พระยะโฮวาทรงดูแลผมเป็นอย่างดี
อย่างน้อยที่สุด พอจะพูดได้ว่าผมเริ่มต้นรับใช้พระยะโฮวาในแนวทางที่ผิดธรรมดา. ผมได้เติบโตขึ้นในเขตชนบทที่สวยงามไกลออกไปทางเหนือของประเทศนิวซีแลนด์. คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นชนเผ่าเมารีเหมือนผม. วันหนึ่งขณะที่ผมขี่ม้ามาตามถนน เบน ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องได้เข้ามาหาผม. เวลานั้นเป็นปี 1942 เป็นฤดูใบไม้ร่วง (สำหรับซีกโลกใต้ เป็นฤดูใบไม้ผลิในซีกโลกทางเหนือ) ผมอายุ 27 ปีและขณะนั้นเป็นสมาชิกที่กระตือรือร้นของโบสถ์แห่งอังกฤษ.
นานหลายปีที่เบนได้อ่านหนังสือของจัดจ์ รัทเทอร์ฟอร์ด ซึ่งเวลานั้นเป็นนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ และขณะนี้ในมือเบนมีจดหมายจากสำนักงานประเทศนิวซีแลนด์ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ให้เขาเชิญคนท้องถิ่นไปยังสถานที่ซึ่งพวกเขาจะฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกัน. นอกจากนี้ เบนต้องหาคนมาเป็นผู้นำการประชุม. เบนเงยหน้ามาที่ผมพูดว่า “คุณเป็นคนนั้นแหละ.” ด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ได้รับการพิจารณา—และเป็นผู้ส่งขนมปังและเหล้าองุ่นระหว่างการฉลองอาหารมื้อเย็นในโบสถ์—ผมตอบตกลง.
ในเย็นวันฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประมาณ 40 คนอยู่รวมกันในบ้านของเบนเพื่อระลึกถึงการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่มีสักคนเป็นพยานพระยะโฮวา. พอผมมาถึงเบนได้ยื่นบทบรรยายให้. ผมตัดส่วนการร้องเพลงที่เสนอมาออกและเชิญน้องเขยเบนให้เปิดการประชุมด้วยการอธิษฐาน. และแล้วผมก็ให้คำบรรยายเรื่องที่มีเค้าโครงไว้ซึ่งประกอบด้วยชุดคำถามพร้อมด้วยคำตอบที่อาศัยพระคัมภีร์เป็นหลัก. บาทหลวงท้องถิ่นคนหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมด้วยขัดจังหวะด้วยข้อคัดค้าน แต่ข้อคัดค้านเหล่านี้ได้รับคำตอบโดยการอ่านข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อ้างถึงในโครงเรื่อง.
ผมยังจำได้ที่คำถามหนึ่งในบทบรรยายได้พูดถึงช่วงเวลาในรอบปีที่ควรฉลองเหตุการณ์นี้. ช่างเป็นสิ่งที่น่าพอใจอะไรเช่นนั้นเมื่อทุกคนที่มาประชุมได้มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นดวงจันทร์เต็มดวง. แน่ชัดทีเดียว เป็นวันที่ 14 เดือนไนซาน.
ช่างเป็นคืนที่ประทับใจอย่างยิ่ง! การฉลองของเราใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมง. คำถามหลายข้อได้ถูกยกขึ้นมาและได้รับคำตอบจากข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ ในโครงเรื่องของสมาคม. เมื่อมองย้อนหลังไป ผมรู้ว่าผมจะไม่สามารถผ่านพ้นประสบการณ์นั้นมาได้ถ้าปราศจากการเอาพระทัยใส่ด้วยความรักจากพระยะโฮวา—ถึงแม้ว่าในเวลานั้นผมยังไม่ได้เป็นพยานที่ได้อุทิศตัวของพระองค์. อย่างไรก็ดี ในคืนวันอนุสรณ์ปี 1942 นั้น ผมได้พบจุดมุ่งหมายในชีวิตของผม.
