‘จงกระทำให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม’
“จงกระทำให้มีมิตรสหายแก่ตัวด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม, . . . คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย.”—ลูกา 16:9, 10.
1. ภายหลังการหนีรอดจากอียิปต์แล้ว โมเซและไพร่พลชาวยิศราเอลได้สรรเสริญพระยะโฮวาโดยวิธีใด?
การรอดชีวิตมาได้อย่างมหัศจรรย์ช่างเป็นประสบการณ์ที่เสริมความเชื่อให้มั่นคงจริง ๆ! การอพยพชาวยิศราเอลออกจากอียิปต์จะเป็นไปโดยอำนาจของใครอื่นไม่ได้ นอกจากพระยะโฮวา พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ทุกประการ. ไม่แปลกที่โมเซพร้อมด้วยชาวยิศราเอลได้ร้องเพลงดังนี้: “ยาห์ทรงเป็นกำลังและความเข้มแข็งของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า. นี้แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์; พระเจ้าแห่งบิดาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะยกพระองค์ไว้สูง.”—เอ็กโซโด 15:1, 2, ล.ม.; พระบัญญัติ 29:2.
2. ไพร่พลของพระยะโฮวาได้เอาอะไรไปด้วยตอนที่ออกจากอียิปต์?
2 อิสรภาพที่ชาติยิศราเอลเพิ่งประสบช่างแตกต่างกับสภาพของพวกเขาในอียิปต์เสียจริง ๆ! บัดนี้เขาสามารถนมัสการพระยะโฮวาโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง. และใช่ว่าพวกเขาได้ออกมาจากอียิปต์มือเปล่า. โมเซบรรยายว่า “ชนชาติยิศราเอล . . . ได้ขอเครื่องเงินทองประดับกาย, และผ้านุ่งห่มจากชาติอายฆุบโต. และพระยะโฮวาได้ทรงทำให้พลไพร่นั้นเป็นที่ชอบต่อชาวอายฆุบโต, เขาจึงให้สิ่งของทั้งปวงตามที่เขาขอ. เขาจึงได้ริบสิ่งของต่าง ๆ ของชาวอายฆุบโตเสีย.” (เอ็กโซโด 12:35, 36) ทว่าพวกเขาใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นที่ได้จากอียิปต์อย่างไร? วิธีใช้ทรัพย์สมบัตินั้นยังผลเป็น ‘การยกย่องพระยะโฮวา’ ไหม? เราเรียนรู้อะไรจากตัวอย่างของเขา?—เทียบกับ 1 โกรินโธ 10:11.
“นำของมาถวายพระยะโฮวา”
3. การที่ชาวยิศราเอลใช้ทองคำเพื่อการนมัสการเท็จนั้นเป็นการยั่วยุให้พระยะโฮวามีปฏิกิริยาเช่นไร?
3 ระหว่างช่วง 40 วันที่โมเซอยู่บนภูเขาซีนายเพื่อรับการชี้แนะของพระเจ้าสำหรับชาวยิศราเอลนั้น ฝูงชนที่รออยู่เบื้องล่างเริ่มก่อความวุ่นวาย. เขาได้ปลดต่างหูทองคำ และสั่งให้อาโรนสร้างรูปจำลองให้เขานมัสการ. อาโรนยังได้สร้างแท่นบูชาให้อีกด้วย และเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ได้ถวายเครื่องบูชาบนแท่นนั้น. การใช้ทองคำของเขาด้วยวิธีนี้ทำให้เขาเป็นที่รักของผู้ช่วยชีวิตเขาให้รอดไหม? ไม่เลย! พระยะโฮวาทรงแถลงแก่โมเซดังนี้: “เหตุฉะนี้ เจ้าจงปล่อยให้เราทำตามลำพัง, เพื่อความพิโรธของเราจะได้เดือดพลุ่งทวีขึ้นต่อเขา และเพื่อเราจะได้เผาผลาญเขาเสีย.” โดยการวิงวอนของโมเซเท่านั้น พระยะโฮวาถึงได้ไว้ชีวิตชนชาตินั้น กระนั้น พวกหัวโจกที่ก่อกบฏก็ถูกลงโทษด้วยภัยพิบัติที่มาจากพระเจ้า.—เอ็กโซโด 32:1-6, 10-14, 30-35.
4. อะไรคือ “ของถวายพระยะโฮวา” และใครถวายของนั้น?
