วิญญาณของโลกกำลังแพร่พิษให้คุณอยู่ไหม?
วันที่ 12 กันยายน 1990 เกิดการระเบิดขึ้นที่โรงงานแห่งหนึ่งในสาธารณรัฐคาซัคสถาน. กัมมันตภาพรังสีซึ่งเป็นอันตรายถูกปล่อยสู่บรรยากาศ คุกคามสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในท้องที่นั้น 120,000 คน ทำให้คนเหล่านี้จำนวนมากออกมาที่ถนนเพื่อประท้วงในเรื่องสารพิษที่เป็นอันตรายถึงตายนี้.
แต่เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลกันมากขึ้น จึงได้มาทราบกันว่าพวกเขาเองได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมซึ่งปนเปื้อนสารพิษมาหลายทศวรรษแล้ว. ตลอดหลายปี มีการทิ้งกากกัมมันตรังสีนับ 100,000 ตันในบริเวณที่เปิดโล่งและไม่มีใครดูแล. แม้ว่าอันตรายอยู่ที่หน้าประตูบ้านของพวกเขา แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้จริงจัง. เพราะเหตุใด?
ทุกวัน ในสนามกีฬาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ติดป้ายแสดงการตรวจวัดปริมาณรังสี ซึ่งทำให้หลงเข้าใจว่าคงไม่มีอันตรายอะไร. ตัวเลขนั้นถูกต้อง แต่ระบุเฉพาะแต่รังสีแกมมา. รังสีอัลฟา ซึ่งไม่มีการตรวจวัด อาจก่ออันตรายถึงตายเช่นเดียวกัน. ผู้เป็นแม่หลายคนเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุที่ลูก ๆ ป่วยบ่อยเหลือเกิน.
กล่าวกันในแง่ฝ่ายวิญญาณ เราอาจได้รับพิษจากการปนเปื้อนที่มองไม่เห็นด้วยเช่นกัน. และเช่นเดียวกับผู้ประสบเหตุร้ายในคาซัคสถาน ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวถึงภัยดังกล่าวซึ่งคุกคามชีวิต. คัมภีร์ไบเบิลระบุถึงมลพิษแบบนี้ว่าเป็น “วิญญาณของโลก” ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซาตานพญามารนั่นเองที่อยู่เบื้องหลัง. (1 โกรินโธ 2:12) โดยเจตนาร้าย ศัตรูของพระเจ้าใช้วิญญาณนี้—หรือเจตคติที่มีอยู่ทั่วไป—ของโลกเพื่อบ่อนทำลายความเลื่อมใสในพระเจ้า.
วิญญาณของโลกอาจทำให้ความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณของเราอ่อนไปได้อย่างไร? โดยการกระตุ้นความปรารถนาของตาและโดยการฉวยประโยชน์จากความเห็นแก่ตัวของเราที่มีมาตั้งแต่เกิด. (เอเฟโซ 2:1-3; 1 โยฮัน 2:16) โดยการยกตัวอย่าง เราจะพิจารณาสามขอบเขตซึ่งความคิดแบบโลกอาจค่อย ๆ ก่อความเสียหายต่อสภาพฝ่ายวิญญาณของเรา.
แสวงหาราชอาณาจักรเป็นอันดับแรก
พระเยซูกระตุ้นเตือนคริสเตียนให้ ‘แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน.’ (มัดธาย 6:33, ล.ม.) ในทางตรงกันข้าม วิญญาณของโลกอาจชักนำเราให้ความสำคัญอย่างไม่สมควรต่อผลประโยชน์และความสบายของตัวเอง. อันตรายในตอนเริ่มแรกนั้นไม่ใช่อยู่ที่การละทิ้งผลประโยชน์ทางฝ่ายวิญญาณไปเสียทั้งหมด แต่อยู่ที่การลดความสำคัญของสิ่งฝ่ายวิญญาณให้อยู่ในอันดับรอง. เราอาจมองข้ามอันตราย—เช่นเดียวกับประชาชนในคาซัคสถาน—เนื่องด้วยถูกหลอกให้รู้สึกอย่างผิด ๆ ว่าตนปลอดภัย. เวลาหลายปีที่รับใช้อย่างซื่อสัตย์และความหยั่งรู้ค่าต่อพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณที่เรามี อาจลวงเราให้ชะล่าใจคิดว่าเราไม่มีทางละทิ้งแนวทางความจริง. อาจเป็นได้ว่า หลายคนในประชาคมเอเฟโซเคยคิดอย่างนั้น.
