-
การบรรเทาความตึงเครียด—วิธีเยียวยาที่ใช้ได้จริงหอสังเกตการณ์ 2001 | 15 ธันวาคม
-
-
อยู่ใต้แอก
9, 10. ในสมัยโบราณ แอกเป็นสัญลักษณ์ของอะไร และเหตุใดพระเยซูเชิญผู้คนให้รับเอาแอกของพระองค์?
9 คุณสังเกตไหมว่าในคำตรัสที่มัดธาย 11:28, 29 (ล.ม.) พระเยซูตรัสว่า “จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา.” ในเวลานั้น สามัญชนอาจรู้สึกราวกับว่าเขากำลังทำงานอยู่ใต้แอก. ตั้งแต่โบราณมา แอกถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นทาส. (เยเนซิศ 27:40; เลวีติโก 26:13; พระบัญญัติ 28:48) กรรมกรเป็นจำนวนมากในสมัยนั้นที่พระเยซูทรงพบเห็นทำงานโดยมีแอก [คานไม้สำหรับหาบ] อยู่บนบ่าจริง ๆ เพื่อใช้หาบของหนัก. แอกที่วางบนคอและบ่าอาจทำให้รู้สึกสบายพอสมควรหรืออาจเสียดสีให้เจ็บ ขึ้นอยู่กับการออกแบบการทำ. เนื่องจากทรงเป็นช่างไม้ พระเยซูอาจเคยทำแอกและคงทราบวิธีที่จะทำแอกแบบที่ “พอเหมาะ.” พระองค์อาจบุส่วนที่สัมผัสกับเนื้อด้วยหนังหรือผ้าเพื่อให้ผู้แบกแอกนั้นสบายเท่าที่จะเป็นไปได้.
10 เมื่อพระเยซูตรัสว่า “จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลาย” พระองค์อาจเปรียบพระองค์เองเป็นผู้จัดเตรียมแอก [คานไม้สำหรับหาบ] ที่ทำขึ้นอย่างประณีตซึ่งจะ “พอเหมาะ” กับคอและบ่าของคนงาน. ด้วยเหตุนั้น พระเยซูตรัสเพิ่มเติมอีกว่า “ภาระของเราก็เบา.” คำตรัสนี้แสดงนัยว่าแอกนั้นไม่ทำให้รู้สึกไม่สบายเมื่อใช้ และงานก็ไม่หนักอย่างที่ทาสทำด้วย. จริงอยู่ โดยการเชิญผู้ฟังให้รับเอาแอกของพระองค์ พระเยซูมิได้เสนอว่าจะปลดเปลื้องสภาพอันกดขี่ทุกอย่าง ที่มีอยู่ในเวลานั้นทันที. แต่กระนั้น การที่พระองค์ทรงเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปย่อมนำมาซึ่งความสดชื่นมากมาย. การปรับเปลี่ยนแบบชีวิตและวิธีในการทำสิ่งต่าง ๆ คงจะช่วยพวกเขาให้ผ่อนคลายด้วย. ที่สำคัญกว่านั้น ความหวังที่ชัดเจนและมั่นคงจะช่วยพวกเขาให้รู้สึกว่าชีวิตตึงเครียดน้อยลง.
คุณสามารถได้ความสดชื่น
11. เหตุใดพระเยซูไม่ได้เสนอว่าจะให้แอกอันใหม่มาแทนที่แอกอันเดิม?
11 โปรดสังเกตว่า พระเยซูไม่ได้ตรัสว่าผู้คนจะได้รับแอกอันใหม่แทนที่แอกอันเดิม. โรมจะยังคงปกครองประเทศของพวกเขาต่อไป แบบเดียวกับที่รัฐบาลในปัจจุบันก็จะปกครองประเทศต่าง ๆ ที่คริสเตียนเป็นพลเมืองต่อไป. ในศตวรรษแรก การเรียกเก็บภาษีจากชาวโรมันจะยังมีอยู่ต่อไป. ปัญหาสุขภาพและปัญหาเศรษฐกิจจะยังคงมีอยู่. ความไม่สมบูรณ์และบาปจะส่งผลกระทบผู้คนต่อไป. แต่กระนั้น พวกเขาสามารถได้ความสดชื่นด้วยการรับเอาคำสอนของพระเยซู และเราในปัจจุบันก็สามารถได้ความสดชื่นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน.
12, 13. พระเยซูทรงเน้นว่าอะไรที่จะทำให้สดชื่น และบางคนตอบสนองอย่างไร?
12 ความหมายหลักของตัวอย่างเปรียบเทียบที่พระเยซูยกขึ้นมาเกี่ยวกับแอกนั้นเห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับงานทำให้คนเป็นสาวก. ไม่มีข้อสงสัยที่ว่างานหลักของพระเยซูคือการสอนผู้อื่น โดยเน้นเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. (มัดธาย 4:23) ดังนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลาย” นั่นย่อมหมายรวมถึงการปฏิบัติตามแบบอย่างของพระองค์ในงานเดียวกันนี้ด้วยแน่นอน. บันทึกพระธรรมกิตติคุณแสดงว่าพระเยซูทรงกระตุ้นผู้มีน้ำใสใจจริงให้เปลี่ยนงานประจำชีพของตน ซึ่งเป็นแง่หนึ่งที่สำคัญในชีวิตของหลายคน. ขอให้นึกถึงตอนที่พระองค์ตรัสเรียกเปโตร, อันดะเรอา, ยาโกโบ, และโยฮันว่า “จงตามเรามาเถิด, และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้จับคน.” (มาระโก 1:16-20) พระองค์ทรงแสดงให้ชาวประมงเหล่านี้เห็นว่าเป็นเรื่องที่ให้ความอิ่มใจสักเพียงไรหากพวกเขาทำงานที่พระองค์เองทรงจัดไว้เป็นอันดับแรกในชีวิตของพระองค์ ทำงานนั้นโดยอาศัยการชี้นำและความช่วยเหลือจากพระองค์.
