หนังสือสำหรับทุกคน
“พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.”—กิจการ 10:34, 35.
1. ศาสตราจารย์ผู้หนึ่งตอบอย่างไรเมื่อมีคนถามว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และเขาตัดสินใจทำอะไร?
บ่ายวันอาทิตย์นั้นที่ศาสตราจารย์ผู้นี้อยู่บ้าน เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครมาเยี่ยม. แต่เมื่อคริสเตียนพี่น้องหญิงของเราคนหนึ่งแวะเยี่ยมที่บ้านเขา เขาก็ฟัง. เธอพูดเรื่องมลภาวะและอนาคตของแผ่นดินโลกซึ่งเป็นเรื่องที่เขาสนใจ. อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอนำคัมภีร์ไบเบิลเข้ามาพิจารณา เขาแสดงท่าทีสงสัย. ดังนั้น เธอถามเขาว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล.
เขาตอบว่า “คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ดีซึ่งเขียนโดยคนที่ชาญฉลาด แต่ไม่น่าจะถือคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องสำคัญ.”
“คุณเคยอ่านคัมภีร์ไบเบิลแล้วหรือคะ?” เธอถาม.
ด้วยความตะลึงงัน ศาสตราจารย์ผู้นี้จำต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยอ่าน.
เธอจึงถามว่า “แล้วคุณพูดด้วยความมั่นใจได้อย่างไรเกี่ยวกับหนังสือที่คุณไม่เคยอ่านล่ะคะ?”
พี่น้องหญิงของเราพูดถูกจุดทีเดียว. ศาสตราจารย์จึงตัดสินใจจะตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลแล้วค่อยให้ความเห็นเกี่ยวกับหนังสือนี้.
2, 3. เหตุใดคัมภีร์ไบเบิลจึงเป็นหนังสือที่หลายคนไม่เคยเปิดอ่านเลย และเรื่องนี้เป็นข้อท้าทายเราอย่างไร?
2 ศาสตราจารย์ผู้นี้ไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีทัศนะอย่างนี้. หลายคนมีความเห็นบางอย่างแบบฝังหัวเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล แม้ว่าเขาเองไม่เคยอ่านหนังสือนี้เลย. เขาอาจมีคัมภีร์ไบเบิล. เขาอาจยอมรับคุณค่าทางวรรณกรรมหรือทางประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิลด้วยซ้ำ. แต่สำหรับหลายคนแล้ว เขาไม่เคยเปิดหนังสือนี้อ่านเลย. บางคนบอกว่า ‘ฉันไม่มีเวลาจะอ่านคัมภีร์ไบเบิล.’ ส่วนคนอื่นก็สงสัยว่า ‘เป็นไปได้อย่างไรที่หนังสือโบราณอย่างนี้จะเหมาะกับชีวิตฉัน?’ ทัศนะดังกล่าวนับเป็นข้อท้าทายอย่างแท้จริงสำหรับเรา. พยานพระยะโฮวาเชื่อมั่นว่าคัมภีร์ไบเบิล “มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์เพื่อการสั่งสอน.” (2 ติโมเธียว 3:16, 17, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม เราจะช่วยผู้คนได้โดยวิธีใดโดยไม่คำนึงถึงว่าเขามีภูมิหลังทางเชื้อชาติ, สัญชาติ, หรือชาติพันธุ์เช่นไร ให้เขามั่นใจว่าเขาควรตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล?
3 ให้เรามาพิจารณาเหตุผลบางประการที่คัมภีร์ไบเบิลคุ้มค่าแก่การตรวจสอบ. การพิจารณาเช่นนี้จะเตรียมเราให้พร้อมสำหรับการหาเหตุผลกับคนที่เราพบในงานเผยแพร่ และอาจช่วยเขาให้มั่นใจว่าเขาควรพิจารณาสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลมีบอกไว้. ขณะเดียวกัน การทบทวนนี้น่าจะช่วยเสริมความเชื่อของเราเองให้เข้มแข็งว่า คัมภีร์ไบเบิลนั้นที่แท้แล้วเป็น “พระคำของพระเจ้า” ตามที่หนังสือนี้อ้างว่าเป็น.—เฮ็บราย 4:12.