ประมาณปีสากลศักราช 96 พระเยซูทรงให้คำแนะนำพวกเขาดังนี้: “เรามีข้อต่อว่าเจ้า คือเจ้าได้ละความรักซึ่งเจ้าเคยมีในตอนแรก.” (วิวรณ์ 2:4, ล.ม.) คริสเตียนเหล่านี้ที่รับใช้เป็นเวลานานได้อดทนความลำบากมามากมาย. (วิวรณ์ 2:2, 3) พวกเขาได้รับการสอนจากผู้ปกครองที่ซื่อสัตย์ ซึ่งก็รวมทั้งอัครสาวกเปาโลด้วย. (กิจการ 20:17-21, 27) อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีความรักที่พวกเขามีต่อพระยะโฮวาได้ลดน้อยลงไป และพวกเขาสูญเสียกำลังทางฝ่ายวิญญาณของตน.—วิวรณ์ 2:5.
อาจเป็นไปได้ทีเดียวว่า ชาวเอเฟโซบางคนได้รับผลกระทบจากการค้าและความมั่งคั่งของเมืองนั้น. น่าเสียดาย ที่กระแสวัตถุนิยมของสังคมปัจจุบันได้พัดพาเอาคริสเตียนบางคนลอยละล่องไปตามกระแส. การที่มุ่งมั่นพยายามติดตามแบบชีวิตที่สะดวกสบายย่อมทำให้เราหันเหไปจากเป้าหมายฝ่ายวิญญาณอย่างเลี่ยงไม่ได้.—เทียบกับมัดธาย 6:24.
ในการเตือนถึงอันตรายแบบนี้ พระเยซูตรัสว่า “ตาเป็นดวงสว่างของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ, ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย. แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ [“อิจฉา,” เชิงอรรถฉบับแปลโลกใหม่ ], ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย.” (มัดธาย 6:22, 23) ตาที่ “ปกติ” คือตาที่จดจ่อทางฝ่ายวิญญาณ ตาซึ่งจับจ้องอยู่ที่ราชอาณาจักรของพระเจ้า. ในทางตรงกันข้าม ตาที่ “ผิดปกติ” หรือ “อิจฉา” ได้แก่ตาที่มองเห็นแค่ใกล้ ๆ คือเพ่งมองเฉพาะแต่สิ่งที่เป็นความปรารถนาของเนื้อหนัง. เป้าหมายฝ่ายวิญญาณและผลตอบแทนในอนาคตอยู่ไกลเกินระยะสายตาแบบนี้.
พระเยซูตรัสในข้อก่อนหน้านี้ว่า “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน, ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย.” (มัดธาย 6:21) เราจะทราบได้อย่างไรว่า หัวใจเราจดจ่ออยู่กับสิ่งฝ่ายวิญญาณหรือสิ่งฝ่ายวัตถุ? เครื่องชี้แนะที่ดีที่สุดอาจได้แก่การสนทนาของเรา เพราะ “ใจเต็มบริบูรณ์อย่างไรปากก็พูดออกอย่างนั้น.” (ลูกา 6:45) หากเราพบว่าตัวเองพูดถึงแต่เรื่องวัตถุหรือความสำเร็จผลทางโลก ก็ย่อมเป็นหลักฐานว่าหัวใจเราถูกแบ่งแยกและวิสัยทัศน์ทางฝ่ายวิญญาณของเรานั้นบกพร่องอยู่.
