จงเสาะหาคนที่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์
“คนทั้งหลายที่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์ได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ.”—กิจการ 13:48, ล.ม.
1. เกี่ยวด้วยหัวใจมนุษย์ พระยะโฮวาทรงสามารถทำอะไรได้?
พระเจ้ายะโฮวาสามารถอ่านหัวใจ. ทั้งนี้เห็นได้ชัดในคราวที่ซามูเอลได้เจิมบุตรชายคนหนึ่งของยิซัยให้เป็นกษัตริย์ของชาติยิศราเอล. เมื่อซามูเอลเห็นเอลีอาบ “ท่านจึงพูดทันทีว่า ‘แน่ล่ะ ผู้ถูกเจิมของพระองค์อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา.’ แต่พระยะโฮวาตรัสแก่ซามูเอลว่า ‘อย่ามองดูที่รูปร่าง หรือความสูงของเขา ด้วยเราปฏิเสธเขา. พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูสิ่งที่ปรากฏแก่ตา แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดูว่าหัวใจเป็นอย่างไร.’” ดังนั้น ซามูเอลจึงได้รับการทรงนำให้เจิมดาวิด ผู้ “ชอบพระทัยของพระเจ้า.”—1 ซามูเอล 13:13, 14; 16:4-13, ล.ม.
2. อะไรหยั่งรากอยู่ในหัวใจโดยนัยของคนเรา ดังนั้น เราอ่านอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคัมภีร์ไบเบิล?
2 คนเราย่อมแสดงท่าทีอันเด่นชัดบางอย่างออกมา. เขามีแนวโน้มเฉพาะซึ่งฝังอยู่ภายในหัวใจโดยนัย. (มัดธาย 12:34, 35; 15:18-20) ดังนั้น เราอ่านเกี่ยวกับคนซึ่งหัวใจ “ของเขาโน้มเอียงจะต่อสู้.” (บทเพลงสรรเสริญ 55:21, ล.ม.) เราได้รับการบอกกล่าวว่า “คนเจ้าโทโสก่อการผิดมาก” และ “คนที่คบเพื่อนมากย่อมทำให้ตัวเสียคน แต่มิตรสหายที่สนิทยิ่งกว่าพี่น้องก็มี.” (สุภาษิต 18:24; 29:22) น่าชื่นใจจริง ๆ ที่หลายคนแสดงตัวเหมือนชาวต่างชาติบางคนในเมืองอันติโอเกีย แคว้นปิซิเดียโบราณ. เมื่อได้ยินเรื่องพระยะโฮวาทรงจัดเตรียมความรอด “พวกเขาก็ยังเกิดความยินดีและได้สรรเสริญพระคำของพระยะโฮวา และคนทั้งหลายที่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์ได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ.”—กิจการ 13:44-48, ล.ม.
ผู้เชื่อถือเป็นผู้มี “ใจบริสุทธิ์”
3, 4. (ก) ใครเป็นผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ (ข) คนเหล่านั้นที่มีหัวใจบริสุทธิ์เห็นพระเจ้าอย่างไร?
3 ผู้เชื่อถือเหล่านั้นในเมืองอันติโอเกียได้กลายมาเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมา และผู้ซื่อสัตย์ในจำพวกนี้สามารถได้ประโยชน์จากคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า.” (มัดธาย 5:8) แต่ใครคือ “ผู้มีใจบริสุทธิ์”? และเขา “เห็นพระเจ้า” โดยวิธีใด?
