คำเชิญด้วยความรักที่มีไปถึงผู้เหนื่อยยาก
“บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น.”—มัดธาย 11:28, ล.ม.
1. พระเยซูทรงเห็นอะไรในมณฑลฆาลิลายในการเดินทางเผยแพร่รอบที่สามของพระองค์?
จวนย่างเข้าปีสากลศักราช 32 พระเยซูทรงอยู่ในช่วงการเดินทางประกาศรอบที่สามในมณฑลฆาลิลาย. พระองค์เสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ “ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา, ประกาศกิตติคุณแห่งแผ่นดินของพระเจ้า, และได้ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ของพลเมืองให้หาย.” ขณะที่พระองค์ทรงกระทำงานนั้น พระองค์ทรงเห็นฝูงชนและพระองค์ “ทรงพระกรุณาเขา, ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.”—มัดธาย 9:35, 36.
2. พระเยซูทรงช่วยผู้คนโดยวิธีใด?
2 อย่างไรก็ตาม พระเยซูไม่เพียงแต่รู้สึกสงสารประชาชน แต่พระองค์ได้ทำมากกว่านั้น. หลังจากทรงสอนเหล่าสาวกอธิษฐานขอ “เจ้าของของการเกี่ยว” ซึ่งได้แก่พระเจ้ายะโฮวาแล้ว พระองค์ได้ส่งสาวกเหล่านั้นออกไปช่วยประชาชน. (มัดธาย 9:38; 10:1) ครั้นแล้ว พระองค์ทรงให้คำรับรองด้วยพระองค์เองแก่ผู้คนเกี่ยวกับแนวทางที่จะรับการบรรเทาและการปลอบประโลมที่แท้จริง. พระองค์ทรงแผ่คำเชิญที่ยังความอบอุ่นใจแก่พวกเขาดังนี้: “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า.”—มัดธาย 11:28, 29, ล.ม.
3. ทำไมคำเชิญของพระเยซูจึงดึงดูดใจคนสมัยนี้พอ ๆ กัน?
3 ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ในยุคที่หลายคนรับภาระหนัก. (โรม 8:22; 2 ติโมเธียว 3:1) สำหรับบางคน แค่การทำมาหากินก็ดึงเอาเวลาและพลังงานของเขาจนแทบไม่มีเหลือสำหรับครอบครัว, เพื่อนฝูง, และสิ่งอื่น ๆ. หลายคนต้องแบกภาระเนื่องจากความเจ็บป่วยที่ร้ายแรง, ความทุกข์ยาก, ความหดหู่, และปัญหาอื่น ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ. ด้วยความรู้สึกกดดัน บางคนพยายามหาทางบรรเทาด้วยการหมกมุ่นในการแสวงหาความสนุกเพลิดเพลิน, การกิน, การดื่ม กระทั่งการใช้ยาเสพย์ติด. แน่นอน การทำเช่นนั้นมีแต่ทำให้เขาตกเข้าไปในวัฏจักรที่เลวร้ายที่ยิ่งทำให้เขามีปัญหาและความกดดันมากขึ้น. (โรม 8:6) เห็นได้ชัดว่า คำเชิญด้วยความรักของพระเยซูฟังดูแล้วน่าดึงดูดใจในทุกวันนี้เหมือนอย่างที่เคยเป็นในอดีต.
4. พวกเราน่าจะพิจารณาคำถามอะไรเพื่อได้ประโยชน์จากคำเชิญด้วยความรักของพระเยซู?
4 แต่ว่าผู้คนในสมัยพระเยซูอยู่ภายใต้สภาพการณ์เช่นไร จนดูเหมือนว่าเขา “อิดโรยกระจัดกระจายไป” จึงทำให้พระเยซูเกิดความรู้สึกสงสารเขา? อะไรคือภาระหนักซึ่งพวกเขาต้องแบก? และคำเชิญของพระเยซูจะช่วยพวกเขาอย่างไร? คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ช่วยเราได้มากในการรับประโยชน์จากคำเชิญด้วยความรักของพระเยซูที่มีไปถึงผู้เหนื่อยยาก.