ชีวิตในช่วงเริ่มต้น
ผมเกิดในปี 1914 คุณพ่อได้เสียชีวิตประมาณสี่เดือนก่อนที่ผมจะเกิด และผมจำได้ว่าตอนเป็นเด็กผมอิจฉาเด็กอื่น ๆ ที่มีพ่อที่รักเขา. ผมคิดถึงเรื่องนั้นมาก. ชีวิตของคุณแม่ที่ไม่มีสามีต้องต่อสู้อย่างหนัก ผลกระทบอันกว้างไกลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ยิ่งทำให้ลำบากมากขึ้นไปอีก.
ขณะที่เป็นหนุ่ม ผมได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อแอกเนส โคป และเธอเป็นคู่ชีวิตของผมกว่า 58 ปี. ในช่วงเริ่มต้นเราได้ดิ้นรนต่อสู้ด้วยกันเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต. ผมไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นชาวนาเนื่องจากเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก. ผมหาทางออกโดยการเล่นกีฬา แต่จนกระทั่งถึงวันอนุสรณ์ปี 1942 นั้น ผมก็ยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิต.
ให้คำพยานกับญาติ
หลังวันอนุสรณ์นั้น ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง พิจารณาสรรพหนังสือทางพระคัมภีร์ซึ่งจัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์กับลูกพี่ลูกน้องของผมบางคน. ในเดือนกันยายนปี 1943 พยานพระยะโฮวาบางคนจากเขตอื่นมาเยี่ยมกลุ่มโดดเดี่ยวของเรา. เราได้สนทนากันอย่างเอาจริงเอาจังเป็นเวลาสี่ชั่วโมง. และแล้วเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะต้องจากไปในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้ถามว่า “มีอะไรขัดข้องไหมที่ผมจะรับบัพติสมาเดี๋ยวนี้?” ผมกับลูกพี่ลูกน้องสองคนถูกจุ่มตัวในน้ำตอนตีหนึ่งครึ่ง.
หลังจากนั้น ผมเดินทางไปให้คำพยานกับญาติมากขึ้น. ญาติบางคนได้ตอบรับ และในการสนทนากับพวกเขา ผมอาศัยพระธรรมมัดธายบท 24. คนอื่น ๆ ไม่ตอบรับ และในกรณีเช่นนั้นผมได้ใช้คำตรัสของพระเยซูที่ตรัสกับพวกฟาริซายตามที่บันทึกในพระธรรมมัดธายบท 23. กระนั้น ต่อมาผมเรียนรู้ที่จะผ่อนหนักผ่อนเบามากขึ้น เป็นการเลียนแบบพระบิดาทางภาคสวรรค์ของเราผู้เปี่ยมด้วยความกรุณาและความรัก.—มัดธาย 5:43-45.
ในตอนแรกภรรยาได้ต่อต้านความปรารถนาของผมในการรับใช้พระยะโฮวา. อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาเธอได้สมทบกับผม และในเดือนธันวาคม 1943 เธอได้มาเป็นผู้ช่วยที่อุทิศตัวและรับบัพติสมา. ในวันอันน่าจดจำครั้งนั้นมีอีกห้าคนจากหมู่บ้านไวมาของเราสมทบกับเธอในการรับบัพติสมา ทำให้ยอดผู้ประกาศราชอาณาจักรในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเป็นเก้าคน.
พระพรมากมายทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้าน
ระหว่างปี 1944 มีพี่น้องจากที่อื่นมาเยี่ยมเราอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้พวกเขาได้จัดให้มีการอบรมที่จำเป็นต่องานประกาศสั่งสอนตามบ้านอย่างเป็นทางการ. ขณะที่การปรากฏตัวของเราในชุมชนเป็นที่น่าสังเกตมากขึ้น การต่อต้านที่มาจากตัวแทนต่าง ๆ ของคริสต์ศาสนจักรก็ยิ่งมีมากขึ้น. (โยฮัน 15:20) มีการเผชิญหน้ากับบาทหลวงท้องถิ่น ยังผลให้มีการถกกันยืดยาวถึงเรื่องหลักคำสอน. แต่พระยะโฮวาช่วยเราให้ชนะ และสมาชิกคนอื่น ๆ ของชุมชนรวมทั้งน้องสาวของผม ได้เข้ามาอยู่ในการเอาพระทัยใส่ด้วยความรักของพระยะโฮวา.