4 ในเวลาต่อมา ชาวยิศราเอลมีโอกาสได้ใช้สิ่งของมีค่าต่าง ๆ ซึ่งเขาเป็นเจ้าของอย่างที่ทำให้ พระยะโฮวาพอพระทัย. พวกเขาได้ “นำของมาถวายพระยะโฮวา.”a ทองคำ, เงิน, ทองแดง, ผ้าสีฟ้า, ผ้าหลากสีสัน, หนังแกะ, หนังแมวน้ำ, และไม้หอม [กำยาน] ก็รวมอยู่ในบรรดาสิ่งของที่นำมาถวายเพื่อการก่อสร้างและตกแต่งพลับพลาชุมนุม. เรื่องราวช่วยให้เราเพ่งเล็งท่าทีของผู้บริจาค. “ผู้ใดมีน้ำใจสมัคร ให้ผู้นั้นนำของมาถวายพระยะโฮวา.” (เอ็กโซโด 35:5-9) ชาวยิศราเอลตอบสนองอย่างท่วมท้น. ดังนั้น พลับพลาชุมนุมจึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่ “งามวิจิตรและสง่าสมเกียรติอย่างยิ่ง” ดังคำกล่าวอ้างของผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง.
ของบริจาคสำหรับพระวิหาร
5, 6. เกี่ยวข้องกับพระวิหาร ดาวิดได้ใช้ทรัพย์สมบัติของท่านอย่างไร และคนอื่นตอบสนองอย่างไร?
5 ถึงแม้กษัตริย์ซะโลโมแห่งชาติยิศราเอลได้ดำเนินการก่อสร้างพระนิเวศที่ถาวรสำหรับการนมัสการพระยะโฮวาก็ตาม แต่ดาวิดราชบิดาของท่านได้ตระเตรียมการนี้ไว้แล้วอย่างมากมาย. ดาวิดได้เก็บรวบรวมทองคำ, เงิน, ทองแดง, เหล็ก, วัสดุไม้, และหินพลอยอันมีค่าไว้เป็นจำนวนมหาศาล. ดาวิดตรัสแก่พลเมืองของท่านดังนี้: “เพราะเรามีใจโสมนัสยินดีในพระวิหารของพระเจ้า, เราจึงยกเงินที่คลังในถวายแก่พระเจ้าของเราสำหรับพระวิหารของพระองค์, นอกจากบรรดาสิ่งของที่เราจัดเตรียมไว้แล้วเพื่อพระวิหารบริสุทธิ์นั้น. คือทองคำ . . . สามพันตะลันต์, และเงินที่ชำระบริสุทธิ์แล้วเจ็ดพันตะลันต์, สำหรับหุ้มฝาผนังพระวิหาร.” ดาวิดทรงสนับสนุนผู้อื่นให้มีใจกว้างเช่นกัน. การตอบสนองเป็นไปอย่างไม่อั้น: มีทองคำ, เงิน, ทองแดง, เหล็ก และหินพลอยอันมีค่าอีกมากมาย ประชาชนทั้งปวง “มีความปีติยินดีในการถวายนั้น” ได้ “นำของมาถวายพระยะโฮวาด้วยความศรัทธา.”—1 โครนิกา 22:5; 29:1-9.
6 โดยการบริจาคด้วยใจสมัครเช่นนี้ ชาวยิศราเอลได้แสดงออกถึงความหยั่งรู้ค่าอย่างลึกซึ้งต่อการนมัสการพระยะโฮวา. ดาวิดทูลอธิษฐานด้วยใจถ่อมว่า “แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้ใด และราษฎรของข้าพเจ้าเหล่านี้เป็นผู้ใด, ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงมีกำลังอาจนำของมาถวายอย่างนี้?” เพราะเหตุใด? “ด้วยสรรพสิ่งย่อมเป็นมาจากพระองค์, ข้าพเจ้าทั้งหลายนำแต่ของที่มาจากพระหัตถ์ของพระองค์มาถวาย . . . ฝ่ายข้าพเจ้านี้, ได้ยอมนำบรรดาสิ่งของนั้นมาถวายด้วยใจอันซื่อตรง.”—1 โครนิกา 29:14, 17.
7. เราได้เรียนบทเรียนที่เตือนใจอะไรจากสมัยอาโมศ?
