คุณภาพแห่งความเชื่อของคุณ—ถูกทดสอบอยู่ในเวลานี้
“พี่น้องของข้าพเจ้า จงถือว่าเป็นความยินดีทั้งสิ้นเมื่อท่านทั้งหลายเผชิญกับการทดลองต่าง ๆ เพราะอย่างที่ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า คุณภาพของความเชื่อของท่านที่ผ่านการทดสอบแล้วทำให้เกิดความอดทน.”—ยาโกโบ 1:2, 3, ล.ม.
1. เหตุใดคริสเตียนควรคาดหมายว่าจะประสบการทดสอบความเชื่อของตน?
คริสเตียนแท้ไม่ปรารถนาจะมีความทุกข์ยาก และพวกเขาไม่หาความเพลิดเพลินจากความเจ็บปวดหรือความอัปยศอดสู. กระนั้น พวกเขาระลึกเสมอถึงถ้อยคำที่ยาโกโบน้องชายต่างบิดาของพระเยซูเขียนดังข้างต้น. พระคริสต์ทรงแสดงให้สาวกของพระองค์เห็นชัดว่า พวกเขาอาจคาดหมายได้ว่าจะประสบการกดขี่และความยากลำบากอื่น ๆ เนื่องจากการที่พวกเขายึดมั่นในมาตรฐานของพระเจ้า. (มัดธาย 10:34; 24:9-13; โยฮัน 16:33) อย่างไรก็ดี การทดสอบเช่นนั้นสามารถนำมาซึ่งความยินดี. เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?
2. (ก) การทดสอบความเชื่อของเราจะยังผลเป็นความยินดีได้อย่างไร? (ข) ความอดทนจะกระทำการให้สำเร็จในกรณีของเราได้อย่างไร?
2 เหตุผลหลักที่เรามีความยินดีเมื่อตกอยู่ภายใต้การทดลองหรือการทดสอบความเชื่อคือ การทดลองหรือการทดสอบเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดผลดี. ดังที่ยาโกโบกล่าว การรวบรวมความกล้าหาญเมื่อเผชิญการทดสอบหรือความยากลำบาก “ทำให้เกิดความอดทน.” เราจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาคุณลักษณะแบบคริสเตียนที่มีค่ายิ่งเช่นนั้น. ยาโกโบเขียนดังนี้: “จงให้ความอดทนกระทำการจนสำเร็จครบถ้วน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ครบถ้วนและดีพร้อมไม่ขาดตกบกพร่องเลย.” (ยาโกโบ 1:4, ล.ม.) ความอดทนจะต้องกระทำ “การ.” หน้าที่ของความอดทนคือช่วยเราให้สำเร็จครบถ้วนในทุกทาง ช่วยขัดเกลาเราให้สมดุลและอาวุโสยิ่งขึ้นในฐานะเป็นคริสเตียน. ฉะนั้น โดยยอมให้การทดลองดำเนินไปตามครรลองของมันโดยไม่พยายามใช้วิธีที่ไม่เป็นตามหลักพระคัมภีร์เพื่อให้การทดลองนั้นยุติลงโดยเร็ว ความเชื่อของเราก็จะถูกทดสอบและได้รับการขัดเกลา. ถ้าเราเคยขาดความเพียร, ความเห็นอกเห็นใจ, ความกรุณา, หรือความรักในการรับมือกับสภาพการณ์บางอย่างหรือในการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ ความอดทนสามารถช่วยปรับปรุงคุณสมบัติแบบคริสเตียนของเรา. ใช่แล้ว ลำดับเป็นดังนี้: การทดสอบก่อให้เกิดความอดทน; ความอดทนเพิ่มพูนคุณลักษณะแบบคริสเตียน; สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดความยินดี.—1 เปโตร 4:14; 2 เปโตร 1:5-8.
3. เหตุใดเราไม่ควรหลบเลี่ยงด้วยความกลัวต่อการทดลองหรือการทดสอบความเชื่อ?
