จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระเจ้าเสมอไป
“ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอ แล้ว [พระองค์] จะทรงเพิ่มเติมสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน.”—มัดธาย 6:33, ล.ม.
1, 2. กิจปฏิบัติซึ่งดีในตัวเอง แต่พวกอาลักษณ์และฟาริซายกลับนำไปใช้เพื่ออะไร และพระเยซูทรงให้คำเตือนแก่สาวกของพระองค์อย่างไร?
พวกอาลักษณ์และฟาริซายแสวงหาความชอบธรรมตามแนวทางของตนเอง ไม่ใช่ตามแนวของพระเจ้า. ไม่เพียงแค่นั้น แต่เมื่อเขาได้กระทำกิจการซึ่งดีในตัวเองแล้ว เขาก็จะนำออกแสดงอวดสายตามนุษย์อย่างคนหน้าไหว้หลังหลอก. พวกเขามิได้ปฏิบัติพระเจ้าแต่ปฏิบัติทิฐิของเขาเอง. พระเยซูเตือนสาวกของพระองค์มิให้ประพฤติเช่นนั้น “จงระวังให้ดี อย่าทำความชอบธรรมของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อหวังจะให้เขาเห็น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จแต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์.”—มัดธาย 6:1.
2 พระยะโฮวาทรงหยั่งรู้ค่าคนเหล่านั้นที่ให้ทานคนยากจน—แต่ไม่ทรงยินดีกับคนที่ให้ทานอย่างพวกฟาริซาย. พระเยซูทรงเตือนสาวกมิให้ลอกแบบเขาดังนี้ “เหตุฉะนั้นเมื่อทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในศาลาธรรมและตามถนน เพื่อจะได้ความสรรเสริญจากมนุษย์. เราบอกท่านตามจริงว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว.”—มัดธาย 6:2.
3. (ก) พวกอาลักษณ์และฟาริซายได้รับบำเหน็จของเขาแล้วในทางใด? (ข) จุดยืนของพระเยซูเกี่ยวด้วยการให้ทานนั้นต่างไปอย่างไร?
3 คำกรีกที่นำมาแปลว่า ‘เขาได้ . . . แล้ว’ (อาเปʹโค) เป็นคำซึ่งมักจะปรากฏในใบรับเงินด้านธุรกิจ. การใช้ศัพท์นี้ในคำเทศน์บนภูเขาแสดงว่า “เขาได้รับบำเหน็จของเขา” นั้นคือ “เขาได้เซ็นชื่อที่ใบเสร็จรับบำเหน็จ กล่าวคือสิทธิที่เขาจะได้บำเหน็จนั้นเป็นจริงแล้ว เหมือนกับว่าเขาเซ็นใบเสร็จแล้วสำหรับบำเหน็จ.” (แอน เอ็กซโพซิทอรี ดิกชันนารี อ็อฟ นิว เทสทาเมนท์ เวิดส์. โดย ดับเบิลยู. อี. ไวน์) การให้ทานคนจนได้มีการสัญญากันต่อหน้าผู้คนมากมายในท้องถนน. มีการประกาศชื่อผู้บริจาคในธรรมศาลา. พวกที่บริจาคมากได้รับเกียรติเป็นพิเศษโดยมีที่นั่งอยู่ถัดพวกอาจารย์ชาวยิวระหว่างการนมัสการ. พวกเขาแจกทานก็เพื่อให้ผู้อื่นรู้เห็น เขาปรากฏอยู่ในสายตามนุษย์และได้รับการยกย่องโดยมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ เขาสามารถประทับตราบนใบเสร็จรับบำเหน็จจากการที่ได้ให้ทานว่า “จ่ายไปเรียบร้อยแล้ว.” ช่างต่างกันอะไรเช่นนั้นกับจุดยืนของพระเยซู! จงให้ท่าน “เป็นทานลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้มองเห็นในที่ลี้ลับจะทรงประทานบำเหน็จให้ท่าน.”—มัดธาย 6:3, 4; สุภาษิต 19:17.
คำอธิษฐานที่พระเจ้าพอพระทัย
4. เพราะเหตุใดการอธิษฐานของพวกฟาริซายทำให้พระเยซูประณามคนเหล่านั้นว่าหน้าซื่อใจคด?
