พระยะโฮวาทรงหยั่งรู้ค่าการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณของคุณ
“สิ่งใด ๆ ก็ดีที่ท่านทั้งหลายกระทำ จงกระทำด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณเหมือนหนึ่งกระทำแด่พระยะโฮวาและไม่ใช่แก่มนุษย์.”—โกโลซาย 3:23, ล.ม.
1, 2. (ก) อะไรคือสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราอาจได้รับ? (ข) เหตุใดบางครั้งเราอาจไม่สามารถทำได้ทุกอย่างตามที่เราอยากจะทำในการรับใช้พระเจ้า?
การรับใช้พระยะโฮวาเป็นสิทธิพิเศษยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถจะมีได้. ด้วยเหตุผลที่ดี วารสารนี้ได้สนับสนุนมานานให้คริสเตียนมีส่วนร่วมในงานรับใช้ ทั้งยังได้สนับสนุนให้รับใช้ “ให้มากขึ้น” เมื่อเป็นไปได้. (1 เธซะโลนิเก 4:1) อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถทำทุกสิ่งที่หัวใจเราปรารถนาได้เสมอไปในการรับใช้พระเจ้า. พี่น้องหญิงโสดคนหนึ่งซึ่งรับบัพติสมาได้เกือบ 40 ปีมาแล้วอธิบายดังนี้: “สภาพการณ์ของดิฉันทำให้ต้องทำงานอาชีพเต็มเวลา. เหตุผลในการทำงานของดิฉันไม่ใช่เพื่อจะได้มีเสื้อผ้าหรูหรามีระดับหรือเพื่อสามารถไปพักร้อนบนเรือสำราญ หากแต่เพื่อจะมีพอใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นต่าง ๆ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าหมอฟัน. ดิฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังอุทิศแค่เศษเสี้ยวของเวลาและพลังงานให้แก่พระยะโฮวา.”
2 ความรักต่อพระเจ้ากระตุ้นเราให้ปรารถนาจะทำมากเท่าที่เราทำได้ในงานประกาศ. แต่สภาพการณ์ในชีวิตมักขีดคั่นขอบเขตที่เราทำได้. การเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบอื่น ๆ ตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งก็รวมทั้งพันธะต่อครอบครัวด้วย อาจเป็นเหตุให้เวลาและพลังงานส่วนมากของเราหมดไป. (1 ติโมเธียว 5:4, 8) ใน “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้” เช่นนี้ ชีวิตเต็มด้วยเรื่องท้าทายมากขึ้นทุกที. (2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.) เมื่อเราไม่สามารถทำทุกอย่างที่เราอยากทำในงานรับใช้ เราอาจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ. เราอาจสงสัยว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยกับการนมัสการของเราหรือไม่.
ความงดงามแห่งการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณ
3. พระยะโฮวาทรงคาดหมายอะไรจากเราทุกคน?
3 ที่บทเพลงสรรเสริญ 103:14 (ฉบับแปลใหม่ พระธรรมสดุดี) คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราอย่างอบอุ่นว่า พระยะโฮวา “ทรงทราบโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี.” ยิ่งกว่าใครอื่น พระองค์ทรงเข้าใจขีดจำกัดของเรา. พระองค์ไม่ทรงเรียกร้องมากกว่าที่เราสามารถให้ได้. พระองค์ทรงคาดหมายอะไร? พระองค์ทรงคาดหมายสิ่งที่ทุกคนสามารถให้ได้ ไม่ว่าสภาพการณ์ในชีวิตเป็นอย่างไร: “สิ่งใด ๆ ก็ดีที่ท่านทั้งหลายกระทำ จงกระทำด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณเหมือนหนึ่งกระทำแด่พระยะโฮวาและไม่ใช่แก่มนุษย์.” (โกโลซาย 3:23, ล.ม.) ถูกแล้ว พระยะโฮวาทรงคาดหมายจากเรา—เราทุกคน—ให้รับใช้พระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณ.
4. การรับใช้พระยะโฮวาด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณหมายความเช่นไร?