หนังสือที่จำหน่ายจ่ายแจกไปกว้างขวางที่สุดในโลก
4. ทำไมจึงกล่าวได้ว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีการจำหน่ายจ่ายแจกกว้างขวางที่สุดในโลก?
4 ในประการแรก คัมภีร์ไบเบิลควรค่าแก่การพิจารณาเพราะคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีการจ่ายแจกและแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์. เมื่อ 500 กว่าปีมาแล้ว ได้มีการพิมพ์ฉบับแรกโดยตัวเรียงพิมพ์จากแท่นพิมพ์ของโยฮันเนส กูเทนเบิร์ก. นับแต่นั้นมา ได้มีการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลไปแล้วทั้งครบชุดหรือบางส่วนประมาณสี่พันล้านเล่ม. ถึงปี 1996 ได้มีการแปลคัมภีร์ไบเบิลครบชุดหรือบางส่วนไปแล้ว 2,167 ภาษารวมภาษาถิ่น.a มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัวมนุษย์มีโอกาสหาได้อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลในภาษาของตนเอง. ไม่มีหนังสืออื่นใด ไม่ว่าด้านศาสนาหรือด้านอื่นจะเทียบได้เลย!
5. ทำไมเราควรคาดหมายว่า คัมภีร์ไบเบิลน่าจะมีไปถึงประชาชนทุกหนแห่งในโลก?
5 สถิติเพียงอย่างเดียวไม่ได้พิสูจน์ว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระเจ้า. อย่างไรก็ดี เราน่าจะคาดหมายได้อย่างแน่นอนว่าบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้านั้นควรมีไปถึงผู้คนทั่วโลก. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลเองบอกเราว่า “พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.” (กิจการ 10:34, 35) ไม่เหมือนหนังสืออื่นใด คัมภีร์ไบเบิลได้ข้ามพรมแดนของชาติต่าง ๆ และเอาชนะสิ่งกีดขวางด้านเชื้อชาติและชาติพันธุ์. ใช่แล้ว คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือสำหรับทุกคน!
ประวัติบันทึกที่โดดเด่นเกี่ยวกับการปกปักรักษา
6, 7. ทำไมจึงไม่น่าแปลกที่ไม่ปรากฏว่ามีต้นฉบับของคัมภีร์ไบเบิลหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน และจึงเกิดมีคำถามอะไรขึ้นมา?
6 มีอีกเหตุผลหนึ่งที่คัมภีร์ไบเบิลควรค่าแก่การตรวจสอบ. หนังสือนี้รอดพ้นจากทั้งศัตรูตามธรรมชาติและอุปสรรคที่เกิดจากมนุษย์. ประวัติบันทึกเกี่ยวกับวิธีที่หนังสือนี้ได้รับการรักษาไว้แม้เผชิญอุปสรรคมากมายนั้นเป็นเรื่องโดดเด่นจริง ๆ ท่ามกลางงานเขียนโบราณทั้งหลาย.