4 ผู้มีใจบริสุทธิ์ย่อมสะอาดผ่องแผ้วภายใน. เขาบริสุทธิ์ทางด้านการหยั่งรู้ค่า ความรักใคร่ ความปรารถนา และเจตคติ. (1 ติโมเธียว 1:5) บัดนี้ พวกเขาเห็นพระเจ้าในแง่ที่เขาเฝ้าสังเกตพระองค์ปฏิบัติต่อผู้ภักดีทั้งหลาย. (เทียบกับเอ็กโซโด 33:20; โยบ 19:26; 42:5.) คำกรีกซึ่งในข้อนี้ได้รับการแปลว่า “เห็น” มีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า “นึกภาพออก, ดูออก, รู้.” เนื่องจากพระเยซูได้สะท้อนบุคลิกของพระเจ้าอย่างครบถ้วน ผู้มีใจบริสุทธิ์จึงหยั่งเห็นเข้าใจบุคลิกของพระเจ้า เขาสำแดงความเชื่อในพระคริสต์และในเครื่องบูชาของพระองค์ซึ่งลบล้างบาป รับการอภัยบาปของตน และสามารถจะนมัสการอย่างที่พระเจ้าทรงรับไว้ได้. (โยฮัน 14:7-9; เอเฟโซ 1:7) สำหรับผู้ถูกเจิม การเห็นพระเจ้าจะบรรลุขั้นสุดยอดเมื่อเขาถูกปลุกขึ้นจากความตายแล้วไปสวรรค์ ที่นั่นเขาจะเห็นพระเจ้าและพระคริสต์อย่างแท้จริง. (2 โกรินโธ 1:21, 22; 1 โยฮัน 3:2) แต่การเห็นพระเจ้าโดยความรู้ถ่องแท้และการนมัสการแท้เป็นไปได้สำหรับทุกคนซึ่งมีใจบริสุทธิ์. (บทเพลงสรรเสริญ 24:3, 4; 1 โยฮัน 3:6; 3 โยฮัน 11) พวกเขามีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ หรือในแผ่นดินโลกซึ่งเป็นอุทยาน.—ลูกา 23:43; 1 โกรินโธ 15:50-57; 1 เปโตร 1:3-5.
5. คนเราจะเข้ามาเป็นผู้เชื่อถือและสาวกแท้ของพระเยซูคริสต์ได้โดยวิธีใดเท่านั้น?
5 ผู้ที่ไม่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์จะไม่กลายมาเป็นผู้เชื่อถือ. ไม่มีทางที่เขาจะแสดงความเชื่อ. (2 เธซะโลนิเก 3:2) ยิ่งกว่านั้น ไม่มีผู้ใดจะมาเป็นสาวกแท้ของพระคริสต์ได้ เว้นแต่เขาเป็นคนสอนง่ายและพระยะโฮวาผู้ทรงอ่านหัวใจจะชักนำบุคคลนั้นเข้ามา. (โยฮัน 6:41-47) แน่นอน เมื่อประกาศสั่งสอนตามบ้านในเขตทำงาน พยานพระยะโฮวาจะไม่ตัดสินผู้หนึ่งผู้ใดล่วงหน้า. พวกเขาอ่านหัวใจไม่ได้ แต่ปล่อยผลที่ติดตามมานั้นไว้กับพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก.
6. (ก) เคยมีการกล่าวอย่างไรเรื่องการพบปะเป็นส่วนตัวเมื่อออกไปประกาศตามบ้าน? (ข) ได้มีการจัดเตรียมอะไรเพื่อช่วยพยานพระยะโฮวาค้นหาผู้ที่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์?
6 ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพูดไว้อย่างเหมาะสมว่า “[เปาโล] สอนสัจธรรมในที่สาธารณะและตามบ้านเรือน. ไม่เฉพาะจากเวทีบรรยาย แต่เมื่อพบปะบุคคลต่าง ๆ ท่านจะสอนเรื่องพระคริสต์กับเขาเป็นรายตัว. บ่อยครั้งการติดต่อพบกันเป็นส่วนตัวมีผลดีกว่าแบบอื่นหรือวิธีอื่นในการเข้าถึงบุคคล.” (ออกัสท์ แวน ริน) หนังสือต่าง ๆ เป็นต้นว่า คู่มือโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า, การหาเหตุผลจากคัมภีร์ไบเบิล, และพระราชกิจของเรา ช่วยพยานพระยะโฮวาในการบรรยายหรือสนทนา และทำให้การติดต่อกับผู้คนขณะออกประกาศนั้นบังเกิดผลดีที่สุด. นอกจากนั้น การสาธิตในการประชุมวิธีปฏิบัติงานและคำแนะนำในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้าก็ให้ประโยชน์มากเช่นกัน. ผู้ร่วมในโรงเรียนนั้นได้รับการฝึกสอนอย่างมีคุณค่าในด้านลักษณะการพูด เช่น คำนำที่ดี การใช้ข้อคัมภีร์อย่างถูกต้อง การขยายเนื้อเรื่องอย่างมีเหตุผล การอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อ. การใช้ตัวอย่างประกอบ และคำลงท้ายเหมาะได้ผล. ขอให้เราพิจารณาว่าพระคัมภีร์เพิ่มพูนคำแนะนำเช่นนี้โดยวิธีใด ซึ่งสามารถทำให้ไพร่พลของพระเจ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้นขณะที่เขาแสวงหาผู้มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์.