4 การรับใช้พระยะโฮวาสิ้นสุดจิตวิญญาณหมายความเช่นไร? คำกรีกที่ได้รับการแปลในที่นี้ว่า “สิ้นสุดจิตวิญญาณ” ตามตัวอักษรหมายความว่า “จากจิตวิญญาณ.” คำ “จิตวิญญาณ” นี้พาดพิงถึงทั้งหมดที่เป็นตัวบุคคล พร้อมทั้งความสามารถทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทางกายและใจ. ฉะนั้น การรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณหมายถึงการให้ตัวเราเอง ใช้ความสามารถทั้งสิ้นของเราและใช้พลังงานของเราอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้ในงานรับใช้พระเจ้า. พูดง่าย ๆ คือ การรับใช้สิ้นสุดจิตวิญญาณหมายถึงการทำทุกสิ่งที่จิตวิญญาณของเราสามารถทำได้.—มาระโก 12:29, 30.
5. ตัวอย่างของเหล่าอัครสาวกแสดงอย่างไรว่า ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเท่ากันในงานรับใช้?
5 การทำด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณหมายความไหมว่าเราทุกคนต้องทำเท่ากันในงานรับใช้? นั่นคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะสภาพการณ์และความสามารถของแต่ละคนต่างกัน. ขอให้พิจารณากรณีอัครสาวกของพระเยซู. ไม่ใช่ทุกคนในพวกเขาสามารถทำได้เท่า ๆ กัน. เพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่าง เรารู้เรื่องเกี่ยวกับอัครสาวกบางคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น ซีโมนชาวคะนาอันและยาโกโบบุตรอาละฟาย. อาจเป็นได้ที่กิจการงานของทั้งสองคนนี้ในฐานะอัครสาวกค่อนข้างมีจำกัด. (มัดธาย 10:2-4) ในทางตรงกันข้าม เปโตรสามารถรับเอาหน้าที่รับผิดชอบหนักมากมาย—ที่จริง พระเยซูทรงถึงกับมอบ “ลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์” แก่ท่าน! (มัดธาย 16:19) กระนั้น เปโตรมิได้ถูกยกให้เหนือกว่าอัครสาวกคนอื่น ๆ. เมื่อโยฮันได้รับนิมิตเกี่ยวกับยะรูซาเลมใหม่ในพระธรรมวิวรณ์ (ประมาณปีสากลศักราช 96) ท่านเห็นฐานศิลา 12 ฐาน และบนฐานศิลาเหล่านั้นจารึก “ชื่อสิบสองชื่อของอัครสาวกสิบสองคน.”a (วิวรณ์ 21:14, ล.ม.) พระยะโฮวาทรงตีค่าการรับใช้ของอัครสาวกทุกคนสูง แม้จะดูเหมือนว่าบางคนสามารถทำมากกว่าคนอื่น.
6. ในอุทาหรณ์ของพระเยซูเรื่องผู้หว่านพืช เกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดที่หว่านบน “ดินดี” และเกิดคำถามอะไรขึ้น?
6 ในทำนองเดียวกัน พระยะโฮวามิได้ทรงเรียกร้องให้เราทุกคนประกาศสั่งสอนเท่า ๆ กัน. พระเยซูทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ในอุทาหรณ์เรื่องผู้หว่านพืช ซึ่งเปรียบงานประกาศเหมือนการหว่านเมล็ดพืช. เมล็ดนั้นตกบนดินชนิดต่าง ๆ ซึ่งให้ภาพของสภาพหัวใจที่แตกต่างกันที่คนซึ่งได้ยินข่าวสารนั้นแสดงออกมา. พระเยซูอธิบายว่า “ส่วนพืชซึ่งหว่านตกที่ดินดีนั้น. ได้แก่ผู้ที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ, จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง, หกสิบเท่าบ้าง, สามสิบเท่าบ้าง.” (มัดธาย 13:3-8, 18-23) ผลที่เกิดนั้นคืออะไร และทำไมจึงเกิดผลแตกต่างกัน?
7. ผลของเมล็ดที่หว่านได้แก่อะไร และเหตุใดจึงเกิดผลเป็นปริมาณต่างกัน?
7 เนื่องจากเมล็ดที่หว่านได้แก่ “คำแห่งแผ่นดินพระเจ้า” การเกิดผลจึงหมายถึงการแพร่กระจายคำนั้น การพูดเรื่องนี้กับคนอื่น. (มัดธาย 13:19) ปริมาณของผลที่เกิดนั้นต่างกัน—ตั้งแต่สามสิบเท่าจนถึงร้อยเท่า—เนื่องจากความสามารถและสภาพการณ์ในชีวิตต่างกัน. คนที่มีสุขภาพและกำลังวังชาดีอาจสามารถใช้เวลาในการประกาศมากกว่าคนที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเนื่องจากไม่สบายเรื้อรังหรืออายุมากแล้ว. คนที่เป็นโสดซึ่งปราศจากหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวอาจสามารถทำมากกว่าคนที่ต้องทำงานอาชีพเต็มเวลาเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว.—เทียบกับสุภาษิต 20:29.
