมนุษย์ทั้งหมดซึ่งจับมือกันต่อต้านพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่ ‘นิ้วเท้าทั้งสิบ’ ของรูปปั้นนั้นหมายถึงอย่างชอบด้วยเหตุผล.
สถานการณ์ทางการเมืองในตอนเริ่มต้นของช่วงเวลาที่มีการบอกไว้ล่วงหน้านั้นเป็นอย่างไร? ในปี 1800 ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปได้ควบคุมแผ่นดินโลกไว้ถึงร้อยละ 35 แต่เมื่อถึงปี 1914 จำนวนนั้นเพิ่มขึ้นจนมากกว่าร้อยละ 84! เดอะ คอลลินส์ แอตลาส ออฟ เวิลด์ ฮิสตอรี ให้ข้อสังเกตว่า “ก่อนหน้าสงครามในปี 1914 ดูเหมือนว่าการแบ่งส่วนแผ่นดินโลก ในระหว่างกลุ่มมหาอำนาจนั้นเกือบจะสำเร็จแล้ว.” ฮิวจ์ โบรแกน ผู้บรรยายในสาขาวิชาประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเอสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ กล่าวดังนี้ อันที่จริงดูเหมือนว่า “อีกไม่นาน ทั้งโลกคงจะถูกปกครองโดยมหาอำนาจต่าง ๆ หกมหาอำนาจ.”
แต่การใช้ ‘นิ้วเท้าทั้งสิบ’ เพื่อเล็งถึงความครบถ้วนแห่งรัฐบาลต่าง ๆ ของโลก ซึ่งไม่มากไปกว่าเพียง “หกมหาอำนาจ” ตามตัวอักษรนั้น คงไม่ชอบด้วยเหตุผลเท่าใดนัก. ฉะนั้น ถ้าความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เรื่อง ‘นิ้วเท้าทั้งสิบ’ จะมีความหมายอย่างแท้จริง สถานการณ์ทางการเมืองที่มีอยู่ในปี 1914 คงต้องมีการเปลี่ยนแปลง.
ในตอนต้นทศวรรษปี 1900 จักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็นมา ได้ครอบครองเหนือประชาชนในโลกถึงหนึ่งในสี่. จักรวรรดิอื่น ๆ ของชาวยุโรปก็ได้ครอบครองผู้คนที่มีจำนวนอีกหลายล้านคน. แต่สงครามโลกที่หนึ่งได้ก่อผลเป็นชัยชนะของลัทธิชาตินิยม. พอล เค็นเนดี ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเยล อธิบายว่า: “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรป วัดโดยเขตแดนตามกฎหมาย คือการเกิดขึ้นของกลุ่มประเทศและรัฐต่าง ๆ เช่น โปแลนด์ เชโกสโลวะเกีย ออสเตรีย ฮังการี ยูโกสลาเวีย ฟินแลนด์ เอสโตเนีย แลตเวีย และลิธัวเนีย ในแผ่นดินซึ่งเคยเป็นส่วนของจักรวรรดิฮับสบวร์ก โรมานอฟ และโฮเฮนโซลเลร์น.”
ภายหลังสงครามโลกที่สอง แนวโน้มเช่นนี้ก็ยิ่งทวีขึ้น. ลัทธิชาตินิยมปะทุขึ้นอย่างสุดพลัง. โดยเฉพาะหลังจากช่วงกลางทศวรรษปี 1950 แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหวนกลับได้. เวลาห้าร้อยปีแห่งการแผ่ขยายอำนาจของชาวยุโรปได้ยุติลงด้วยการกระจัดกระจายไปของจักรวรรดิอาณานิคมที่พังทลาย. จำนวนประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา, เอเชีย และตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต.
เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา กล่าวว่า “พัฒนาการเช่นนี้สวนทางกับแนวความคิดซึ่งครอบงำความคิดทางการเมืองตลอด 2,000 ปีก่อนหน้านี้.” ในขณะที่ “จนถึงบัดนี้ มนุษย์เราได้เน้นหนักทั้งลักษณะทั่วไปและลักษณะสากล และถือว่าเอกภาพเป็นเป้าหมายอันพึงปรารถนา” บัดนี้ลัทธิชาตินิยมได้เน้นหนักในเรื่องความผิดแผกของเชื้อชาติ. แทนที่จะทำให้รวมกัน ลัทธินี้มุ่งไปสู่การแตกแยกกัน.