7 ตามหลักฐานที่ปรากฏ ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลบันทึกถ้อยคำของตนไว้โดยเขียนด้วยหมึกบนพาไพรัส (ทำจากพืชชื่อเดียวกันในอียิปต์) และแผ่นหนังสัตว์.b (โยบ 8:11) อย่างไรก็ตาม วัสดุสำหรับเขียนดังกล่าวมีศัตรูตามธรรมชาติ. ผู้คงแก่เรียน ออสการ์ พาเรต อธิบายดังนี้: “วัสดุที่ใช้เขียนทั้งสองอย่างนี้มีโอกาสได้รับความเสียหายพอ ๆ กันจากความชื้น, รา, และจากพวกตัวอ่อนของแมลงหลายชนิด. เราทราบจากประสบการณ์ประจำวันว่า ง่ายแค่ไหนที่กระดาษ และแม้กระทั่งแผ่นหนังที่เหนียว จะเปื่อยสลายหากทิ้งไว้กลางแจ้งหรือในห้องที่ชื้น.” ดังนั้น ไม่แปลกที่ไม่ปรากฏว่ามีต้นฉบับหลงเหลืออยู่; ต้นฉบับเหล่านั้นคงเปื่อยสลายไปนานแล้ว. แต่ถ้าต้นฉบับพ่ายศัตรูตามธรรมชาติไปแล้ว คัมภีร์ไบเบิลอยู่รอดมาถึงสมัยของเราได้อย่างไร?
8. ตลอดหลายศตวรรษ ข้อเขียนของคัมภีร์ไบเบิลได้รับการรักษาเอาไว้อย่างไร?
8 ไม่นานหลังจากที่เขียนต้นฉบับแล้ว ก็เริ่มมีการทำฉบับสำเนาขึ้นด้วยการคัดลอก. แท้จริงแล้ว การคัดลอกพระบัญญัติและส่วนอื่น ๆ ของพระคัมภีร์บริสุทธิ์ได้กลายเป็นงานหลักอย่างหนึ่งในอิสราเอลโบราณ. ตัวอย่างเช่น มีการพรรณนาถึงปุโรหิตเอษราว่าเป็น “อาลักษณ์ชำนาญในบทพระบัญญัติของโมเซ.” (เอษรา 7:6, 11; เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 45:1.) แต่ฉบับสำเนาก็เปื่อยสลายด้วยเช่นกัน; ในที่สุดสำเนาเหล่านี้ก็ต้องมีฉบับสำเนาคัดด้วยมือฉบับอื่น ๆ มาแทน. การคัดสำเนาเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ดำเนินเรื่อยมาหลายศตวรรษ. เนื่องจากเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ ความผิดพลาดของพวกผู้คัดลอกได้เปลี่ยนแปลงข้อความในคัมภีร์ไบเบิลอย่างขนานใหญ่ไหม? หลักฐานซึ่งมีอยู่มากมายบอกว่า ไม่!
9. ตัวอย่างของพวกมาโซเรตแสดงอย่างไรในเรื่องความถี่ถ้วนอย่างยิ่งและความถูกต้องแม่นยำของพวกผู้คัดลอกคัมภีร์ไบเบิล?
9 เหล่าผู้คัดสำเนาไม่เพียงมีความชำนาญมาก แต่พวกเขายังมีความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อถ้อยคำที่ตนคัดลอก. คำภาษาฮีบรูที่มีการแปลว่า “ผู้คัดลอก” พาดพิงถึงการนับและการบันทึก. เพื่อแสดงให้เห็นความถี่ถ้วนอย่างยิ่งและความถูกต้องแม่นยำของพวกผู้คัดลอก ขอพิจารณาพวกมาโซเรต ซึ่งเป็นพวกผู้คัดลอกพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูซึ่งมีชีวิตระหว่างศตวรรษที่หกถึงศตวรรษที่สิบแห่งสากลศักราช. ตามที่ผู้คงแก่เรียน โทมัส ฮาร์ตเวลล์ ฮอร์น ชี้แจง พวกเขาได้นับดูว่า “อักขระ [ฮีบรู] แต่ละตัวปรากฏกี่ครั้งในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูทั้งเล่ม.” คิดดูก็แล้วกันว่านั่นหมายถึงอะไร! เพื่อป้องกันไม่ให้ตกหล่นแม้แต่อักขระเดียว พวกผู้คัดลอกที่ทุ่มเทตนเหล่านี้ไม่เพียงแต่นับจำนวนคำที่พวกเขาคัด แต่นับจำนวนอักขระด้วย. ตามการนับของผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง พวกมาโซเรตนับอักขระทีละตัวให้ครบ 815,140 ตัวในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู! ความเพียรพยายามเช่นนั้นย่อมรับประกันความถูกต้องแม่นยำอย่างสูงทีเดียว.
