จงใช้ความรู้เพื่อสรรเสริญพระยะโฮวา
“ผู้ที่พูดตามความริเริ่มของตนเองย่อมแสวงหาเกียรติยศของตนเอง; แต่ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศของพระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนสัตย์จริง.”—โยฮัน 7:18, ล.ม.
1. การศึกษาเริ่มมีเมื่อไรและอย่างไร?
การศึกษาเริ่มมีนานมาแล้ว. ไม่นานหลังจากพระเจ้ายะโฮวาพระบรมครูและผู้สั่งสอนองค์ยิ่งใหญ่ได้ทรงสร้างพระบุตรหัวปีขึ้นมานั่นเองที่ขบวนการสอนเริ่มขึ้น. (ยะซายา 30:20; โกโลซาย 1:15) พระองค์ผู้นี้คือผู้ซึ่งสามารถเรียนรู้จากผู้สอนองค์ยิ่งใหญ่โดยตรง! ระหว่างช่วงเวลาอันนับประมาณมิได้ในการอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดา พระบุตรองค์นี้—ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า พระเยซูคริสต์—ได้รับการศึกษาอันประมาณค่ามิได้ในด้านคุณสมบัติ, ราชกิจ, และพระประสงค์ของพระเจ้ายะโฮวา. ต่อมาในฐานะมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระเยซูสามารถตรัสว่า “เรามิได้ทำสิ่งใดจากความริเริ่มของเราเอง; แต่เราพูดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาได้ทรงสอน เรา.”—โยฮัน 8:28, ล.ม.
2-4. (ก) ตามโยฮันบท 7 สภาพการณ์แวดล้อมเป็นอย่างไรขณะพระเยซูทรงเข้าร่วมการฉลองเทศกาลตั้งทับอาศัยในปีสากลศักราช 32? (ข) ทำไมชาวยิวรู้สึกสนเท่ห์เกี่ยวกับความสามารถของพระเยซูในการสอน?
2 พระเยซูทรงใช้ความรู้ที่พระองค์ได้รับนั้นอย่างไร? ตลอดสามปีครึ่งแห่งงานรับใช้ของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงบอกสิ่งที่พระองค์ได้เรียนรู้มานั้นแก่คนอื่น ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย. อย่างไรก็ดี พระองค์ทำเช่นนั้นด้วยวัตถุประสงค์สำคัญยิ่งประการหนึ่ง. และนั่นคืออะไร? ให้เราตรวจดูคำตรัสของพระเยซูที่โยฮันบท 7 ซึ่งพระองค์ทรงชี้แจงให้ทราบทั้งแหล่งที่มาและวัตถุประสงค์แห่งการสอนของพระองค์.
3 ขอพิจารณาฉากเหตุการณ์นั้น. นั่นเป็นฤดูใบไม้ร่วงในปีสากลศักราช 32 เกือบสามปีหลังจากพระเยซูรับบัพติสมา. ชาวยิวชุมนุมกันในกรุงยะรูซาเลมเพื่อการฉลองเทศกาลตั้งทับอาศัย. มีการพูดกันอย่างหนาหูเกี่ยวกับพระเยซูในช่วงการฉลองสองสามวันแรก. เมื่อถึงช่วงกลางการฉลอง พระเยซูเสด็จยังพระวิหารและทรงเริ่มสอน. (โยฮัน 7:2, 10-14) เช่นเคย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าทรงเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่.—มัดธาย 13:54; ลูกา 4:22.
4 โยฮันบท 7 ข้อ 15 (ล.ม.) บอกดังนี้: “ดังนั้นพวกยิวจึงพากันแปลกใจและพูดว่า ‘ชายผู้นี้มีความรู้ในทางหนังสืออย่างไรกันในเมื่อเขาไม่ได้เรียนในโรงเรียน?’” คุณเข้าใจไหมว่า ทำไมพวกเขาจึงรู้สึกสนเท่ห์? พระเยซูไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนของพวกรับบีสักแห่งเดียว ดังนั้น พระองค์จึงไม่ได้รับการศึกษา—ตามที่พวกเขาคิดกัน! กระนั้น พระเยซูทรงสามารถหาและอ่านข้อความในบทจารึกอันศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสบาย. (ลูกา 4:16-21) ช่างไม้ชาวฆาลิลายคนนี้กระทั่งสอนพวกเขาด้วยพระบัญญัติของโมเซอีกด้วย! (โยฮัน 7:19-23) เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?