3 อัครสาวกเปโตรยังเน้นด้วยถึงเหตุผลที่เราไม่จำเป็นต้องกลัวหรือหลบเลี่ยงการทดสอบความเชื่อของเรา. ท่านเขียนดังนี้: “ท่านทั้งหลายชื่นชมยินดีเป็นอันมากในข้อเท็จจริงนี้ ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ ถ้าหากต้องเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายได้รับความทุกข์โศกชั่วเวลาสั้น ๆ ด้วยการทดลองหลายอย่าง เพื่อว่า คุณภาพแห่งความเชื่อของท่านทั้งหลายที่ผ่านการทดสอบแล้ว ซึ่งมีคุณค่ามากยิ่งกว่าทองคำที่ต้องสูญเสียไป แม้จะมีการทดลองดูแล้วด้วยไฟก็ตาม จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญและสง่าราศี และเกียรติยศในคราวการปรากฏของพระเยซูคริสต์.” (1 เปโตร 1:6, 7, ล.ม.) ถ้อยคำเหล่านี้ให้กำลังใจเป็นพิเศษในเวลานี้ เพราะ “ความทุกข์ลำบากใหญ่”—เวลาแห่งคำสรรเสริญ, สง่าราศี, เกียรติยศ, และการรอดพ้น—ใกล้เข้ามามากยิ่งกว่าที่บางคนอาจคิดไว้และใกล้ยิ่งกว่าตอนที่เราเข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ.—มัดธาย 24:21; โรม 13:11, 12.
4. พี่น้องคนหนึ่งรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการทดสอบที่เขาและคริสเตียนผู้ถูกเจิมคนอื่น ๆ ได้ประสบ?
4 ในบทความก่อน เราได้พิจารณาเกี่ยวกับการทดสอบซึ่งชนที่เหลือผู้ถูกเจิมเผชิญนับตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา. การทดสอบเหล่านี้เป็นรากฐานสำหรับความยินดีหรือ? เอ.เอช. แมกมิลลัน แสดงทัศนะเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านได้ประสบในอดีตดังนี้: “ผมได้เห็นการทดลองอย่างรุนแรงมากมายเกิดขึ้นกับองค์การและการทดสอบความเชื่อของคนที่อยู่ในองค์การ. ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า องค์การนี้จึงรอดมาได้และเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด. ผมได้เห็นสติปัญญาแห่งการรอคอยอย่างอดทนให้พระยะโฮวาเปิดความเข้าใจของเราเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจกับความคิดใหม่ ๆ. . . . ไม่ว่าเราจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนะเป็นครั้งคราวในเรื่องใดบ้าง นั่นไม่ได้ทำให้การจัดเตรียมอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาในเรื่องค่าไถ่และคำสัญญาของพระเจ้าเรื่องชีวิตนิรันดร์เปลี่ยนไป. ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นที่เราจะปล่อยให้ความเชื่อของเราอ่อนลงด้วยสิ่งที่เราคาดหมายแต่ไม่ได้เกิดขึ้นหรือเนื่องด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนะบางอย่าง.”—หอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) 15 สิงหาคม 1966 หน้า 504.
5. (ก) การที่ผู้ถูกเจิมผ่านการทดสอบก่อผลประโยชน์อะไรบ้าง? (ข) เหตุใดเวลานี้เราควรสนใจเรื่องการทดสอบ?
5 คริสเตียนผู้ถูกเจิมที่รอดผ่านช่วงแห่งการทดสอบระหว่างปี 1914-1919 ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากอิทธิพลของโลกที่ครอบงำและจากกิจปฏิบัติทางศาสนาแบบบาบูโลน. ชนที่เหลือรุดหน้าต่อไปในฐานะไพร่พลที่ได้รับการชำระให้สะอาดและผ่านการขัดเกลา ถวายเครื่องบูชาแห่งคำสรรเสริญแด่พระเจ้าด้วยความเต็มใจ และมีความมั่นใจว่าพวกเขาเป็นไพร่พลที่พระองค์ทรงยอมรับ. (ยะซายา 52:11; 2 โกรินโธ 6:14-18) การพิพากษาได้เริ่มต้นกับราชนิเวศของพระเจ้า แต่การพิพากษานี้จะไม่สำเร็จเสร็จสิ้นในคราวเดียว. การทดสอบและการฝัดร่อนไพร่พลของพระเจ้าได้ดำเนินเรื่อยมา. คนที่หวังจะรอดผ่าน “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” ที่ใกล้จะถึงในฐานะส่วนหนึ่งของ “ชนฝูงใหญ่” ก็ต้องถูกทดสอบความเชื่อด้วย. (วิวรณ์ 7:9, 14, ล.ม.) จะมีการทดสอบด้วยวิธีต่าง ๆ คล้ายกับที่ชนที่เหลือผู้ถูกเจิมเผชิญ รวมทั้งวิธีอื่น ๆ ด้วย.