13 ผู้ฟังของพระเยซูซึ่งเป็นชาวยิวบางคนเข้าใจและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์. ขอให้นึกภาพฉากที่เป็นชายทะเลซึ่งเราอ่านในลูกา 5:1-11. ชาวประมงสี่คนทำงานหนักกันมาทั้งคืน แต่จับอะไรไม่ได้เลย. แต่ในทันใดนั้นเอง ก็มีปลาติดอวนของพวกเขาเต็มไปหมด! นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ; เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะพระเยซู. เมื่อพวกเขามองไปบนฝั่ง พวกเขาเห็นฝูงชนเป็นอันมากแสดงความสนใจอย่างยิ่งในคำสอนของพระเยซู. นั่นช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูตรัสแก่พวกเขาทั้งสี่ที่ว่า “ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน.” พวกเขาตอบสนองอย่างไร? “เมื่อเขานำเรือมาถึงฝั่งแล้ว, เขาก็สละทิ้งสิ่งสารพัตรตามพระองค์ไป.”
14. (ก) เราจะรู้สึกสดชื่นได้อย่างไรในทุกวันนี้? (ข) ข่าวดีอะไรที่ทำให้สดชื่นซึ่งพระเยซูทรงประกาศ?
14 โดยพื้นฐานแล้ว คุณสามารถตอบรับคล้าย ๆ กันนั้น. งานสอนผู้คนเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลยังคงดำเนินอยู่. พยานพระยะโฮวาประมาณหกล้านคนทั่วโลกได้ตอบรับคำเชิญของพระเยซูที่ให้ “รับแอก [ของพระองค์]”; พวกเขาได้กลายมาเป็น “ผู้จับคน.” (มัดธาย 4:19) บางคนได้ทำให้งานนี้เป็นงานประจำชีพของตนโดยการรับใช้เต็มเวลา; คนอื่น ๆ ทำมากเท่าที่จะทำได้. ทุกคนพบว่างานนี้ให้ความสดชื่น ทำให้ชีวิตของพวกเขาตึงเครียดน้อยลง. งานนี้เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งที่ให้ความยินดีแก่พวกเขา คือการบอกข่าวดีแก่ผู้อื่น อันได้แก่ “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.” (มัดธาย 4:23, ล.ม.) ตามปกติ การบอกข่าวดีเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความยินดีอยู่แล้ว แต่การบอกข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรยิ่งทำให้ยินดีเป็นพิเศษ. คัมภีร์ไบเบิลมีเนื้อความพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องช่วยให้หลายคนเชื่อมั่น เพื่อเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างที่ตึงเครียดน้อยลง.—2 ติโมเธียว 3:16, 17.
15. คุณจะได้รับประโยชน์จากคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับชีวิตได้อย่างไร?
15 แม้แต่คนที่เพิ่งเริ่มเรียนเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้รับประโยชน์ในระดับหนึ่งจากคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับวิธีดำเนินชีวิต. หลายคนสามารถกล่าวด้วยความสัตย์จริงว่าคำสอนของพระเยซูให้ความสดชื่นและช่วยให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง. คุณจะพิสูจน์เรื่องนั้นได้ด้วยตัวเอง โดยตรวจสอบหลักการบางอย่างเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตซึ่งบอกไว้ในบันทึกเกี่ยวกับชีวิตและการรับใช้ของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธรรมกิตติคุณซึ่งเขียนโดยมัดธาย, มาระโก, และลูกา.
วิธีได้ความสดชื่น
16, 17. (ก) คุณจะพบคำสอนหลัก ๆ ของพระเยซูได้ที่ไหน? (ข) จำเป็นต้องมีอะไรเพื่อจะได้รับความสดชื่นด้วยการใช้คำสอนของพระเยซู?
16 ในฤดูใบไม้ผลิปีสากลศักราช 31 พระเยซูทรงเทศนาสั่งสอนอันเป็นคำเทศน์ที่มีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลกจนกระทั่งทุกวันนี้. คำเทศน์ดังกล่าวมักเรียกกันว่าคำเทศน์บนภูเขา. คำเทศน์นี้มีบันทึกไว้ในมัดธายบท 5 ถึงบท 7 และลูกาบท 6 และคำเทศน์นี้สรุปคำสอนของพระองค์ซึ่งมีอยู่มากมาย. คุณสามารถพบคำสอนอื่นของพระเยซูในที่อื่น ๆ ของพระธรรมกิตติคุณด้วย. คำสอนส่วนมากที่พระองค์ตรัสเป็นคำอธิบายในตัวอยู่แล้ว แม้ว่าการนำมาใช้เป็นส่วนตัวอาจไม่ง่ายนัก. จงอ่านบทเหล่านี้อย่างละเอียดและอย่างใคร่ครวญ. จงให้พลังแห่งแนวคิดของพระองค์ส่งผลต่อวิธีที่คุณคิดและเจตคติของคุณ.