7 ทว่าตระกูลต่าง ๆ แห่งยิศราเอลหาได้ยกการนมัสการพระยะโฮวาไว้เป็นอันดับแรกอยู่เรื่อยไปในจิตใจและหัวใจของเขาไม่. ครั้นถึงศตวรรษที่เก้าก่อนสากลศักราช ชาติยิศราเอลที่แตกแยกกันก็มีความผิดฐานละเลยสิ่งฝ่ายวิญญาณ. เกี่ยวกับอาณาจักรฝ่ายเหนือประกอบด้วยยิศราเอลสิบตระกูล พระยะโฮวาได้ทรงแถลงผ่านอาโมศดังนี้: “วิบัติแก่พวกเขาที่อยู่เลินเล่อในซีโอน, และวางใจเพลินอยู่ในภูเขาซะมาเรีย!” พระองค์ทรงพรรณนาพวกเขาเป็นเหมือน “ผู้นอนบนเตียงอันทำด้วยงา [ช้าง] และเหยียดตัวบนเก้าอี้นอน, แลกินลูกแกะแต่ฝูง ลูกโคแต่ท่ามกลางคอก; . . . ดื่มเหล้าองุ่นในชาม.” แต่ความอุดมมั่งคั่งของเขาไม่เป็นการคุ้มครอง. พระเจ้าทรงเตือนไว้ว่า “เขาจึงจะต้องไปเป็นเชลยหัวหน้าเชลยทั้งปวง, แลเสียงโห่ร้องแห่งพวกที่เหยียดตัวนั้นจะสิ้นไป.” ในปี 740 ก่อนสากลศักราช พวกยิศราเอลก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของอัสซีเรีย. (อาโมศ 6:1, 4, 6, 7) และต่อมา อาณาจักรฝ่ายใต้คือยูดาก็ตกเป็นเหยื่อลัทธิวัตถุนิยมเช่นกัน.—ยิระมะยา 5:26-29.
การใช้โภคทรัพย์อย่างเหมาะสมสมัยคริสเตียน
8. โยเซฟกับมาเรียเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างไรเกี่ยวกับการใช้โภคทรัพย์?
8 ในทางตรงกันข้าม สภาพที่ค่อนข้างยากจนของฝ่ายผู้รับใช้ของพระเจ้าสมัยต่อมาก็หาได้เป็นอุปสรรคขัดขวางเขาไม่ ในการแสดงความความกระตือรือร้นเพื่อการนมัสการแท้. ดูมาเรียกับโยเซฟเป็นตัวอย่าง. ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งของกายะซาออฆูซะโต คนทั้งสองจึงเดินทางไปยังเบธเลเฮม ซึ่งเป็นถิ่นบ้านเกิดของครอบครัว. (ลูกา 2:4, 5) พระเยซูได้ประสูติที่นั่น. สี่สิบวันต่อมา โยเซฟกับมาเรียได้ไปยังพระวิหารในกรุงยะรูซาเลมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพื่อถวายเครื่องบูชาเพื่อชำระตัวให้สะอาดตามข้อบัญญัติ. มาเรียได้ถวายนกสองตัวเป็นเครื่องบูชา ซึ่งบ่งชี้สถานะของเธอว่าค่อนข้างขัดสน. ทั้งมาเรียและโยเซฟไม่ได้แก้ตัวเลยว่าตนขัดสน ไม่อาจนำของมาถวายได้. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คนทั้งสองแสดงความเชื่อฟังโดยใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของตน.—เลวีติโก 12:8; ลูกา 2:22-24.
9-11. (ก) คำตรัสของพระเยซูที่มัดธาย 22:21 ให้การชี้นำอะไรเกี่ยวกับวิธีใช้เงินของเรา? (ข) เพราะเหตุใดการบริจาคเล็กน้อยของหญิงม่ายจึงไม่ถือว่าไร้ประโยชน์?