คนเหล่านั้นที่ “ทำงานหนักและมีภาระมาก”
5. เหตุใดจึงเหมาะสมที่อัครสาวกมัดธายเป็นผู้รายงานเหตุการณ์นี้ในงานรับใช้ของพระเยซู?
5 น่าสนใจที่มัดธายแต่ผู้เดียวได้รายงานเหตุการณ์นี้ในงานรับใช้ของพระเยซู. เนื่องจากมัดธายเคยเป็นคนเก็บภาษี ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเลวี เขาจึงรู้เรื่องดีเกี่ยวกับภาระหนักอย่างหนึ่งโดยเฉพาะที่ประชาชนแบกรับอยู่. (มัดธาย 9:9; มาระโก 2:14) ดังชี้แจงในหนังสือชีวิตประจำวันสมัยพระเยซู (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ภาษีซึ่ง [คนยิวต้อง] ชำระเป็นเงินตรา และสิ่งของหรือการงานนั้นอยู่ในอัตราที่สูงมากและการเสียภาษียิ่งเป็นภาระหนักขึ้นไปอีกเนื่องจากต้องเสียภาษีสองอย่างควบคู่กัน ทั้งภาษีบำรุงท้องที่และภาษีบำรุงศาสนา และแต่ละประเภทมีอัตราภาษีที่สูง.”
6. (ก) ระบบการจัดเก็บภาษีสมัยพระเยซูเป็นเช่นไร? (ข) เหตุใดคนเก็บภาษีมีชื่อเสียงในทางไม่ดี? (ค) เปาโลเล็งเห็นความจำเป็นที่จะเตือนบรรดาเพื่อนคริสเตียนของท่านด้วยเรื่องอะไร?
6 ปัจจัยที่ทำให้ทั้งหมดนั้นกลายเป็นภาระหนักเป็นพิเศษก็คือระบบภาษีสมัยนั้น. เจ้าหน้าที่ชาวโรมันได้ยกสิทธิ์จัดเก็บภาษีในเขตแคว้นต่าง ๆ ให้ผู้ประมูลที่ให้ราคาสูงสุด. แล้วคนพวกนี้จะว่าจ้างคนในท้องที่ให้ดูแลงานจัดเก็บภาษีอีกต่อหนึ่ง. ทุกคนที่มีส่วนในแบบแผนการกินกำไรเป็นทอด ๆ นี้จึงคิดว่า ตนมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเพิ่มค่านายหน้าหรือส่วนแบ่งนั้น. ยกตัวอย่าง ลูกากล่าวพาดพิงว่า “นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งชื่อซักคาย, เป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี.” (ลูกา 19:2) ซักคาย “นายด่านภาษี” และคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาดูเหมือนได้สร้างความร่ำรวยบนความทุกขเวทนาของประชาชน. เนื่องจากระบบดังกล่าวก่อให้เกิดการกระทำโดยมิชอบและฉ้อราษฎร์บังหลวงจึงทำให้ผู้คนนับเอาคนเก็บภาษีเข้าอยู่ในจำพวกคนบาปและแพศยา และคงจะนับว่าเหมาะสมในกรณีส่วนใหญ่. (มัดธาย 9:10; 21:31, 32; มาระโก 2:15; ลูกา 7:34) เนื่องจากประชาชนรู้สึกเป็นภาระหนักแทบทนไม่ไหว จึงไม่แปลกที่อัครสาวกเปาโลเล็งเห็นความจำเป็นต้องเตือนเพื่อนคริสเตียนไม่ให้เดือดดาลภายใต้แอกของจักรวรรดิโรมัน แต่ “จงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรได้รับ ผู้ใดเรียกร้องภาษี จงให้ภาษี; ผู้ใดเรียกร้องส่วย จงให้ส่วย.”—โรม 13:7ก, ล.ม.; เทียบกับลูกา 23:2.
7. กฎหมายอาญาของชาวโรมันเพิ่มภาระหนักให้แก่ประชาชนอย่างไร?