5, 6. (ก) พระเยซูทรงชี้แจงอย่างไรในเรื่องแหล่งแห่งคำสอนของพระองค์? (ข) พระเยซูทรงใช้ความรู้ของพระองค์อย่างไร?
5 ดังที่เราอ่านในข้อ 16 และ 17 (ล.ม.) พระเยซูทรงชี้แจงว่า “สิ่งที่เราสั่งสอนนั้นไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ที่ทรงใช้เรามา. ถ้าผู้ใดปรารถนาจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้เกี่ยวด้วยคำนั้นว่ามาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามความริเริ่มของเราเอง.” พวกเขาต้องการทราบว่า พระเยซูได้รับการสอนจากผู้ใด และพระองค์ทรงบอกพวกเขาอย่างชัดแจ้งว่า ความรู้ของพระองค์มาจากพระเจ้า!—โยฮัน 12:49; 14:10.
6 พระเยซูทรงใช้ความรู้ของพระองค์อย่างไร? ดังมีบันทึกไว้ที่โยฮัน 7:18 (ล.ม.) พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่พูดตามความริเริ่มของตนเองย่อมแสวงหาเกียรติยศของตนเอง; แต่ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศของพระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนสัตย์จริง และความอธรรมไม่มีในตัวเขาเลย.” เหมาะสมจริง ๆ ที่พระเยซูทรงใช้ความรู้ของพระองค์เพื่อนำพระเกียรติสู่พระยะโฮวา “ผู้สมบูรณ์ในความรู้”!—โยบ 37:16, ฉบับแปลใหม่.
7, 8. (ก) ควรใช้ความรู้อย่างไร? (ข) เป้าหมายพื้นฐานสี่ประการของการศึกษาที่สมดุลคืออะไร?
7 ด้วยวิธีนี้เราจึงเรียนรู้บทเรียนอันทรงคุณค่าจากพระเยซู นั่นคือ ควรใช้ความรู้ไม่ใช่เพื่อทำให้ตัวเราได้รับเกียรติ แต่เพื่อนำคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวา. ไม่มีทางอื่นใดดีกว่านี้เพื่อใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์. ถ้าอย่างนั้น คุณจะใช้ความรู้เพื่อนำคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวาได้อย่างไร?
8 การสอนหมายถึง “การฝึกอบรมโดยการสั่งสอนอย่างเป็นแบบแผนและการฝึกฝนโดยมีการควบคุมดูแลโดยเฉพาะในด้านงานฝีมือ, การค้า, หรือวิชาชีพ.” ให้เราพิจารณาเป้าหมายพื้นฐานสี่ประการของการศึกษาที่สมดุลและดูว่าสามารถจะใช้แต่ละประการอย่างไรเพื่อสรรเสริญพระยะโฮวา. การศึกษาที่สมดุลควรช่วยเราให้ (1) อ่านได้ดี, (2) เขียนชัดเจน, (3) พัฒนาด้านจิตใจและศีลธรรม, และ (4) ได้รับการฝึกอบรมภาคปฏิบัติตามที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน.
การเรียนรู้เพื่อจะอ่านได้ดี
9. ทำไมจึงสำคัญที่จะเป็นผู้อ่านที่ดี?
9 ลำดับแรกคือ การเรียนรู้เพื่อจะอ่านได้ดี. ทำไมจึงสำคัญมากที่จะเป็นผู้อ่านที่ดี? สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก อธิบายดังนี้: “การอ่าน . . . เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้และเป็นหนึ่งในความสามารถที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวัน. . . . ผู้อ่านที่ชำนาญช่วยสร้างสังคมที่เจริญ, บังเกิดผล. ขณะเดียวกัน พวกเขาเองก็มีชีวิตที่มีประสบการณ์มากกว่า น่าพึงพอใจมากกว่า.”