คาร์เมน พี่น้องหญิงชาวสเปน ได้ต่อสู้เพื่อเอาชนะปัญหานี้.a คาร์เมนเล่าว่า “ดิฉันเติบโตขึ้นมาในความจริง แต่เมื่ออายุได้ 18 ปี ดิฉันเริ่มทำธุรกิจของตัวเองโดยเปิดโรงเรียนอนุบาล. สามปีต่อมาดิฉันมีลูกจ้างสี่คน ธุรกิจรุ่งเรืองดี และดิฉันมีรายได้เป็นเงินจำนวนมาก. กระนั้น สิ่งที่ทำให้ดิฉันอิ่มใจที่สุดนั้นคือข้อเท็จจริงที่ว่า ดิฉันได้พึ่งตัวเองทางการเงิน และ ‘ประสบผลสำเร็จ.’ พูดกันตรง ๆ หัวใจของดิฉันอยู่ที่ธุรกิจของตัวเอง—นั่นเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดิฉัน.
“ดิฉันคิดว่าตัวเองยังสามารถเป็นพยานฯ ได้ในขณะที่อุทิศเวลาส่วนใหญ่ของดิฉันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ. ในอีกด้านหนึ่ง ความรู้สึกที่ว่าดิฉันสามารถรับใช้พระยะโฮวาได้มากกว่านี้รบกวนใจอยู่ตลอด. ในที่สุด ตัวอย่างของเพื่อนสองคนที่เป็นไพโอเนียร์โน้มน้าวใจดิฉันให้จัดผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก. หนึ่งในสองคนนี้คือฮูเลียนา อยู่ในประชาคมเดียวกับดิฉัน. เธอไม่ได้สร้างความกดดันเพื่อให้ดิฉันเป็นไพโอเนียร์ แต่การสนทนาและความยินดีซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากงานรับใช้ของเธอช่วยดิฉันพิจารณาดูใหม่ถึงค่านิยมทางฝ่ายวิญญาณของตัวเอง.
“ต่อมา ขณะที่พักร้อนอยู่ในสหรัฐ ดิฉันพักกับกลอเรียพี่น้องหญิงซึ่งเป็นไพโอเนียร์. เธอเป็นม่ายเมื่อไม่นานมานี้ และเธอดูแลลูกสาวอายุห้าขวบและแม่ซึ่งเป็นมะเร็ง. กระนั้น เธอเป็นไพโอเนียร์. ตัวอย่างของเธอและความหยั่งรู้ค่าต่องานรับใช้กระทบหัวใจของดิฉัน. ช่วงสั้น ๆ เพียงสี่วันที่ดิฉันอยู่ที่บ้านของเธอทำให้ดิฉันตกลงใจแน่วแน่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดของดิฉันแก่พระยะโฮวา. ก่อนอื่น ดิฉันสมัครเป็นไพโอเนียร์ประจำ และไม่กี่ปีต่อมา ดิฉันและสามีก็ได้รับเชิญให้รับใช้ที่เบเธล. ดิฉันบอกลาธุรกิจของดิฉัน—งานซึ่งขัดขวางความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของดิฉัน—และเดี๋ยวนี้ดิฉันรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตในสายพระเนตรพระยะโฮวา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง.”—ลูกา 14:33.
การเรียนรู้ที่จะ “รู้แน่ว่า สิ่งไหนสำคัญกว่า” ดังที่คาร์เมนได้ทำ จะช่วยเราตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมในเรื่องงานอาชีพ, การศึกษา, ที่อยู่อาศัย, และแบบชีวิต. (ฟิลิปปอย 1:10, ล.ม.) แต่เราทำให้แน่ใจถึงสิ่งที่สำคัญกว่าในเรื่องนันทนาการไหม? นี่เป็นอีกขอบเขตหนึ่งซึ่งวิญญาณของโลกก่ออิทธิพลอย่างมาก.