10. มีหลักฐานหนักแน่นอะไรที่ว่า ข้อความในภาษาฮีบรูและกรีกซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับฉบับแปลสมัยใหม่สะท้อนถึงถ้อยคำของผู้เขียนต้นฉบับดั้งเดิมด้วยความถูกต้องแม่นยำ?
10 ที่จริง มีหลักฐานหนักแน่นว่า ข้อความในภาษาฮีบรูและกรีกซึ่งใช้เป็นพื้นฐานสำหรับฉบับแปลสมัยใหม่สะท้อนถึงถ้อยคำของผู้เขียนต้นฉบับดั้งเดิมด้วยความถูกต้องแม่นยำอย่างน่าทึ่ง. หลักฐานดังกล่าวประกอบด้วยฉบับสำเนาคัมภีร์ไบเบิลที่คัดลอกด้วยมือนับหมื่นฉบับ—พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูครบชุดหรือบางส่วนประมาณ 6,000 ฉบับและพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกประมาณ 5,000 ฉบับ—ซึ่งอยู่รอดจนถึงสมัยของเรา. การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบอย่างระมัดระวังในฉบับสำเนามากมายที่มีอยู่ได้ทำให้ผู้คงแก่เรียนด้านข้อความในพระคัมภีร์สามารถแยกแยะข้อผิดพลาดของพวกผู้คัดลอก และตัดสินได้ว่าข้อความดั้งเดิมเป็นอย่างไร. ในการให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ผู้คงแก่เรียนวิลเลียม เอช. กรีน จึงกล่าวได้ดังนี้: “อาจกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า ไม่มีผลงานยุคโบราณอื่นใดที่มีการถ่ายทอดมาอย่างถูกต้องแม่นยำเช่นนี้.” สำหรับข้อความในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก ก็สามารถมั่นใจได้ในทำนองเดียวกัน.
11. ตามที่ 1 เปโตร 1:24, 25 ได้กล่าวไว้ เหตุใดคัมภีร์ไบเบิลจึงอยู่รอดจนถึงสมัยของเรา?
11 คัมภีร์ไบเบิลพร้อมกับข่าวสารอันทรงคุณค่าอาจสูญสลายได้ง่ายสักเพียงไร หากไม่มีฉบับคัดลอกด้วยมือที่มาแทนต้นฉบับ! มีเหตุผลอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้คัมภีร์ไบเบิลรอดมาได้ นั่นคือ พระยะโฮวาทรงเป็นผู้รักษาและปกป้องพระคำของพระองค์. ดังที่คัมภีร์ไบเบิลเองกล่าวที่ 1 เปโตร 1:24, 25 (ล.ม.) ดังนี้: “บรรดาเนื้อหนังเป็นเหมือนต้นหญ้าและสง่าราศีทั้งสิ้นของเนื้อหนังนั้นเป็นเหมือนดอกหญ้า ต้นหญ้านั้นก็เหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป แต่คำตรัสของพระยะโฮวาดำรงอยู่เป็นนิตย์.”
แปลเป็นภาษาที่มนุษยชาติใช้กันอยู่
12. นอกเหนือจากที่มีการคัดลอกครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงหลายศตวรรษ คัมภีร์ไบเบิลพบอุปสรรคอะไรอีก?