10. การอ่านพระคำของพระเจ้าช่วยเราให้มีชีวิตที่มีประสบการณ์มากกว่าและน่าพึงพอใจมากกว่าอย่างไร?
10 ถ้าการอ่านโดยทั่วไปสามารถช่วยเราให้มี “ชีวิตที่มีประสบการณ์มากกว่า น่าพึงพอใจมากกว่า” การอ่านพระคำของพระเจ้าย่อมช่วยได้มากยิ่งกว่านั้นสักเพียงไร! การอ่านพระคำนั้นทำให้จิตใจและหัวใจเราเปิดรับความคิดและพระประสงค์ของพระยะโฮวา และการเข้าใจชัดแจ้งในสิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย. นอกจากนี้ เฮ็บราย 4:12 (ล.ม.) กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้ามีชีวิต และทรงพลัง.” เมื่อเราอ่านพระคำของพระเจ้าและไตร่ตรอง เราได้รับการชักนำเข้าใกล้ผู้ประพันธ์พระคำนั้นยิ่งขึ้น และเราถูกกระตุ้นให้ทำการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ยิ่งขึ้น. (ฆะลาเตีย 5:22, 23; เอเฟโซ 4:22-24) อนึ่ง เราถูกกระตุ้นให้บอกความจริงอันล้ำค่าที่เราได้อ่านนั้นแก่คนอื่น ๆ ด้วย. ทั้งหมดนี้ต่างนำคำสรรเสริญมาสู่พระเจ้ายะโฮวา พระบรมครู. แน่นอน ไม่มีวิธีดีกว่านี้เพื่อจะใช้ความสามารถในการอ่านของเรา!
11. ควรรวมเอาอะไรไว้ด้วยในกำหนดการศึกษาส่วนตัวที่สมดุล?
11 ไม่ว่าเยาว์วัยหรือมีอายุ เราได้รับการสนับสนุนให้เรียนรู้เพื่อจะอ่านได้ดี เพราะการอ่านมีบทบาทสำคัญในชีวิตคริสเตียนของเรา. นอกจากการอ่านพระคำของพระเจ้าเป็นประจำแล้ว กำหนดการศึกษาส่วนตัวที่สมดุลควรรวมถึงการพิจารณาข้อพระคัมภีร์จากการพิจารณาพระคัมภีร์ทุก ๆ วัน, การอ่านหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! อย่างถี่ถ้วน, และการเตรียมตัวสำหรับการประชุมต่าง ๆ ของคริสเตียน. และงานรับใช้แบบคริสเตียนของเราล่ะ? เป็นที่ชัดแจ้งว่า การประกาศอย่างเปิดเผย, การกลับเยี่ยมเยียนผู้ที่สนใจ, และการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน ทั้งหมดต่างจำเป็นต้องมีความสามารถในการอ่านที่ดี.
การเรียนรู้เพื่อจะเขียนให้ชัดเจน
12. (ก) เพราะเหตุใดจึงสำคัญที่จะเรียนรู้การเขียนให้ชัดเจน? (ข) อะไรคือการเขียนที่เยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา?
12 เป้าหมายประการที่สองคือ การศึกษาที่สมดุลควรช่วยเราให้เรียนรู้เพื่อจะเขียนให้ชัดเจน. การเขียนไม่เพียงถ่ายทอดถ้อยคำและแนวความคิดของเราแก่คนอื่น ๆ เท่านั้น แต่การเขียนยังรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ด้วย. หลายศตวรรษมาแล้ว ชาวยิวราว 40 คนจารึกถ้อยคำซึ่งต่อมาประกอบขึ้นเป็นพระคัมภีร์ซึ่งมีขึ้นด้วยการดลใจไว้บนแผ่นพาไพรัสหรือแผ่นหนัง. (2 ติโมเธียว 3:16) แน่นอนว่านี่คือการเขียนที่เยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่เคยทำกันมา! ไม่มีข้อสงสัยว่า พระยะโฮวาทรงชี้นำการคัดสำเนาและการคัดลอกถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นตลอดหลายศตวรรษเพื่อให้ถ้อยคำเหล่านั้นมาถึงเราในรูปแบบที่เชื่อถือได้. เรารู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวามิใช่หรือที่ทรงมอบหมายให้มีการเขียน พระคำของพระองค์ไว้ แทนที่จะใช้การถ่ายทอดด้วยปากเปล่า?—เทียบกับเอ็กโซโด 34:27, 28.