7 นอกจากนี้ เปาโลยังได้เตือนคริสเตียนว่า “ผู้ใดเรียกร้องความเกรงกลัว จงให้ความเกรงกลัว; ผู้ใดเรียกร้องเกียรติยศ จงให้เกียรติยศ.” (โรม 13:7ข, ล.ม.) ชาวโรมันเป็นที่เลื่องลือในเรื่องกฎหมายอาญาที่ทารุณโหดร้ายและมีบทลงโทษรุนแรง. เพื่อที่ประชาชนจะอยู่ใต้อำนาจ เขามักจะใช้วิธีลงโทษด้วยการลงแส้, เฆี่ยน, จำคุกอย่างทารุณ, และการประหารชีวิต. (ลูกา 23:32, 33; กิจการ 22:24, 25) แม้แต่พวกผู้นำชาวยิวก็ยังได้รับอำนาจที่จะดำเนินการลงโทษเมื่อเขาเห็นว่าสมควร. (มัดธาย 10:17; กิจการ 5:40) แน่นอน ระบบดังกล่าวก่อความอึดอัดใจยิ่ง หรือถึงกับเป็นการกดขี่สำหรับใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ระบบนั้น.
8. ผู้นำทางศาสนาทำให้ผู้คนต้องแบกภาระหนักโดยวิธีใด?
8 แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าระบบภาษีและตัวบทกฎหมายแห่งจักรวรรดิโรมัน คือภาระหนักที่วางลงบนสามัญชนสมัยนั้นโดยผู้นำทางศาสนา. อันที่จริง ดูเหมือนพระเยซูทรงห่วงใยเรื่องนี้เป็นอันดับแรกทีเดียว เมื่อพระองค์ทรงพรรณนาสภาพผู้คนว่า “ทำงานหนักและมีภาระมาก.” พระเยซูตรัสว่า แทนที่ผู้นำทางศาสนาจะให้ความหวังและการปลอบประโลมแก่คนที่ถูกย่ำยี เขากลับ “ผูกมัดของหนักซึ่งแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย.” (มัดธาย 23:4; ลูกา 11:46) ในหนังสือกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ใคร ๆ ย่อมสังเกตเห็นการบรรยายภาพผู้นำทางศาสนาได้อย่างแจ่มแจ้ง—โดยเฉพาะพวกอาลักษณ์และฟาริซาย—ว่าเป็นกลุ่มคนที่หยิ่งยโส, ไร้เมตตา, และหน้าซื่อใจคด. คนพวกนี้ดูถูกสามัญชนว่าไม่มีการศึกษาและเป็นมลทิน และดูถูกคนต่างชาติที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา. หนังสือคำอธิบายเกี่ยวกับท่าทีของคนเหล่านี้ให้ข้อสังเกตดังนี้: “สมัยนี้ผู้ที่ใช้ม้าบรรทุกของหนักเกินกำลังอาจถูกดำเนินคดีได้. จะว่าอย่างไรถ้าคนหนึ่งได้ให้ ‘คนบ้านนอก’ ซึ่งไม่ได้ร่ำเรียนทางด้านศาสนาต้องรับแบกภาระหนักหน่วงด้วยข้อบัญญัติถึง 613 มาตรา และแล้วก็ไม่ได้ลงมือช่วยเหลือเขาแม้แต่น้อย แถมตำหนิเขาว่าเป็นคนไม่เชื่อพระเจ้า”? แน่นอน ภาระหนักจริง ๆ นั้นไม่ใช่พระบัญญัติของโมเซ แต่เป็นธรรมเนียมประเพณีมากมายที่วางบนผู้คน.
สาเหตุแท้ของความยากลำบาก
9. สภาพการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างไรท่ามกลางผู้คนสมัยพระเยซู เมื่อเทียบกับสมัยซะโลโม?
