ผู้ให้ด้วยใจเลื่อมใสพระเจ้าจะได้ความสุขชั่วนิรันดร์
“พระเจ้าทรงรักโลกมาก จนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 3:16, ล.ม.
1, 2. (ก) ใครเป็นผู้ให้องค์ใหญ่ยิ่ง และของประทานที่ดีเลิศซึ่งพระองค์ให้แก่มนุษย์คืออะไร? (ข) เมื่อพระเจ้าโปรดให้ของประทานที่ดีเลิศอย่างนั้น พระองค์ได้ทรงสำแดงคุณลักษณะเช่นไร?
พระเจ้ายะโฮวาทรงเป็นผู้ให้องค์ใหญ่ยิ่งไม่มีใครเสมอเหมือน. ด้วยการคำนึงถึงพระองค์ พระผู้สร้างสวรรค์และแผ่นดินโลก ยาโกโบสาวกคริสเตียนได้เขียนดังนี้: “ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาแต่เบื้องบน และลงมาจากพระบิดาผู้ทรงบันดาลให้มีความสว่าง ในพระบิดานั้นไม่มีการแปรปรวนไป หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเงาที่ทอดออกไปด้วยอาการหมุนเวียน.” (ยาโกโบ 1:17) อนึ่ง พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ให้ของประทานที่ดีที่สุดเท่าที่จะประทานได้ไม่ว่าเวลาใด. เกี่ยวกับของประทานที่ดีที่สุดซึ่งโปรดแก่มนุษย์มีคำกล่าวดังนี้: “พระเจ้าทรงรักโลกมาก จนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 3:16, ล.ม.
2 ผู้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพระบุตรที่ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระเจ้านั้นเอง. โดยปกติแล้วบุตรที่ได้รับกำเนิดองค์เดียวของบิดาคงหยั่งรู้ค่าและรักบิดาแบบนั้นฐานะเป็นแหล่งแห่งชีวิตและสารพัดสิ่งดี ๆ ที่จัดไว้เพื่อบุตรจะชื่นชมกับชีวิต. แต่ความรักของพระเจ้าไม่ได้จำกัดไว้สำหรับพระบุตรองค์นี้เท่านั้น. ที่จะเผื่อแผ่ของประทานดังกล่าวให้ถึงคนอื่น ๆ ในหมู่มนุษย์ทั้งมวลก็คงจะสำแดงความรักของพระเจ้าให้ปรากฏในระดับใหญ่โตมาก. (เทียบกับโรม 5:8-10.) ทั้งนี้ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้นเมื่อเราพิจารณาว่าตามท้องเรื่องนั้นคำ “ให้, ประทาน” หมายถึงอะไรจริง ๆ.
พระเจ้าประทาน “พระบุตรที่รักของพระองค์”
3. นอกจาก “พระบุตรที่พระองค์ทรงรัก” ใครอีกได้รับความรักของพระบิดาทางภาคสวรรค์?
3 พระเจ้าได้ทรงใกล้ชิดสนิทสนมกับพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวนี้—“บุตรที่รักของพระองค์”—ในสรวงสวรรค์เป็นเวลานานเท่าไรนั้นไม่ได้บอกไว้. (โกโลซาย 1:13) ตลอดระยะเวลานานแสนนาน พระบิดาและพระบุตรทรงทวีความผูกพันรักชอบซึ่งกันและกันมากขึ้นถึงขนาดไม่มีความรักอื่นเหมือนความรักระหว่างพระองค์ทั้งสอง. สรรพสิ่งอื่น ๆ ที่มีเชาวน์ปัญญาซึ่งพระเจ้าได้สร้างให้มีชีวิตโดยทางพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียว ได้รับความรักในฐานะที่เป็นสมาชิกครอบครัวของพระยะโฮวาทางภาคสวรรค์เช่นเดียวกัน. ด้วยเหตุนี้ ความรักจึงครอบงำครอบครัวของพระเจ้าอย่างทั่วถึง. คำกล่าวในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นับว่าถูกต้องที่ว่า “พระเจ้าเป็นความรัก.” (1 โยฮัน 4:8) ฉะนั้น ครอบครัวของพระเจ้าประกอบด้วยบุคคลซึ่งได้รับความรักจากพระบิดาคือพระเจ้ายะโฮวา.