คำนำที่กระตุ้นความคิด
7. ถ้อยคำของพระเยซูตอนเริ่มคำเทศน์บนภูเขาสอนอะไรในเรื่องคำนำ?
7 ผู้ที่เตรียมตัวเพื่องานให้คำพยานตามบ้านสามารถเรียนบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคำนำที่เร้าความสนใจจากตัวอย่างของพระเยซูได้. เมื่อพระองค์ได้เริ่มคำเทศน์บนภูเขานั้นพระองค์ใช้คำ “ความสุข” เก้าครั้ง. เช่นพระองค์ตรัสว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณก็เป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว. . . . บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนสุภาพก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับความยืนยงในแผ่นดินโลกเป็นมรดก.” (มัดธาย 5:3-12) แต่ละประโยคกระชับและชัดเจน. ส่วนคำนำนั้นเร้าความสนใจ และนำผู้ฟังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะใครบ้างไม่อยากมีความสุข?
8. เมื่อประกาศตามบ้านเรือน จะนำเข้าสู่หัวเรื่องสำหรับการสนทนาโดยวิธีใด?
8 หัวเรื่องสำหรับการสนทนาใด ๆ ที่ใช้ในการประกาศตามบ้านนั้นควรนำเสนอในแง่บวกและรื่นหู. แต่ไม่ควรที่ใคร ๆ จะใช้คำนำที่ก่อความตระหนก เช่น “ผมมีข่าวจากอวกาศชั้นนอกมาบอกคุณ.” จริงอยู่ แหล่งข่าวดีมีอยู่ทางภาคสวรรค์ แต่คำนำเช่นนั้นอาจทำให้เจ้าของบ้านสงสัยว่าจะถือคำพูดของพยานฯได้จริงจังแค่ไหน หรือควรยุติการสนทนาทันทีทันใด.
ใช้พระวจนะของพระเจ้าให้ถูกต้อง
9. (ก) ควรเริ่มนำข้อคัมภีร์ต่าง ๆ แล้วอ่านและอธิบายอย่างไรในการเทศนาประกาศ? (ข) ได้มีการยกตัวอย่างอะไรเพื่อชี้ให้เห็นวิธีที่พระเยซูใช้คำถาม?
9 การประกาศสั่งสอนตามบ้านก็เช่นเดียวกับการสอนจากเวที ควรเริ่มนำข้อคัมภีร์อย่างถูกต้อง อ่านพร้อมกับเน้นถูกที่และชี้แจงให้ชัดเจนและถูกต้องว่าข้อคัมภีร์นั้นเกี่ยวข้องอย่างไร. คำถามซึ่งชวนให้เจ้าของบ้านคิดถึงจุดสำคัญในพระคัมภีร์ก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน. อีกครั้งหนึ่ง วิธีสั่งสอนของพระเยซูได้ให้แนวทางไว้. มีอยู่คราวหนึ่ง ชายผู้ซึ่งช่ำชองในบัญญัติของโมเซได้ถามพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์?” พระองค์ตรัสตอบดังนี้ “ในพระบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร? ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร?” พระเยซูทราบแน่ชัดว่า ชายผู้นั้นจะตอบคำถามได้. เขาก็ตอบได้ถูกต้อง โดยบอกว่า “‘จงรักพระองค์ [ยะโฮวา] พระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า’ และ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง.’” คำตอบนี้จึงเปิดโอกาสให้พระเยซูตรัสชมเชยเขาและการสนทนาก็ดำเนินต่อไป.—ลูกา 10:25-37.
10. ควรคำนึงถึงสิ่งใดไว้เสมอเกี่ยวกับหัวเรื่องสนทนา และพึงหลีกเลี่ยงสิ่งใดเมื่อถามปัญหาเจ้าของบ้าน?