4 พระยะโฮวาทรงหยั่งรู้ค่าคำอธิษฐานที่ทูลเสนอพระองค์—แต่ไม่ใช่อย่างที่พวกฟาริซายอธิษฐาน. พระเยซูตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น. เราบอกท่านตามจริงว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว.” (มัดธาย 6:5) พวกฟาริซายมีบทอธิษฐานอยู่มากมายที่ต้องท่องจำขึ้นใจทุกวัน ตรงตามเวลาที่จัดไว้โดยเฉพาะ ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใด. ตามจริงแล้ว เขาควรอธิษฐานในที่ลับ แต่โดยการวางแผน เขาได้จัดหาที่ ‘ตามมุมถนนสายใหญ่’ เพื่อว่าผู้คนเดินผ่านไปมาจะมองเห็นเขาได้จากสี่ทิศเมื่อถึงเวลาอธิษฐาน.
5. (ก) กิจปฏิบัติอื่น ๆ อะไรบ้างของพวกฟาริซายซึ่งเป็นสาเหตุที่พระเจ้าไม่สดับคำอธิษฐานของเขา? (ข) พระเยซูทรงจัดอะไรไว้เป็นอันดับแรกในคำอธิษฐานตัวอย่างของพระองค์ และผู้คนสมัยนี้เห็นพ้องกับสิ่งเหล่านั้นไหม?
5 ด้วยการแสดงตัวเป็นคนบริสุทธิ์จอมปลอม พวกเขา “แสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว.” (ลูกา 20:47) ข่าวที่เล่าสืบปากรายหนึ่งบอกว่า “คนโบราณเป็นผู้ทรงศีลเคยรอเป็นชั่วโมงก่อนกล่าวเทฟิลลา [คำอธิษฐาน].” (มิชนาห์) พอได้เวลา ทุกคนจะได้เห็นพฤติการณ์อันทรงศีลของเขาและรู้สึกทึ่ง! การอธิษฐานดังกล่าวหาขึ้นไปสูงกว่าศีรษะของเขาเองไม่. พระเยซูตรัสว่าควรอธิษฐานในที่ลับลี้ ไม่กล่าวซ้ำซากไร้สาระ แล้วพระองค์ทรงให้ตัวอย่างง่าย ๆ. (มัดธาย 6:6-8; โยฮัน 14:6, 14; 1 เปโตร 3:12) คำอธิษฐานที่พระเยซูวางเป็นแบบอย่างนั้นได้จัดเอาความสำคัญอันดับแรกมาก่อนดังนี้ “โอพระบิดาแห่งข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด. พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกอย่างนั้น.” (มัดธาย 6:9-13, ล.ม.) ทุกวันนี้ผู้คนที่รู้จักพระนามพระเจ้ามีน้อย อย่าว่าแต่ต้องการให้พระนามเป็นที่นับถือเลย. ด้วยเหตุนั้น จึงละพระองค์ให้เป็นพระเจ้านิรนาม (ที่ไม่มีเชื่อ). ขอให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาหรือ? หลายคนคิดว่าราชอาณาจักรมาแล้ว ครองอยู่ในใจพวกเขา. เขาอาจทูลขอให้พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จ แต่แล้วคนส่วนใหญ่ก็ประพฤติตามชอบใจตัวเอง.—สุภาษิต 14:12.
6. ทำไมพระเยซูทรงตำหนิการถือศีลอดอาหารของชาวยิวว่าไร้ประโยชน์?
6 การถือศีลอดอาหารเป็นสิ่งที่พระองค์รับรองเอาได้—แต่ไม่ใช่แบบที่พวกฟาริซายทำ. พระเยซูตำหนิการให้ทานและการอธิษฐานของพวกอาลักษณ์และฟาริซายฉันใด พระองค์ก็มิได้ทรงเห็นชอบกับการอดอาหารของเขาและทรงถือว่าเป็นสิ่งไร้สาระฉันนั้น: “เมื่อท่านถือศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมมเพื่อจะให้ปรากฏแก่มนุษย์ว่าเขาถือศีลอดอาหาร. เราบอกท่านตามจริงว่าเขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว.” (มัดธาย 6:16) ประเพณีที่เล่าสืบปากของเขาระบุว่าระหว่างการถือศีลอดอาหาร พวกฟาริซายไม่ควรชำระร่างกายหรือไม่ชโลมตัวเลย แต่เขาควรเอาขี้เถ้าโปรยบนศีรษะตัวเอง. เมื่อไม่ถือศีลอดอาหาร พวกยิวอาบน้ำและใช้น้ำมันทาร่างกายเป็นประจำ.