8. พระยะโฮวาทรงมีทัศนะอย่างไรต่อคนที่ได้ให้สิ่งดีที่สุดที่จิตวิญญาณของตนทำได้?
8 ในทัศนะของพระเจ้า คนที่ทำสิ้นสุดจิตวิญญาณซึ่งเกิดผลสามสิบเท่านั้นเป็นคนซื่อสัตย์น้อยกว่าคนที่เกิดผลร้อยเท่าไหม? ไม่เลย! ปริมาณการเกิดผลอาจต่างกัน แต่พระยะโฮวาทรงพอพระทัยตราบใดที่การรับใช้นั้นดีที่สุดเท่าที่จิตวิญญาณของเราสามารถทำได้. พึงระลึกว่า ปริมาณการเกิดผลที่ต่างกันนั้น ล้วนมาจากหัวใจที่เป็น “ดินดี.” คำกรีก (คาโลสʹ) ซึ่งได้รับการแปลว่า “ดี” นั้น อธิบายถึงบางสิ่งที่ “สวยงาม” และ “ทำให้หัวใจเบิกบาน และให้ความเพลิดเพลินเมื่อได้เห็น.” ช่างน่าพอใจยินดีอะไรเช่นนี้ที่ทราบว่าเมื่อเราทำดีที่สุด หัวใจของเราสวยงามในสายพระเนตรของพระเจ้า!
ไม่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
9, 10. (ก) หัวใจของเราอาจนำเราไปสู่การหาเหตุผลในเชิงลบแบบไหน? (ข) ตัวอย่างเปรียบเทียบใน 1 โกรินโธ 12:14-26 แสดงอย่างไรว่าพระยะโฮวาไม่ได้ทรงเปรียบเทียบสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่คนอื่นทำ?
9 อย่างไรก็ตาม หัวใจที่ไม่สมบูรณ์ของเราอาจตัดสินสิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน. หัวใจอาจเทียบงานรับใช้ของเรากับของคนอื่น. หัวใจอาจหาเหตุผลว่า ‘คนอื่นทำมากกว่าฉันในงานรับใช้. พระยะโฮวาจะทรงพอพระทัยกับงานรับใช้ของฉันได้อย่างไร?’—เทียบกับ 1 โยฮัน 3:19, 20.
10 ความคิดและวิถีทางของพระยะโฮวาสูงกว่าของเรามาก. (ยะซายา 55:9) ที่ 1 โกรินโธ 12:14-26 เราได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงวิธีที่พระยะโฮวาทรงมองดูความพยายามของเราแต่ละคนซึ่งที่นั่นเปรียบประชาคมกับร่างกายซึ่งมีอวัยวะมากมาย—ตา, มือ, เท้า, หู, และอวัยวะอื่น ๆ. ขอให้พิจารณาดูสักนิดถึงร่างกายจริง ๆ. น่าหัวเราะสักเพียงไรที่จะเปรียบเทียบลูกตาของคุณกับมือหรือเอาเท้าไปเทียบกับหู! อวัยวะแต่ละอย่างมีหน้าที่ต่างกัน กระนั้น อวัยวะทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์และมีค่า. ในทำนองเดียวกัน พระยะโฮวาทรงหยั่งรู้ค่างานรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณของคุณไม่ว่าคนอื่นทำมากกว่าหรือน้อยกว่า.—ฆะลาเตีย 6:4.
11, 12. (ก) เหตุใดบางคนอาจรู้สึกว่าเขา “อ่อนแอ” หรือ “มีเกียรติน้อย”? (ข) พระยะโฮวาทรงมองดูงานรับใช้ของเราอย่างไร?