จงรักษาการหย่อนใจให้อยู่ในที่อันควร
วิญญาณของโลกฉกฉวยอย่างฉลาดแกมโกงเอากับความปรารถนาอันเป็นธรรมดาของคนเราในเรื่องการพักผ่อนหย่อนใจ. เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความหวังแท้สำหรับอนาคต จึงพอที่จะเข้าใจได้ที่พวกเขาพยายามจะเติมชีวิตปัจจุบันให้เต็มไปด้วยการบันเทิงและการหย่อนใจ. (เทียบกับยะซายา 22:13; 1 โกรินโธ 15:32.) เราพบว่าตัวเองกำลังให้ความสำคัญกับการหย่อนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไหม? นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าวิธีคิดแบบโลกกำลังหล่อหลอมทัศนะของเรา.
คัมภีร์ไบเบิลเตือนดังนี้: “คนที่มีใจรักแต่การสนุกสนาน [“การบันเทิง,” ฉบับแปลแลมซา ] คงจนไป.” (สุภาษิต 21:17) การสนุกสนานไม่ผิด แต่การรักหรือให้ความสำคัญการสนุกสนานเป็นอันดับแรกจะนำไปสู่สภาพขัดสนฝ่ายวิญญาณ. ความอยากอาหารฝ่ายวิญญาณจะไม่ค่อยมี และเราจะมีเวลาน้อยลงในการประกาศข่าวดี.
ด้วยเหตุนี้ พระคำของพระเจ้าแนะนำเราให้ “ปลดเปลื้องทางจิตใจเพื่อพร้อมจะลงมือ บังคับตนอย่างสมบูรณ์.” (1 เปโตร 1:13, เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) จำเป็นต้องมีการบังคับตัวเพื่อจำกัดเวลาหย่อนใจของเราให้พอเหมาะพอควร. การปลดเปลื้องเพื่อพร้อมจะลงมือหมายถึงการอยู่พร้อมสำหรับกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา, การประชุม, หรืองานรับใช้ในเขตทำงาน.
จะว่าอย่างไรสำหรับการพักผ่อนที่จำเป็น? เราควรรู้สึกผิดไหมเมื่อหยุดพักเพื่อจะผ่อนคลาย? ไม่ควรรู้สึกเช่นนั้นเลย. การพักผ่อนจำเป็น โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเครียด. อย่างไรก็ตาม ในฐานะคริสเตียนที่อุทิศตัวแล้ว เราไม่อาจปล่อยให้ชีวิตของเราหมกมุ่นอยู่กับการหย่อนใจ. การหย่อนใจมากเกินไปสามารถทำให้เราเฉื่อยลงเรื่อย ๆ ในการทำกิจกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย. การหย่อนใจอาจทำให้ความสำนึกของเราในเรื่องความเร่งด่วนลดน้อยลงไป และอาจถึงกับสนับสนุนการเอาแต่ใจตัวเอง. ถ้าอย่างนั้น เราจะมีทัศนะที่สมดุลเกี่ยวกับการพักผ่อนได้อย่างไร?
คัมภีร์ไบเบิลแนะนำให้พักผ่อนบ้างแทนที่จะโหมทำงานหนักเกินไป—โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากงานฝ่ายโลกที่ทำอยู่นั้นไม่ใช่งานที่จำเป็น. (ท่านผู้ประกาศ 4:6) แม้ว่าการพักผ่อนช่วยร่างกายให้ฟื้นฟูกำลัง แต่แหล่งแห่งพลังฝ่ายวิญญาณได้แก่พลังปฏิบัติการของพระเจ้า. (ยะซายา 40:29-31) เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้เมื่อปฏิบัติกิจกรรมฝ่ายคริสเตียนของเรา. การศึกษาส่วนตัวหล่อเลี้ยงหัวใจของเรา และกระตุ้นให้มีความปรารถนาที่ถูกต้อง. การเข้าร่วมการประชุมช่วยเพิ่มพูนความหยั่งรู้ค่าของเราที่มีต่อพระผู้สร้างของเรา. การเข้าร่วมในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนส่งเสริมความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น. (1 โกรินโธ 9:22, 23) ดังที่เปาโลอธิบายอย่างตรงตามความเป็นจริงว่า “บุคคลภายนอกทรุดโทรมไป, แต่บุคคลภายในนั้นได้รับความเข้มแข็งกระปรี้กระเปร่าขึ้นใหม่ทุกวัน.”—2 โกรินโธ 4:16, ฟิลลิปส์.