คุณอาจถูกทดสอบอย่างไร?
6. การทดสอบอย่างรุนแรงแบบใดที่หลายคนได้ประสบ?
6 คริสเตียนหลายคนได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับข้อท้าทายในการยืนหยัดต้านทานการทดสอบที่มาในรูปของการจู่โจมซึ่ง ๆ หน้า. พวกเขาคิดถึงรายงานนี้: “[พวกผู้นำชาวยิว] ได้เรียกอัครสาวกเข้ามาแล้ว, จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกนามของพระเยซู, แล้วก็ปล่อยไป. อัครสาวกจึงไปจากที่ประชุมปรึกษาโดยความยินดีที่ได้เห็นว่าตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น.” (กิจการ 5:40, 41) ประวัติแห่งไพร่พลของพระเจ้าในสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะในระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ทำให้เห็นได้ว่าพยานพระยะโฮวาหลายคนประสบการถูกเฆี่ยนตีจริง ๆ และถูกกระทำอย่างเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีกด้วยน้ำมือของผู้กดขี่.
7. คริสเตียนในสมัยปัจจุบันบางคนแสดงความเชื่อถึงขนาดไหน?
7 ในเรื่องการที่คริสเตียนตกเป็นเป้าของการกดขี่ โลกไม่ได้แยกแยะว่าใครเป็นชนที่เหลือผู้ถูกเจิมหรือใครเป็นชนฝูงใหญ่แห่ง “แกะอื่น.” (โยฮัน 10:16) ตลอดหลายปี สมาชิกของทั้งสองกลุ่มได้ถูกทดสอบอย่างรุนแรงโดยการถูกจำคุกและแม้กระทั่งพลีชีพเพื่อความเชื่อเนื่องจากความรักของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าและความเชื่อในพระองค์. ทั้งสองกลุ่มจำต้องได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ว่าความหวังของพวกเขาเป็นแบบไหน. (เทียบกับหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 มิถุนายน 1996 หน้า 31.) ในระหว่างทศวรรษ 1930 และทศวรรษ 1940 ที่เยอรมนีสมัยนาซี ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาหลายคนรวมทั้งเด็กด้วยได้แสดงความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ และมีไม่น้อยที่ถูกทดสอบจนถึงขีดสุด. เมื่อไม่นานมานี้เอง ไพร่พลของพระยะโฮวาได้ถูกทดสอบด้วยการกดขี่ในประเทศต่าง ๆ อย่างเช่นที่บุรุนดี, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, มาลาวี, โมซัมบิก, รวันดา, สิงคโปร์, และซาอีร์. และการทดสอบแบบนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป.
8. คำพูดของพี่น้องชาวแอฟริกาคนหนึ่งแสดงอย่างไรว่าการทดสอบความเชื่อของเราเกี่ยวข้องไม่เฉพาะแต่การอดทนการกดขี่ในรูปของการเฆี่ยนตี?