มีการตั้งประชาคมขึ้นในไวมาในเดือนมิถุนายน 1944. การกดขี่ข่มเหงและความเกลียดชังทางศาสนาได้เพิ่มขึ้น. พยานพระยะโฮวาถูกห้ามไม่ให้ฝังศพในสุสานของท้องถิ่น. ในบางครั้งการต่อต้านได้มาถึงขั้นรุนแรง. เกิดการปะทะกันขึ้น. รถยนต์และโรงรถของผมถูกเผาเรียบ. อย่างไรก็ดี ไม่ถึงสามเดือนเราได้รับพระพรจากพระยะโฮวาสามารถซื้อรถบรรทุกคันหนึ่ง. และผมใช้รถที่ลากด้วยม้าพาสมาชิกครอบครัวที่เพิ่มขึ้นไปยังการประชุมต่าง ๆ.
จำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมที่เพิ่มขึ้นแสดงว่าเรามีความจำเป็นอย่างรีบด่วนที่ต้องมีสถานที่การประชุมที่ใหญ่กว่า ดังนั้น เราตัดสินใจสร้างหอประชุมราชอาณาจักรในไวมา. นี้เป็นหอประชุมราชอาณาจักรแห่งแรกที่สร้างขึ้นในประเทศนิวซีแลนด์. สี่เดือนหลังจากที่ต้นไม้ต้นแรกถูกโค่นลงในวันที่ 1 ธันวาคม 1949 การประชุมใหญ่และการอุทิศหอประชุมได้ถูกจัดรวมขึ้นในหอประชุมใหม่ซึ่งมี 260 ที่นั่ง. ในสมัยโน้นนั่นเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ เป็นไปโดยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาทีเดียว.
พยานหลักฐานอื่นอีกแสดงการเอาพระทัยใส่ของพระยะโฮวา
เนื่องจากจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรทางภาคเหนือที่ไกลออกไปของประเทศนิวซีแลนด์ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ดูแลเดินทางที่มาเยี่ยมสนับสนุนผมให้ไปรับใช้ในเขตที่มีความต้องการมากกว่า. เพื่อตอบรับข้อเสนอนี้ ในปี 1956 ผมได้ย้ายครอบครัวไปที่พูเคโคเฮ ทางใต้ของออกแลนด์. เราได้รับใช้ที่นั่นเป็นเวลา 13 ปี.—เทียบกับ กิจการ 16:9.
สองตัวอย่างที่แสดงถึงความเอาพระทัยใส่ของพระยะโฮวาในช่วงเวลานี้ประทับอยู่ในความทรงจำของผม. ขณะที่ผมทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกและเป็นคนคุมเครื่องจักรของสภาเทศบาลตำบล ผมถูกเชิญให้เข้าอบรมหลักสูตรสี่สัปดาห์ในโรงเรียนพระราชกิจที่สำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ในออกแลนด์. ผมได้ขอลางานสี่สัปดาห์เพื่อจุดประสงค์นี้ และหัวหน้าวิศวกรพูดว่า “แน่นอน. ผมอยากให้มีคนอย่างคุณมากกว่านี้. เมื่อคุณกลับมา มาหาผมที่สำนักงานนะ.” ต่อมาเมื่อผมไปหาเขาที่สำนักงาน ผมได้รับค่าแรงสี่อาทิตย์ที่ลางานไป. ด้วยเหตุนี้ ความต้องการของครอบครัวในด้านวัตถุก็ได้รับการตอบสนอง.—มัดธาย 6:33.
นั่นเป็นตัวอย่างแรก. ตัวอย่างที่สองเกิดขึ้นหลังจากที่ผมกับภรรยาได้เข้าสู่งานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ประจำในปี 1968. อีกครั้งหนึ่ง เราวางใจในพระยะโฮวาสำหรับการค้ำจุน และพระองค์ได้ประทานบำเหน็จ. เช้าวันหนึ่งหลังจากอาหารเช้า ภรรยาผมได้เปิดตู้เย็นดูและเห็นว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากเนยครึ่งปอนด์. เธอบอกว่า “ซาร์น เราไม่มีอาหารเหลืออยู่เลย วันนี้เรายังจะออกไปในงานรับใช้ไหม?” คำตอบของผมหรือ? “ไป!”