10 คนเหล่านั้นที่ให้คำพยานตามบ้านควรเน้นสาระสำคัญของหัวเรื่องสำหรับการสนทนาและแจ้งเหตุผลชัดเจนสำหรับการอ่านข้อต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ซึ่งขยายเรื่องนั้น ๆ. เนื่องจากพยานฯพยายามจะเข้าถึงหัวใจเจ้าของบ้าน เขาจึงไม่ควรถามปัญหากระอักกระอ่วนใจ. เมื่อใช้พระวจนะของพระเจ้า ‘จงให้วาจาของเราประกอบด้วยเมตตาเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส.’—โกโลซาย 4:6.
11. ในการใช้พระคัมภีร์แก้ไขทัศนะผิด ๆ เรามีตัวอย่างอะไรคราวที่ซาตานได้ทดลองพระเยซู?
11 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลับเยี่ยมเยียนอาจจะต้องแก้ไขทัศนะที่ผิด ๆ โดยแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์หรือที่พระคัมภีร์หมายถึง. พระเยซูก็ทำเช่นนั้นเหมือนกันเมื่อตอบโต้ซาตานผู้ซึ่งบอกพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด [จากยอดบนสุดของวิหาร เสมือนคนคิดจะฆ่าตัวตาย] เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งแก่เหล่าทูตของพระองค์ให้ระวังรักษาท่าน และเหล่าทูตจะรับประคองท่านไว้ เกลือกว่าเท้าของท่านจะกระทบหิน.’” ข้อความในบทเพลงสรรเสริญ 91:11, 12 ซึ่งซาตานยกขึ้นอ้างนั้นไม่ได้สนับสนุนการทำอันตรายต่อชีวิตอันเป็นของประทานจากพระเจ้า. โดยตระหนักแน่ว่า ที่จะทดลองพระยะโฮวาโดยยอมเสี่ยงชีวิตนั้นเป็นการผิด พระเยซูตรัสแก่ซาตานว่า “ยังมีคำเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลองพระองค์ [ยะโฮวา] ผู้เป็นพระเจ้าของตน.’” (มัดธาย 4:5-7) แน่นอน ซาตานหาใช่ผู้แสวงความจริงไม่. แต่เมื่อใดคนที่มีเหตุผลแสดงให้เห็นซึ่งทัศนะที่ผิดอันจะขัดขวางความก้าวหน้าของเขาฝ่ายวิญญาณ ผู้สั่งสอนพระคำของพระเจ้าควรชี้แจงสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้หรือหมายถึงด้วยการผ่อนหนักผ่อนเบา. ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการ “ใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง”—หนึ่งในบรรดาบทเรียนสำคัญ ๆ ที่สอนกันในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า.—2 ติโมเธียว 2:15.
การชักชวนเป็นสิ่งเหมาะสม
12, 13. ในการประกาศสั่งสอนทำไมจึงเป็นการถูกต้องที่จะใช้วิธีชักชวน?
12 การชักชวนย่อมเหมาะสมเกี่ยวข้องกับงานเทศนาสั่งสอนของคริสเตียน. ยกตัวอย่าง เปาโลได้ชวนติโมเธียวเพื่อนร่วมงานให้ก้าวหน้าต่อ ๆ ไปในสิ่งที่ท่านได้เรียนและซึ่งท่านมั่นใจอยู่ [ถูกชักนำให้เชื่อ, ล.ม.].” (2 ติโมเธียว 3:14) ในเมืองโกรินโธ เปาโล “ได้สั่งสอนและโต้แย้งกับเขาในธรรมศาลาทุกวันซะบาโต ได้ชักชวน ทั้งชาติยูดายและชาติเฮเลนให้เชื่อ.” (กิจการ 18:1-4) ในเมืองเอเฟโซ ท่านทำงานได้ผลโดย “กล่าวโต้แย้งและชักชวน ให้เชื่อในสิ่งที่ว่าด้วยราชอาณาจักรของพระเจ้า.” (กิจการ 19:8) และคราวที่ถูกจับกุมในกรุงโรม อัครสาวกได้นัดผู้คนมาหาท่าน แล้วให้คำพยานแก่เขา ‘ด้วยการเร่งเร้าชักชวน’ จนบางคนได้กลายมาเป็นผู้เชื่อถือ.—กิจการ 28:23, 24.