12 การรอดผ่านกาลเวลาหลายศตวรรษที่มีการคัดลอกครั้งแล้วครั้งเล่านับว่าเป็นข้อท้าทายมากอยู่แล้ว แต่คัมภีร์ไบเบิลยังเผชิญอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง—การแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ในปัจจุบัน. คัมภีร์ไบเบิลต้องพูดภาษาของผู้คนเพื่อจะสามารถเข้าถึงหัวใจพวกเขาได้. อย่างไรก็ตาม การแปลคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีมากกว่า 1,100 บทและ 31,000 ข้อ ไม่ใช่งานง่ายเลย. กระนั้น ตลอดหลายศตวรรษนักแปลที่อุทิศตนยินดีรับงานที่ท้าทายนี้ แม้เผชิญอุปสรรคต่าง ๆ ที่ดูเหมือนไม่อาจเอาชนะได้ในบางครั้ง.
13, 14. (ก) โรเบิร์ต มอฟฟัตผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลเผชิญข้อท้าทายอะไรที่แอฟริกาในตอนต้นศตวรรษที่ 19? (ข) ประชาชนที่พูดภาษาทซวานาตอบรับอย่างไรเมื่อมีกิตติคุณลูกาในภาษาของพวกเขา?
13 ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาวิธีที่คัมภีร์ไบเบิลได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ของแอฟริกา. ในปี 1800 ทั่วทั้งแอฟริกามีภาษาเขียนแค่ประมาณ 12 ภาษา. ภาษาพูดอื่น ๆ อีกหลายร้อยภาษาไม่มีระบบการเขียน. นี่คือข้อท้าทายซึ่งผู้แปลโรเบิร์ต มอฟฟัตต้องเผชิญ. ในปี 1821 เมื่ออายุได้ 25 ปี มอฟฟัตเริ่มงานมิชชันนารีท่ามกลางผู้คนที่พูดภาษาทซวานาในแอฟริกาตอนใต้. เพื่อจะเรียนภาษาที่ไม่มีตัวเขียน เขาเข้าไปคลุกคลีกับคนเหล่านั้น. มอฟฟัตมานะพากเพียร และโดยไม่มีหนังสือหัดอ่านเบื้องต้นหรือพจนานุกรม ในที่สุดก็ชำนาญภาษานี้ คิดประดิษฐ์รูปแบบการเขียนสำหรับภาษานี้ขึ้นมา และสอนชาวทซวานาบางคนให้อ่านอักขระนั้น. ในปี 1829 หลังจากทำงานอยู่กับชาวทซวานาได้แปดปี เขาก็แปลกิตติคุณลูกาเสร็จ. เวลาต่อมา เขากล่าวดังนี้: “ผมได้รู้จักบางคนที่มาเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อจะขอรับกิตติคุณของนักบุญลูกา. . . . ผมเห็นพวกเขาได้รับส่วนต่าง ๆ ของกิตติคุณนักบุญลูกาและร้องไห้กับหนังสือเหล่านั้น กอดไว้แนบอก และหลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณ จนผมบอกมากกว่าหนึ่งคนว่า ‘คุณจะทำให้หนังสือของคุณเสียเพราะน้ำตาคุณนะ.’” มอฟฟัตยังได้เล่าถึงชายชาวแอฟริกาคนหนึ่งซึ่งเห็นหลายคนอ่านกิตติคุณลูกาอยู่และถามพวกเขาว่าสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของนั้นคืออะไร. “นี่คือพระคำของพระเจ้า” พวกเขาตอบ. ชายคนนั้นถามว่า “หนังสือนี้พูดได้ไหม?” พวกเขาตอบว่า “ได้ซิ หนังสือนี้พูดได้ลึกถึงหัวใจเลยทีเดียว.”