9 ต่อมา พวกฟาริซายและพรรคพวกของเฮโรดพยายามใช้อุบายหลอกล่อพระเยซู โดยพูดว่า “เหตุฉะนั้นขอโปรดให้ข้าพเจ้าทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร ควรจะส่งส่วยให้แก่กายะซาหรือไม่?” คำตอบของพระเยซูเผยให้เห็นว่าพระองค์ทรงรู้ทัน. โดยอ้างถึงเงินเหรียญที่พวกเขาให้พระองค์ พระองค์ตรัสถามเขาว่า, “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” เขาตอบว่า “ของกายะซา.” พระองค์ทรงสรุปอย่างสุขุมว่า, “เหตุฉะนั้นของของกายะซาจงถวายแก่กายะซา, และของของพระเจ้าจงถวายแก่พระเจ้า.” (มัดธาย 22:17-21) พระเยซูทรงทราบว่า ผู้มีอำนาจออกเงินเหรียญย่อมคาดหมายการเสียภาษี. แต่ตอนนั้นพระองค์ทรงช่วยทั้งสาวกและศัตรูของพระองค์ให้ตระหนักว่า คริสเตียนแท้พยายามสุดกำลังเหมือนกันที่จะถวาย “ของของพระเจ้าแก่พระเจ้า.” ทั้งนี้หมายรวมถึงการใช้ทรัพย์สิ่งของของผู้นั้นในทางที่ถูกต้องสมควร.
10 เหตุการณ์ในพระวิหารที่พระเยซูทรงเห็นเป็นอุทาหรณ์ถึงเรื่องนี้. พระองค์เพิ่งตรัสประณามพวกอาลักษณ์และฟาริซายที่ละโมบว่าเขา ‘ได้ริบเรือนของหญิงม่าย.’ ลูการายงานดังนี้: “พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีทั้งหลายนำเงินมาใส่ในตู้เก็บเงินถวาย. พระองค์ทรงเห็นหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนนำสตางค์แดงสองสตางค์มาใส่ด้วย. พระองค์ตรัสว่า, ‘เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้มากกว่าคนทั้งปวงนั้น เพราะว่าคนทั้งหลายได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่รวมกับเงินถวาย, แต่ผู้หญิงคนนี้ขัดสนที่สุดยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด.’” (ลูกา 20:46, 47; 21:1-4) มีบางคนพูดขึ้นมาว่าพระวิหารนั้นตบแต่งด้วยหินพลอยมีค่า. พระเยซูตรัสตอบว่า “สิ่งเหล่านี้ที่ท่านทั้งหลายเห็น, วันหนึ่งศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็หามิได้.” (ลูกา 21:5, 6) การบริจาคของหญิงม่ายเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นไร้ประโยชน์ไหม? เปล่าเลย. นางได้สนับสนุนวิธีการของพระยะโฮวาที่ทรงกำหนดไว้ในเวลานั้น.
11 พระเยซูตรัสแก่สาวกแท้ของพระองค์ว่า “ไม่มีบ่าวผู้ใดจะปรนนิบัตินายสองนายได้ เพราะจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง, หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง. ท่านทั้งหลายจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองด้วยก็ไม่ได้.” (ลูกา 16:13) ดังนั้น เราจะแสดงความสมดุลได้โดยวิธีใดว่าเราใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราอย่างถูกต้อง?
คนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อ
12-14. (ก) คริสเตียนเป็นคนต้นเรือนดูแลทรัพยากรประเภทไหน? (ข) ไพร่พลของพระยะโฮวาสมัยปัจจุบันปฏิบัติภารกิจของคนต้นเรือนด้วยความซื่อสัตย์ในวิธีที่โดดเด่นอะไรบ้าง? (ค) เงินทุนสนับสนุนการงานของพระเจ้าทุกวันนี้มาจากที่ไหน?
12 เมื่อเราอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา ที่จริงแล้วเราบอกว่า ทุกสิ่งที่เรามี ทรัพยากรทั้งสิ้นของเรา เป็นของพระองค์. เช่นนั้นแล้ว เราควรใช้สิ่งของที่เรามีอยู่อย่างไร? จากการพิจารณาการรับใช้ของคริสเตียนในประชาคม บราเดอร์ ซี. ที. รัสเซลล์ นายกคนแรกของสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิล เขียนไว้ว่า “แต่ละคนพึงพิจารณาตัวเองฐานะเป็นผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้เป็นคนต้นเรือน ในการใช้เวลา, พลังโน้มน้าว, เงินทอง, และสิ่งอื่น ๆ ของตนเอง และแต่ละคนควรพยายามใช้ตะลันต์เหล่านี้อย่างสุดความสามารถ เพื่อสง่าราศีของพระองค์ผู้เป็นนาย.”—การสร้างขึ้นใหม่ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 345.