4. การที่พระเจ้าได้ประทานพระบุตรของพระองค์หมายความมากยิ่งเสียกว่าการขาดโอกาสสนิทสนมกับพระบุตรอย่างไร และเพื่อประโยชน์ของใคร?
4 สายสัมพันธ์ระหว่างพระยะโฮวากับพระบุตรหัวปีของพระองค์แนบแน่นถึงขนาด ซึ่งหากยอมบั่นทอนความใกล้ชิดเช่นนั้น ในตัวเองคงจะหมายถึงการสูญเสียอยู่แล้ว. (โกโลซาย 1:15) แต่ ‘การประทาน’ พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวไม่หมายความแต่เพียงว่าพระเจ้าเสียโอกาสใกล้ชิดสนิทกับ “พระบุตรที่รักของพระองค์ไป” แต่กินความไปถึงขั้นที่พระยะโฮวาทรงยอมให้พระบุตรของพระองค์วายพระชนม์และจึงขาดจากการเป็นอยู่ฐานะสมาชิกภาพแห่งครอบครัวของพระเจ้าไปชั่วคราว. นี้คือความตายเพื่อคนเหล่านั้นซึ่งยังไม่เคยเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของพระเจ้า. พระยะโฮวาคงไม่ได้ประทานสิ่งอื่นที่ดีไปกว่าพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมนุษยชาติที่อับจนคือพระบุตรซึ่งคัมภีร์ไบเบิลได้ระบุด้วยว่า “ผู้เป็นเบื้องต้นแห่งการทรงสร้างโดยพระเจ้า.”—วิวรณ์ 3:14, ล.ม.
5. (ก) อะไรคือความทุกข์ลำเค็ญที่เกิดขึ้นกับบุตรหลานของอาดาม และความยุติธรรมของพระเจ้าเรียกร้องอะไรจากบุตรที่ซื่อสัตย์องค์หนึ่งของพระองค์? (ข) ของประทานที่ดีเลิศจากพระเจ้าย่อมเรียกร้องอะไรจากพระองค์?
5 มนุษย์คู่แรกคืออาดามกับฮาวาไม่ได้รักษาสถานภาพของตนในฐานะที่เป็นสมาชิกครอบครัวพระเจ้า. นั้นคือสภาพซึ่งเขาเองได้ประสบภายหลังถูกไล่ออกจากสวนเอเดนแล้วเนื่องจากกระทำผิดบาปต่อพระเจ้า. เขาไม่เพียงแต่ขาดจากการเป็นสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า แต่ยิ่งกว่านั้น เขาถูกตัดสินลงโทษให้ตายด้วย. เหตุฉะนั้น ปัญหาไม่ใช่แค่การที่จะให้ลูกหลานของเขากลับเป็นที่รักชอบของพระเจ้าในฐานะเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์ แต่ยังหมายถึงการช่วยเขาพ้นโทษถึงตายตามการตัดสินของพระเจ้านั้นด้วย. ตามขบวนการยุติธรรมของพระเจ้า เรื่องนี้จำต้องมีบุตรที่ซื่อสัตย์องค์หนึ่งของพระเจ้ายะโฮวาตายแทน หรือสละชีวิตเพื่อไถ่ถอน. ฉะนั้น ปัญหาใหญ่คือ ผู้ที่ถูกเลือกจะเต็มใจยอมตายแทนคนบาปไหม? ยิ่งกว่านั้น การดำเนินงานนี้ย่อมเรียกร้องการอัศจรรย์จากพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. อีกทั้งเรียกร้องการแสดงออกซึ่งความรักของพระเจ้าถึงขนาดที่จะหาอะไรเทียบไม่ได้เลย.—โรม 8:32.
6. พระบุตรของพระเจ้าสามารถดำเนินการในด้านความจำเป็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพของมนุษย์ที่ผิดบาปได้อย่างไร และพระองค์ตรัสอย่างไรในเรื่องนี้?