7. (ก) สาวกของพระเยซูควรจะปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อถือศีลอดอาหาร? (ข) เกี่ยวกับการอดอาหารนั้นพระองค์ทรงประสงค์อะไรในสมัยยะซายา?
7 เกี่ยวกับการถือศีลอดอาหาร พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงเอาน้ำมันทาศีรษะและล้างหน้าเพื่อท่านจะไม่ปรากฏแก่มนุษย์ว่าถือศีลอดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่าน.” (มัดธาย 6: 17, 18) ในสมัยยะซายา ชาวยิวที่เสื่อมถอยชอบใจกับการถือศีลอดอาหาร ทำจิตใจตัวเองให้เศร้าหมอง ก้มหน้าก้มตา และนุ่งผ้าเนื้อหยาบนั่งที่กองขี้เถ้า. แต่พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้เขาปล่อยผู้กดขี่ ให้อาหารคนหิวโหย ให้ที่พักพิงแก่คนไร้ที่อยู่ และให้เสื้อผ้าแก่คนยากจนขาดเครื่องนุ่งห่ม.—ยะซายา 58:3-7.
ส่ำสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์
8. อะไรเป็นสาเหตุที่พวกอาลักษณ์และฟาริซายมองไม่เห็นวิธีได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า และพวกเขามองข้ามหลักการอะไรซึ่งต่อมาเปาโลได้นำขึ้นมาพูด?
8 ในการมุ่งแสวงความชอบธรรม พวกอาลักษณ์และฟาริซายขาดการไตร่ตรองในเรื่องที่จะได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้าอย่างไร และเพ่งเล็งอยู่กับการนิยมชมชอบของมนุษย์. พวกเขาพัวพันอยู่ในขนบธรรมเนียมของมนุษย์จนถึงกับละเลยพระคำของพระเจ้าที่มีจารึกไว้. พวกเขามุ่งมั่นตั้งใจจะมีฐานะตำแหน่งทางโลกมากกว่าจะมีทรัพย์ในสวรรค์. พวกเขาไม่แยแสต่อสัจธรรมพื้น ๆ ซึ่งหลายปีต่อมาฟาริซายที่เข้ามาเป็นคริสเตียนได้บันทึกไว้ว่า “สิ่งใด ๆ ก็ดีที่ท่านทั้งหลายกระทำ จงกระทำด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณเหมือนหนึ่งกระทำแด่พระยะโฮวา และไม่ใช่แก่มนุษย์ ด้วยท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า ท่านจะได้รับบำเหน็จอันควรเป็นมรดกจากพระยะโฮวา.”—โกโลซาย 3:23, 24, ล.ม.
9. อันตรายอะไรบ้างสามารถยังความเสียหายแก่ทรัพย์สมบัติทางโลก แต่อะไรจะป้องกันทรัพย์จริง ๆ ให้ปลอดภัย?
9 พระยะโฮวาทรงสนพระทัยความเลื่อมใสที่คุณแสดงต่อพระองค์ ไม่ใช่บัญชีธนาคารของคุณ. พระองค์ทรงทราบว่า ทรัพย์ของคุณอยู่ที่ไหน หัวใจของคุณอยู่ที่นั่น. สนิมและตัวมอดจะทำลายทรัพย์ของคุณได้ไหม? ขโมยจะขุดเจาะกำแพงดินและขโมยทรัพย์ได้ไหม? หรือในยุคสมัยนี้ซึ่งขาดเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อจะทำให้อำนาจการซื้อของทรัพย์นั้นลดลงได้ไหมหรือการตกต่ำของตลาดหลักทรัพย์จะทำให้ทรัพย์ของคุณหมดสิ้นไปได้ไหม? อัตราการประกอบอาชญากรรมจะพุ่งพรวดเป็นเหตุให้ทรัพย์ของคุณถูกขโมยไหม? จะไม่เป็นอย่างนั้นเลยถ้าเก็บทรัพย์นั้นไว้ในสวรรค์. ไม่เป็นเช่นนั้นถ้าดวงตาของคุณปกติ—ดวงสว่างซึ่งทำให้ทั้งร่างกายของคุณสว่างไป—จ้องมองไปที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์. ความมั่งคั่งร่ำรวยมีทางจะมลายหายสูญไป. “อย่าตรากตรำตัวเจ้าเพื่อจะได้เป็นคนมั่งมี จงเลิกความเห็นนั้นเสีย. เจ้าจะเพ่งตาของเจ้าอยู่ที่ของอนิจจังหรือ? เพราะทรัพย์สมบัติมีปีก แน่นอนทีเดียว มันจะบินหายไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี.” (สุภาษิต 23:4, 5) ฉะนั้น จะอดตาหลับขับตานอนเฝ้าทรัพย์ทำไมล่ะ? “ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยให้เขาหลับ.” (ท่านผู้ประกาศ 5:12) จงระลึกถึงคำเตือนของพระเยซูที่ว่า “ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและปฏิบัติเงินทองด้วยก็ไม่ได้.”—มัดธาย 6:19-24.