11 เนื่องจากข้อจำกัดที่เกิดจากสุขภาพไม่ค่อยดี, อายุมาก, หรือสภาพการณ์อื่น ๆ บางครั้งพวกเราบางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคน “อ่อนแอ” หรือ “มีเกียรติน้อย.” แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่พระยะโฮวาทรงมองดูเรื่องต่าง ๆ. คัมภีร์ไบเบิลบอกเราดังนี้: “อวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ และอวัยวะที่เราถือว่ามีเกียรติน้อย เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น . . . แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น.” (1 โกรินโธ 12:22-24, ฉบับแปลใหม่) ดังนั้น ทุกคนสามารถเป็นคนที่มีค่ามากเฉพาะพระยะโฮวา. พระองค์ทรงถือว่างานรับใช้ภายในขอบเขตที่เกิดจากข้อจำกัดของเรามีค่า. หัวใจไม่ได้กระตุ้นคุณให้ต้องการทำทุกสิ่งที่คุณทำได้ในการรับใช้พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเข้าใจและความรักเช่นนี้หรอกหรือ?
12 ดังนั้น สิ่งที่นับว่าสำคัญต่อพระยะโฮวานั้นไม่ใช่การที่คุณทำมากเหมือนที่คนอื่นทำ แต่สิ่งที่คุณ—จิตวิญญาณของคุณ—สามารถทำได้ในส่วนของคุณเอง. ข้อที่ว่าพระยะโฮวาทรงเห็นค่าความพยายามเป็นส่วนตัวของเรานั้น สังเกตได้จากวิธีอันน่าประทับใจอย่างยิ่งที่พระเยซูทรงปฏิบัติกับผู้หญิงสองคนที่มีฐานะแตกต่างกันอย่างมากในวันท้าย ๆ ของชีวิตพระองค์บนแผ่นดินโลก.
ของกำนัล “มีราคามาก” ของหญิงผู้หยั่งรู้ค่า
13. (ก) ในสภาพเหตุการณ์เช่นไรมาเรียเทน้ำมันหอมลงบนพระเศียรและพระบาทของพระเยซู? (ข) น้ำมันของมาเรียมีราคาเท่าไร?
13 ในเย็นวันศุกร์ที่ 8 เดือนไนซาน พระเยซูเสด็จมาถึงบ้านเบธาเนีย หมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขามะกอกเทศ ประมาณสามกิโลเมตรห่างจากกรุงยะรูซาเลม. พระเยซูทรงมีสหายที่รักในเมืองนี้ คือมาเรีย, มาธา, และลาซะโรน้องของเขา. บางทีพระเยซูทรงเคยเป็นแขกพักที่บ้านของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง. แต่ในเย็นวันเสาร์ พระเยซูและสหายของพระองค์ไปรับประทานอาหารที่บ้านของซีโมน อดีตคนโรคเรื้อนซึ่งอาจเป็นได้ว่าเคยได้รับการรักษาโดยพระเยซู. ขณะที่พระเยซูทรงเอนพระกายลงที่โต๊ะ มาเรียก็กระทำการด้วยท่าทีที่ถ่อมใจ ซึ่งแสดงถึงความรักอย่างลึกซึ้งที่มีต่อบุรุษซึ่งได้ปลุกน้องชายของเธอให้เป็นขึ้นจากตาย. เธอเปิดผอบน้ำมันหอมซึ่ง “มีราคามาก.” แพงมากเลยทีเดียว! น้ำมันหอมนี้มีราคา 300 เดนารีอัน ซึ่งเท่ากับค่าจ้างแรงงานประมาณหนึ่งปี. เธอเทน้ำมันหอมนี้ลงบนพระเศียรและพระบาทของพระเยซู. เธอถึงกับได้เช็ดพระบาทของพระองค์ให้แห้งด้วยผมของเธออีกด้วย.—มาระโก 14:3; ลูกา 10:38-42; โยฮัน 11:38-44; 12:1-3.
14. (ก) พวกสาวกแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อการกระทำของมาเรีย? (ข) พระเยซูทรงให้การปกป้องมาเรียอย่างไร?
14 พวกสาวกรู้สึกขุ่นเคืองใจ! พวกเขาถามว่า ‘ทำไมทำให้สิ้นเปลืองอย่างนี้?’ ยูดาผู้ซึ่งซ่อนเจตนาขโมยของเขาเอาไว้เบื้องหลังข้อเสนอแนะให้ช่วยคนขัดสน กล่าวว่า “เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันหอมนั้นเป็นเงินสามร้อยเดนารีอันแล้วแจกให้แก่คนจน?” มาเรียก็นิ่งอยู่. อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงบอกกับบรรดาสาวกว่า “อย่าว่าเขาเลย, ไปกวนใจเขาทำไม? เขาได้กระทำการดี [รูปหนึ่งของคาโลสʹ] แก่เราแล้ว . . . ซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็เป็นการสุดกำลังของเขา เขามาชโลมกายของเราก่อนเพื่อสำหรับการศพของเรา. เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, กิตติคุณนี้จะประกาศที่ไหน ๆ ทั่วพิภพ, การซึ่งหญิงนี้ได้กระทำก็จะเลื่องลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่น.” คำตรัสอันอบอุ่นของพระเยซูคงต้องได้ทำให้หัวใจของมาเรียสงบสักเพียงไร!—มาระโก 14:4-9; โยฮัน 12:4-8, ล.ม.