6 พระบุตรหัวปีของพระเจ้าเท่านั้นมีคุณสมบัติเพียบพร้อมสามารถดำเนินการที่จำเป็นเพื่อจัดการกับสภาพการณ์ของมนุษยชาติผู้ผิดบาป. พระองค์ทรงเป็นเหมือนพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ในการแสดงความรักชอบต่อบรรดาสมาชิกครอบครัวที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ซึ่งก็ไม่มีบุตรองค์ใดของพระเจ้าจะเท่าเทียมพระบุตรองค์นี้. เนื่องจากสรรพสิ่งที่มีเชาวน์ปัญญาได้รับชีวิตโดยทางพระบุตร จึงเป็นที่แน่นอนว่าความรักชอบที่พระองค์มีต่อบุตรทั้งหลายย่อมอุดมบริบูรณ์. ยิ่งกว่านั้น ความรักเป็นลักษณะเด่นของพระคริสต์ พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระยะโฮวา เพราะ “พระองค์ทรงเป็นแสง [สะท้อน, ล.ม.] แห่งสง่าราศีของพระเจ้า และเป็นแบบพระฉายของพระองค์นั้นทีเดียว.” (เฮ็บราย 1:3) เพื่อแสดงว่าพระองค์เต็มพระทัยจะสำแดงความรักอย่างเต็มขนาดโดยทรงสละพระชนม์เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ที่ผิดบาป พระเยซูจึงตรัสแก่อัครสาวกสิบสองคนดังนี้: “บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อจะให้เขาปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของพระองค์เพื่อคนเป็นอันมาก.”—มาระโก 10:45; โปรดดูโยฮัน 15:13 ด้วย.
7, 8. (ก) อะไรคือเจตนาของพระยะโฮวาในการส่งพระเยซูคริสต์มายังโลกมนุษย์? (ข) พระเจ้าทรงส่งพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวเพื่อทำงานอะไร?
7 พระเจ้ายะโฮวาทรงมีเหตุผลพิเศษที่ได้ส่งพระเยซูเข้ามายังโลกมนุษย์ซึ่งตกต่ำนี้. ความรักของพระเจ้าเป็นพลังกระตุ้นการกระทำดังกล่าว เพราะพระเยซูเองตรัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกมากจนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์. เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลก มิใช่เพื่อจะให้พิพากษาโลก แต่เพื่อจะช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น.”—โยฮัน 3:16, 17, ล.ม.
8 พระยะโฮวาได้ทรงส่งพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ก็เพื่อดำเนินงานช่วยมนุษย์ให้รอด. พระเจ้าไม่ส่งพระบุตรเพื่อจะพิพากษาโลก. ถ้าพระบุตรถูกส่งเพื่องานพิพากษาแล้ว มวลมนุษยชาติทั้งโลกคงหมดหวังแน่ ๆ. การตัดสินชี้ขาดโทษของครอบครัวมนุษย์ซึ่งพระเยซูคริสต์จะแถลงนั้นคงต้องมีโทษถึงตายทั้งสิ้น. (โรม 5:12) ดังนั้น โดยการสำแดงความรักอย่างล้ำเลิศของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงถ่วงโทษถึงตายนั้นซึ่งขบวนการยุติธรรมแท้ ๆ กำหนดไว้.
9. ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญรู้สึกอย่างไรต่อการให้ของพระยะโฮวา?
9 ในทุกขั้นตอน พระเจ้ายะโฮวาทรงสำแดงความรักอันเป็นลักษณะเด่นแห่งบุคลิกภาพของพระองค์. และอาจพูดได้อย่างถูกต้องว่าด้วยความรัก พระเจ้าทรงประทานแต่สิ่งดี ๆ มากมายจนเกินพอแก่ผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลายที่บูชานมัสการพระเจ้า. ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริฐสำนึกถึงเรื่องนี้เมื่อท่านทูลพระเจ้าว่า “พระกรุณาคุณของพระองค์มากยิ่งเท่าใด ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเหล่าคนที่เกรงกลัวพระองค์! ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อคนที่พึ่งอาศัยในพระองค์ต่อหน้าพงศ์พันธุ์ของมนุษย์.” (บทเพลงสรรเสริญ 31:19) ในระหว่างดาวิดปกครองชาติยิศราเอล—ใช่แล้ว ตลอดชีวิตที่ท่านเป็นสมาชิกของชาตินั้นซึ่งพระเจ้าทรงสรรไว้เป็นพิเศษ—ท่านได้ประสบคุณความดีของพระยะโฮวาอยู่เนือง ๆ. และดาวิดได้เห็นแล้วว่าความดีนั้นมีล้นเหลือ.