ที่บ้านแรก เจ้าของบ้านรับสรรพหนังสือที่เราเสนอ และด้วยความกรุณาได้ให้ไข่สองสามโหลเป็นของบริจาค. คนที่สองที่เราเยี่ยมได้ให้ผักเป็นของขวัญ—คูมารา (มันเทศ), กะหล่ำดอก, และหัวแครอต. วันนั้นอาหารอย่างอื่นที่เรานำกลับบ้านด้วยมีเนื้อและเนย. คำตรัสของพระเยซูเป็นจริงเพียงใดในกรณีของเรา: “จงดูฝูงนกในอากาศ มันมิได้หว่านมิได้เกี่ยวมิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้อยู่ในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้. ท่านทั้งหลายมิประเสริฐยิ่งกว่าฝูงนกอีกหรือ?”—มัดธาย 6:26.
การมอบหมายไปต่างแดน
ราโรตองกาในหมู่เกาะคุก! นี้เป็นการมอบหมายไพโอเนียร์พิเศษในปี 1970. ที่นี่จะเป็นบ้านของเราในสี่ปีข้างหน้า. สิ่งท้าทายอันดับแรกที่นี่ก็คือการเรียนรู้ภาษาใหม่. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันระหว่างภาษาเมารีของนิวซีแลนด์และของหมู่เกาะคุก ผมจึงสามารถให้คำบรรยายสาธารณะครั้งแรกหลังจากมาถึงที่นี่ห้าสัปดาห์.
ในหมู่เกาะคุก มีผู้ประกาศราชอาณาจักรเพียงไม่กี่คน และพวกเราไม่มีสถานที่สำหรับการประชุม. อีกครั้งหนึ่ง ในการตอบคำอธิษฐาน พระยะโฮวาได้ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ให้เรา. การสนทนาโดยบังเอิญกับเจ้าของร้านแห่งหนึ่งยังผลให้เราได้เช่าที่ดินที่เหมาะสม และภายในปีเดียวเรามีบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งและหอประชุมราชอาณาจักรซึ่งมี 140 ที่นั่ง. ตั้งแต่นั้นมาเราได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นคำสรรเสริญแด่พระยะโฮวาด้วย.
สิ่งที่เราหยั่งรู้ค่าโดยเฉพาะก็คือความโอบอ้อมอารีที่ชาวเกาะได้แสดงต่อเรา. บ่อยครั้งทีเดียว ขณะอยู่ในงานประกาศสั่งสอนที่อากาศร้อนอบอ้าว ผู้คนส่วนมากต้อนรับเราด้วยน้ำดื่มที่ทำให้สดชื่น. หลายครั้งเมื่อเรากลับถึงบ้านมักจะพบว่ามีกล้วย, มะละกอ, มะม่วง, และส้มวางอยู่ที่บันไดหน้าบ้านของเราโดยไม่รู้ว่าใครนำมา.
ในปี 1971 ผมกับภรรยา พร้อมด้วยผู้ประกาศอีกสามคนเดินทางจากราโรตองกาไปที่เกาะไอทะทาคีซึ่งขึ้นชื่อในด้านความสวยงามของทะเลสาบภายในแนวปะการัง. เราพบชาวเกาะที่เอื้ออารีหลายคนผู้ซึ่งมีความรักต่อพระวจนะของพระเจ้าและเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านขึ้นสี่ราย เรายังศึกษากันทางจดหมายอยู่เรื่อยมาหลังจากที่กลับถึงราโรตองกาแล้ว. ในเวลาต่อมานักศึษาชาวเกาะไอทะทาคีเหล่านั้นได้รับบัพติสมา และประชาคมได้ถูกก่อตั้งขึ้น. ในปี 1978 หอประชุมราชอาณาจักรแห่งที่สองในหมู่เกาะคุกได้สร้างขึ้นที่นั่น. พระยะโฮวาได้ทรงบันดาลให้สิ่งต่าง ๆ ที่เราปลูกและรดน้ำเจริญเติบโตขึ้น.—1 โกรินโธ 3:6, 7.
ผมมีสิทธิพิเศษไปเยี่ยมเกาะต่าง ๆ สิบเกาะในกลุ่มของเกาะคุก บ่อยครั้งภายใต้สภาพการณ์ที่ยากลำบาก. การเดินทางด้วยเรือครั้งหนึ่งไปอาทีอู ห่างออกไป 180 กิโลเมตร ต้องใช้เวลามากกว่าหกวันเนื่องจากลมแรงและทะเลมีคลื่นใหญ่. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 11:26.) แม้ว่าอาหารที่จัดหามามีจำกัดและคนรอบข้างเมาคลื่น ผมรู้สึกขอบคุณในการเอาพระทัยใส่ของพระยะโฮวาให้ผมเดินทางถึงที่หมายโดยปลอดภัย.