13 พระธรรม 1 โกรินโธ 4:2 แจ้งดังนี้: “ฝ่ายผู้อารักขา [คนต้นเรือน, ล.ม.] เหล่านั้นต้องเป็นคนสัตย์ซื่อทุกคน.” ในฐานะเป็นองค์การระดับโลก พยานพระยะโฮวาพยายามดำเนินชีวิตให้สมกับคำพรรณนานั้น โดยการใช้เวลามากที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่องานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน, พัฒนาสมรรถนะการสอนของตน. ยิ่งกว่านั้น กลุ่มอาสาสมัครภายใต้การบริหารของคณะกรรมการก่อสร้างภูมิภาคต่างก็เต็มใจสละเวลา, กำลังเรี่ยวแรง, และทักษะของตนสร้างหอประชุมที่สวยงามไว้พร้อมสำหรับการนมัสการ. ทั้งหมดนี้ทำให้พระยะโฮวาทรงพอพระทัยยิ่งนัก.
14 เงินทุนส่งเสริมการสอนและงานก่อสร้างที่ขยายอย่างกว้างขวางนี้ล่ะได้มาจากไหน? ได้จากบุคคลผู้เต็มใจบริจาค อย่างที่เคยกระทำกันมาก่อนในสมัยก่อสร้างพลับพลาชุมนุม. โดยส่วนตัวแล้ว เรามีส่วนไหม? วิธีที่เราใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราแสดงให้เห็นไหมว่างานรับใช้ของพระยะโฮวานั้นสำคัญยิ่งสำหรับเรา? ในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับเงิน ขอให้เราเป็นคนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อ.
แบบอย่างอันเกี่ยวเนื่องกับการมีใจกว้าง
15, 16. (ก) คริสเตียนสมัยเปาโลได้แสดงความใจกว้างโดยวิธีใด? (ข) พวกเราน่าจะมีแง่คิดเช่นไรต่อเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่นี้?
15 อัครสาวกเปาโลได้เขียนเรื่องการมีใจกว้างของคริสเตียนที่เมืองมากะโดเนียและเมืองอะคายะ. (โรม 15:26) แม้ว่าพวกเขาเองประสบความลำบาก แต่เขามีใจพร้อมบริจาคช่วยเหลือพวกพี่น้อง. เปาโลกล่าวปลุกใจคริสเตียนชาวโกรินโธที่จะเป็นฝ่ายให้อย่างใจกว้างเช่นกัน บริจาคสิ่งของซึ่งมีบริบูรณ์เพื่อทดแทนความขัดสนขาดแคลนของผู้อื่น. ไม่มีใครอาจมีสิทธิ์กล่าวหาว่าเปาโลบีบบังคับ. ท่านเขียนอย่างนี้: “คนที่หว่านเล็กน้อยจะเกี่ยวเก็บเล็กน้อย, แต่คนที่หว่านมากจะเกี่ยวเก็บมาก. ทุกคนจงให้ตามซึ่งเขาได้คิดหมายไว้ในใจมิใช่ด้วยนึกเสียดาย, มิใช่ด้วยขืนใจให้ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี.”—2 โกรินโธ 8:1-3, 14; 9:5-7, 13.
16 การที่พี่น้องทั้งหลายของเราและผู้สนใจบริจาคอย่างใจกว้างเพื่อกิจการแห่งราชอาณาจักรที่ดำเนินอยู่ทั่วโลกเวลานี้ เป็นหลักฐานแสดงว่า พวกเขายกย่องสิทธิพิเศษอันสูงส่งนี้เพียงใด. แต่ดังที่เปาโลกล่าวสะกิดใจชาวโกรินโธ พวกเราก็น่าจะถือว่าเรื่องที่พิจารณานี้เป็นข้อเตือนใจ.
17. เปาโลสนับสนุนการบริจาคตามแบบแผนใด และเวลานี้จะทำตามแบบนั้นได้ไหม?