ความเชื่อซึ่งขจัดความกังวล
10. ทำไมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจะมีความเชื่อในพระเจ้า แทนที่จะวางใจในทรัพย์สิ่งของ และพระเยซูทรงให้คำแนะนำอะไรแก่เรา?
10 พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้คุณมีความเชื่อในพระองค์ มิใช่ยึดอยู่กับทรัพย์สิ่งของ. “ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้ เพราะว่าผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์อย่างตั้งใจจริง.” (เฮ็บราย 11:6, ล.ม.) พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าชีวิตของบุคคลใด ๆ มิได้อยู่ในของบริบูรณ์ซึ่งเขามีอยู่นั้น.” (ลูกา 12:15) เงินนับล้านในธนาคารจะไม่ช่วยปอดที่เป็นโรคทำงานได้อย่างปกติหรือไม่อาจช่วยหัวใจที่เหนื่อยอ่อนในการสูบฉีดโลหิต. ดังนั้น จึงเป็นอย่างที่พระเยซูตรัสต่อไปในคำเทศน์บนภูเขาว่า “เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงการเลี้ยงชีพของตนว่าจะเอาอะไรกินหรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ?”—มัดธาย 6:25.
11. พระเยซูได้อุทาหรณ์หลากหลายจากที่ไหน และเรื่องนี้ปรากฏชัดอย่างไรในคำเทศน์บนภูเขา?
11 พระเยซูทรงเป็นผู้ช่ำชองในการกล่าวอุทาหรณ์เปรียบเทียบ. ไม่ว่าพระองค์มองอะไรพระองค์ทรงคิดถึงอุทาหรณ์. พระองค์ทรงเห็นผู้หญิงตั้งโคมไฟไว้บนเชิงตะเกียง แล้วพระองค์ทรงใช้สิ่งนี้เป็นอุทาหรณ์. พระองค์ทรงเห็นคนเลี้ยงแกะจัดการแยกแกะจากแพะ สิ่งที่ได้เห็นกลายมาเป็นอุทาหรณ์. พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเด็กเล่นที่ตลาด พระองค์ยกเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์. คำเทศน์บนภูเขาก็เช่นนั้น. ขณะที่พระองค์ตรัสสนทนาด้วยเรื่องความวิตกกังวลถึงปัจจัยต่าง ๆ ด้านเนื้อหนัง พระองค์ทรงเห็นภาพเปรียบเทียบในพวกนกที่บินผ่านไปอย่างรวดเร็วและดอกไม้ที่บานสะพรั่งปกคลุมทั่วเนินเขา. นกเหล่านั้นหว่านพืชเก็บผลไหม? ไม่. มวลดอกไม้ปั่นด้านทอผ้าไหม? ไม่. พระเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงเอาใจใส่ดูแล. อย่างไรก็ดี คุณมีค่ายิ่งกว่านกและดอกไม้. (มัดธาย 6:26, 28-30) พระเจ้าทรงส่งพระบุตรลงมาเพื่อคุณ ไม่ใช่เพื่อสิ่งเหล่านั้น.—โยฮัน 3:16.
12. (ก) การยกเอาเรื่องของนกและดอกไม้ขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์หมายความว่าสาวกของพระเยซูไม่ต้องทำงานไหม? (ข) พระเยซูทรงชี้จุดสำคัญอะไรเกี่ยวด้วยการงานและความเชื่อ?