9 บางครั้ง ภาระทางการเงินที่ผู้คนแบกอยู่เป็นภาระหนัก ดังนั้น ความยากจนข้นแค้นจึงมีอย่างกว้างขวาง. ชาวยิศราเอลต้องเสียภาษีที่สมเหตุสมผลตามที่พระบัญญัติของโมเซกำหนดไว้. ครั้นแล้วระหว่างสมัยซะโลโมปกครอง ประชาราษฎร์สนับสนุนโครงการต่าง ๆ อันมีมูลค่าสูงของชาติ อาทิ การก่อสร้างพระวิหารและสถานที่อื่น ๆ. (1 กษัตริย์ 7:1-8; 9:17-19) กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลแจ้งแก่เราว่า ประชาชนต่างก็ “กินและดื่มและเล่นการสนุก. . . . ชาวยูดาและยิศราเอลนั้นก็ได้อาศัยอยู่โดยความผาสุก ทุกคนก็อยู่ใต้เถาองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อเทศของตน ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเมืองบะเอละซาบา, ตลอดพระชนม์แห่งกษัตริย์ซะโลโม.” (1 กษัตริย์ 4:20, 25) อะไรเป็นมูลเหตุแห่งความแตกต่างเช่นนั้น?
10. อะไรเป็นสาเหตุทำให้ชาติยิศราเอลมีสภาพการณ์อย่างที่เป็นในสมัยศตวรรษแรก?
10 ตราบใดชนชาตินี้มั่นคงในการนมัสการแท้ พวกเขาเป็นที่โปรดปรานของพระยะโฮวาและมีความเจริญมั่งคั่งและความปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่มีการใช้จ่ายเพื่อประเทศชาติมากมาย. อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาทรงเตือนล่วงหน้าว่า ถ้าพวกเขา “หันไปไม่ประพฤติตาม [พระองค์] . . . ไม่รักษาข้อบัญญัติ, แลข้อกฎหมาย, [ของพระองค์]” พวกเขาจะกลับประสบผลร้ายอย่างรุนแรงทีเดียว. ที่จริง “ยิศราเอลจะเป็นที่เยาะเย้ย และเป็นที่ติเตียนท่ามกลางชนชาติทั้งปวง.” (1 กษัตริย์ 9:6, 7) การณ์ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ. ชาติยิศราเอลได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของคนต่างชาติ และอาณาจักรซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ก็ถูกลดฐานะเป็นเพียงอาณานิคม. ช่างเป็นผลลัพธ์อันเลวร้ายอะไรเช่นนั้นสืบเนื่องจากการที่เขาได้ละเลยไม่ปฏิบัติตามพันธะหน้าที่ฝ่ายวิญญาณ!
11. เหตุใดพระเยซูทรงรู้สึกว่าประชาชน “อิดโรยและกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง”?
11 ทั้งหมดนี้ช่วยเราให้เข้าใจเหตุผลที่พระเยซูทรงรู้สึกว่า ประชาชน “อิดโรยกระจัดกระจายไป.” คนเหล่านั้นคือยิศราเอล ไพร่พลของพระยะโฮวา ซึ่งส่วนใหญ่ก็พยายามดำเนินวิถีชีวิตสอดคล้องกับข้อบัญญัติของพระเจ้า และนมัสการตามแนวทางซึ่งยอมรับได้. กระนั้นก็ดี พวกเขาถูกขูดรีดและถูกกดขี่ไม่เฉพาะจากอำนาจทางการเมืองและทางการค้า แต่จากผู้นำทางศาสนาที่ออกหากซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วย. พวกเขาเป็น “ดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” เพราะขาดผู้ที่จะเอาใจใส่ดูแลหรือปกป้องเขา. เขาจำต้องได้ความช่วยเหลือเพื่อจะรับมือกับสภาพที่เป็นจริงอันแสนทารุณ. คำเชิญด้วยความรักและอ่อนโยนของพระเยซูช่างทันกาลเสียนี่กระไร!
คำเชิญของพระเยซูสำหรับยุคปัจจุบัน
12. ทุกวันนี้ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและสุจริตชนคนอื่นประสบความกดดันอะไร?