8 อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวไปแล้ว ความเชื่อของเรายังถูกทดสอบด้วยวิธีที่แยบยลกว่าด้วย. การทดสอบบางอย่างไม่ได้เกิดขึ้นตรง ๆ และเห็นได้ยาก. ขอลองพิจารณาดูว่าคุณจะสนองตอบต่อการทดสอบบางอย่างดังต่อไปนี้อย่างไร. พี่น้องคนหนึ่งในประเทศอังโกลาซึ่งมีบุตรสิบคนอยู่ในประชาคมแห่งหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากการติดต่อกับพี่น้องที่รับผิดชอบในชั่วระยะเวลาหนึ่ง. ต่อมา โอกาสเปิดออกให้พี่น้องไปเยี่ยมประชาคมนั้นได้. มีบางคนถามเขาว่าเขาจัดการอย่างไรเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว. นับเป็นคำถามที่ตอบได้ยากสำหรับเขา และเขาพูดได้ก็แต่เพียงว่าสภาพการณ์นั้นลำบาก. เขาสามารถหาเลี้ยงลูก ๆ อย่างน้อยวันละมื้อไหม? เขาตอบว่า “เอ้อ ไม่ค่อยจะได้หรอกครับ. เราเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่เรามี.” จากนั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจว่า “แต่นี่คือสิ่งที่เราคาดว่าจะเผชิญในสมัยสุดท้ายนี้มิใช่หรือ?” ความเชื่อเช่นนั้นนับว่าโดดเด่นในสังคมโลก แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในหมู่คริสเตียนที่ภักดี ซึ่งมีความมั่นใจเต็มที่ว่าคำสัญญาแห่งราชอาณาจักรจะสำเร็จเป็นจริง.
9. เรากำลังถูกทดสอบอย่างไรในเรื่องที่เกี่ยวกับ 1 โกรินโธ 11:3?
9 ชนฝูงใหญ่ก็ถูกทดสอบด้วยในเรื่องเกี่ยวกับขั้นตอนตามระบอบของพระเจ้า. ประชาคมคริสเตียนทั่วโลกได้รับการชี้นำโดยอาศัยหลักการของพระเจ้าและมาตรฐานตามระบอบของพระเจ้า. ทั้งนี้ย่อมหมายความในชั้นแรกเลยว่าต้องยอมรับพระเยซูในฐานะผู้นำซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขของประชาคม. (1 โกรินโธ 11:3) การยอมอยู่ใต้อำนาจของพระองค์และพระบิดาด้วยความเต็มใจแสดงออกโดยทางความเชื่อของเราต่อการแต่งตั้งและการตัดสินตามระบอบของพระเจ้าซึ่งสัมพันธ์กับการทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. นอกจากนั้น มีผู้ชายซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้นำหน้าในแต่ละประชาคม. พวกเขาเป็นคนไม่สมบูรณ์ซึ่งเราอาจสังเกตเห็นข้อผิดพลาดของเขาได้ไม่ยาก; กระนั้น เราได้รับการกระตุ้นเตือนให้แสดงความนับถือต่อผู้ดูแลเหล่านี้และยอมอยู่ใต้อำนาจ. (เฮ็บราย 13:7, 17) ในบางครั้ง คุณพบว่าการทำอย่างนี้ยากไหม? เรื่องนี้เป็นการทดสอบจริง ๆ สำหรับคุณไหม? ถ้าอย่างนั้น คุณกำลังได้ประโยชน์จากการทดสอบความเชื่อเช่นนี้ไหม?
10. เราเผชิญการทดสอบอะไรในเรื่องงานรับใช้ในเขตประกาศ?
10 เราถูกทดสอบด้วยในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิพิเศษและข้อเรียกร้องให้ร่วมรับใช้ในเขตประกาศเป็นประจำ. เพื่อเราจะผ่านการทดสอบนี้ เราต้องตระหนักว่าการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในงานเผยแพร่มีความหมายมากกว่าการทำอย่างเสียไม่ได้หรือประกาศตามหน้าที่. ขอให้นึกถึงคำชมเชยของพระเยซูที่มีต่อหญิงม่ายยากจนซึ่งได้ให้ทั้งหมดที่เธอมี. (มาระโก 12:41-44) เราอาจถามตัวเองดังนี้: ‘ฉันทุ่มเทตัวเองคล้าย ๆ กันนั้นไหมเพื่อรับใช้ในเขตประกาศ?’ เราทุกคนต้องเป็นพยานของพระยะโฮวาตลอดเวลา อยู่พร้อมในทุกโอกาสที่จะให้แสงสว่างของเราฉายออกไป.—มัดธาย 5:16.
11. การเปลี่ยนความเข้าใจหรือคำแนะนำในเรื่องการประพฤติอาจกลายเป็นการทดสอบได้อย่างไร?