17 เห็นได้ชัด คำสอนของพระเยซูอาจจัดเรียบเรียงได้หลายวิธี. ให้เรารวบรวมคำสอนหลัก ๆ เหล่านี้ไว้ด้วยกันเป็นเรื่อง ๆ พร้อมกับตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะใช้คำสอนเหล่านี้ในชีวิตของคุณวันละเรื่องในรอบหนึ่งเดือน. โดยทำอย่างไร? อย่าเพียงแต่กวาดสายตาผ่านคำสอนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว. ขอให้นึกถึงขุนนางที่ร่ำรวยซึ่งถามพระเยซูคริสต์ว่า “ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” เมื่อพระเยซูทรงทบทวนข้อเรียกร้องสำคัญ ๆ ในพระบัญญัติของพระเจ้า ชายผู้นี้ตอบว่าเขาได้บรรลุข้อเรียกร้องเหล่านั้นแล้ว. ถึงกระนั้น เขาตระหนักว่าเขายังจำเป็นต้องทำมากกว่านั้น. พระเยซูทรงบอกเขาให้พยายามมากขึ้นในการใช้หลักการของพระเจ้าในภาคปฏิบัติ เพื่อจะเป็นสาวกที่ขันแข็ง. เห็นได้ชัดว่า ชายผู้นี้ไม่พร้อมจะทุ่มเทอย่างนั้นจริง ๆ. (ลูกา 18:18-23) ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเรียนคำสอนของพระเยซูในทุกวันนี้ต้องจำไว้ว่า การเห็นด้วยกับคำสอนนั้นแตกต่างกับการรับเอาคำสอนนั้นมาใช้จริง ๆ ซึ่งช่วยให้ความตึงเครียดบรรเทาเบาบางลง.
18. จงแสดงวิธีที่คุณอาจใช้กรอบในบทความนี้ให้เป็นประโยชน์.
18 เพื่อเป็นการเริ่มต้นสำหรับการพิจารณาและการนำคำสอนของพระเยซูไปใช้ ขอให้ดูจุดที่ 1 ของกรอบในบทความนี้. จุดนี้กล่าวถึงมัดธาย 5:3-9. ที่จริง ไม่ว่าใครในพวกเราก็สามารถจะใช้เวลาพอสมควรในการคิดรำพึงคำแนะนำอันยอดเยี่ยมที่เสนอไว้ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้. อย่างไรก็ตาม เมื่อมองโดยรวม คุณลงความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเจตคติ? หากคุณปรารถนาอย่างแท้จริงจะรับมือผลกระทบจากความตึงเครียดเกินไปในชีวิต อะไรจะช่วยได้? สภาพการณ์ในชีวิตของคุณจะดีขึ้นได้อย่างไร หากคุณเพิ่มความเอาใจใส่ต่อสิ่งฝ่ายวิญญาณ ยอมให้สิ่งฝ่ายวิญญาณเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในความคิดของคุณ? มีบางเรื่องในชีวิตที่คุณต้องให้ความสำคัญน้อยลงและให้ความเอาใจใส่มากกว่าแก่สิ่งฝ่ายวิญญาณไหม? หากคุณทำอย่างนั้น คุณจะมีความสุขมากขึ้นในเวลานี้.
19. คุณอาจทำอะไรได้เพื่อจะมีความหยั่งเห็นเข้าใจมากขึ้น?
19 มีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณจะทำได้. ทำไมไม่พิจารณาข้อพระคัมภีร์เหล่านี้กับเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าด้วยกันล่ะ อาจเป็นคู่สมรส, ญาติใกล้ชิด, หรือเพื่อนคนไหนก็ได้? (สุภาษิต 18:24; 20:5) ขอให้ระลึกถึงขุนนางผู้ร่ำรวยคนนั้นที่ได้ถามคนอื่น คือถามพระเยซู เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้อง. คำตอบที่ได้รับอาจเพิ่มโอกาสที่จะมีชีวิตอันเปี่ยมด้วยความสุขและยั่งยืนนาน. แน่นอน เพื่อนผู้นมัสการที่คุณพิจารณาข้อเหล่านี้กับเขาไม่ได้มีความสามารถเท่ากับพระเยซู; แต่กระนั้น การสนทนากันเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูจะให้ประโยชน์แก่คุณทั้งสอง. ขอให้พยายามทำอย่างนี้โดยเร็ว.
20, 21. คุณอาจทำตามแผนการอะไรเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู และคุณจะประเมินความก้าวหน้าของคุณได้อย่างไร?
20 ขอให้ดูกรอบในบทความนี้ที่ชื่อ “คำสอนที่ช่วยคุณ” อีกครั้ง. ได้มีการรวบรวมคำสอนเหล่านี้ไว้ด้วยกันเป็นเรื่อง ๆ เพื่อให้คุณมีคำสอนอย่างน้อยหนึ่งเรื่องสำหรับพิจารณาในแต่ละวัน. ก่อนอื่น คุณอาจอ่านสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ในข้อพระคัมภีร์ที่อ้างถึง. จากนั้น ขอให้คิดเกี่ยวกับคำตรัสของพระองค์. ใคร่ครวญเกี่ยวกับวิธีที่คุณอาจใช้คำสอนนั้นในชีวิตของคุณ. หากคุณคิดว่าคุณกำลังทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ขอให้พิจารณาดูว่าคุณอาจทำอะไรได้มากกว่านั้นเพื่อดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้า. จงพยายามใช้ประโยชน์จากคำสอนดังกล่าวในระหว่างวันนั้น. หากคุณรู้สึกว่ายากจะเข้าใจหรือยังมองไม่ค่อยออกว่าจะใช้คำสอนนั้นอย่างไร ก็ให้พิจารณาจุดนั้นซ้ำอีกวันหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม ขอให้จำไว้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำได้ดีเยี่ยมในจุดนั้นก่อนจะข้ามไปพิจารณาจุดต่อไป. วันถัดมา คุณอาจพิจารณาอีกคำสอนหนึ่ง. เมื่อถึงปลายสัปดาห์ คุณสามารถทบทวนดูว่าคุณได้ประสบความสำเร็จอย่างไรบ้างในการใช้คำสอนของพระเยซูสี่หรือห้าจุด. ในสัปดาห์ที่สอง คุณก็จะได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นวันละจุด. หากคุณพบว่าคุณได้พลาดไปไม่ได้ใช้คำสอนบางอย่างก็อย่าได้ท้อใจ. คริสเตียนทุกคนย่อมจะมีประสบการณ์อย่างนั้นเหมือนกัน. (2 โครนิกา 6:36; บทเพลงสรรเสริญ 130:3; ท่านผู้ประกาศ 7:20; ยาโกโบ 3:8) พยายามทำต่อไปในสัปดาห์ที่สามและสี่.