ในปี 1974 เราไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในหมู่เกาะคุกอีกต่อไป และจึงต้องกลับประเทศนิวซีแลนด์. ในเวลานั้นมีสามประชาคมบนหมู่เกาะ.
สิทธิพิเศษอื่นในงานรับใช้—และการทดลอง
กลับมาที่ประเทศนิวซีแลนด์ ประตูแห่งโอกาสใหม่ได้เปิดออก (1 โกรินโธ 16:9) สมาคมต้องการคนที่สามารถแปลหอสังเกตการณ์ และสรรพหนังสืออื่นเกี่ยวกับพระคัมภีร์เป็นภาษาเมารีของเกาะคุก. ผมได้รับสิทธิพิเศษนี้ และผมยังมีสิทธิพิเศษนี้อยู่จนถึงทุกวันนี้. ต่อมาผมได้รับสิทธิพิเศษในการกลับเยี่ยมเยียนพี่น้องในหมู่เกาะคุกอย่างสม่ำเสมอ แรกทีเดียวในฐานะผู้ดูแลหมวด ต่อมาในฐานะผู้ดูแลภาคสมทบ.
ในการเยี่ยมครั้งหนึ่ง บราเดอร์อะเล็กซ์ นาปา ไพโอเนียร์พิเศษจาก ราโรตองกา ได้เดินทางไปกับผมในมหาสมุทร ใช้เวลา 23 วันไปถึงมานาฮิคิ ราคาฮางกา และเพนรีน—หมู่เกาะทางเหนือของเกาะคุก. ในแต่ละเกาะ พระยะโฮวาทรงกระตุ้นใจของชาวเกาะที่เอื้ออารีจัดหาที่พักให้เรา และรับสรรพหนังสือมากมาย. (เทียบกับ กิจการ 16:15.) เกาะต่าง ๆ เหล่านี้ เต็มไปด้วยหอยมุก และในหลายโอกาสผู้คนให้ไข่มุกเป็นของบริจาคช่วยค่าใช้จ่ายในงานประกาศสั่งสอนทั่วโลก. ดังนั้น ขณะที่เราให้ไข่มุกทางฝ่ายวิญญาณ เราได้รับไข่มุกจริง ๆ.—เทียบกับ มัดธาย 13:45, 46.
ภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลนี้ของโลกช่างสวยงามอะไรเช่นนี้! ลองนึกภาพดูฝูงปลาฉลามสีขาวตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในน้ำด้วยกันกับเด็ก ๆ ในทะเลสาบภายในแนวปะการัง! ท้องฟ้าในยามราตรีเป็นภาพที่สวยวิจิตรตระการตาอะไรเช่นนี้! เป็นจริงเพียงใดกับคำกล่าวของผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญที่ว่า “วันต่อวันกล่าววาจา และคืนต่อคืนสำแดงความรู้.”—บทเพลงสรรเสริญ 19:2.
และแล้วเมื่อเก้าปีที่ผ่านมา ได้มีการทดลองความซื่อสัตย์ภักดีอย่างแท้จริง. ภรรยาของผมเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีเลือดคั่งในสมอง. ต้องรับการผ่าตัด แต่แพทย์ไม่เห็นด้วยที่จะทำการผ่าตัดโดยไม่ใช้เลือด. สติรู้สึกผิดชอบทำให้ภรรยากับผมไม่อาจยอมรับวิธีการรักษาที่ละเมิดต่อกฎหมายของพระเจ้า. แต่สติรู้สึกผิดชอบของศัลยแพทย์สั่งให้ใช้วิธีการรักษาทุกวิธีที่เป็นไปได้เพื่อช่วยชีวิต รวมทั้งการใช้เลือด.