11 การทดสอบอีกแบบหนึ่งที่เราอาจเผชิญเกี่ยวข้องกับระดับของความหยั่งรู้ค่าที่เรามีต่อแสงสว่างแห่งความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่แรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ และความหยั่งรู้ค่าที่มีต่อคำแนะนำที่ทาสสัตย์ซื่อจัดให้. (มัดธาย 24:45) บางครั้ง เรื่องนี้เรียกร้องให้ต้องปรับเปลี่ยนความประพฤติส่วนตัว อย่างเช่นตอนที่เริ่มปรากฏชัดเจนว่าคนที่ใช้ยาสูบจะต้องเลิกหากเขาต้องการอยู่ในประชาคมต่อไป.a (2 โกรินโธ 7:1) หรือการทดสอบอาจเกี่ยวข้องกับการตอบรับของเราต่อความจำเป็นที่จะต้องปรับรสนิยมในเรื่องดนตรีหรือความบันเทิงบางอย่าง.b เราจะตั้งข้อสงสัยสติปัญญาแห่งคำแนะนำนั้นไหม? หรือเราจะยอมให้พระวิญญาณของพระเจ้าหล่อหลอมความคิดของเราเพื่อช่วยเราสวมบุคลิกภาพแบบคริสเตียน?—เอเฟโซ 4:20-24; 5:3-5.
12. จำเป็นต้องมีอะไรเพื่อเสริมความเชื่อหลังจากที่คนเรารับบัพติสมาแล้ว?
12 เป็นเวลาหลายทศวรรษ จำนวนของชนฝูงใหญ่ได้ทวีขึ้นเรื่อย ๆ และหลังจากรับบัพติสมาแล้วพวกเขาก็เสริมสัมพันธภาพของตนกับพระยะโฮวาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อ ๆ ไป. ทั้งนี้หมายรวมไม่เพียงแต่เข้าร่วมการประชุมใหญ่ของคริสเตียน, ไปร่วมประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักรบ้าง, หรือร่วมงานรับใช้ในเขตประกาศเป็นบางครั้ง. เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น: ในทางกาย ใครคนหนึ่งอาจออกจากบาบูโลนใหญ่ จักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จแล้ว แต่เขาได้ออกมาแล้วจริง ๆ ไหม? เขายังคงยึดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ที่สะท้อนน้ำใจของบาบูโลนใหญ่ซึ่งเป็นน้ำใจที่เย้ยหยันมาตรฐานอันชอบธรรมของพระเจ้าไหม? เขาถือว่าความซื่อสัตย์ทางศีลธรรมและในสายสมรสเป็นเรื่องไม่สู้จะสำคัญนักไหม? เขาเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ทางวัตถุมากกว่าผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณไหม? เขาได้รักษาตัวให้ปราศจากมลทินของโลกไหม?—ยาโกโบ 1:27.
ผลประโยชน์ที่ได้จากความเชื่อซึ่งถูกทดสอบแล้ว
13, 14. บางคนได้ทำเช่นไรหลังจากเริ่มต้นในแนวทางแห่งการนมัสการแท้แล้ว?
13 หากเราได้หนีออกจากบาบูโลนใหญ่แล้วอย่างแท้จริง และได้ออกมาจากโลกแล้วด้วย ก็อย่าให้เราเพ่งตามองที่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งได้ละไว้เบื้องหลัง. ประสานกันกับหลักการที่ลูกา 9:62 (ล.ม.) การที่ใครในพวกเราหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอาจหมายถึงการสูญเสียฐานะราษฎรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า. พระเยซูตรัสดังนี้: “ไม่มีคนใดที่ได้เอามือจับคันไถแล้วและมองดูสิ่งที่อยู่เบื้องหลังจะเหมาะสมกับราชอาณาจักรของพระเจ้า.”