13 จริงอยู่ ไม่ว่าพยานฯพยายามจะชักชวนผู้คนให้เชื่อมากเท่าไรก็ตาม แต่ก็เฉพาะผู้ที่มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์เท่านั้นจะมาเป็นผู้เชื่อถือ. การอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อพร้อมกับคำชี้แจงที่ชัดเจน เสนอด้วยความผ่อนหนักผ่อนเบาอาจชักชวนเขาให้เชื่อก็ได้. แต่มีอะไรอีกจะช่วยในการชักชวนเขาให้เชื่อ?
จงเป็นคนมีเหตุผลน่าเชื่อถือ
14. (ก) การขยายเรื่องอย่างปะติดปะต่อสมเหตุผลหมายรวมถึงอะไร? (ข) การอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อต้องทำประการใด?
14 คุณลักษณะการพูดอีกประการหนึ่งที่ได้รับการเน้นในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้าคือ การขยายเรื่องอย่างปะติดปะต่อกันสมเหตุผล. ทั้งนี้หมายถึงจัดข้อคิดสำคัญและเนื้อเรื่องที่สัมพันธ์กันไว้ตามลำดับอย่างมีเหตุผล. อนึ่ง สิ่งที่จำเป็นคือการอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อ ซึ่งต้องมีการวางฐานที่ดีและเสนอข้อพิสูจน์ที่ฟังขึ้น. คล้ายกันกับข้อนี้ คือการช่วยผู้ฟังหาเหตุผลโดยชี้ข้อที่เห็นพ้องกันเสมอ ขยายจุดต่าง ๆ เพียงพอแล้วอธิบายจุดเหล่านั้นอย่างได้ผลดี. ข้อนี้ก็เช่นกัน เราพบการชี้นำที่มีอยู่แล้วในพระคัมภีร์.
15. (ก) เมื่อเปาโลกล่าวบรรยายที่ภูเขาอาเรียว ท่านได้ดึงดูดความสนใจและวางพื้นฐานซึ่งเห็นพ้องกันโดยวิธีใด? (ข) ในการบรรยายของเปาโล เราพบหลักฐานอะไรเกี่ยวด้วยการขยายเรื่องอย่างปะติดปะต่อกันสมเหตุผล?
15 คุณลักษณะการพูดเหล่านี้เห็นได้ชัดจากการบรรยายที่เลื่องลือของอัครสาวกเปาโล ณ เนินเขาอาเรียวในกรุงเอเธนส์โบราณ. (กิจการ 17:22-31) คำนำของท่านดึงดูดความสนใจและวางพื้นฐานซึ่งเห็นพ้องกัน เพราะท่านกล่าวว่า “ดูก่อน ท่านชาวเมืองอะเธนาย โดยประการต่าง ๆ ข้าพเจ้าเห็นได้ว่าท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา.” สำหรับผู้ฟังที่นั่น ไม่มีข้อสงสัยว่าการพูดเช่นนี้ดูจะเป็นการพูดชม. หลังจากเปาโลเอ่ยถึงแท่นบูชาที่เขาสร้างสำหรับ “พระเจ้าที่ไม่รู้จัก” ท่านจึงได้เดินเรื่องต่อพร้อมด้วยการหาเหตุผล นำเรื่องมาปะติดปะต่อกันแล้วหาเหตุผลที่น่าเชื่อ. ท่านได้ชี้แจงว่าพระเจ้าองค์นี้ซึ่งพวกเขาไม่รู้จักได้ “สร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลก.” ไม่เหมือนพระอะเธนาหรือเทพเจ้าองค์อื่นของชาวกรีก ‘พระองค์ไม่สถิตอยู่ในโบสถ์ซึ่งมือมนุษย์สร้างไว้ และพระองค์ไม่จำเป็นต้องได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มือมนุษย์ได้ทำไว้.’ ต่อจากนั้น ท่านอัครสาวกได้ชี้แจงว่าพระเจ้าองค์นี้ได้ประทานชีวิตแก่เรา และไม่ปล่อยให้เราต้องคลำทางหาพระองค์. แล้วเปาโลได้ชักเหตุผลว่าพระผู้สร้างของเรา ผู้ทรงมองข้ามสมัยที่มนุษย์ยังโง่เขลาปฏิบัติรูปเคารพ “ทรงรับสั่งแก่มนุษย์ทุกหนทุกแห่งให้กลับใจเสียใหม่.’” การชี้แจงด้วยเหตุผลเช่นนี้นำถึงจุดที่ว่า ‘พระเจ้าจะทรงพิพากษาผู้คนแห่งแผ่นดินโลกด้วยความชอบธรรม โดยทรงตั้งท่านผู้หนึ่งซึ่งพระองค์ทรงปลุกให้คืนพระชนม์แล้ว.’ เนื่องจากเปาโลได้ “ประกาศกิตติคุณของพระเยซูและการเป็นขึ้นจากตาย” ชาวอะเธนายเหล่านั้นย่อมเข้าใจได้ว่าผู้พิพากษานี้คือพระเยซูคริสต์.—กิจการ 17:18.