21 หลังจากเวลาประมาณหนึ่งเดือนผ่านไป คุณอาจได้พิจารณาแล้วทั้ง 31 จุด. ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร คุณจะรู้สึกอย่างไรกับผลที่ได้รับ? คุณคงจะมีความสุขมากขึ้นและอาจรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมมิใช่หรือ? แม้แต่เมื่อคุณไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไรนัก คุณคงจะรู้สึกตึงเครียดน้อยลง หรืออย่างน้อยคุณก็น่าจะรับมือความเครียดได้ดีขึ้น และคุณจะมีวิธีที่จะดำเนินต่อไป. อย่าลืมว่ามีจุดอื่น ๆ ที่ดีหลายจุดในคำสอนของพระเยซูที่ไม่ได้ลงไว้ในกรอบนี้. ทำไมไม่ค้นคว้าคำสอนเหล่านั้นและพยายามปฏิบัติตามล่ะ?—ฟิลิปปอย 3:16.
22. การปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูอาจก่อผลอย่างไร แต่มีแง่มุมใดอีกที่น่าศึกษา?
22 คุณได้เห็นแล้วว่าแม้แอกของพระเยซูไม่ใช่ไร้น้ำหนัก แต่ก็พอเหมาะอย่างแท้จริง. ภาระแห่งคำสอนและการเป็นสาวกของพระองค์นั้นเบา. หลังจากมีประสบการณ์ด้วยตัวท่านเองมากกว่า 60 ปี อัครสาวกโยฮันซึ่งเป็นสหายที่รักของพระเยซูเห็นพ้องด้วยว่า “นี่แหละหมายถึงความรักต่อพระเจ้า คือที่เราปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์; และกระนั้นบัญญัติของพระองค์ไม่เป็นภาระหนัก.” (1 โยฮัน 5:3, ล.ม.) คุณสามารถมีความเชื่อมั่นแบบเดียวกัน. ยิ่งคุณใช้คำสอนของพระเยซูมากเท่าใด คุณก็จะยิ่งพบว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตของหลายคนในทุกวันนี้ตึงเครียดมากจะไม่สร้างความลำบากใจแก่คุณ. คุณจะเห็นว่าคุณได้รับความบรรเทามากมาย. (บทเพลงสรรเสริญ 34:8) กระนั้น มีอีกแง่หนึ่งในเรื่องแอกที่พอเหมาะของพระเยซูซึ่งคุณจำเป็นต้องพิจารณา. พระเยซูตรัสเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระองค์ด้วยว่าทรง “มีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม.” เรื่องนี้เข้ากันอย่างไรกับการที่เราเรียนรู้จากพระเยซูและเลียนแบบพระองค์? ในบทความถัดไป เราจะพิจารณาเรื่องนี้.—มัดธาย 11:29.
-
-
‘จงเรียนจากเรา’หอสังเกตการณ์ 2001 | 15 ธันวาคม
-
-
‘จงเรียนจากเรา’
“จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า.”—มัดธาย 11:29, ล.ม.
1. เหตุใดการเรียนรู้จากพระเยซูจึงให้ความเพลิดเพลินและเสริมสร้างชีวิตเราให้มีความสุขยิ่งขึ้น?
พระเยซูคริสต์ทรงคิด, สอน, และกระทำอย่างเหมาะสมเสมอ. ช่วงเวลาที่พระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกนั้นสั้น แต่พระองค์ทรงเพลิดเพลินกับงานประจำชีพที่มีค่าน่าพอใจ และพระองค์ทรงมีความสุขเสมอ. พระองค์ทรงรวบรวมเหล่าสาวกและสอนพวกเขาเกี่ยวกับวิธีนมัสการพระเจ้า, วิธีแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์, และวิธีเอาชนะโลกนี้. (โยฮัน 16:33) พระองค์ทรงเติมความหวังไว้ในหัวใจของพวกเขาและ “ทรงนำชีวิตและซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่านั้นให้กระจ่างแจ้งโดยกิตติคุณ.” (2 ติโมเธียว 1:10) หากคุณถือว่าตัวคุณเองเป็นสาวกของพระองค์ คุณคิดว่าการเป็นสาวกหมายถึงอะไร? ด้วยการพิจารณาคำตรัสของพระเยซูเกี่ยวกับเหล่าสาวก เราสามารถเรียนรู้วิธีที่จะเสริมสร้างชีวิตเราให้มีความสุขยิ่งขึ้น. การพิจารณาดังกล่าวรวมไปถึงการยอมรับทัศนะของพระองค์และการปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานบางอย่าง.—มัดธาย 10:24, 25; ลูกา 14:26, 27; โยฮัน 8:31, 32; 13:35; 15:8.
2, 3. (ก) การเป็นสาวกของพระเยซูหมายถึงอะไร? (ข) เหตุใดจึงสำคัญที่จะถามตัวเองว่า ‘ฉันเป็นสาวกของผู้ใด?’