14 แต่ในอดีต มีบางคนที่เข้ามาเป็นคริสเตียนแล้วได้ปล่อยตัวถูกระบบนี้นวดปั้น. พวกเขาไม่ได้ต่อต้านน้ำใจของโลก. (2 เปโตร 2:20-22) สิ่งล่อใจของโลกได้ดึงดูดความสนใจและเวลาของพวกเขา ด้วยเหตุนั้นจึงได้ถ่วงความก้าวหน้าของพวกเขาให้ชะงักงันไป. แทนที่จะรักษาความคิดจิตใจและหัวใจให้ติดสนิทอยู่กับราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ โดยจัดสิ่งเหล่านี้ให้เป็นอันดับแรกในชีวิต พวกเขากลับหันเหไปติดตามเป้าหมายฝ่ายวัตถุ. พวกเขาควรถูกกระตุ้นให้ยอมรับว่าตนมีความเชื่อที่อ่อนแอและอยู่ในสภาพที่เป็นแต่อุ่น ๆ แล้วเปลี่ยนแปลงแนวทางของตนโดยการแสวงหาคำแนะนำจากพระเจ้า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อยู่ในสภาพที่เป็นอันตรายอาจสูญเสียสัมพันธภาพอันมีค่ายิ่งกับพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์.—วิวรณ์ 3:15-19.
15. จำเป็นต้องมีอะไรเพื่อรักษาตัวให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า?
15 การที่เราจะถูกพบว่าเป็นที่ชอบและอยู่ในแนวทางสู่ความรอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นขึ้นอยู่กับการที่เรารักษาตัวให้สะอาด ชำระเสื้อยาวของเรา “ในพระโลหิตของพระเมษโปดก.” (วิวรณ์ 7:9-14; 1 โกรินโธ 6:11) ถ้าเราไม่รักษาฐานะที่สะอาดและชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ของเราจะไม่ได้รับการยอมรับ. แน่นอน เราแต่ละคนควรตระหนักว่าคุณภาพของความเชื่อที่ถูกทดสอบแล้วจะช่วยเราให้อดทนและหลีกเลี่ยงการทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย.
16. คำเท็จอาจกลายเป็นการทดสอบความเชื่อของเราในทางใดบ้าง?
16 บางครั้ง ผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ฝ่ายโลกกล่าวประณามไพร่พลของพระเจ้าอย่างผิด ๆ ตีความหมายความเชื่อและวิถีชีวิตของคริสเตียนอย่างไม่ถูกต้อง. เรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้เราประหลาดใจ เพราะพระเยซูทรงบอกอย่างชัดเจนว่า ‘โลกจะเกลียดชังเรา เพราะเราไม่เป็นส่วนของโลก.’ (โยฮัน 17:14, ล.ม.) เราจะยอมให้คนที่ถูกซาตานทำให้ตาบอดมาขู่และทำให้เราท้อใจและทำให้เรารู้สึกละอายเพราะข่าวดีหรือ? เราจะยอมให้คำโกหกเกี่ยวกับความจริงมีผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมของเราในการเข้าร่วมประชุมและในการประกาศเป็นประจำหรือ? หรือเราจะยืนมั่นและกล้าหาญพร้อมกับแน่วแน่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมในการประกาศความจริงเกี่ยวกับพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์ต่อ ๆ ไป?
17. คำรับรองอะไรที่อาจกระตุ้นเราให้แสดงความเชื่อต่อ ๆ ไป?
17 ตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่สำเร็จเป็นจริงแล้ว บัดนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ล่วงเลยมาจนกระทั่งใกล้อวสานเต็มทีแล้ว. สิ่งต่าง ๆ ที่เราคาดหมายตามที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้เกี่ยวกับโลกใหม่ที่ชอบธรรมจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน. ตราบจนกระทั่งถึงวันนั้น ขอให้เราทุกคนสำแดงความเชื่ออย่างไม่สั่นคลอนในพระคำของพระเจ้า และพิสูจน์ความเชื่อของเราโดยไม่เฉื่อยช้าลงในการประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรไปทั่วโลก. คิดดูซิว่ามีสาวกใหม่หลายพันคนรับบัพติสมาทุกสัปดาห์. นั่นเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอสำหรับเรามิใช่หรือที่จะหยั่งรู้ค่าว่า ความเพียรอดทนของพระยะโฮวาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิพากษาลงโทษของพระองค์อาจยังผลเป็นความรอดของผู้คนอีกมากมาย? เรารู้สึกยินดีมิใช่หรือที่พระเจ้าได้ปล่อยให้การประกาศเรื่องราชอาณาจักรซึ่งเป็นงานช่วยชีวิตดำเนินต่อไป? และเรายินดีมิใช่หรือที่หลายล้านคนได้ตอบรับความจริงและแสดงออกอย่างเด่นชัดถึงความเชื่อของตน?