17 เปาโลได้กระตุ้นเตือนพี่น้องให้ติดตามแบบแผนในการบริจาค. ท่านกล่าวว่า “ทุกวันอาทิตย์ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้ไว้บ้าง.” (1 โกรินโธ 16:1, 2) ข้อนี้อาจเป็นตัวอย่างสำหรับพวกเราและทั้งบุตรด้วยในเรื่องการบริจาค ไม่ว่าเราจะบริจาคผ่านประชาคมหรือส่งโดยตรงไปยังสำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด. คู่สามีภรรยามิชชันนารีที่ได้รับมอบหมายงานประกาศ ณ เมืองหนึ่งแถบแอฟริกาตะวันออก ได้เชิญคนสนใจเข้าร่วมการศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน. พอเสร็จการประชุมครั้งแรก ด้วยการใช้ดุลยพินิจ มิชชันนารีคู่นั้นได้หยอดเงินเหรียญลงในกล่องที่เขียนว่า “เงินบริจาคเพื่องานราชอาณาจักร.” คนอื่นที่เข้าร่วมการประชุมก็ทำอย่างเดียวกัน. ต่อมา หลังจากคนใหม่เหล่านั้นถูกรวบรวมเข้ามาในประชาคมคริสเตียนแล้ว ผู้ดูแลหมวดมาเยี่ยมและได้กล่าวชมการบริจาคอย่างสม่ำเสมอของพวกเขา.—บทเพลงสรรเสริญ 50:10, 14, 23.
18. พวกเราจะช่วยพี่น้องของเราที่ประสบความทุกข์ยากได้อย่างไร?
18 อนึ่ง พวกเรามีสิทธิพิเศษที่จะใช้โภคทรัพย์ของเราช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติและผู้อยู่อาศัยในเขตที่มีการสู้รบกัน. เรารู้สึกตื้นตันเพียงไรเมื่ออ่านข่าวการส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปยังยุโรปตะวันออก ขณะที่ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการเมืองลุกลามไปทั่วภูมิภาคแถบนั้นของโลก! การบริจาคทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคและเงินเป็นข้อบ่งชี้ความมีใจกว้างและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่พวกพี่น้องของเรามีต่อคริสเตียนผู้ได้รับความเสียหาย.b—2 โกรินโธ 8:13, 14.
19. เราสามารถจะทำอะไรได้บ้างในทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนคนเหล่านั้นที่ทำงานรับใช้เต็มเวลา?
19 เราถือว่าการงานของพวกพี่น้องผู้ซึ่งร่วมปฏิบัติงานเต็มเวลาฐานะเป็นไพโอเนียร์, ผู้ดูแลเดินทาง, มิชชันนารี, และอาสาสมัครเบเธลนั้นมีค่าสูงมิใช่หรือ? เท่าที่สภาพการณ์อำนวย เราอาจสามารถให้วัตถุปัจจัยบางอย่างแก่เขาโดยตรง. อย่างเช่น เมื่อผู้ดูแลเดินทางเยี่ยมประชาคมของคุณ คุณอาจจะจัดเตรียมให้เขามีที่พัก, จัดอาหาร, หรือช่วยค่าใช้จ่ายในการเดินทาง. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดังกล่าวจะไม่พ้นการสังเกตของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ไปเลย พระองค์ทรงประสงค์จะให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้รับการเอาใจใส่. (บทเพลงสรรเสริญ 37:25) หลายปีมาแล้ว บราเดอร์คนหนึ่งซึ่งสามารถจัดหาได้แค่เครื่องดื่มและอาหารว่างเท่านั้นต้อนรับผู้ดูแลเดินทางกับภรรยาที่บ้านของตน. เมื่อผู้ดูแลกับภรรยาบอกลาไปประกาศช่วงเย็น บราเดอร์คนนั้นได้ยื่นซองให้แขกของเขา. ในซองมีธนบัตรหนึ่งใบ (มูลค่าประมาณ 25 บาท) พร้อมกับข้อความสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือว่า “เอาไว้เป็นค่าน้ำชาหรือค่าน้ำมันรถนะครับ.” ช่างเป็นการแสดงความหยั่งรู้ค่าในวิธีที่ดีและด้วยความถ่อมตนเสียนี่กระไร!
20. สิทธิพิเศษและหน้าที่รับผิดชอบอะไรซึ่งเราไม่อยากจะละเลย?
20 พูดกันทางฝ่ายวิญญาณ ไพร่พลของพระยะโฮวาได้รับพระพร! พวกเรามีการเลี้ยงใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ณ การประชุมหมวด และการประชุมภาค ที่นั่นเราได้รับหนังสือที่ออกใหม่, การสอนอย่างละเอียดถี่ถ้วน, และคำแนะนำที่ใช้ได้ผลจริง. ด้วยหัวใจอันเพียบด้วยความหยั่งรู้ค่าในพระพรนานาประการฝ่ายวิญญาณ พวกเราไม่ลืมสิทธิพิเศษและหน้าที่รับผิดชอบของเราที่จะบริจาคทรัพย์เป็นกองทุนขยายผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าตลอดทั่วโลก.