ชาติยิศราเอลสูญเสียของประทานอันดีเลิศจากพระเจ้า
10. เหตุใดชาติยิศราเอลโบราณไม่เหมือนชาติหนึ่งชาติใดบนแผ่นดินโลก?
10 เนื่องจากชาติยิศราเอลสมัยโบราณมีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเขา ชาตินี้จึงไม่เหมือนชาติใดในโลก. โดยทางผู้พยากรณ์โมเซในฐานะคนกลาง พระยะโฮวาทรงนำบุตรหลานของอับราฮาม ยิศฮาคและยาโคบเข้ามาร่วมสัมพันธภาพแห่งคำสัญญาไมตรีกับพระองค์. พระเจ้าไม่ทรงเกี่ยวข้องกับชาติใด ๆ เลยตามแบบแผนนี้. เหตุฉะนั้น ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญซึ่งรับการดลใจสามารถเปล่งเสียงร้องดังนี้: “พระองค์ทรงประกาศพระวจนะของพระองค์แก่พวกยาโคบ และทรงประทานข้อกฎหมายและข้อบัญญัติของพระองค์แก่พวกยิศราเอล. พระองค์หาได้กระทำอย่างนั้นแก่ชนประเทศใด ๆ ไม่ ชาวประเทศเหล่านั้นมิได้รู้จักข้อบัญญัติของพระองค์. ท่านทั้งหลายจงสรรเสริญพระยะโฮวาเถิด!”—บทเพลงสรรเสริญ 147:19, 20.
11. ชาติยิศราเอลอยู่ในฐานะเป็นที่โปรดปรานจำเพาะพระเจ้ากระทั่งเมื่อไร และพระเยซูทรงกล่าวไว้อย่างไรถึงการเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพของพวกเขา?
11 ชาติยิศราเอลโดยกำเนิดได้ธำรงสัมพันธภาพที่ดีเช่นนี้กับพระเจ้ามาโดยตลอด จนกระทั่งชาตินี้ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ฐานะพระมาซีฮาในปีสากลศักราช 33. วันนั้นเป็นวันกำสรดเศร้าหมองอย่างแท้จริงสำหรับชาติยิศราเอลเมื่อพระเยซูได้ทรงรำพันด้วยพระทัยเป็นทุกข์ว่า “โอยะรูซาเลม ๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้า เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนือง ๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน! แต่เจ้าไม่ยอม. นี่แหละ เรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า.” (มัดธาย 23:37, 38) คำตรัสของพระเยซูบ่งชี้ว่าชนยิศราเอล แม้ว่าเมื่อก่อนเคยเป็นชาติที่พระยะโฮวาโปรดปราน แต่แล้วก็หมดสิทธิ์จะได้ของประทานพิเศษจากพระเจ้า. เป็นไปอย่างไร?
12. ใครคือ ‘ลูกแห่งยะรูซาเลม’ และจะหมายถึงสิ่งใดสำหรับพระเยซูในการที่จะทรงรวบรวมพวกเขา?
12 โดยการใช้คำ “ลูก” พระเยซูหมายถึงเฉพาะชาวยิวโดยกำเนิดที่รับสุหนัตซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงยะรูซาเลมและเป็นตัวแทนชาวยิวทั้งประเทศ. ที่ว่าพระเยซูจะรวบรวม ‘ลูกแห่งยะรูซาเลม’ ก็คงหมายความว่า พระองค์จะนำ “ลูก” เหล่านี้เข้ามาร่วมในคำสัญญาไมตรีใหม่กับพระเจ้า และพระองค์เองจะเป็นคนกลางระหว่างพระยะโฮวากับคนเหล่านั้นที่เป็นชาวยิวโดยกำเนิด. (ยิระมะยา 31:31-34) ทั้งนี้ย่อมยังผลให้มีการอภัยบาป เพราะความรักของพระเจ้าแผ่คลุมมากถึงขนาดนั้น. (เทียบกับมาลาคี 1:2.) นี้จึงเป็นของประทานที่วิเศษอย่างแท้จริง.