13. อะไรบ่งชี้ว่าชาวยิศราเอลรู้วิธีเขียน?
13 ในสมัยโบราณ เฉพาะอภิสิทธิ์ชนบางพวกเท่านั้นรู้หนังสือ เช่น พวกอาลักษณ์ในเมโสโปเตเมียและอียิปต์. แตกต่างจากชาติเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด ทุกคน ในยิศราเอลได้รับการสนับสนุนให้รู้หนังสือ. พระบัญชาในพระบัญญัติ 6:8, 9 ที่ให้ชาวยิศราเอลเขียนบนเสาประตูบ้านนั้นแม้ดูเหมือนว่าเป็นแบบโดยนัย แต่ก็บ่งว่าพวกเขารู้วิธีเขียน. เมื่อยังเยาว์ เด็ก ๆ ได้รับการสอนให้รู้วิธีเขียน. พวกผู้เชี่ยวชาญบางคนคิดว่า ปฏิทินเกเซอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการเขียนภาษาฮีบรูโบราณนั้นเป็นแบบฝึกหัดฝึกความจำของเด็กนักเรียนชาย.
14, 15. วิธีใช้ความสามารถในการเขียนของเราในแนวทางที่เป็นประโยชน์และดีงามมีอะไรบ้าง?
14 แต่เราจะใช้ความสามารถในการเขียนของเราในแนวทางที่เป็นประโยชน์และดีงามได้อย่างไร? ที่แน่ ๆ คือโดยการจดบันทึกที่การประชุมประจำประชาคม, การประชุมหมวดหรือการประชุมพิเศษ, และการประชุมภาคของคริสเตียน. จดหมาย แม้จะเขียน “ไม่กี่คำ” ก็อาจให้การชูใจแก่คนที่เจ็บป่วยได้ หรือไม่ก็เป็นการแสดงความขอบคุณพี่น้องชายหรือหญิงที่แสดงความกรุณาหรือการต้อนรับเรา. (1 เปโตร 5:12, ล.ม.) หากบางคนในประชาคมสูญเสียผู้เป็นที่รักเพราะความตาย จดหมายสั้น ๆ หรือบัตรก็อาจ “พูดปลอบโยน” แทนเราได้. (1 เธซะโลนิเก 5:14) พี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งมารดาเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งชี้แจงดังนี้: “เพื่อนคนหนึ่งเขียนจดหมายที่ดีมากถึงฉัน. นั่นช่วยได้มากจริง ๆ เพราะฉันอ่านจดหมายนั้นได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก.”
15 วิธีดีเยี่ยมในการใช้ความสามารถในการเขียนคือถวายพระเกียรติแด่พระยะโฮวาด้วยการเขียนจดหมายให้คำพยานเรื่องราชอาณาจักร. บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการติดต่อกับผู้สนใจใหม่ที่อาศัยในเขตที่ห่างไกลมาก. ความเจ็บป่วยอาจทำให้คุณลำบากในการไปตามบ้านชั่วระยะหนึ่ง. บางทีจดหมายอาจสื่อความด้วยตัวหนังสือในสิ่งที่ตามปกติแล้วคุณจะพูดด้วยตนเอง.
16, 17. (ก) ประสบการณ์อะไรแสดงให้เห็นคุณค่าของการเขียนจดหมายเพื่อให้คำพยานเรื่องราชอาณาจักร? (ข) คุณจะเล่าประสบการณ์คล้ายกันนี้ได้ไหม?