‘จงกระทำให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์อธรรม’
21, 22. อีกไม่ช้าจะเกิดอะไรขึ้นกับ “ทรัพย์สมบัติอธรรม” ซึ่งเราจะต้องทำอะไรในเวลานี้?
21 จริง ๆ แล้ว มีแนวทางต่าง ๆ มากมายที่เราสามารถแสดงให้เห็นว่า การนมัสการพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตของเรา และแนวทางหนึ่งที่สำคัญเป็นพิเศษที่แสดงให้เห็นเช่นนั้นเกี่ยวข้องกับการเชื่อฟังคำแนะนำของพระเยซูที่ว่า “จงกระทำให้มีมิตรสหายแก่ตัวด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม, เพื่อเมื่อทรัพย์นั้นเสียไปแล้ว, เขาจะได้ต้อนรับท่านในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์.”—ลูกา 16:9.
22 โปรดสังเกตว่า พระเยซูตรัสถึงความล้มเหลวของทรัพย์สมบัติอธรรม. ใช่แล้ว วันนั้นจะมาถึงเมื่อเงินของระบบปัจจุบันจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า. ยะเอศเคลพยากรณ์ไว้ว่า “เขาจะทิ้งเงินของเขาที่ถนนทั้งหลาย, และทองคำของเขาจะเป็นดุจของโสโครก, เงินและทองคำของเขาไม่อาจจะช่วยเขาให้รอดในวันพิโรธของพระยะโฮวา.” (ยะเอศเคล 7:19) กว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น เราจำต้องสำแดงสติปัญญาและความสุขุมในการใช้ทรัพย์ของเรา. ด้วยเหตุนั้น เราคงจะไม่มองย้อนหลังด้วยความเสียใจที่เราไม่ได้เอาใจใส่คำเตือนของพระเยซูที่ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่สัตย์ซื่อในทรัพย์สมบัติอธรรม, ใครจะมอบทรัพย์สมบัติอันแท้ให้แก่ท่านเล่า? . . . ท่านทั้งหลายจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองด้วยก็ไม่ได้.”—ลูกา 16:11-13.
23. เราควรใช้สิ่งใดอย่างสุขุม และอะไรจะเป็นบำเหน็จของเรา?
23 เช่นนั้นแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนเชื่อฟังข้อเตือนใจเหล่านี้อย่างซื่อสัตย์ ที่จะจัดเอาการนมัสการพระยะโฮวาเป็นอันดับแรกในชีวิตของเราและใช้ประโยชน์จากโภคทรัพย์ทั้งสิ้นที่เรามีอยู่ด้วยความสุขุม. เมื่อทำเช่นนั้น เราอาจธำรงมิตรภาพกับพระยะโฮวาและพระเยซู ผู้ทรงสัญญาว่า เมื่อเงินไม่สามารถช่วยได้ พระองค์ทั้งสองจะรับเราไว้ใน “ที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์” พร้อมด้วยความหวังจะได้ชีวิตนิรันดร์ในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์หรือไม่ก็บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—ลูกา 16:9.
[เชิงอรรถ]
a คำภาษาฮีบรูที่ได้รับการแปลว่า “ของถวาย” มาจากคำกริยาซึ่งหมายความตามตัวอักษรว่า “อยู่สูง; เทิดทูนไว้; ยกขึ้น.”
b โปรดอ่านพยานพระยะโฮวา—ผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) หน้า 307-315 พิมพ์ปี 1993 โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ ออฟ นิวยอร์ก.
คุณจำได้ไหม?
▫ ชาวยิศราเอลตอบสนองการเชิญชวนของพระยะโฮวาอย่างไรที่ให้บริจาคเพื่องานก่อสร้างพลับพลาชุมนุม?
▫ เพราะเหตุใดการบริจาคของหญิงม่ายจึงไม่ไร้ประโยชน์?
▫ คริสเตียนมีความรับผิดชอบอะไรในการใช้ทรัพยากรของตน?
▫ เราอาจป้องกันมิให้เกิดความเสียใจได้อย่างไรเกี่ยวกับการใช้เงินของเรา?
[รูปภาพหน้า 15]
การบริจาคของหญิงม่าย ถึงแม้เล็กน้อยแต่ไม่ไร้ประโยชน์
[รูปภาพหน้า 16, 17]
การบริจาคของเราสนับสนุนงานราชอาณาจักรทั่วโลก