2 ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำที่มักแปลกันว่า “สาวก” มีความหมายพื้นฐานหมายถึงคนที่มุ่งความคิดจิตใจไปที่สิ่งหนึ่ง หรือคนที่เรียนรู้. คำหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันปรากฏอยู่ในข้อพระคัมภีร์ที่เป็นอรรถบทของบทความนี้ คือมัดธาย 11:29 (ล.ม.) ซึ่งอ่านว่า “จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียน จากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า.” ถูกแล้ว สาวกคือผู้เรียนรู้. พระธรรมกิตติคุณมักใช้คำ “สาวก” กับคนที่ติดตามพระเยซูอย่างใกล้ชิด ซึ่งเดินทางไปกับพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงประกาศและได้รับการสั่งสอนจากพระองค์. บางคนอาจเพียงแค่ยอมรับคำสอนของพระเยซู หรือแม้แต่ยอมรับอย่างไม่เปิดเผยด้วยซ้ำ. (ลูกา 6:17; โยฮัน 19:38) ผู้เขียนพระธรรมกิตติคุณยังได้กล่าวถึง “พวกศิษย์ [หรือสาวก] ของโยฮัน [ผู้ให้บัพติสมา] และ [สาวกของ] พวกฟาริซาย” ด้วย. (มาระโก 2:18) เนื่องจากพระเยซูทรงเตือนเหล่าผู้ติดตามพระองค์ให้ “ระวังคำสอนของพวกฟาริซาย” เราอาจถามตัวเองได้ว่า ‘ฉันเป็นสาวกของผู้ใด?’—มัดธาย 16:12.
3 หากเราเป็นสาวกของพระเยซู และหากเราได้เรียนรู้จากพระองค์ คนอื่น ๆ น่าจะรู้สึกสดชื่นทางฝ่ายวิญญาณเมื่อเราอยู่ด้วย. พวกเขาน่าจะสังเกตเห็นว่าเราเปลี่ยนเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและใจถ่อมกว่าเดิม. หากเรามีหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้จัดการ, หรือเป็นบิดามารดา, หรือมีหน้าที่บำรุงเลี้ยงฝูงแกะในประชาคมคริสเตียน ผู้ที่อยู่ในความดูแลของเรารู้สึกไหมว่าเราปฏิบัติต่อเขาเหมือนพระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ในความดูแลของพระองค์?
วิธีที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้คน
4, 5. (ก) เหตุใดจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทราบว่าพระเยซูทรงปฏิบัติอย่างไรต่อผู้คนที่มีปัญหา? (ข) มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูกำลังรับประทานอาหารที่บ้านของฟาริซายคนหนึ่ง?
4 เราจำเป็นต้องทราบวิธีที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่มีปัญหาหนัก. การเรียนรู้ในเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก; คัมภีร์ไบเบิลมีรายงานมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่พระเยซูทรงพบปะกับผู้คน บางคนมีความทุกข์หนักใจ. ขอให้เราสังเกตด้วยว่าพวกหัวหน้าศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริซาย ปฏิบัติต่อผู้คนที่มีปัญหาคล้าย ๆ กันอย่างไร. ข้อแตกต่างที่เราเห็นจะช่วยให้มีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น.
5 ในปีสากลศักราช 31 ขณะที่พระเยซูทรงเดินทางประกาศไปทั่วมณฑลแกลิลี (ฆาลิลาย) “มีคนหนึ่งในพวกฟาริซายเชิญ [พระเยซู] ไปรับประทานอาหารกับเขา.” พระเยซูไม่ได้ทรงลังเลที่จะตอบรับคำเชิญนั้น. “พระองค์ก็เสด็จเข้าไปนั่งในบ้านของคนฟาริซายคนนั้น. และนี่แน่ะ, มีผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่ว, เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ในบ้านของคนฟาริซายนั้น, เขาจึงถือผอบศิลามีน้ำมันหอม มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์, ร้องไห้น้ำตาไหลชำระพระบาท, เอาผมเช็ด, จุบพระบาทของพระองค์มาก, และเอาน้ำมันนั้นชโลม.”—ลูกา 7:36-38.
6. อะไรอาจเป็นเหตุที่หญิงคนนี้ซึ่งเป็น “หญิงชั่ว” สามารถเข้าไปในบ้านของฟาริซายได้?
6 คุณนึกภาพเหตุการณ์นั้นออกไหม? หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งอ้างว่า “หญิงคนนี้ (ข้อ 37) ฉวยประโยชน์จากขนบธรรมเนียมที่อนุญาตให้คนจนมายังงานเลี้ยงเพื่อขออาหารที่เหลือ.” นั่นอาจเป็นเหตุผลที่คนซึ่งไม่ได้รับเชิญสามารถเข้าไปในบ้านได้. อาจมีคนอื่น ๆ รอกวาดอาหารที่เหลือเมื่อการกินเลี้ยงในมื้อนั้นสิ้นสุดลง. แต่พฤติกรรมของหญิงคนนี้แปลกออกไป. เธอไม่ได้คอยเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ และคอยให้อาหารค่ำมื้อนั้นจบลง. เธอมีชื่อเสียงไม่ดีด้านศีลธรรม เป็น “หญิงชั่ว” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ถึงขนาดที่พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับ “ความผิดบาปของผู้หญิงนี้ซึ่งมีมาก.”—ลูกา 7:47.
7, 8. (ก) เราอาจแสดงปฏิกิริยาอย่างไรหากอยู่ในสภาพการณ์ดังที่บอกไว้ในลูกา 7:36-38? (ข) ซีโมนแสดงปฏิกิริยาอย่างไร?