15. เหตุใดพระเยซูทรงตื้นตันใจมากจากสิ่งที่มาเรียได้ทำ และจากเรื่องนี้เราจึงเรียนอะไรเกี่ยวกับการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณ?
15 พระเยซูทรงตื้นตันใจมากในสิ่งที่มาเรียได้ทำ. ตามความเห็นของพระองค์ เธอได้ทำการดีที่ควรแก่การสรรเสริญ. หาใช่คุณค่าทางวัตถุไม่ที่สำคัญสำหรับพระเยซู หากแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ‘เธอได้กระทำเท่าที่เธอทำได้.’ เธอใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์และให้ในสิ่งที่เธอให้ได้. ฉบับแปลอื่น ๆ แปลข้อนี้ว่า “เธอได้ทำทุกสิ่งที่เธอทำได้” หรือ “เธอได้ทำในสิ่งที่เธอมีกำลังจะทำได้.” (แอน อเมริกัน แทรนสเลชัน; เดอะ เจรูซาเลม ไบเบิล) การให้ของมาเรียเป็นแบบสิ้นสุดจิตวิญญาณ เพราะเธอได้ให้สิ่งดีที่สุดที่เธอให้ได้. นั่นแหละคือการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณ.
“เหรียญทองแดงสองอัน” ของหญิงม่าย
16. (ก) พระเยซูทรงได้มาสังเกตการบริจาคของหญิงม่ายยากจนได้อย่างไร? (ข) เหรียญที่หญิงม่ายถวายมีค่าเท่าไร?
16 สองสามวันต่อมา ในวันที่ 11 เดือนไนซาน พระเยซูทรงใช้เวลาทั้งวันในพระวิหาร ซึ่งที่นั่นมีคนตั้งข้อสงสัยว่าพระองค์ทรงมีอำนาจอย่างถูกต้องหรือไม่ และพระองค์ทรงตอบคำถามยาก ๆ อย่างที่มีไหวพริบเกี่ยวกับภาษี, การกลับเป็นขึ้นจากตายและเรื่องอื่น ๆ. เรื่องหนึ่งที่พระองค์ทรงตำหนิพวกอาลักษณ์และฟาริซายก็คือ การที่พวกเขา “ริบเอาเรือนของหญิงม่าย.” (มาระโก 12:40) จากนั้นพระองค์ทรงนั่งลง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคงต้องเป็นที่ลานของพวกผู้หญิงซึ่งตามธรรมเนียมยิวแล้ว จะมีตู้เก็บเงินถวาย 13 ตู้. พระองค์นั่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เฝ้ามองดูอย่างถี่ถ้วนขณะที่ผู้คนหย่อนเงินบริจาคของตน. คนรวยหลายคนมาถึง อาจเป็นได้ว่าบางคนวางท่าว่าชอบธรรม อาจถึงกับวางโตโอ้อวด. (เทียบกับมัดธาย 6:2) พระเยซูทรงเริ่มจับตามองหญิงคนหนึ่ง. สายตาของคนทั่วไปอาจไม่ได้สังเกตสิ่งใดที่เด่นเกี่ยวกับตัวเธอหรือการให้ของเธอ. แต่พระเยซูซึ่งทรงอ่านหัวใจผู้คนได้ ทราบว่าเธอเป็น “หญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจน.” พระองค์ทรงทราบด้วยว่าเธอได้ใส่เงินลงไปเท่าไร—ซึ่งก็คือ “เหรียญทองแดงสองอันมีค่าประมาณสลึงหนึ่ง.”b—มาระโก 12:41, 42, ฉบับแปลใหม่.
17. พระเยซูทรงมองดูการบริจาคของหญิงม่ายอย่างไร และด้วยเหตุนั้นเราเรียนรู้อะไรในเรื่องการถวายแด่พระเจ้า?