12 ทุกวันนี้ สิ่งต่าง ๆ คล้ายคลึงกันในหลายด้าน. สุจริตชนซึ่งพยายามทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์ พบว่ายากที่จะทนกับความกดดันและการเรียกร้องจากระบบที่เสื่อมทรุด. แม้คนเหล่านั้นที่อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาแล้วก็ไม่เว้น. รายงานแสดงว่า บางคนท่ามกลางผู้รับใช้ของพระยะโฮวากำลังพบว่ายากขึ้นทุกทีที่จะปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างให้สำเร็จ แม้ว่าเขาต้องการจะทำอย่างนั้น. เขารู้สึกอิดโรยและเหนื่อยอ่อน. บางคนถึงกับคิดว่า คงเป็นการปลดภาระ หากเขาจะปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วหายหน้าไปที่ไหนสักแห่ง เพื่อรวบรวมความคิด. คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้ไหม? คุณรู้จักคนที่ใกล้ชิดกับคุณซึ่งตกอยู่ในสภาพนั้นไหม? ถูกแล้ว คำเชิญของพระเยซูซึ่งยังความอบอุ่นใจจึงมีความหมายมากทีเดียวสำหรับพวกเราสมัยนี้.
13. เหตุใดเราจะแน่ใจได้ว่า พระเยซูสามารถช่วยเราให้ได้รับความสบายใจและความสดชื่น?
13 ก่อนพระเยซูตรัสคำเชิญด้วยความรัก พระองค์ทรงแถลงว่า “พระบิดาได้ทรงมอบสารพัตรให้แก่ข้าพเจ้า และไม่มีผู้ใดรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา, หรือไม่มีผู้ใดรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร, กับผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้.” (มัดธาย 11:27) เนื่องด้วยสัมพันธภาพใกล้ชิดระหว่างพระเยซูกับพระบิดาของพระองค์ พวกเรามั่นใจได้ว่า เมื่อเราตอบรับคำเชิญของพระเยซูและเข้ามาเป็นสาวกของพระองค์ เราสามารถเข้าร่วมในสัมพันธภาพอันใกล้ชิด เป็นส่วนตัวกับพระยะโฮวา “พระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง.” (2 โกรินโธ 1:3; เทียบกับโยฮัน 14:6.) นอกจากนั้น เนื่องจาก ‘สิ่งสารพัดถูกมอบไว้กับพระองค์แล้ว’ พระเยซูคริสต์แต่องค์เดียวมีฤทธิ์และอำนาจที่จะแบ่งเบาภาระของเราได้. ภาระประเภทไหน? ภาระอันเนื่องมาจากระบบอันเสื่อมทรุดทางการเมือง, การค้า, และทางด้านศาสนา อีกทั้งภาระหนักซึ่งเป็นผลกระทบเนื่องมาจากบาปและความไม่สมบูรณ์ที่เราได้รับสืบทอดมา. นับเป็นความคิดที่ให้กำลังใจและทำให้เกิดความมั่นใจอย่างแท้จริงแต่แรกทีเดียว!
14. พระเยซูทรงสามารถให้ความสดชื่นจากงานหนักชนิดใด?
14 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น.” (มัดธาย 11:28, ล.ม.) แน่นอน พระเยซูไม่ได้ตำหนิการขยันทำงาน เพราะพระองค์ทรงแนะนำเหล่าสาวกบ่อย ๆ ว่า เมื่อทำงานก็จงทำสุดกำลังความสามารถ. (ลูกา 13:24) แต่การ “ทำงานหนัก” (“การออกแรงทำงาน” ฉบับคิงดอม อินเทอร์ลิเนียร์) ใช้หมายถึงงานที่เนิ่นนานและเป็นงานที่ทำให้เหน็ดเหนื่อย บ่อยครั้งให้ผลไม่คุ้มค่า. และ “มีภาระมาก” ให้แนวคิดในเชิงการแบกภาระหนักเกินความสามารถปกติ. อาจเทียบเคียงให้เห็นความแตกต่างกันระหว่างชายคนหนึ่งขุดหาสมบัติที่ซ่อนไว้ และอีกคนหนึ่งขุดร่องในค่ายแรงงาน. ทั้งสองต่างก็ทำงานหนักคล้าย ๆ กัน. คนแรกทำงานด้วยความกระตือรือร้น แต่สำหรับอีกคนหนึ่งเป็นงานหนักที่น่าเบื่อหน่ายไม่สิ้นสุด. สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างก็คือการมีหรือไม่มีจุดหมายในงานนั้น ๆ.