7 ขอให้นึกภาพว่าตัวคุณเองมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นและอยู่ในฐานะเดียวกับพระเยซู. คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? คุณจะรู้สึกอึดอัดไหมเมื่อหญิงคนนี้เข้ามาใกล้คุณ? สถานการณ์เช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อคุณอย่างไร? (ลูกา 7:45) คุณจะรู้สึกขนลุกหรือขยะแขยงไหม?
8 ถ้าคุณอยู่ในหมู่แขกคนอื่น ๆ สิ่งที่คุณคิดอาจคล้าย ๆ กับความคิดของฟาริซายผู้นี้ที่ชื่อซีโมนไหม? “ฝ่ายคนฟาริซายที่ได้เชิญ [พระเยซู] เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า, ‘ถ้าท่านนี้เป็นศาสดาพยากรณ์ก็คงจะรู้ว่าหญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของท่านเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร, เพราะเขาเป็นคนชั่ว.’ ” (ลูกา 7:39) ตรงกันข้าม พระเยซูทรงเป็นบุรุษผู้มีความกรุณาอันลึกซึ้ง. พระองค์ทรงเข้าใจสภาพอันเลวร้ายของหญิงคนนี้และรับรู้ความเจ็บปวดรวดร้าวของเธอ. ไม่มีบันทึกบอกไว้ว่าเธอพลาดพลั้งสู่วิถีชีวิตที่ผิดบาปอย่างไร. หากว่าเธอเป็นหญิงโสเภณีจริง ก็เห็นได้ชัดว่าพวกผู้ชายในเมืองนั้นซึ่งเป็นชาวยิวที่เคร่งศาสนาไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เธอ.
9. พระเยซูทรงแสดงปฏิกิริยาตอบอย่างไร และอาจเกิดผลเป็นเช่นไร?
9 แต่พระเยซูทรงปรารถนาจะช่วยเธอ. พระองค์ตรัสแก่เธอว่า “ความผิดบาปของเจ้าโปรดยกเสียแล้ว.” แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด. จงไปเป็นสุขเถิด.” (ลูกา 7:48-50) บันทึกจบลงตรงนี้. บางคนอาจแย้งว่าไม่เห็นพระเยซูทรงช่วยอะไรเธอมากนัก. แต่พื้นฐานสำคัญคือ พระองค์ทรงส่งเธอให้กลับออกไปด้วยคำอวยพร. คุณคิดว่าเธอจะกลับไปสู่วิถีชีวิตอันน่ารังเกียจอีกไหม? แม้ว่าเราไม่อาจกล่าวได้แน่นอนในเรื่องนี้ แต่ขอให้สังเกตสิ่งที่ลูกากล่าวต่อจากนั้น. ท่านเล่าว่าพระเยซูทรงเดินทาง “ไปทั่วตลอดตามบ้านตามเมือง, ทรงประกาศกิตติคุณแห่งแผ่นดินของพระเจ้า.” ลูการายงานด้วยว่า “ผู้หญิงลางคน” อยู่กับพระเยซูและเหล่าสาวก และ “ปรนนิบัติพระองค์ด้วยการถวายสิ่งของ.” เป็นไปได้ว่าหญิงคนนี้ได้กลับใจและแสดงความหยั่งรู้ค่าและบัดนี้ได้มาอยู่ในหมู่เหล่าสาวก เริ่มดำเนินชีวิตในแนวทางที่พระเจ้าพอพระทัย โดยมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด, มีเป้าหมายใหม่, และมีความรักที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า.—ลูกา 8:1-3.
ความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับพวกฟาริซาย
10. เหตุใดจึงเป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาเรื่องราวของพระเยซูกับหญิงคนนี้ที่บ้านของซีโมน?
10 เราเรียนอะไรได้จากบันทึกนี้ซึ่งกล่าวไว้อย่างชัดเจน? เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจมิใช่หรือ? ขอให้นึกภาพว่าตัวคุณเองอยู่ในบ้านของซีโมน. คุณจะรู้สึกอย่างไร? คุณจะแสดงปฏิกิริยาแบบเดียวกับพระเยซู หรือคุณจะรู้สึกคล้าย ๆ กับฟาริซายผู้เป็นเจ้าบ้าน? พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เราจึงไม่อาจรู้สึกและทำได้เหมือนพระองค์ทุกอย่าง. แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราคงไม่อยากให้ตัวเราเองเป็นเหมือนกับฟาริซายซีโมน. คงมีน้อยคนที่จะรู้สึกภูมิใจว่าตัวเองมีความคิดเหมือนกับพวกฟาริซาย.
11. เหตุใดเราคงไม่อยากถูกจัดว่ามีความคิดเหมือนกับพวกฟาริซาย?
11 จากการศึกษาในคัมภีร์ไบเบิลและหลักฐานทางโลก เราลงความเห็นได้ว่าพวกฟาริซายถือตัวว่าตนเป็นผู้พิทักษ์สวัสดิภาพของชาติและดูแลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในหมู่ประชาชน. พวกเขาไม่รู้สึกอิ่มใจที่พระบัญญัติของพระเจ้ามีลักษณะพื้นฐานที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย. ในที่ใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าพระบัญญัติไม่ได้กำหนดแน่นอน พวกเขาก็จะพยายามอุดจุดที่เขาคิดว่าเป็นช่องโหว่นั้นด้วยข้อกำหนดในการใช้พระบัญญัติ เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้สติรู้สึกผิดชอบ. พวกหัวหน้าศาสนาเหล่านี้พยายามคิดคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งควบคุมการกระทำในทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องหยุม ๆ หยิม ๆ.a
12. พวกฟาริซายถือว่าตัวเองเป็นเช่นไร?