13. การที่ชาติยิศราเอลปฏิเสธพระบุตรของพระเจ้าทำให้เขาสูญเสียอะไร แต่ทำไมความยินดีของพระยะโฮวามิได้มอดมลายไป?
13 เพื่อประสานกลมกลืนกับพระคำในเชิงพยากรณ์ พระยะโฮวาทรงคอยท่าอยู่นานพอสมควรก่อนเสนอของประทานแก่คนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิวเพื่อให้มาร่วมในคำสัญญาไมตรีใหม่. แต่เมื่อเขาปฏิเสธพระมาซีฮา พระบุตรของพระเจ้า ชาติยิศราเอลโดยกำเนิดจึงไม่มีสิทธิ์จะได้ของประทานอันประเสริฐยิ่งนี้. ดังนั้น พระยะโฮวาจึงทรงถ่วงการปฏิเสธพระบุตรของพระองค์ไว้ โดยทรงโปรดให้ของประทานนี้ต่อไปถึงชนชาติอื่นนอกเหนือชาติยิศราเอล. โดยการทำเช่นนี้ ความยินดีของพระยะโฮวาฐานะที่ทรงเป็นผู้ให้องค์ใหญ่ยิ่งจึงมีอยู่ต่อ ๆ ไป หาได้ลดน้อยลงไม่.
มีความสุขเพราะการให้
14. เหตุใดพระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุคคลที่มีความสุขอย่างยิ่งในบรรดาผู้ถูกสร้างขึ้นในเอกภพ?
14 พระยะโฮวาทรงเป็น “พระเจ้าผู้ประกอบด้วยความสุข.” (1 ติโมเธียว 1:11) การให้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พระองค์มีความสุข. และในศตวรรษแรก พระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ตรัสดังนี้: “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.” (กิจการ 20:35) ประสานกับหลักการนี้ พระเยซูจึงกลายเป็นบุคคลที่มีความสุขมากที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาในเอกภพ. อย่างไรกัน? ถัดจากพระเจ้ายะโฮวาแล้ว พระเยซูคริสต์องค์นี้แหละได้ให้ของประทานใหญ่ยิ่ง โดยที่พระองค์ทรงสละชีวิตเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ. ที่จริง พระองค์ทรงเป็น ‘ผู้ประกอบด้วยบรมสุข.’ (1 ติโมเธียว 6:15) ด้วยเหตุนี้ พระเยซูทรงเป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าการให้ย่อมก่อความสุขมากกว่า.
15. พระยะโฮวาจะไม่เลิกราจากการเป็นตัวอย่างในด้านใด และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้มีเชาวน์ปัญญาจะประสบความสุขเช่นเดียวกับพระองค์โดยวิธีใด?
15 โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้ายะโฮวาไม่เคยพลาดเลยในการเป็นผู้ให้ด้วยพระทัยเผื่อแผ่แก่สรรพสิ่งที่มีเชาวน์ปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา และทรงเป็นแบบอย่างโดยการให้สิ่งที่ดียิ่งเสมอมิได้ขาด. พระเจ้าทรงชื่นชมในการประทานสิ่งดีต่าง ๆ แก่ผู้อื่นฉันใด พระองค์ก็ทรงปลูกฝังน้ำใจเอื้อเฟื้อไว้ในหัวใจของมนุษย์ซึ่งพระองค์ได้สร้างขึ้นเช่นกันฉันนั้น. โดยวิธีนี้ มนุษย์จึงสะท้อนและเลียนแบบบุคลิกของพระองค์ และประสบความสุขเหมือนพระองค์ในระดับหนึ่ง. (เยเนซิศ 1:26; เอเฟโซ 5:1) นับว่าเหมาะเจาะทีเดียว พระเยซูรับสั่งแก่สาวกของพระองค์ดังนี้: “จงแจกปันให้เขา และเขาจะแจกปันให้ท่านด้วย เขาจะตวงด้วยทะนาน ถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ในตักของท่าน เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น.—ลูกา 6:38.
16. ที่ลูกา 6:38 พระเยซูตรัสพาดพิงถึงการให้ชนิดใด?