อาการของภรรยาผมทรุดลง และเธอต้องเข้าอยู่ในห้องผู้ป่วยหนักที่อนุญาตให้เยี่ยมได้อย่างจำกัด. การได้ยินของเธอมีปัญหาเนื่องจากแรงดันที่เยื่อแก้วหู. สถานการณ์ถึงขั้นฉุกเฉิน. หลังจากที่ผมเยี่ยมครั้งหนึ่งแพทย์เดินตามผมมาที่รถ ยืนกรานว่าภรรยาผมมีทางเลือกทางเดียวเท่านั้นคือต้องรับการผ่าตัดโดยใช้เลือดและอ้อนวอนผมขอให้การยินยอม. ถึงอย่างไร ภรรยากับผมได้ไว้วางใจในพระยะโฮวา—ถึงแม้ว่าการเชื่อฟังกฎหมายของพระองค์จะยังผลให้สูญเสียชีวิตปัจจุบันเพียงไม่กี่ปี.
ทันทีทันใด อาการของภรรยาของผมดีขึ้นจนผิดสังเกต. วันหนึ่งผมมาพบเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง. วันต่อ ๆ มาเธอเริ่มให้คำพยานกับคนไข้และพยาบาลหลายคน. และแล้วผมถูกเรียกตัวไปที่ห้องทำงานศัลยแพทย์. แพทย์กล่าวว่า: “คุณวาเรราอุ คุณเป็นคนที่โชคดีจริง ๆ! เราคิดว่าภรรยาคุณหายดีแล้ว.” โดยไม่คาดหมาย ความดันโลหิตของเธอเป็นปกติ. ผมกับภรรยาได้ขอบคุณพระยะโฮวาด้วยกันและได้ตั้งใจใหม่จะรับใช้พระองค์อย่างสุดกำลัง.
ขณะนี้ผมได้รับมอบหมายให้กลับไปที่หมู่เกาะคุกอีกครั้งหนึ่งและรับใช้ในราโรตองกา. เป็นสิทธิพิเศษที่เป็นพระพรอะไรเช่นนี้! เมื่อมองย้อนหลัง ผมกับภรรยารู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาที่ทรงเอาพระทัยใส่เราในงานรับใช้พระองค์มาเกือบห้าสิบปี. ในด้านวัตถุ เราไม่เคยขาดสิ่งจำเป็นในชีวิต. ในแง่ฝ่ายวิญญาณ มีพระพรมากมายจนเหลือที่จะนับได้. พระพรหนึ่งที่เด่นคือจำนวนของญาติพี่น้องฝ่ายเนื้อหนังที่ได้ตอบรับความจริง. ผมนับแล้วมีมากกว่า 200 คนซึ่งขณะนี้เป็นพยานพระยะโฮวาที่ได้รับบัพติสมาแล้วรวมลูกหลาน 65 คน. หลานชายคนหนึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวเบเธลที่นิวซีแลนด์ ขณะที่ลูกสาวคนหนึ่งกับสามีและลูกชายสองคนทำงานก่อสร้าง ณ สาขาต่าง ๆ.—3 โยฮัน 4.
เมื่อมองไปยังอนาคต ผมทะนุถนอมความหวังการมีชีวิตอยู่ในอุทยานที่มีอยู่ทั่วแผ่นดินโลก ความสวยงามจะต้องมีเกินกว่าความงดงามในหุบเขาเขียวขจีที่บ้านเกิดของผม. ช่างจะเป็นสิทธิพิเศษอะไรเช่นนี้ที่จะต้อนรับคุณพ่อคุณแม่ของผมในการกลับเป็นขึ้นจากตายและบอกท่านในเรื่องค่าไถ่, ราชอาณาจักร, และพยานหลักฐานอื่น ๆ ทั้งหมดที่แสดงถึงความเอาพระทัยใส่ของพระยะโฮวา.
ความตั้งใจของผมซึ่งได้รับการค้ำจุนจากการเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ในตัวผม เป็นดังเช่นผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กล่าวไว้ที่บทเพลงสรรเสริญ 104:33 ที่ว่า “ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่นานเพียงใด จะร้องเพลงถวายพระยะโฮวานานเพียงนั้น ขณะเมื่อข้าพเจ้ายังเป็นอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้า.”—เล่าโดย ซาร์น วาเรราอุ.
[รูปภาพของ ซาร์น วาเรราอุ หน้า 26]
[รูปภาพหน้า 28]
หอประชุมราชอาณาจักรแห่งแรกที่สร้างขึ้นในประเทศนิวซีแลนด์ ปี 1950