17 พระเยซูทรงเรียกสาวกมาหา เพราะพระองค์ต้องการให้พวกเขาเห็นโดยตรงถึงบทเรียนที่พระองค์กำลังจะสอน. พระเยซูตรัสว่า หญิงม่ายนั้น “ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น.” ตามความเห็นของพระองค์ เธอใส่ไว้มากกว่าที่คนอื่นทั้งหมดใส่ไว้รวมกัน. เธอได้ให้ “ที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”—เศษเงินสุดท้ายที่เธอมี. โดยทำเช่นนั้น เธอมอบตัวเองให้อยู่ในการดูแลของพระยะโฮวา. ฉะนั้น คนที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวอย่างในเรื่องการถวายแด่พระเจ้านั้นเป็นคนที่การถวายของเธอแทบจะไม่มีค่าในทางวัตถุ. แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า การถวายนั้นล้ำค่าเลยทีเดียว!—มาระโก 12:43, 44; ยาโกโบ 1:27.
การเรียนจากทัศนะของพระยะโฮวาในเรื่องการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณ
18. เราเรียนรู้อะไรจากการปฏิบัติของพระเยซูต่อผู้หญิงสองคนนี้?
18 จากการปฏิบัติของพระเยซูต่อผู้หญิงทั้งสองคนนี้ เราได้รับบทเรียนบางอย่างที่ทำให้อบอุ่นใจเกี่ยวกับทัศนะของพระยะโฮวาในเรื่องการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณ. (โยฮัน 5:19) พระเยซูไม่ได้เปรียบเทียบหญิงม่ายกับมาเรีย. พระองค์ทรงถือว่าเงินสองเหรียญของหญิงม่ายไม่ได้มีค่าน้อยกว่าน้ำมันซึ่ง “มีราคามาก” ของมาเรีย. เนื่องจากหญิงทั้งสองต่างก็ได้ให้สิ่งดีที่สุดของตน ในสายพระเนตรของพระเจ้าสิ่งที่เขาถวายมีค่ามากทั้งคู่. ดังนั้น หากคุณเกิดความรู้สึกไร้ค่าขึ้นมาเนื่องจากไม่สามารถทำได้อย่างที่ต้องการทำเพื่อรับใช้พระเจ้า อย่าท้อแท้. พระยะโฮวาทรงพอพระทัยจะรับสิ่งดีที่สุดที่คุณสามารถให้ได้. พึงจำไว้ว่า พระยะโฮวา “ทรงทอดพระเนตรดูว่าหัวใจเป็นอย่างไร” ดังนั้น พระองค์ทรงทราบดีถึงความปรารถนาแห่งหัวใจของคุณ.—1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.
19. เหตุใดเราไม่ควรตัดสินสิ่งที่คนอื่นทำในการรับใช้พระเจ้า?
19 ทัศนะของพระยะโฮวาในเรื่องการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณควรมีผลกระทบต่อวิธีที่เรามองดูและปฏิบัติต่อกันและกัน. ช่างขาดความรักสักเพียงไรที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของคนอื่นหรือเปรียบเทียบงานรับใช้ของคนหนึ่งกับของอีกคนหนึ่ง! น่าเศร้าทีเดียว คริสเตียนคนหนึ่งเขียนมาดังนี้: “บางครั้ง มีบางคนพูดในเชิงว่าหากคุณไม่เป็นไพโอเนียร์ คุณก็ไม่มีค่าอะไรเลย. หลายคนในหมู่พวกเราที่บากบั่นพยายามรักษาฐานะในการเป็น ‘เพียงแค่’ ผู้ประกาศราชอาณาจักรที่สม่ำเสมอต้องการได้รับความหยั่งรู้ค่าด้วย.” ให้เราจำไว้ว่า เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณของเพื่อนคริสเตียนด้วยกันควรเป็นเช่นไร. (โรม 14:10-12) พระยะโฮวาทรงหยั่งรู้ค่างานรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณของแต่ละคนที่เป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรที่ซื่อสัตย์หลายล้านคน และเราควรมีทัศนะแบบเดียวกันนี้.
20. ตามปกติแล้ว ดีที่สุดที่จะสันนิษฐานเช่นไรเกี่ยวกับเพื่อนผู้นมัสการด้วยกัน?