16 ขอพิจารณาประสบการณ์หนึ่ง. หลายปีมาแล้วพยานฯคนหนึ่งเขียนจดหมายให้คำพยานเรื่องราชอาณาจักรแก่ภรรยาม่ายของชายคนหนึ่งซึ่งมีการลงข่าวแจ้งการตายของเขาในหน้าหนังสือพิมพ์. ไม่มีจดหมายตอบ. แล้วมาในเดือนพฤศจิกายน 1994 กว่า 21 ปีต่อมา พยานฯคนนี้ได้รับจดหมายจากบุตรสาวของผู้หญิงนั้น. บุตรสาวคนนั้นเขียนดังนี้:
17 “ในเดือนเมษายน 1973 คุณเขียนถึงคุณแม่เพื่อปลอบโยนท่านหลังจากคุณพ่อดิฉันตาย. ตอนนั้นดิฉันอายุเก้าขวบ. คุณแม่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล แต่จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา. ถึงอย่างนั้น การที่ท่านศึกษาก็ได้ชักนำดิฉันให้สัมผัสกับความจริงในที่สุด. ในปี 1988 ดิฉันเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ 15 ปีหลังจากได้รับจดหมายคุณ. ในวันที่ 9 มีนาคม 1990 ดิฉันได้รับบัพติสมา. ดิฉันรู้สึกขอบคุณเหลือเกินสำหรับจดหมายที่คุณเขียนเมื่อหลายปีก่อนและยินดีมากที่จะบอกคุณว่า เมล็ดที่คุณหว่านไว้นั้นงอกขึ้นจริง ๆ ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา. คุณแม่ให้ดิฉันเก็บจดหมายคุณไว้ และดิฉันอยากจะทราบว่าคุณคือใคร. ดิฉันหวังว่าจดหมายนี้จะถึงมือคุณ.” จดหมายของบุตรสาว ซึ่งมีชื่อที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของเธอด้วยนั้นได้ถึงมือพยานฯที่ได้เขียนจดหมายเมื่อหลายปีก่อน. ลองนึกภาพความตื่นเต้นของหญิงสาวผู้นั้นดูสิเมื่อเธอได้รับโทรศัพท์จากพยานฯคนนี้—ซึ่งยังคงเขียนจดหมายเพื่อบอกความหวังเรื่องราชอาณาจักรแก่คนอื่น ๆ อยู่!
การพัฒนาด้านจิตใจ, ศีลธรรม,และฝ่ายวิญญาณ
18. ในสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล บิดามารดาเอาใจใส่การให้ความรู้ด้านจิตใจและศีลธรรมแก่บุตรของตนอย่างไร?
18 เป้าหมายประการที่สามคือ การศึกษาที่สมดุลควรช่วยเราให้พัฒนาด้านจิตใจและศีลธรรม. ในสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล ถือกันว่าการให้ความรู้ด้านจิตใจและศีลธรรมเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของบิดามารดา. เด็ก ๆ ได้รับการสอนไม่เพียงวิธีอ่านและเขียนเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าคือ ได้รับความรู้ในด้านพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเกี่ยวพันกับกิจกรรมทั้งสิ้นในชีวิต. ด้วยเหตุนั้น การศึกษาจึงรวมถึงการสั่งสอนเรื่องพันธะทางศาสนาของพวกเขา และหลักการที่ควบคุมเรื่องการสมรส, ความสัมพันธ์ในครอบครัว, และศีลธรรมทางเพศ อีกทั้งพันธะที่พวกเขามีต่อเพื่อนมนุษย์. การศึกษาเช่นนั้นช่วยพวกเขาให้พัฒนาไม่เพียงด้านจิตใจและศีลธรรมเท่านั้น แต่ในด้านฝ่ายวิญญาณ ด้วย.—พระบัญญัติ 6:4-9, 20, 21; 11:18-21.
19. เราจะพบความรู้ซึ่งจะเผยให้เราทราบค่านิยมที่ดีที่สุดทางศีลธรรมเพื่อจะดำเนินชีวิตตามนั้นและซึ่งจะช่วยเราพัฒนาทางฝ่ายวิญญาณได้ที่ไหน?