14 ผู้แปลที่อุทิศตนเหมือนมอฟฟัตได้ทำให้ชาวแอฟริกาจำนวนมากมีโอกาสติดต่อสื่อสารด้วยการเขียนเป็นครั้งแรก. แต่เหล่าผู้แปลได้ให้ของขวัญที่มีคุณค่ามากกว่านั้นอีก นั่นคือคัมภีร์ไบเบิลในภาษาของพวกเขาเอง. นอกจากนั้น มอฟฟัตแนะนำพระนามของพระเจ้าให้ชาวทซวานาได้รู้จัก และเขาใช้พระนามนั้นตลอดการแปลของเขา.c ด้วยเหตุนั้น ชาวทซวานาเรียกคัมภีร์ไบเบิลว่า “พระโอษฐ์ของพระยะโฮวา.”—บทเพลงสรรเสริญ 83:18.
15. เหตุใดคัมภีร์ไบเบิลจึงมีชีวิตอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้?
15 ผู้แปลคนอื่นในหลายส่วนของโลกพบอุปสรรคคล้าย ๆ กัน. บางคนถึงกับเสี่ยงชีวิตตนเพื่อแปลคัมภีร์ไบเบิล. คิดดูซิ: หากคัมภีร์ไบเบิลยังคงมีอยู่เพียงแค่ในภาษาฮีบรูและกรีกโบราณ หนังสือนี้ก็คง “ตาย” ไปนานแล้ว เพราะต่อมามวลชนก็ลืมทั้งสองภาษานี้เสียสิ้น และไม่เคยรู้จักกันเลยในหลายส่วนของแผ่นดินโลก. กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลมีชีวิตอยู่ตลอดมาเพราะไม่เหมือนหนังสืออื่นใดตรงที่หนังสือนี้สามารถ “พูด” กับประชาชนทั่วโลกในภาษาของพวกเขาเอง. ผลคือ ข่าวสารของพระคัมภีร์ยังคง “กระทำกิจอยู่ภายใน [ผู้] ที่เชื่อ.” (1 เธซะโลนิเก 2:13) ฉบับแปลเดอะ เจรูซาเลม ไบเบิล แปลอย่างนี้: “คำเหล่านี้ยังคงไว้ซึ่งพลังอันมีชีวิตอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายที่เชื่อคำนั้น.”
ควรค่าแก่การไว้วางใจ
16, 17. (ก) เพื่อคัมภีร์ไบเบิลจะควรค่าแก่การไว้วางใจ ควรมีหลักฐานในเรื่องใด? (ข) จงให้สักตัวอย่างหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นความตรงไปตรงมาของโมเซผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล.
16 บางคนอาจสงสัยว่า ‘จะไว้วางใจคัมภีร์ไบเบิลได้จริง ๆ ไหม?’ ‘พระคัมภีร์กล่าวถึงผู้คนที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่อาจโต้แย้ง, สถานที่ซึ่งมีอยู่จริง, และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไหม?’ ถ้าจะให้เราไว้วางใจพระคัมภีร์ ควรมีหลักฐานว่าหนังสือนี้เขียนโดยผู้เขียนที่รอบคอบและซื่อสัตย์. เรื่องนี้นำเรามาถึงอีกเหตุผลหนึ่งที่ควรตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล กล่าวคือ มีหลักฐานหนักแน่นว่าหนังสือนี้ถูกต้องแม่นยำและไว้วางใจได้.