20 อย่างไรก็ตาม จะว่าอย่างไรหากบางคนดูเหมือนว่าทำน้อยกว่าที่เขาทำได้ในงานรับใช้? การลดลงในด้านกิจการงานรับใช้ของเพื่อนร่วมความเชื่อคงช่วยบอกผู้ปกครองที่มีความห่วงใยว่าจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือหรือให้กำลังใจ. ขณะเดียวกัน เราต้องไม่ลืมว่าสำหรับบางคนแล้ว งานรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณอาจคล้ายคลึงกับเงินเหรียญที่มีค่าเล็กน้อยของหญิงม่ายมากกว่าจะคล้ายกับน้ำมันราคาแพงของมาเรีย. ตามปกติ ดีที่สุดที่จะสันนิษฐานว่าพี่น้องชายหญิงของเรารักพระยะโฮวา และความรักเช่นนั้นแหละที่จะกระตุ้นให้เขาทำมาก—ไม่ใช่น้อย—เท่าที่เขาทำได้. แน่นอน ไม่มีผู้รับใช้พระยะโฮวาคนใดซึ่งมีความสำนึกในหน้าที่จะเลือกทำน้อยกว่าที่เขาสามารถทำได้ในการรับใช้พระเจ้า!—1 โกรินโธ 13:4, 7.
21. งานอะไรซึ่งให้ผลตอบแทนล้ำค่าที่หลายคนกำลังทำอยู่ และเกิดคำถามอะไรขึ้นมา?
21 อย่างไรก็ตาม สำหรับไพร่พลพระเจ้าจำนวนมากแล้ว การรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณหมายถึงการหมกมุ่นในงานซึ่งให้ผลตอบแทนใหญ่หลวงอย่างแท้จริง นั่นคืองานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์. พวกเขารับพระพรอะไรบ้าง? และจะว่าอย่างไรสำหรับพวกเราที่ยังไม่สามารถเป็นไพโอเนียร์—เราจะแสดงน้ำใจไพโอเนียร์ได้อย่างไร? เราจะพิจารณาคำถามดังกล่าวในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a เนื่องจากมัดเธียเข้ามาเป็นอัครสาวกแทนยูดา ชื่อของท่านจึงได้ปรากฏบนหนึ่งในฐานศิลา 12 ฐานนั้น ไม่ใช่ชื่อของเปาโล. แม้ว่าเปาโลเป็นอัครสาวก แต่ท่านไม่ใช่หนึ่งในอัครสาวก 12 คน.
b เหรียญดังกล่าวเป็นเหรียญเลพตัน ซึ่งเป็นเหรียญที่มีค่าน้อยที่สุดที่ชาวยิวใช้กันอยู่ในเวลานั้น. สองเลพตันมีค่าเท่ากับ 1 ใน 64 ของค่าจ้างรายวัน. ตามมัดธาย 10:29 เหรียญอัสซาริอน (มีค่าเท่ากับแปดเลพตัน) สามารถใช้ซื้อนกกระจอกได้สองตัว ซึ่งเป็นนกจำพวกที่ถูกที่สุดซึ่งคนจนใช้เป็นอาหาร. ดังนั้น หญิงม่ายคนนี้จนจริง ๆ เพราะเธอมีเงินเพียงครึ่งเดียวของจำนวนที่ต้องใช้เพื่อซื้อนกกระจอกตัวหนึ่ง แทบจะไม่พอซื้ออาหารสักมื้อหนึ่ง.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ การรับใช้พระยะโฮวาด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณหมายความเช่นไร?
▫ ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ 1 โกรินโธ 12:14-26 แสดงให้เห็นอย่างไรว่าพระยะโฮวาไม่ทรงเปรียบเทียบเรากับคนอื่น?
▫ เราเรียนอะไรในเรื่องการให้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณจากความเห็นของพระเยซูเกี่ยวกับน้ำมันราคาแพงของมาเรียและเงินเหรียญค่าเล็กน้อยของหญิงม่าย?
▫ ทัศนะของพระยะโฮวาในเรื่องการรับใช้ด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณควรมีผลกระทบอย่างไรต่อวิธีที่เรามองดูกันและกัน?
[รูปภาพหน้า 15]
มาเรียให้สิ่งดีที่สุด โดยการชโลมพระกายของพระเยซูด้วยน้ำมันอัน “มีราคามาก”
[รูปภาพหน้า 16]
เงินเหรียญของหญิงม่าย—แทบไม่มีค่าอะไรในตัวมันเอง แต่ล้ำค่าในสายพระเนตรพระยะโฮวา