ชีวิตของอีลีอานาซึ่งเป็นแม่ลูกหกและสามีไม่เชื่อถือพระเจ้านั้นมีธุระยุ่งตลอด. เธอมีหน้าที่รับผิดชอบทั้งต่อครอบครัวเธอเองและต่อญาติ ๆ อีกหลายคน ซึ่งดูเหมือนว่าทำให้เธอไม่ได้อยู่กับที่และเร่งรีบอยู่เสมอ. อย่างไรก็ตาม เธอวางตัวอย่างที่น่าสังเกตในการประกาศและการเตรียมตัวสำหรับการประชุม. เธอสามารถรับมือกับกิจกรรมมากมายอย่างนั้นได้อย่างไร?
อีลีอานาชี้แจงว่า “การประชุมและการรับใช้ในเขตประกาศช่วยดิฉันอย่างแท้จริงให้จัดการหน้าที่รับผิดชอบอื่น ๆ ของดิฉัน. ตัวอย่างเช่น หลังการประกาศ ดิฉันมีหลายเรื่องที่จะคิดถึงเมื่อดิฉันทำงานบ้าน. ดิฉันมักจะร้องเพลงเมื่อทำงานบ้าน. ในทางตรงกันข้าม หากดิฉันพลาดการประชุมและไม่ค่อยได้ทำงานรับใช้ในเขตประกาศ งานบ้านก็จะกลายเป็นเรื่องลำบากลำบนเลยทีเดียว.”
ช่างแตกต่างเสียจริง ๆ กับการให้ความสำคัญกับการหย่อนใจมากเกินไป!
ความสวยงามฝ่ายวิญญาณทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย
เราอยู่ในโลกที่ผู้คนคิดหมกมุ่นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมากขึ้นทุกที. ผู้คนใช้จ่ายเงินมากมายในการรับบริการต่าง ๆ ที่คิดค้นขึ้นเพื่อทำให้พวกเขาดูดีขึ้นและลดริ้วรอยต่าง ๆ ของวัยที่เพิ่มขึ้น. การบริการเหล่านี้รวมไปถึงการปลูกผมและการทำสีผม, การเสริมทรวงอก, และศัลยกรรมตกแต่ง. หลายล้านคนเข้าศูนย์ลดน้ำหนัก, สถานบริหารร่างกายและชั้นเรียนเต้นแอโรบิก, หรือซื้อม้วนวีดิทัศน์วิธีบริหารร่างกายและหนังสือเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร. โลกนี้พยายามทำให้เราเชื่อว่าใบเบิกทางสู่ความสุขได้แก่รูปลักษณ์ทางกาย โดยบอกว่า “ภาพลักษณ์” ของเราต้องมาก่อน.
ในสหรัฐ การสำรวจหนึ่งที่วารสารนิวส์วีก อ้างถึงพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นอเมริกันผิวขาว “ไม่พอใจในร่างกายของตัวเอง.” การพยายามอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อจะมีรูปร่างดีเยี่ยมอาจมีผลกระทบต่อสภาพฝ่ายวิญญาณของเราได้. โดราเป็นพยานพระยะโฮวารุ่นเยาว์คนหนึ่งซึ่งรู้สึกอายในเรื่องรูปร่างของตัวเอง เพราะเธอค่อนข้างจะมีน้ำหนักมากเกินไป. เธออธิบายว่า “เมื่อดิฉันไปซื้อของ หาเสื้อผ้าที่พอดีกับตัวของดิฉันได้ยากเหลือเกิน. ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่ดูเท่ทำมาเฉพาะสำหรับวัยรุ่นที่หุ่นเพรียวเท่านั้น. ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ผู้คนชอบพูดดูหมิ่นเรื่องน้ำหนักของดิฉัน ซึ่งทำให้ดิฉันอารมณ์เสียอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคำพูดแบบนี้มาจากพี่น้องฝ่ายวิญญาณ.