12 โดยอุทาหรณ์เรื่องนี้พระเยซูไม่ได้บอกสาวกของพระองค์ว่าเขาไม่ต้องทำงานเลี้ยงชีพ และไม่จำเป็นต้องหาเครื่องนุ่งห่มสำหรับตัวเอง. (ดูท่านผู้ประกาศ 2:24; เอเฟโซ 4:28; 2 เธซะโลนิเก 3:10-12.) ตอนเช้าวันนั้นในฤดูใบไม้ผลิ นกบินว่อนออกจากรังหาอาหาร พลอดรัก ทำรัง กกไข่ ป้อนลูกนก. นกทำงานแต่ไม่กังวล. ต้นไม้ดอกก็ทำงานมากเช่นกัน มันแยงรากลงดินเพื่อดูดเอาน้ำและแร่ธาตุขึ้นมาเลี้ยงต้น และผลิใบออกรับแสงแดด. มันต้องเจริญเติบโตจนได้ที่ แล้วออกดอกสร้างเมล็ดพันธุ์ก่อนที่ดอกจะเหี่ยวแห้งไป. ดอกไม้ก็เช่นกันทำงานแต่ไม่วิตกกังวล. พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้สำหรับนกและดอกไม้. ‘พระองค์จะไม่จัดเตรียมให้พวกท่านมากยิ่งกว่านั้นสักเพียงไร เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย?’—มัดธาย 6:30.
13. (ก) เหตุใดจึงเป็นสิ่งเหมาะสมที่พระเยซูใช้มาตราวัดศอกหนึ่งขณะที่พระองค์ตรัสถึงการยืดชีวิตให้ยืนยาว? (ข) คุณสามารถยืดชีวิตให้ทอดยาวไปเสมือนอีกหลายล้าน ๆ กิโลเมตรไม่สิ้นสุดได้อย่างไร?
13 เหตุฉะนั้น จงมีความเชื่อ. อย่าเป็นกังวล. ความกังวลใจไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น. พระเยซูทรงถามว่า “มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายอาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ?” (มัดธาย 6:27) แต่ทำไมพระเยซูทรงเชื่อมหน่วยวัดระยะทางคือศอกหนึ่งเข้ากับการนับเวลาในช่วงชีวิต? อาจเป็นเพราะว่าพระคัมภีร์มักจะเทียบชีวิตมนุษย์เหมือนการเดินทาง ด้วยการแสดงออกเป็นคำพูดเช่น “ทางของคนกระทำผิด” “วิถีของผู้ชอบธรรม” ‘ทางกว้างนำไปสู่ความพินาศ’ และ ‘ทางแคบนำไปสู่ชีวิต.’ (บทเพลงสรรเสริญ 1:1; สุภาษิต 4:18; มัดธาย 7:13, 14) ความกังวลเกี่ยวด้วยปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวันไม่สามารถยืดชีวิตของคนเราให้ยาวไปได้แม้เสี้ยวเดียวหรือแค่ “ศอกหนึ่ง.” แต่มีทางจะทำให้ชีวิตของคุณทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด เสมือนอีกหลายล้านกิโลเมตร. ไม่ใช่โดยความกังวลและกล่าวว่า “จะเอาอะไรกิน?” หรือ “จะเอาอะไรดื่ม?” หรือ “จะเอาอะไรนุ่งห่ม?” แต่โดยมีความเชื่อและกระทำสิ่งที่พระเยซูสั่งให้ทำคือ “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอ แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน.”—มัดธาย 6:31-33, ล.ม.
การบรรลุถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์
14. (ก) อะไรคืออรรถบทของคำเทศน์บนภูเขา? (ข) พวกอาลักษณ์และพาริซายแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมโดยวิธีการอะไรอย่างผิด ๆ?