15. (ก) เราน่าจะถามตัวเองด้วยคำถามอะไรบ้าง ถ้าเรารู้สึกว่าเรากำลังแบกภาระหนักอยู่? (ข) อาจกล่าวได้อย่างไรในเรื่องที่มาของภาระหนักต่าง ๆ ซึ่งเราแบกอยู่?
15 คุณรู้สึกไหมว่าคุณ “ทำงานหนักและมีภาระมาก” มีแต่การเรียกร้องเอาเวลาและเรี่ยวแรงจากคุณมากเกินไป? คุณกำลังแบกรับภาระต่าง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าหนักเกินไปไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น คงช่วยคุณได้ที่จะถามตัวเองว่า ‘ฉันทำงานหนักเพื่ออะไร? ฉันกำลังแบกภาระชนิดใด?’ ในเรื่องนี้ ผู้อธิบายคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตเมื่อ 80 กว่าปีมาแล้วว่า “ถ้าเราพิจารณาภาระต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิต ก็มีอยู่สองจำพวก เราอาจเรียกภาระเหล่านี้ว่า ภาระที่ตนเองก่อขึ้น และภาระที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ ภาระเนื่องจากการกระทำของเราเอง และภาระที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเราเอง.” แล้วผู้เขียนกล่าวเสริมดังนี้: “พวกเราหลายคนคงแปลกใจ หลังจากตรวจสอบตัวเองอย่างจริงจัง จะพบว่าภาระของเราส่วนใหญ่แล้วเป็นการกระทำที่ตนเองก่อขึ้น.”
16. ภาระอะไรบ้างซึ่งเราอาจก่อให้เกิดขึ้นแก่ตัวเราเองอย่างไม่สุขุม?
16 ภาระหนักที่เราเองอาจก่อขึ้นมีอะไรบ้าง? ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่นิยมวัตถุ, รักความสนุกสนาน, และเสื่อมศีลธรรม. (2 ติโมเธียว 3:1-5) แม้แต่คริสเตียนซึ่งอุทิศตัวแล้วก็อยู่ภายใต้แรงกดดันเสมอ ที่จะให้คล้อยตามแฟชั่นการแต่งกายและวิถีชีวิตอย่างโลก. อัครสาวกโยฮันได้เขียนเกี่ยวด้วย “ความปรารถนาของเนื้อหนัง, ความปรารถนาของตา, และการอวดอ้างปัจจัยการดำรงชีวิตของตน.” (1 โยฮัน 2:16, ล.ม.) สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลอันทรงพลังซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเราได้ง่าย. เป็นที่ทราบกันดีว่า บางคนสมัครใจจะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพื่อมีความสนุกสนานอย่างชาวโลกมากขึ้น หรือเพื่อคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตแบบใดแบบหนึ่ง. แล้วเขาก็ประสบว่า เขาต้องใช้เวลาวุ่นอยู่กับงาน หรือต้องทำงานหลายอย่างเพื่อได้เงินพอใช้หนี้.
17. สภาพการณ์อะไรอาจทำให้การแบกภาระยิ่งยากขึ้น และจะแก้ไขสภาพการณ์นั้นอย่างไร?