12 โยเซฟุสนักประวัติศาสตร์ชาวยิวแห่งศตวรรษแรกกล่าวไว้ชัดเจนว่าพวกฟาริซายถือว่าตัวเองกรุณา, อ่อนโยน, ยุติธรรม, และมีสิทธิโดยสมบูรณ์สำหรับหน้าที่ของตน. ไม่ต้องสงสัยว่าคงมีบางคนที่ทำได้ใกล้เคียงกับข้ออ้างดังกล่าว. คุณอาจนึกถึงนิโกเดโม. (โยฮัน 3:1, 2; 7:50, 51) ในเวลาต่อมา มีบางคนในพวกฟาริซายได้รับเอาแนวทางชีวิตแบบคริสเตียน. (กิจการ 15:5) คริสเตียนอัครสาวกเปาโลเขียนเกี่ยวกับชาวยิวบางคน เช่น พวกฟาริซายว่า “พวกเขามีใจแรงกล้าเพื่อพระเจ้า; แต่หาเป็นไปตามความรู้ถ่องแท้ไม่.” (โรม 10:2, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม พระธรรมกิตติคุณกล่าวถึงพวกเขาอย่างที่คนทั่วไปมอง กล่าวคือ หยิ่ง, ยโส, ถือตัวชอบธรรม, ชอบจับผิด, ตัดสินผู้อื่น, และประพฤติตัวไม่น่านับถือ.
ทัศนะของพระเยซู
13. พระเยซูตรัสเช่นไรเกี่ยวกับพวกฟาริซาย?
13 พระเยซูทรงตำหนิพวกอาลักษณ์และฟาริซายว่าหน้าซื่อใจคด. “เขาดีแต่ผูกมัดของหนักซึ่งแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย.” ถูกแล้ว ภาระของพวกเขานั้นหนัก และแอกที่พวกเขาวางบนประชาชนก็ทารุณ. พระเยซูตรัสต่อไปโดยเรียกพวกอาลักษณ์และฟาริซายว่า “คนโฉดเขลา.” คนโฉดเขลาเป็นภัยต่อชุมชน. พระเยซูทรงเรียกพวกอาลักษณ์และฟาริซายด้วยว่า “คนนำทางตาบอด” และตรัสอย่างหนักแน่นว่าพวกเขาได้ ‘ละเว้นส่วนข้อสำคัญแห่งพระบัญญัติ คือความชอบธรรม, ความเมตตา, และความเชื่อ.’ ใครล่ะอยากให้พระเยซูมองว่าเขาเป็นเหมือนพวกฟาริซาย?—มัดธาย 23:1-4, 16, 17, 23.
14, 15. (ก) วิธีที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อมัดธายเลวีเผยอะไรเกี่ยวกับแนวทางประพฤติของพวกฟาริซาย? (ข) เราสามารถได้บทเรียนสำคัญอะไรจากเรื่องนี้?
14 ผู้อ่านบันทึกพระธรรมกิตติคุณเกือบทุกคนสามารถเห็นได้ว่าพวกฟาริซายส่วนใหญ่มีนิสัยชอบวิพากษ์วิจารณ์. หลังจากพระเยซูทรงเชิญมัดธายเลวีซึ่งเป็นคนเก็บภาษีให้มาเป็นสาวก เลวีจัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับพระองค์. บันทึกกล่าวว่า “ฝ่ายพวกฟาริซายและพวกอาลักษณ์ของเขากะซิบบ่นติพวกศิษย์ของพระองค์ว่า, ‘เหตุไฉนพวกท่านมากินและดื่มกับพวกเก็บภาษีและกับพวกคนบาป?’ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า, ‘ . . . เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม, แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่.’ ”—ลูกา 5:27-32.
15 เลวีเองเข้าใจอีกสิ่งหนึ่งที่พระเยซูตรัสในโอกาสนั้น ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปเรียนข้อนี้ให้เข้าใจซึ่งว่า, ‘เราประสงค์ความเมตตา, และเครื่องบูชาเราไม่ประสงค์.’ ” (มัดธาย 9:13) แม้ว่าพวกฟาริซายอ้างว่าเชื่อในข้อเขียนของผู้พยากรณ์ชาวฮีบรู แต่พวกเขามิได้ยอมรับคำกล่าวนี้ซึ่งยกจากโฮเซอา 6:6. พวกเขายอมฝ่าฝืนพระบัญญัติมากกว่าจะฝ่าฝืนประเพณี. ขอให้เราแต่ละคนถามตัวเองดังนี้: ‘ฉันได้ชื่อว่าเป็นคนที่ยึดติดกับกฎบางอย่าง เช่น กฎที่สะท้อนความเห็นส่วนตัวหรือว่าฉันยึดถือสามัญสำนึกมากกว่า? หรือ คนอื่น ๆ มองว่าฉันเด่นในด้านความเมตตาและใจดีไหม?’
16. แนวทางประพฤติของพวกฟาริซายเป็นเช่นไร และเราจะหลีกเลี่ยงการทำอย่างพวกเขาได้อย่างไร?