16. การเทศนาประกาศของเราอาจได้รับผลกระทบอย่างไรจากคำบรรยายของเปาโลที่บนเขาอาเรียว และจากการฝึกอบรมที่ได้รับในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า?
16 จริงอยู่ เปาโลไม่ได้ให้คำพยานตามบ้านเรือนที่ภูเขาอาเรียว. แต่จากการบรรยายของท่านและการฝึกอบรมจากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า พยานพระยะโฮวาสามารถเรียนได้มากซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพแก่งานประกาศของเขา. ถูกแล้ว การช่วยเหลือทุกอย่างเหล่านี้จะทำให้พวกเขาเป็นผู้ประกาศที่ทำงานได้ผลมากขึ้น ดังที่การขยายเรื่องอย่างมีเหตุผลและการหาเหตุผลที่น่าเชื่อของเปาโลได้ชักชวนชาวอะเธนายบางคนมาเป็นผู้เชื่อถือ.—กิจการ 17:32-34.
ใช้อุทาหรณ์ประกอบการสอน
17. ควรใช้ตัวอย่างประกอบแบบไหนในการประกาศ?
17 โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้าช่วยผู้รับใช้ของพระเจ้าที่จะใช้ตัวอย่างที่เหมาะสมเมื่อให้คำพยานตามบ้านเรือน และในวิธีอื่น ๆ อันเกี่ยวข้องกับงานเทศนาประกาศของเขาด้วยเช่นกัน. ที่จะเน้นจุดสำคัญให้เด่นชัดควรใช้ตัวอย่างง่าย ๆ น่าฟัง. พยานฯควรใช้ตัวอย่างที่เอามาจากสภาพการณ์อันเป็นที่รู้จักกันดี และเป็นคนรอบคอบที่จะให้ความหมายนั้นชัดเจน. ตัวอย่างหรืออุทาหรณ์ที่พระเยซูเคยนำมาใช้ถูกต้องตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ทุกประการ.
18. มัดธาย 13:45, 46 อาจก่อประโยชน์อย่างไรในงานเทศนาประกาศ?
18 อาทิ จงพิจารณาคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเสมือนพ่อค้าไปหามุกดาอย่างดี. และเมื่อได้พบมุกดาเม็ดหนึ่งมีราคามากก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อมุกดานั้น.” (มัดธาย 13:45, 46) ไข่มุกเป็นอัญมณีราคาแพงซึ่งพบในเปลือกหอยและสัตว์จำพวกโมลัสคาอื่น ๆ. แต่เฉพาะไข่มุกบางชนิดเท่านั้นเป็น “ของมีค่า.” พ่อค้าต้องรู้ค่าของไข่มุกเม็ดเดียวนี้ว่าเป็นของมีค่ามากจึงเต็มใจจะเอาของทุกอย่างมาแลก. บางทีในระหว่างการกลับเยี่ยมหรือเมื่อนำการศึกษาพระคัมภีร์ อาจใช้อุทาหรณ์เรื่องนี้อธิบายว่าใครก็ตามที่หยั่งรู้ค่าของราชอาณาจักรอย่างแท้จริงจะลงมือปฏิบัติเหมือนพ่อค้าในอุทาหรณ์. บุคคลดังกล่าวจะให้ราชอาณาจักรเป็นอันดับแรกในชีวิตเลยทีเดียว เพราะเขาตระหนักว่าราชอาณาจักรมีค่ามากยิ่ง คุ้มกับการยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง.
สรุปด้วยการกระตุ้นให้กระทำ
19. เมื่อประกาศตามบ้าน คำลงท้ายควรแสดงให้เจ้าของบ้านเห็นอะไร?