เหล็กกับดินเหนียว
จงสังเกตการที่คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงเท้าและนิ้วเท้าของรูปปั้นว่า “เป็นเหล็กปนดิน” และกล่าวต่อไปอีกว่า “อาณาจักรนั้นจะเกิดแตกออกไปจากกัน . . . บ้างก็จะแข็ง บ้างก็จะเปราะ . . . แต่ก็หาสนิทสนมกลมกลืนกันและกันไม่.” (ดานิเอล 2:33, 41–43) ความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ปรากฏชัดเมื่อมีการดำเนินการขจัดความเป็นอาณานิคมออกไป ในขณะที่ลัทธิชาตินิยมเจริญรุ่งเรือง และเมื่อประเทศที่กำลังพัฒนาได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา. โลกก็ได้ถลำเข้าสู่ความแตกแยกทางการเมืองอย่างรวดเร็ว.
ในทำนองเดียวกับวัตถุผสมด้วยเหล็กและดินเหนียวซึ่งเข้ากันไม่ได้ ในเท้าและนิ้วเท้าของรูปปั้นนั้น รัฐบาลบางรัฐบาลก็เป็นเสมือนเหล็ก คือเป็นแบบเผด็จการหรือทรราชย์ และรัฐบาลอื่น ๆ เป็นเสมือนดินเหนียว คือปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพการณ์หรือเป็นแบบประชาธิปไตย. จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าพวกเขาไม่อาจผสมกลมกลืนกันได้ในเอกภาพโลก. ในการชี้ถึงจุดนี้ในสมัยของเรา หนังสืออุนเซเร เวลต์—เกสเตอร์น ฮอยเตะ มอร์เกน, 1800–2000 (โลกของเรา—ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต; ปี 1800–2000) กล่าวว่า: “ในศตวรรษที่ 19 เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยครอบคลุมเกือบทุกประเทศ ที่มีอารยธรรม และในตอนสิ้นสุดลงของสงครามโลกที่หนึ่ง กิจการงานแห่งเสรีภาพดูเหมือนจะบรรลุชัยชนะขั้นสุดยอด. . . . แต่พร้อมกับการปฏิวัติในรัสเซียเมื่อปี 1917 ระบอบเผด็จการได้ฟื้นขึ้นมาอีก. นับตั้งแต่นั้นมา ศตวรรษที่ 20 ก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะด้วยการดำรงอยู่ร่วมกันและการเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างระบอบเผด็จการกับระบอบประชาธิปไตย.”—ตัวเอนเป็นของเรา.
พลังประชาชน
โปรดสังเกตด้วยว่าในระหว่างการครอบครองของ ‘นิ้วเท้าทั้งสิบ’ นั้น สามัญชน “เผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งหลาย” ก็คงจะมีบทบาทมากขึ้นในเรื่องการปกครอง. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์สนับสนุนการบอกล่วงหน้านี้ไหม?—ดานิเอล 2:43.
ประชาธิปไตย การปกครองโดยประชาชน เป็นที่นิยมชมชอบมากที่สุดภายหลังสงครามโลกที่หนึ่ง แม้ว่าในระหว่างทศวรรษปี 1920 และ 1930 การปกครองระบอบประชาธิปไตยในส่วนต่าง ๆ ของโลกได้ถูกแทนที่ด้วยระบอบเผด็จการก็ตาม. หลังจากสงครามโลกที่สอง การยกเลิกอาณานิคมก็ได้ก่อให้เกิดประเทศใหม่ ๆ ในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาจำนวนหนึ่ง. แต่ต่อมาในทศวรรษปี 1960 และ 1970 อดีตอาณานิคมหลายแห่งได้เลือกเอารูปแบบของการปกครองในลักษณะที่ใช้อำนาจมากขึ้น.
อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 20 ได้มีแนวโน้มที่จะแทนที่ระบอบราชาธิปไตยและรัฐบาลเผด็จการด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือรัฐบาลโดยประชาชน. “ปีแห่งประชาชน” คือคำที่นิตยสารไทม์ ใช้พรรณนาถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ทางการเมืองในยุโรปตะวันออก. และเมื่อกำแพงเบอร์ลินโค่นลงในที่สุด เดอร์ สปีเกล วารสารข่าวเยอรมันก็ได้พาดหัวด้วยถ้อยคำ “ดาส โฟล์ก ซีต”—ประชาชนมีชัย!
พูดมาก แต่ทำน้อย
ในประเทศทางยุโรปตะวันออกทุกแห่งซึ่งพลังของประชาชนได้บีบบังคับให้มีการปฏิรูปทางการเมืองนั้น ได้มีเสียงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีพร้อมทั้งให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคเข้าส่วนด้วย. ในรูปแบบปัจจุบัน พรรคการเมืองได้เกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกาเหนือในระหว่างศตวรรษที่ 19. นับแต่กลางศตวรรษที่ 20 พรรคการเมืองก็แพร่กระจายออกไปทั่วโลก. ในทุกวันนี้ พรรคเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และมีระบบดีกว่าเดิม. โดยทางพรรคเหล่านี้ รวมทั้งสหภาพแรงงาน พวกสภาที่สาม กลุ่มอนุรักษ์นิยม รวมทั้งกลุ่มประชากรอื่น ๆ และกลุ่มที่มีความสนใจเป็นพิเศษ ทำให้ขณะนี้พลังประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน.