17 ขณะที่คนเราอาจชักเหตุผลว่า ไม่ผิดที่จะมีบางสิ่งที่คนอื่นมี หรือทำบางอย่างที่คนอื่นทำกัน แต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะวิเคราะห์ว่า ตนกำลังเพิ่มภาระโดยไม่จำเป็นให้กับตัวเองหรือไม่. (1 โกรินโธ 10:23) เนื่องจากคนเราแบกภาระได้ในขนาดจำกัดเท่านั้น จึงจำเป็นต้องขจัดบางสิ่งทิ้งไปเพื่อจะแบกอีกภาระหนึ่ง. บ่อยครั้ง สิ่งจำเป็นสำหรับสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของเรา เช่น การศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัว, การเข้าร่วมประชุม, และการไปประกาศเผยแพร่ตามบ้าน—ถูกผัดเลื่อนออกไปก่อน. ผลที่ตามมาคือการสูญเสียความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ ซึ่งทำให้การแบกภาระยิ่งยากขึ้น. พระเยซูคริสต์ทรงเตือนให้ระวังอันตรายดังกล่าวเมื่อพระองค์ตรัสดังนี้: “จงเอาใจใส่ตัวเอง เพื่อว่าหัวใจของเจ้าจะไม่เพียบลงด้วยการกินมากเกินไปและการดื่มจัดและความกระวนกระวายในเรื่องชีวิต และโดยไม่ทันรู้ตัววันนั้นจะมาถึงเจ้าอย่างกะทันหันดุจบ่วงแร้ว. เพราะวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินโลกทั้งสิ้น.” (ลูกา 21:34, 35, ล.ม.; เฮ็บราย 12:1) คงยากที่จะสังเกตเห็นบ่วงแร้วและหลบหลีกได้ถ้าคนเรากำลังแบกของหนักและเหน็ดเหนื่อย.
การปลดเปลื้องและความสดชื่น
18. พระเยซูทรงเสนออะไรแก่คนเหล่านั้นที่มาหาพระองค์?
18 เหตุฉะนั้น ด้วยความรัก พระเยซูทรงเสนอวิธีการแก้ไขดังนี้: “จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น.” (มัดธาย 11:28, ล.ม.) คำ ‘ทำให้สดชื่น’ ในข้อนี้และ “ความสดชื่น” ในข้อ 29 มาจากคำภาษากรีก ซึ่งตรงกับคำที่คัมภีร์ฉบับแปลเซปตัวจินต์ใช้เพื่อแปลคำภาษาฮีบรูสำหรับ “ซะบาโต” หรือ “การรักษาซะบาโต.” (เอ็กโซโด 16:23) ดังนั้น พระเยซูไม่ได้สัญญาว่า คนเหล่านั้นที่มาหาพระองค์จะไม่ต้องมีงานมาก แต่พระองค์ทรงสัญญาว่า พระองค์จะทำให้เขาสดชื่น เพื่อเขาจะพร้อมสำหรับงานที่ต้องทำให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า.
19. คนเรา ‘มาหาพระเยซู’ โดยวิธีใด?
19 ทว่า คนเรา ‘มาหาพระเยซู’ โดยวิธีใด? พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ดังนี้: “ถ้าผู้ใดต้องการตามเรามา ก็ให้ผู้นั้นปฏิเสธตัวเอง และรับเอาเสาทรมานของตนแล้วติดตามเราเรื่อยไป.” (มัดธาย 16:24, ล.ม.) ฉะนั้น ที่จะมาหาพระเยซูหมายถึงการยอมให้เจตจำนงของตัวเองเป็นไปตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าและของพระคริสต์, การรับเอาภาระหน้าที่รับผิดชอบบางอย่าง, การทำเช่นนั้นเรื่อยไป. ทั้งหมดนี้เป็นการเรียกร้องมากไปไหม? นั่นเป็นการจ่ายด้วยราคาแพงเกินไปไหม? ให้เราพิจารณาสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสหลังจากที่ทรงมีคำเชิญด้วยความรักไปถึงผู้เหนื่อยยาก.
คุณจำได้ไหม?
▫ ผู้คนสมัยพระเยซูแบกภาระหนักในทางใดบ้าง?
▫ สาเหตุแท้ที่ทำให้ประชาชนได้รับความยากลำบากคืออะไร?
▫ เราควรตรวจสอบตัวเองอย่างไรถ้ารู้สึกว่า เราแบกภาระหนัก?
▫ ภาระหนักอะไรบ้างที่เราอาจก่อให้เกิดขึ้นแก่ตัวเราเองอย่างไม่สุขุม?
▫ เราอาจได้รับความสดชื่นตามที่พระเยซูทรงสัญญาไว้นั้นอย่างไร?
[รูปภาพหน้า 15]
ภาระหนักอะไรบ้างซึ่งเราอาจนำมาสู่ตัวเอง?
[ที่มาของภาพหน้า 15]
Courtesy of Bahamas Ministry of Tourism