16 ติ, ติ, แล้วก็ติ. นั่นคือแนวทางประพฤติของพวกฟาริซาย. พวกฟาริซายจ้องหาข้อบกพร่องทุกอย่าง ไม่ว่าที่เป็นข้อบกพร่องจริงหรือที่นึกเอาเอง. พวกเขาทำให้ประชาชนต้องเตรียมใจรอรับการว่ากล่าวอยู่เสมอ และคอยเตือนพวกเขาให้นึกถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง. พวกฟาริซายภาคภูมิใจว่าพวกเขาถวายสิบลดหนึ่งแม้แต่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สะระแหน่, ยี่หร่า, และขมิ้น. พวกเขาโอ้อวดว่าตนเคร่งศาสนาด้วยการแต่งกายและพยายามชี้นำบงการชาติ. แน่นอน เพื่อที่การกระทำของเราจะสอดคล้องลงรอยกับตัวอย่างของพระเยซู เราต้องหลีกเลี่ยงแนวโน้มที่จะจับผิดและเน้นข้อบกพร่องของผู้อื่นอยู่เสมอ.
พระเยซูทรงจัดการปัญหาอย่างไร?
17-19. (ก) จงอธิบายว่าพระเยซูทรงจัดการอย่างไรในเหตุการณ์ที่อาจก่อผลร้ายแรงมาก. (ข) อะไรทำให้เรื่องนี้ตึงเครียดและไม่น่ายินดี? (ค) หากคุณอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นเมื่อหญิงคนนี้เข้าไปหาพระเยซู คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
17 วิธีของพระเยซูในการจัดการปัญหาแตกต่างกันมากกับวิธีของพวกฟาริซาย. ขอให้พิจารณาวิธีที่พระเยซูทรงจัดการในเหตุการณ์หนึ่งซึ่งอาจนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก. เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับหญิงคนหนึ่งซึ่งตกเลือดมานานถึง 12 ปี. คุณจะอ่านเรื่องนี้ได้ในลูกา 8:42-48.
18 บันทึกของมาระโกกล่าวว่าหญิงคนนี้ “กลัวจนตัวสั่น.” (มาระโก 5:33) เพราะเหตุใด? ไม่มีข้อสงสัยว่าเพราะเธอทราบว่าเธอได้ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า. ตามที่ระบุไว้ในเลวีติโก 15:25-28 ผู้หญิงที่ตกเลือดในลักษณะผิดปกติถือว่าเป็นมลทินตราบเท่าที่ยังตกเลือดอยู่ รวมถึงหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์. ทุกสิ่งที่เธอแตะต้องและทุกคนที่ถูกต้องตัวเธอถือว่าเป็นมลทิน. เพื่อจะเข้าไปถึงพระเยซูได้ หญิงคนนี้ต้องฝ่าฝูงชนเข้าไป. เมื่อเราพิจารณาเรื่องนี้ในเวลานี้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 2,000 ปี เรารู้สึกเห็นใจในความลำบากใจของเธอ.
19 หากคุณอยู่ในในสมัยนั้น คุณจะมองเหตุการณ์นี้อย่างไร? คุณจะพูดอย่างไร? สังเกตว่าพระเยซูทรงปฏิบัติต่อหญิงคนนี้อย่างกรุณา, เปี่ยมด้วยความรัก, และคำนึงถึงความรู้สึกของเธอ ไม่ได้ตรัสถึงปัญหาที่เธออาจได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ.—มาระโก 5:34.
20. ถ้าเลวีติโก 15:25-28 เป็นข้อเรียกร้องในปัจจุบัน เราจะเผชิญกับข้อท้าทายอะไร?
20 เราจะเรียนบางสิ่งบางอย่างจากเหตุการณ์นี้ได้ไหม? สมมุติว่าคุณเป็นผู้ปกครองในประชาคมคริสเตียนในปัจจุบัน. และสมมุติต่ออีกว่าเลวีติโก 15:25-28 เป็นข้อเรียกร้องอย่างหนึ่งสำหรับคริสเตียนในปัจจุบัน และมีสตรีคริสเตียนคนหนึ่งได้ละเมิดกฎหมายข้อนี้ และเธอวิตกกังวลอย่างยิ่งและรู้สึกไร้ที่พึ่งพิง. คุณจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร? คุณจะทำให้เธออับอายต่อหน้าธารกำนัลด้วยการให้คำแนะนำในเชิงต่อว่าไหม? คุณอาจพูดว่า “ผมคงไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่! ผมคงทำตามแบบอย่างของพระเยซู โดยพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อจะแสดงความกรุณา, ความรัก, คิดถึงความรู้สึกของเธอ, และเห็นใจเธอ.” นั่นนับว่าดีมาก! อย่างไรก็ตาม การเลียนแบบพระเยซูอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย.
21. พระเยซูทรงสอนประชาชนเช่นไรเกี่ยวกับพระบัญญัติ?
21 โดยพื้นฐานแล้ว ประชาชนรู้สึกว่าได้รับความสดชื่นจากพระเยซู, มีสภาพจิตใจดีขึ้น, และได้กำลังใจ. ตรงไหนที่พระบัญญัติของพระเจ้ากำหนดไว้แน่ชัด ก็หมายความอย่างที่กล่าวไว้. หากดูเหมือนว่าพระบัญญัติกล่าวไว้กว้าง ๆ พวกเขาก็จะต้องใช้สติรู้สึกผิดชอบของตนมากขึ้น และจะสามารถแสดงความรักต่อพระเจ้าได้ด้วยการตัดสินใจของตน. พระบัญญัติมีความยืดหยุ่น ไม่ตายตัว. (มาระโก 2:27, 28) พระเจ้าทรงรักไพร่พลของพระองค์, ทรงดำเนินการเพื่อประโยชน์ของพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ, และทรงเต็มพระทัยจะแสดงความเมตตาเมื่อพวกเขาล้มพลาด. พระเยซูก็ทรงเป็นอย่างนั้น.—โยฮัน 14:9.
-