19 อีกประการหนึ่ง ไพร่พลของพระเจ้าเรียนในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้าว่า คำลงท้ายคำบรรยายหรือการสนทนาก็ดีควรเกี่ยวโยงโดยตรงกับอรรถบทและควรชี้ให้ผู้ฟังเข้าใจถึงสิ่งที่พึงทำและสนับสนุนเขาให้ทำเช่นนั้น. ขณะประกาศให้คำพยานตามบ้านก็จำเป็นต้องแสดงให้เจ้าของบ้านรู้แนวทางที่แน่นอนว่า เขาควรจะทำประการใดเช่นการรับหนังสือที่ให้ความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิลหรือการตอบตกลงจะให้มีการกลับเยี่ยมเยียน.
20. ตัวอย่างคำลงท้ายที่ดีอะไรอันเป็นแบบกระตุ้นใจที่เราได้จากมัดธาย 7:24-27?
20 คำลงท้ายของคำเทศน์บนภูเขาครั้งนั้น พระเยซูทรงให้ตัวอย่างที่ดีจริง ๆ. โดยการใช้อุทาหรณ์ที่เข้าใจได้ง่าย พระเยซูแสดงว่าคงจะเป็นแนวทางที่สุขุมหากเชื่อฟังคำตรัสของพระองค์. พระองค์สรุปดังนี้ “เหตุฉะนั้น ทุกคนที่เคยฟังคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เราจะเปรียบเขาเช่นกับคนมีปัญญาคนหนึ่งที่สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา. ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา. ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านั้นของเราและไม่ประพฤติตาม เราจะเปรียบเขาเช่นกับคนโง่คนหนึ่งที่สร้างเรือนของตนไว้บนทราย. ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้นและเรือนก็พังลง ความพินาศของเรือนนั้นก็ใหญ่ยิ่ง.” (มัดธาย 7:24-27) ข้อนี้แสดงให้เห็นชัดเพียงไรว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าควรพยายามกระตุ้นใจเจ้าของบ้านลงมือทำ!
21. การพิจารณาของเราชี้ให้เห็นอะไร แต่ต้องตระหนักในเรื่องใด?
21 จุดต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วให้ภาพแสดงวิธีที่โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้าสามารถช่วยหลายคนเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักรที่มีคุณวุฒิ. แน่นอน การเป็นบุคคลที่มีคุณวุฒิเพียงพอนั้น ประการแรกต้องเป็นมาจากพระเจ้า. (2 โกรินโธ 3:4-6) และไม่ว่าผู้รับใช้พระเจ้าจะมีคุณวุฒิขนาดไหน ไม่มีสักคนเดียวจะชักชวนคนอื่นให้มาเป็นผู้เชื่อถือได้ นอกเสียจากพระเจ้าได้ทรงชักนำคนนั้นเข้ามาโดยทางพระคริสต์. (โยฮัน 14:6) กระนั้น ไพร่พลของพระเจ้าควรใช้ประโยชน์ทุกอย่างจากการจัดเตรียมฝ่ายวิญญาณซึ่งพระยะโฮวาทรงจัดไว้ให้ขณะที่เขาแสวงหาคนที่มีหัวใจโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ใครคือ “บุคคลที่มีใจบริสุทธิ์” และเขาจะ “เห็นพระเจ้า” อย่างไร?
▫ ควรคำนึงถึงปัจจัยอะไรเมื่อเริ่มนำข่าวราชอาณาจักรขณะออกไปประกาศตามบ้าน?
▫ จะใช้พระคำของพระเจ้าอย่างถูกต้องได้อย่างไรในงานเทศนาประกาศ?
▫ อะไรจะช่วยให้การเสนอขณะประกาศตามบ้านเป็นไปอย่างมีเหตุผลและน่าเชื่อ?
▫ ควรจดจำสิ่งใดเกี่ยวกับการใช้ตัวอย่างประกอบในงานเทศนาประกาศ?
▫ คำลงท้ายขณะให้คำพยานนั้นเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร?
[รูปภาพหน้า 16]
พระเยซูตรัสว่า “ผู้มีใจบริสุทธิ์” จะ “เห็นพระเจ้า”ทั้งนี้หมายถึงอะไร?
[รูปภาพหน้า 18]
ควรเริ่มนำข้อคัมภีร์อย่างถูกต้อง อ่านด้วยการเน้นถูกที่ และอธิบายอย่างชัดเจนและแม่นยำ