14 ในประโยคแรกแห่งคำเทศน์บนภูเขา พระเยซูได้ตรัสว่าราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์เป็นของคนที่สำนึกถึงความต้องการของตนต่อสิ่งฝ่ายวิญญาณ. ในประโยคที่สี่ พระองค์ตรัสว่าคนที่หิวกระหายความชอบธรรมจะอิ่มบริบูรณ์. ณ ที่นี่พระเยซูทรงจัดเอาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระยะโฮวาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นแก่นคำเทศน์บนภูเขาทีเดียว. ราชอาณาจักรและความชอบธรรมจะดำเนินการให้มนุษย์ทั้งมวลได้รับสิ่งจำเป็นทุกประการ. แต่โดยวิธีใดถึงจะบรรลุราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์? พวกเราจะยังคงแสวงหาสิ่งดังกล่าวนี้อย่างไร? ไม่ใช่อย่างพวกอาลักษณ์และฟาริซาย. พวกเขาได้แสวงราชอาณาจักรและความชอบธรรมโดยทางพระบัญญัติของโมเซซึ่งเขาอ้างว่าได้รวมเอาประเพณีที่เล่าสืบปากไว้ด้วย เนื่องจากเขาเชื่อว่าทั้งกฎหมายที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรและประเพณีที่เล่าสืบปากนั้นพระเจ้าได้ประทานแก่โมเซ ณ ภูเขาซีนาย.
15. (ก) ตามคำอ้างของพวกยิว ประเพณีที่เล่าสืบปากเริ่มขึ้นเมื่อไร และพวกเขาได้ยกย่องให้ความสำคัญต่อพระบัญญัติปากเปล่ายิ่งกว่าพระบัญญัติของโมเซโดยวิธีใด? (ข) ประเพณีอย่างนี้เริ่มขึ้นจริงเมื่อไร และมีผลกระทบต่อพระบัญญัติของโมเซอย่างไร?
15 ประเพณีของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้บอกไว้ว่า “โมเซได้รับพระบัญญัติ [หมายเหตุ “พระบัญญัติปากเปล่า”] จากภูเขาซีนายและมอบพระปัญญานั้นไว้กับยะโฮซูอะ แล้วยะโฮซูอะมอบต่อให้ผู้เฒ่าผู้แก่ พวกผู้เฒ่าถ่ายทอดให้กับผู้พยากรณ์ และผู้พยากรณ์ถ่ายทอดไว้กับอาจารย์สอนศาสนายิว.” ต่อมาพระบัญญัติปากเปล่าก็ได้รับการยกย่องสูงกว่าพระบัญญัติที่จารึกไว้.” “[ถ้า] เขาละเมิดถ้อยคำที่ [จารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร] ผู้นั้นไม่มีความผิด” แต่ถ้า “เขาเพิ่มเติมถ้อยคำของพวกอาลักษณ์ [ประเพณีที่เล่าสืบปาก] เขาต้องรับโทษ.” (มิชนาห์) ประเพณีที่เล่าสืบปากมิได้เริ่มขึ้นที่ภูเขาซีนาย ที่จริงประเพณีเหล่านั้นเริ่มกระจายแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ประมาณสองร้อยปีก่อนสมัยพระคริสต์. พวกเขาได้เพิ่มข้อความ หรือไม่ก็ตัดตอน และได้ทำให้พระบัญญัติของโมเซที่เป็นบทจารึกนั้นเป็นโมฆะไป.—เทียบกับพระบัญญัติ 4:2; 12:32.
16. ความชอบธรรมของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติเป็นมาโดยวิธีใด?
16 ความชอบธรรมของพระเจ้าเกิดขึ้นได้ไม่ใช่โดยการประพฤติตามพระบัญญัติแต่ต่างหากจากพระบัญญัติ. ดังที่กล่าวว่า “ผู้หนึ่งผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยการประพฤติตามพระบัญญัติก็หามิได้ เพราะว่าเรารู้จักความผิดได้ก็โดยพระบัญญัตินั้น. แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ทรงปรากฏ นอกจากการประพฤติตามพระบัญญัติ พระบัญญัติกับเหล่าศาสดาพยากรณ์ก็เป็นพยานอยู่ คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งประทานแก่คนทั้งปวงโดยความเชื่อที่เขาได้เชื่อในพระเยซูคริสต์.” (โรม 3:20-22) ดังนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าเกิดขึ้นโดยมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์—“พระบัญญัติกับเหล่าศาสดาพยากรณ์ก็เป็นพยานอยู่” ถึงเรื่องนี้. คำพยากรณ์ต่าง ๆ ซึ่งกล่าวถึงพระมาซีฮาได้มาสำเร็จในพระเยซู. นอกจากนั้น พระองค์ได้ทำให้พระบัญญัติสำเร็จ พระบัญญัติถูกยกเลิกโดยถูกตรึงไว้กับหลักทรมาน.—ลูกา 24:25-27, 44–46; โกโลซาย 2:13, 14; เฮ็บราย 10:1.