“ผลคือ ดิฉันกลายเป็นคนที่คิดหมกมุ่นแต่เรื่องรูปร่างของตัวเอง จนถึงขนาดที่ค่านิยมทางฝ่ายวิญญาณเริ่มตกไปเป็นอันดับสองในชีวิตของดิฉัน. ราวกับว่าความสุขของดิฉันขึ้นอยู่กับขนาดรอบเอวของตัวเอง. หลายปีผ่านไป และเดี๋ยวนี้ดิฉันอาวุโสขึ้นเป็นผู้ใหญ่และในฐานะคริสเตียนคนหนึ่ง ดิฉันมองเรื่องราวต่างไปจากเดิม. แม้ว่าดิฉันเอาใจใส่ดูแลการปรากฏกายของตัวเอง ดิฉันตระหนักว่าความสวยงามฝ่ายวิญญาณต่างหากที่สำคัญที่สุด และนั่นทำให้ดิฉันอิ่มใจพอใจอย่างแท้จริง. เมื่อได้เข้าใจอย่างนี้แล้ว ดิฉันก็สามารถจัดผลประโยชน์ของราชอาณาจักรให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง.”
ซาราเป็นหญิงผู้ซื่อสัตย์ในกาลโบราณซึ่งมีทัศนะที่สมดุลในเรื่องนี้. แม้ว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงความสวยงามของเธอในเวลาที่เธออายุกว่า 60 ปีแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วพระคัมภีร์เน้นให้สังเกตคุณลักษณะที่ดีของเธอ—บุคคลที่ซ่อนอยู่ในหัวใจ. (เยเนซิศ 12:11; 1 เปโตร 3:4-6) เธอแสดงน้ำใจที่สุภาพและอ่อนโยน และเธอเชื่อฟังโดยยอมอยู่ใต้อำนาจของสามี. ซารามิได้เป็นห่วงเกินควรว่าคนอื่นจะมองเธออย่างไร. แม้ว่าเธอมีภูมิหลังที่มั่งคั่ง เธอเต็มใจอาศัยในกระโจมเป็นเวลากว่า 60 ปี. เธอสนับสนุนสามีอย่างนอบน้อมและไม่เห็นแก่ตัว; เธอเป็นสตรีผู้มีความเชื่อ. นั่นแหละที่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่สวยอย่างแท้จริง.—สุภาษิต 31:30; เฮ็บราย 11:11.
ในฐานะคริสเตียน เราสนใจในการปรับปรุงความงามของตัวเองทางฝ่ายวิญญาณ ความงามซึ่งหากได้รับการปลูกฝังเป็นประจำก็จะเติบโตและทนนาน. (โกโลซาย 1:9, 10) เราสามารถเอาใจใส่การปรากฏกายทางฝ่ายวิญญาณของเราได้ในสองทางหลัก ๆ.
เราเริ่มสวยงามขึ้นในสายพระเนตรของพระยะโฮวาเมื่อเราเข้าร่วมในงานรับใช้ช่วยชีวิต. (ยะซายา 52:7; 2 โกรินโธ 3:18–4:2) นอกจากนั้น ขณะที่เราเรียนที่จะสำแดงคุณลักษณะแบบคริสเตียน ความสวยของเราก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น. โอกาสต่าง ๆ ที่จะเพิ่มความงามทางฝ่ายวิญญาณมีมากมาย: “จงมีความรักใคร่เอ็นดูต่อกันและกัน. ในการให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงนำหน้า. . . . จงรุ่งโรจน์ด้วยพระวิญญาณ. . . . จงมีน้ำใจรับรองแขก. . . . จงยินดีกับผู้ที่ยินดี; ร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้. . . . อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย . . . จงรักษาสันติสุขกับคนทั้งปวง.” (โรม 12:10-18, ล.ม.) การปลูกฝังเจตคติเช่นนั้นจะทำให้เราเป็นที่รักทั้งเฉพาะพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ และจะช่วยลดความไม่น่าดูของรูปร่างหน้าตาซึ่งอยู่ใต้แนวโน้มผิดบาปเป็นมรดกตกทอดมา ให้เหลือน้อยที่สุด.—ฆะลาเตีย 5:22, 23; 2 เปโตร 1:5-8.