แต่ขณะที่จำนวนประชาชนซึ่งเกี่ยวพันในกระบวนการทางการเมืองมากขึ้นนั้น ก็มีความยุ่งยากมากขึ้นด้วยในการบรรลุความสอดคล้องลงรอยกันทางการเมือง. ท่ามกลางความคิดเห็นและผลประโยชน์หลายหลากที่ขัดแย้งกัน ผลมักเป็นรัฐบาลของชนกลุ่มน้อย รัฐบาลที่มัวคุมเชิงกันจึงมีแต่พูดมากและทำน้อย.
เสมือนเหล็กปนดินเหนียว การเมืองทั้งสิ้นของโลกที่ปะปนระคนกัน ก็เปราะบางตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา. สมัยที่ประชาชนร้องขอการชี้นำจากพระเจ้าในเรื่องการปกครองนั้นผ่านพ้นไปแล้ว. “ด้วยเหตุนั้น ผู้คนในโลกตะวันตกที่เจริญแล้วจึงถูกทำให้กลับไปพึ่งพาตนเองอีกโดยสิ้นเชิง และพวกเขาพบว่าตนเองกำลังขาดแคลน” นี่คือบทสรุปของหนังสือ เดอะ โคลัมเบีย ฮิสตอรี ออฟ เดอะ เวิลด์.
มีหวังที่จะมองในแง่ดีไหม?
“ทำไมพัฒนาการซึ่งผิดแผกแต่ก็มีความสัมพันธ์กันเหล่านี้จึงได้เข้ามารวมกันในช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 นี้? ทำไมสิ่งเหล่านี้ซึ่งคุกคามโลกให้ล่มสลายจึงได้ปรากฏขึ้นอย่างประจวบเหมาะในศักราชที่มนุษย์ได้ประสบความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และความรู้ยิ่งกว่าทุกสมัยแห่งประวัติศาสตร์ที่แล้วมา?” คำถามเหล่านี้ซึ่งยกขึ้นมาโดยเกเยอร์ นักหนังสือพิมพ์ เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ต้องคิด. แต่มีใครบ้างที่ทราบคำตอบ?
เกือบสิบปีมาแล้ว เดอะ เวิลด์ บุ๊ค เอ็นไซโคลพีเดีย ให้ข้อสังเกตในด้านดีว่า: “เราคงมีโอกาสในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสมัยของเราดียิ่งกว่าชั่วอายุใด ๆ ก่อนหน้านี้.” แต่จนบัดนี้ อีกสิบปีต่อมา ณ ตอนเริ่มต้นของทศวรรษปี 1990 ยังมีหวังให้คิดในแง่ดีอยู่หรือไม่? คุณอาจบอกว่า ‘มีสิ’ โดยชี้ไปยังการสิ้นสุดของสงครามเย็น ความร่วมมือที่มีมากขึ้นระหว่างฝ่ายตะวันออกกับฝ่ายตะวันตก และความก้าวหน้าที่ดีในการลดอาวุธทั่วโลก.
คัมภีร์ไบเบิลได้บอกล่วงหน้าว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น. พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่าในระหว่างการครองอำนาจของมหาอำนาจโลกที่เจ็ดตามประวัติศาสตร์ในคัมภีร์ไบเบิล จะมีการก่อตั้งมหาอำนาจที่แปดขึ้นมาเป็นพิเศษในสมัยเดียวกัน เพื่อจุดประสงค์ในการรวบรวมนานาชาติเป็นเอกภาพ. (วิวรณ์ 17:11) แต่การนี้จะสัมฤทธิ์ผลไหม? ตอนต่อไปของบทความชุด “การปกครองของมนุษย์ นำขึ้นชั่งแล้ว” จะให้คำตอบ.
[เชิงอรรถ]
a วารสารหอสังเกตการณ์ได้พิจารณารายละเอียดของแต่ละมหาอำนาจโลกเหล่านี้จากประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิลในฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 1988.
b เพื่อได้ข้อพิสูจน์ตามหลักคัมภีร์ไบเบิล โปรดดูในบทที่ 16 และ 18 ของหนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก ซึ่งจัดพิมพ์โดย ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทรกท์ โซไซตี ออฟ นิวยอร์ก.
[จุดเด่นหน้า12]
“แผ่นดินใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันแล้วก็คงพินาศ”—มัดธาย 12:25
[จุดเด่นหน้า12]
“ชาติต่าง ๆ ได้ก่อการจลาจล อาณาจักรก็ปั่นป่วน.”—เพลงสรรเสริญ 46:6