16 พระเยซูได้ทรงวางตัวอย่างที่ดีเยี่ยมให้เหล่าสาวกของพระองค์ในด้านการทำแนวทางการให้เป็นแนวปฏิบัติประจำ. พระองค์ตรัสว่าการให้ดังกล่าวย่อมจะมีการตอบสนองจากผู้รับ. ที่ลูกา 6:38 พระเยซูไม่ได้พาดพิงเฉพาะการให้วัตถุปัจจัย. พระองค์ไม่ได้สั่งสาวกของพระองค์ให้ติดตามแนวทางซึ่งอาจเป็นเหตุให้เขาอัตคัดสิ่งฝ่ายวัตถุ. แต่ทว่าพระองค์ทรงแนะแนวทางซึ่งทำให้เขารู้สึกอิ่มใจทางฝ่ายวิญญาณต่างหาก.
ความสุขนิรันดร์ได้รับการรับรอง
17. ของประทานอันดีอะไรซึ่งพระเยซูทรงมอบให้พยานทั้งหลายของพระองค์ในสมัยสุดท้ายนี้?
17 ของประทานที่พระยะโฮวาองค์ประมุขแห่งสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาทรงให้แก่เหล่าพยานของพระองค์ในสมัยสุดท้ายนี้ดีวิเศษเพียงไร! พระองค์ทรงให้ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรแก่พวกเรา. เรามีสิทธิพิเศษใหญ่หลวงที่เป็นผู้ประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งได้รับการสถาปนาแล้วภายใต้การบริหารของพระเยซูคริสต์พระบุตรผู้ครองราชย์. (มัดธาย 24:14; มาระโก 13:10) การที่เราเป็นพยานเปล่งเสียงกล่าวถึงพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่งสูงสุดนั้นแหละคือของประทานที่ไม่มีอะไรเปรียบปาน และวิธีดีที่สุดสำหรับพวกเราจะให้ด้วยการเลียนแบบพระเจ้าก็ได้แก่การกระจายข่าวสารราชอาณาจักรไปยังคนอื่น ๆ ก่อนระบบชั่วนี้จะจบสิ้น.
18. ในฐานะเป็นพยานพระยะโฮวา เราต้องให้สิ่งใดแก่ผู้อื่น?
18 อัครสาวกเปาโลได้กล่าวถึงความยากลำบากซึ่งท่านประสบเมื่อประกาศข่าวสารราชอาณาจักรแก่ผู้อื่น. (2 โกรินโธ 11:23-27) พยานพระยะโฮวาสมัยนี้ก็เช่นเดียวกันต้องผ่านความยากลำบากและสละความพึงพอใจส่วนตัว ด้วยความตั้งใจจะช่วยคนอื่นให้มีความหวังเรื่องราชอาณาจักร. เราอาจไม่อยากไปพบประชาชนที่บ้านของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรารู้สึกตะขิดตะขวง. แต่ในฐานะเป็นสาวกของพระคริสต์ เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงสิทธิพิเศษแห่งการให้สิ่งฝ่ายวิญญาณแก่ผู้อื่นโดยการประกาศสั่งสอน “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.” (มัดธาย 24:14) เราจำต้องมีทัศนะเหมือนพระเยซู. เมื่อเผชิญความตาย พระองค์ได้อธิษฐานดังนี้: “โอพระบิดาของข้าพเจ้า . . . อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์.” (มัดธาย 26:39) เกี่ยวกับการให้ผู้อื่นรู้ข่าวดีแห่งราชอาณาจักร ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาต้องกระทำตามพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจตัวเอง ทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่ใช่ตามที่ตัวเองต้องการ.
19. ใครเป็นเจ้าของ “ที่อาศัยถาวรเป็นนิตย์” และเราจะผูกมิตรกับบุคคลเหล่านั้นโดยวิธีใด?