17 ผู้เขียนที่ซื่อสัตย์จะบันทึกไม่เฉพาะแต่ความสำเร็จแต่ความล้มเหลวด้วย ไม่เฉพาะแต่ความเข้มแข็งแต่ความอ่อนแอด้วย. ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลแสดงออกถึงความตรงไปตรงมาที่น่าพอใจเช่นนั้น. ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาความตรงไปตรงมาของโมเซ. ส่วนหนึ่งของรายงานที่ท่านลงไว้อย่างตรงไปตรงมาได้แก่การที่ท่านเองพูดไม่คล่อง ซึ่งในทัศนะของท่าน ทำให้ท่านไม่เหมาะจะเป็นผู้นำชาติยิศราเอล (เอ็กโซโด 4:10); ความผิดพลาดร้ายแรงที่ท่านทำ ซึ่งทำให้ท่านไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งคำสัญญา (อาฤธโม 20:9-12; 27:12-14); ความหลงผิดของอาโรนพี่ชายของท่าน ซึ่งได้ร่วมมือกับชาวยิศราเอลที่กบฏในการทำรูปเคารพลูกโคทองคำ (เอ็กโซโด 32:1-6); การกบฏของมิระยามพี่สาวของท่านและการลงโทษอย่างน่าอับอายที่เธอได้รับ (อาฤธโม 12:1-3, 10); การหมิ่นประมาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นาดาบและอะบีฮูหลานชายของท่านทำ (เลวีติโก 10:1, 2); และการบ่นว่าและบ่นพึมพำครั้งแล้วครั้งเล่าของไพร่พลพระเจ้าเอง. (เอ็กโซโด 14:11, 12; อาฤธโม 14:1-10) การรายงานอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเช่นนั้นแสดงถึงความห่วงใยต่อความจริงด้วยน้ำใสใจจริงมิใช่หรือ? เนื่องจากเหล่าผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลต่างเต็มใจรายงานข้อมูลในด้านไม่ดีเกี่ยวกับผู้ที่พวกเขารัก, ชนร่วมชาติ, และแม้แต่เกี่ยวกับตนเอง จึงมีเหตุผลสมควรจะไว้วางใจข้อความที่พวกเขาเขียนมิใช่หรือ?
18. อะไรช่วยพิสูจน์ความน่าเชื่อถือแห่งข้อเขียนของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล?
18 ความสอดคล้องลงรอยกันของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลช่วยพิสูจน์ความน่าเชื่อถือแห่งข้อเขียนของพวกเขาด้วย. นับว่าน่าทึ่งอย่างแท้จริงที่เรื่องราวซึ่งคน 40 คนเขียนในช่วงเวลาประมาณ 1,600 ปีสอดคล้องต้องกัน แม้แต่ในรายละเอียดปลีกย่อย. อย่างไรก็ดี ความสอดคล้องกันนี้ไม่ได้เรียบเรียงไว้อย่างระมัดระวัง ซึ่งคงจะทำให้สงสัยว่ามีการเจตนาสมรู้ร่วมคิดกัน. ตรงกันข้าม ปรากฏชัดว่าไม่มีการวางแผนในเรื่องความสอดคล้องต้องกันของรายละเอียดปลีกย่อยในที่ต่าง ๆ; บ่อยครั้งเห็นได้ชัดว่าความสอดคล้องกันนั้นเป็นโดยไม่เจตนา.
19. เรื่องราวในกิตติคุณเกี่ยวกับการจับกุมพระเยซูเผยให้เห็นอย่างไรถึงความสอดคล้องกันซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นโดยไม่ได้ตั้งใจ?
19 เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่มีการจับกุมพระเยซู. ผู้เขียนกิตติคุณทั้งสี่บันทึกว่า สาวกคนหนึ่งชักดาบออกมาและฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูชายคนนั้นขาด. อย่างไรก็ตาม เฉพาะลูกาเท่านั้นที่บอกเราว่าพระเยซู “ทรงต่อใบหูคนนั้นให้หายปกติ.” (ลูกา 22:51) แต่นั่นมิใช่สิ่งที่เราคงจะคาดหมายจากผู้เขียนซึ่งรู้จักกันว่าเป็น “แพทย์ที่รัก” หรอกหรือ? (โกโลซาย 4:14) บันทึกของโยฮันบอกเราว่า ในบรรดาสาวกทุกคนที่อยู่ด้วย คนที่ถือดาบคือเปโตร ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อคิดถึงนิสัยของเปโตรซึ่งหุนหันพลันแล่นและมุทะลุ. (โยฮัน 18:10; เทียบกับมัดธาย 16:22, 23 และโยฮัน 21:7, 8.) โยฮันรายงานรายละเอียดอีกอย่างหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าไม่จำเป็นเลย นั่นคือ: “ทาสคนนั้นชื่อมาละโค.” เพราะเหตุใดจึงมีโยฮันคนเดียวที่บอกชื่อชายผู้นั้น? มีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ในข้อความที่มีการรายงานโดยบังเอิญเฉพาะในบันทึกของโยฮันที่บอกว่า โยฮัน “รู้จักกันกับมหาปุโรหิต.” ครัวเรือนของมหาปุโรหิตก็รู้จักท่านด้วย; พวกบ่าวคุ้นเคยกับท่าน และท่านก็คุ้นเคยกับพวกเขา.d (โยฮัน 18:10, 15, 16) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่โยฮันกล่าวถึงชื่อของชายที่บาดเจ็บ ในขณะที่ผู้เขียนกิตติคุณคนอื่น ๆ ไม่ได้กล่าวถึง เพราะดูเหมือนว่าชายผู้นั้นเป็นคนที่พวกเขาไม่รู้จัก. ความสอดคล้องกันระหว่างรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าทึ่ง กระนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นโดยไม่ได้ตั้งใจ. ยังมีตัวอย่างคล้าย ๆ กันอีกหลายเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม.