17. ตามคำกล่าวของอัครสาวกเปาโล โดยวิธีใดชาวยิวจึงขาดความรู้เกี่ยวกับความชอบธรรมของพระเจ้า?
17 ดังนั้น อัครสาวกเปาโลได้เขียนเรื่องการที่ชาวยิวแสวงหาความชอบธรรมอย่างไร้ผลว่า “เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานฝ่ายเขาว่า เขามีใจร้อนรนในการปฏิบัติพระเจ้า แต่หาได้เป็นตามปัญญาไม่ ด้วยว่าเขาไม่ได้รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า แต่ได้อุตส่าห์ที่จะตั้งความชอบธรรมของตัวเองขึ้น เขาจึงมิได้ยอมตัวอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า. เพราะว่าพระคริสต์นั้นเป็นผู้ที่จะทำให้พระบัญญัติสำเร็จ เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อนั้นได้ความชอบธรรม.” (โรม 10:2-4) นอกจากนั้น เปาโลได้เขียนเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่า “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำให้พระองค์นั้นผู้ไม่มีความผิดเป็นความผิดเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าโดยพระองค์.”—2 โกรินโธ 5:21.
18. ชาวยิวนักนิยมขนบธรรมเนียมและนักปรัชญาชาวกรีกต่างก็มีทัศนะเช่นไรต่อ “พระคริสต์ซึ่งถูกตรึงเสียแล้ว” และ “คนที่ทรงเลือกไว้”?
18 ชาวยิวถือว่าพระมาซีฮาซึ่งวายพระชนม์เสมือนบุคคลที่ไร้ความสามารถ. นักปรัชญาชาวกรีกพูดเยาะเย้ยมาซีฮาแบบนั้นว่าเป็นความโง่เขลา. กระนั้นก็ดี เป็นดังที่เปาโลประกาศแล้วว่า “พวกยูดายขอเห็นนิมิต และพวกเฮเลนเสาะหาปัญญา แต่พวกเราป่าวประกาศเรื่องพระคริสต์ถูกตรึงไว้ [ที่หลักทรมาน, ล.ม.] แล้ว สิ่งที่ให้พวกยูดาสะดุด และพวกต่างประเทศถือว่าเป็นการโฉดเขลา แต่คนทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเลือกแล้วนั้น ทั้งพวกยูดายและพวกเฮเลนก็ถือว่าพระคริสต์เป็นฤทธิ์เดชและพระปัญญาของพระเจ้า. เพราะความเขลาของพระเจ้าก็ยังมีปัญญามากกว่าปัญญามนุษย์ และพระกำลังอ่อนของพระเจ้าก็ยังมีกำลังมากยิ่งกว่ากำลังมนุษย์. (1 โกรินโธ 1:22-25) พระเยซูคริสต์เป็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจ และสติปัญญาของพระเจ้าและเป็นวิถีทางแห่งความชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติผู้เชื่อฟัง. “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งเป็นที่รอดแก่เราทั้งหลายไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า.”—กิจการ 4:12.
19. บทความต่อไปจะอธิบายเรื่องอะไร?
19 บทความต่อจากนี้จะอธิบายให้ทราบว่าถ้าเราต้องการรอดพ้นการถูกทำลาย แล้วบรรลุถึงชีวิตนิรันดร์ เราต้องแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ต่อ ๆ ไป. ทั้งนี้ต้องทำ ไม่ใช่เพียงแต่รับฟังคำสั่งสอนของพระเยซู แต่โดยการปฏิบัติด้วย.
คำถามทบทวน
▫ นักศาสนาชาวยิวทำให้การทำทาน การอธิษฐานและการถือศีลอดอาหารกลับกลายเป็นอะไร?
▫ ที่ปลอดภัยสำหรับการเก็บรักษาทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน?
▫ ทำไมเราไม่ควรกังวลใจในเรื่องปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการยังชีพ?
▫ พวกยิวกล่าวอ้างอย่างผิด ๆ อย่างไรถึงที่มาของประเพณีของเขาที่เล่าสืบปาก?
▫ ราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์มาโดยวิธีใด?
[รูปภาพหน้า 16]
พวกฟาริซายชอบอธิษฐานเมื่อยืนตามทางแยกเพื่อให้ผู้คนมองเห็นเขา