19 การให้แบบนี้หมายรวมถึงการให้เวลาและทรัพยากรของเรา แต่โดยการเป็นผู้ให้ด้วยใจเลื่อมใสในพระเจ้า เราย่อมแน่ใจได้ว่าความสุขของเราจะยั่งยืนนิรันดร์. เพราะเหตุใด? เพราะพระเยซูตรัสว่า ‘จงกระทำให้มีมิตรสหายแก่ตัวด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม [ทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก, ฉบับแปลใหม่นานาชาติ] เพื่อเมื่อทรัพย์นั้นเสียไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านในที่อาศัยถาวรเป็นนิตย์.” (ลูกา 16:9) ควรให้เป็นเป้าหมายของเราทีเดียวว่าจะใช้ “ทรัพย์สมบัติอธรรม” ผูกมิตรกับพระองค์ผู้ครอบครอง “ที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์.” ในฐานะเป็นพระผู้สร้าง พระยะโฮวาทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง และพระบุตรหัวปีของพระองค์ทรงร่วมเป็นเจ้าของฐานะทายาทครองทุกสิ่ง. (บทเพลงสรรเสริญ 50:10-12; เฮ็บราย 1:1, 2) ที่จะผูกมิตรกับพระองค์ทั้งสอง เราต้องใช้ทรัพย์สินที่เรามีอยู่เพื่อจะได้มาซึ่งความโปรดปรานของพระองค์. ทั้งนี้รวมไปถึงทัศนะที่ถูกต้องในการใช้วัตถุปัจจัยต่าง ๆ เพื่อคุณประโยชน์ของผู้อื่น. (เทียบกับมัดธาย 6:3, 4; 2 โกรินโธ 9:7.) เราอาจใช้เงินทองอย่างเหมาะสมเพื่อเสริมมิตรภาพระหว่างเรากับพระเจ้าและพระคริสต์ให้มั่นคง. ตัวอย่างเช่น เราทำวิธีนี้โดยใช้สิ่งของที่เรามีอยู่ด้วยความเบิกบานยินดีเกื้อหนุนผู้ยากแค้นขัดสนจริง ๆ และใช้ทรัพยากรของเราส่งเสริมผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า.—สุภาษิต 19:17; มัดธาย 6:33.
20. (ก) เหตุใดพระยะโฮวาและพระเยซูสามารถนำเราเข้าไปถึง “ที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์” ได้ และที่อาศัยถาวรเช่นนั้นอาจอยู่ที่ไหน? (ข) สิทธิพิเศษอะไรจะเป็นของพวกเราตลอดนิรันดรกาล?
20 เพราะความเป็นอมตะของพระองค์ พระเจ้ายะโฮวาและพระเยซูคริสต์สามารถเป็นมิตรของเราตลอดไป และสามารถจะนำเราเข้าไปอยู่ใน “ที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์ได้. ทั้งนี้เป็นไปได้ ไม่ว่าที่อาศัยนั้นจะอยู่ในสวรรค์กับเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์หรืออาศัยบนแผ่นดินโลกที่ได้บูรณะฟื้นฟูขึ้นเป็นอุทยาน. (ลูกา 23:43) ของประทานอันแสดงถึงความรักซึ่งพระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ลงมานั้นเองทำให้เรื่องนี้ทั้งหมดเป็นไปได้. (โยฮัน 3:16) และเพื่อความสุขอันเลอเลิศของพระองค์เอง พระเจ้ายะโฮวาจะทรงใช้พระเยซูดำเนินการให้อยู่เรื่อยไปมิได้ขาดแก่สรรพสิ่งทั้งปวง. ที่จริง ตลอดนิรันดรกาลพวกเราเองจะมีสิทธิพิเศษเป็นฝ่ายให้ภายใต้สากลบรมเดชานุภาพของพระเจ้ายะโฮวาและการปกครองของพระบุตรผู้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอดของเรา. สิ่งนี้จะยังผลเป็นความสุขนิรันดร์สำหรับทุกคนซึ่งให้ด้วยใจเลื่อมใสในพระเจ้า.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ที่พระเจ้าทรงให้ของประทานอันดีเลิศเช่นนี้ พระองค์คงต้องได้ทำประการใด?
▫ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ทำงานอะไร?
▫ ใครคือผู้ที่ถูกสร้างขึ้นที่มีความสุขอย่างยิ่งในเอกภพ และเพราะเหตุใด?
▫ ผู้ให้ด้วยใจเลื่อมใสในพระเจ้าจะประสบความสุขนิรันดร์อย่างไร?
[รูปภาพหน้า 10]
คุณหยั่งรู้ค่าของประทานที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาไถ่ไหม?
[รูปภาพหน้า 12]
คุณแสวงราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอันดับแรกไหม โดยประกาศข่าวดี และโดยสนับสนุนงานนี้ด้วยทรัพยากรที่คุณมีอยู่?