20. ชนผู้มีหัวใจสุจริตจำต้องทราบอะไรเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล?
20 ฉะนั้น เราสามารถไว้วางใจคัมภีร์ไบเบิลได้ไหม? แน่นอนที่สุด! ความตรงไปตรงมาของผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล และความสอดคล้องกันภายในของคัมภีร์ไบเบิลบอกลักษณะที่เด่นชัดของความจริง. ผู้คนที่มีหัวใจสุจริตจำต้องทราบว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจคัมภีร์ไบเบิล เพราะหนังสือนี้เป็นพระคำซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจจาก “พระยะโฮวา, พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง.” (บทเพลงสรรเสริญ 31:5) ยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีกที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือสำหรับทุกคน ดังจะมีการพิจารณาในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a ตามสถิติที่ลงพิมพ์โดยสหสมาคมพระคริสตธรรม.
b ในระหว่างที่เปาโลถูกจำคุกครั้งที่สองในกรุงโรม ท่านขอติโมเธียวให้นำ “หนังสือ, และเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่เขียนที่แผ่นหนัง” มาให้. (2 ติโมเธียว 4:13) อาจเป็นได้ที่เปาโลขอให้นำบางส่วนของพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูมาให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ศึกษาพระธรรมเหล่านี้ขณะที่อยู่ในคุก. วลีที่ว่า “เฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่เขียนที่แผ่นหนัง” อาจบ่งชี้ว่า นอกจากม้วนหนังสือที่เขียนบนแผ่นหนังแล้วยังมีม้วนหนังสือพาไพรัสด้วย.
c ในปี 1838 มอฟฟัตแปลพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกทั้งเล่มเสร็จ. ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนคนหนึ่ง เขาแปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเสร็จในปี 1857.
d ความคุ้นเคยของโยฮันกับมหาปุโรหิตและครัวเรือนของเขาจะเห็นได้ในบันทึกตอนต่อมา. เมื่อทาสอีกคนหนึ่งของมหาปุโรหิตกล่าวโทษเปโตรว่าเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซู โยฮันอธิบายว่าทาสคนนี้เป็น “ญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดนั้น.”—โยฮัน 18:26.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ทำไมเราควรคาดหมายว่าคัมภีร์ไบเบิลน่าจะเป็นหนังสือที่หาได้ง่ายที่สุดในโลก?
▫ มีหลักฐานอะไรที่ว่า คัมภีร์ไบเบิลได้รับการรักษาไว้อย่างถูกต้องแม่นยำ?
▫ คนที่แปลคัมภีร์ไบเบิลเผชิญอุปสรรคอะไรบ้าง?
▫ อะไรช่วยพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของข้อเขียนในคัมภีร์ไบเบิล?