เราสามารถต่อสู้วิญญาณของโลกได้!
ด้วยวิธีที่แยบยลหลาย ๆ อย่าง วิญญาณของโลกที่เป็นพิษสามารถทำให้ความซื่อสัตย์มั่นคงของเราอ่อนลงไป. มันสามารถทำให้เราไม่พึงพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่และกระวนกระวายด้วยการถือเอาความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเองเหนือพระทัยประสงค์และผลประโยชน์ของพระเจ้า. หรือมันอาจชักนำเราให้คิดตามอย่างความคิดของมนุษย์แทนที่จะคิดอย่างพระเจ้า โดยถือว่าการหย่อนใจหรือการปรากฏทางกายมีความสำคัญจนเกินควร.—เทียบกับมัดธาย 16:21-23.
ซาตานตั้งใจจะทำลายสภาพฝ่ายวิญญาณของเรา และวิญญาณของโลกเป็นอาวุธหลักอย่างหนึ่งของมัน. จำไว้ว่าพญามารสามารถเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตั้งแต่จากการเป็นเหมือนสิงโตที่แผดคำรามจนถึงเป็นเหมือนงูที่ระแวดระวัง. (เยเนซิศ 3:1; 1 เปโตร 5:8) บางครั้ง โลกมีชัยเหนือคริสเตียนคนใดคนหนึ่งด้วยการกดขี่ข่มเหงอย่างป่าเถื่อน แต่บ่อยครั้งมากกว่าโดยค่อย ๆ แพร่พิษให้เขา. เปาโลเป็นห่วงอันตรายแบบหลังมากกว่าโดยกล่าวว่า: “ข้าพเจ้าเกรงว่า, งูนั้นได้ล่อลวงนางฮาวาด้วยอุบายของมันฉันใด, จะมีเหตุอันหนึ่งอันใดล่อลวงจิตต์ใจของท่านทั้งหลายให้หลงจากความสัตย์ซื่อและความบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์ฉันนั้น.”—2 โกรินโธ 11:3.
เพื่อป้องกันตัวเราเองจากเล่ห์กลของงูนั้น เราจำเป็นต้องดูออกถึงการโฆษณาชวนเชื่อที่ “เกิดมาจากโลก” แล้วก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น. (1 โยฮัน 2:16) เราต้องไม่ถูกหลอกให้เชื่อว่าแนวคิดแบบโลกนั้นปราศจากอันตราย. อากาศอันเป็นพิษของระบบของซาตานได้มาถึงขั้นน่าตระหนก.—เอเฟโซ 2:2.
เมื่อบอกได้ว่าความคิดแบบโลกเป็นเช่นไร เราก็สามารถต่อสู้ความคิดแบบนั้นโดยบรรจุความคิดจิตใจและหัวใจของเราด้วยคำสอนอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา. เช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด ให้เรากล่าวดังนี้: “ข้าแต่พระยะโฮวา, ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารู้ทางของพระองค์, ขอทรงฝึกสอนข้าพเจ้าให้ดำเนินในพระมรคาของพระองค์. ขอทรงแนะนำสอนข้าพเจ้าตามความสัตย์จริงของพระองค์; เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 25:4, 5.
[เชิงอรรถ]
a ชื่อสมมุติ.
[รูปภาพหน้า 26]
การพยายามติดตามแบบชีวิตที่สะดวกสบาย อาจทำให้เราหันเหไปจากเป้าหมายฝ่ายวิญญาณได้