18. คุณตั้งใจแน่วแน่เช่นไรในการรับใช้พระยะโฮวา?
18 การทดสอบความเชื่อของเราในปัจจุบันจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่าไร เราไม่สามารถบอกได้. แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่แน่นอน: พระยะโฮวาทรงกำหนดวันหนึ่งเอาไว้แล้วที่จะคิดบัญชีฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกที่ชั่วช้าในปัจจุบัน. ในระหว่างนี้ ให้เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะเลียนแบบคุณภาพอันเป็นมาตรฐานสูงสุดแห่งความเชื่อที่ได้รับการทดสอบแล้วที่สำแดงโดยพระเยซูผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์. และให้เราติดตามตัวอย่างของชนที่เหลือผู้ถูก เจิ ม ที่สูงอายุและตัวอย่างของคนอื่น ๆ ที่รับใช้อย่างกล้าหาญอยู่ในท่ามกลางพวกเรา.
19. คุณมั่นใจได้ว่าอะไรจะชนะโลกนี้?
19 เราควรตั้งใจแน่วแน่ที่จะประกาศข่าวดีนิรันดร์อย่างไม่เลื่อยล้าไปยังทุกชาติ, ตระกูล, ภาษา, และชนชาติโดยร่วมงานกับทูตสวรรค์ที่บินอยู่กลางฟ้าสวรรค์. ให้เราฟังการประกาศของทูตสวรรค์องค์นั้น: “จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายสง่าราศีแด่พระองค์ เพราะชั่วโมงแห่งการพิพากษาโดยพระองค์มาถึงแล้ว.” (วิวรณ์ 14:6, 7, ล.ม.) เมื่อการพิพากษาของพระเจ้าเริ่มขึ้น ผลจะเป็นเช่นไรสำหรับคุณภาพแห่งความเชื่อของเราที่ถูกทดสอบ? นั่นจะเป็นชัยชนะอันเปี่ยมด้วยสง่าราศีมิใช่หรือ—การช่วยให้รอดผ่านระบบปัจจุบันเข้าสู่โลกใหม่อันชอบธรรมของพระเจ้า? โดยการอดทนการทดสอบความเชื่อของเรา เราจะสามารถกล่าวได้อย่างเดียวกับอัครสาวกโยฮันว่า “นี่แหละเป็นความชนะซึ่งได้มีชัยแก่โลก, คือความเชื่อของเราทั้งหลาย.”—1 โยฮัน 5:4.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 มกราคม 1974 หน้า 50-64, และหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 กรกฎาคม 1973 หน้า 409-411.
b โปรดดูหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 15 กรกฎาคม 1983 หน้า 27-31.
คุณจำได้ไหม?
▫ การทดสอบความเชื่อของเราจะเป็นเหตุแห่งความยินดีได้อย่างไร?
▫ การทดสอบความเชื่อของเราแบบใดบ้างที่อาจเห็นได้ยาก?
▫ เราจะสามารถได้รับประโยชน์อย่างไรโดยอดทนการทดสอบความเชื่อของเราอย่างเป็นผลสำเร็จ?
[รูปภาพหน้า 17]
เอ.เอช. แมกมิลลัน (แถวหน้าด้านซ้าย) ในช่วงที่ท่านและเจ้าหน้าที่หลายคนของสมาคมว็อชเทาเวอร์ถูกจำคุกอย่างไม่ยุติธรรม
ท่านเป็นคนหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุมภาคในเมืองดีทรอยต์ มิชิแกน ปี 1928
ในช่วงท้ายของชีวิต บราเดอร์แมกมิลลันยังคงแสดงความเชื่ออยู่เสมอ
[รูปภาพหน้า 18]
เช่นเดียวกับครอบครัวนี้ คริสเตียนมากมายในแอฟริกาได้แสดงคุณภาพแห่งความเชื่อที่ได้รับการทดสอบแล้ว