19 สมัยนี้ล่ะเป็นอย่างไร? การศึกษาที่ดีทางโลกเป็นสิ่งสำคัญ. การศึกษานั้นช่วยเราให้พัฒนาด้านจิตใจ. แต่ว่ามีที่ไหนที่เราจะสามารถได้รับความรู้ซึ่งจะเผยให้เราทราบค่านิยมที่ดีที่สุดทางศีลธรรมเพื่อจะดำเนินชีวิตตามนั้นและซึ่งจะช่วยเราพัฒนาทางฝ่ายวิญญาณ? ภายในประชาคมคริสเตียน เรามีโครงการศึกษาตามระบอบของพระเจ้าซึ่งหาจากที่อื่นใดไม่ได้บนแผ่นดินโลกนี้. โดยที่เราศึกษาส่วนตัวจากคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งการสั่งสอนที่จัดให้มีขึ้นที่การประชุมของประชาคม, การประชุมหมวดและการประชุมพิเศษ, และการประชุมภาค เราสามารถได้รับการศึกษาอันล้ำค่าอย่างต่อเนื่อง—การศึกษาจากพระเจ้า—โดยไม่ต้องเสียค่า! การศึกษานี้สอนอะไรแก่เรา?
20. การศึกษาจากพระเจ้าสอนอะไรแก่เรา และผลจากการศึกษานั้นคืออย่างไร?
20 เมื่อเราเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เราเรียนคำสอนพื้นฐานในพระคัมภีร์คือ “หลักคำสอนเบื้องต้น.” (เฮ็บราย 6:1, ล.ม.) เมื่อเราศึกษาต่อไป เรารับเอา “อาหารแข็ง” ซึ่งก็คือความจริงที่ลึกซึ้งกว่า. (เฮ็บราย 5:14) แต่มากยิ่งกว่านั้น เราเรียนรู้หลักการของพระเจ้าซึ่งสอนเราให้รู้วิธีดำเนินชีวิตอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เราดำเนิน. ยกตัวอย่าง เราเรียนรู้ที่จะหลีกเว้นนิสัยและกิจปฏิบัติซึ่งทำให้ ‘เนื้อหนังเป็นมลทิน’ และที่จะมีความนับถือต่อผู้มีอำนาจ และต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่น ๆ. (2 โกรินโธ 7:1; ติโต 3:1, 2; เฮ็บราย 13:4) นอกจากนี้ เราได้มาหยั่งรู้เข้าใจความสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์และขยันขันแข็งในการงานของเรา และคุณค่าของการดำเนินชีวิตประสานกับพระบัญชาในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับศีลธรรมทางเพศ. (1 โกรินโธ 6:9, 10; เอเฟโซ 4:28) ขณะที่เราก้าวหน้าในการนำหลักการเหล่านี้ไปปฏิบัติในชีวิตของเรา เราเติบโตฝ่ายวิญญาณ และสัมพันธภาพของเรากับพระเจ้าก็ยิ่งลึกซึ้ง. ยิ่งกว่านั้น การที่เราประพฤติด้วยความเลื่อมใสพระเจ้าทำให้เราเป็นพลเมืองที่ดี ไม่ว่าเราอาศัยอยู่ที่ไหน. และนั่นอาจกระตุ้นใจคนอื่น ๆ ให้สรรเสริญแหล่งแห่งการสอนจากพระเจ้าอีกด้วย—นั่นคือพระเจ้ายะโฮวา.—1 เปโตร 2:12.
การฝึกอบรมภาคปฏิบัติสำหรับชีวิตประจำวัน
21. ในสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิลนั้น เด็ก ๆ ได้รับการฝึกอบรมภาคปฏิบัติในด้านใดบ้าง?
21 เป้าหมายประการที่สี่ของการศึกษาที่สมดุลคือเพื่อให้คนเรารับการฝึกอบรมภาคปฏิบัติตามที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน. การสอนของบิดามารดาในสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิลนั้นรวมถึงการฝึกอบรมภาคปฏิบัติด้วย. เด็กหญิงได้รับการสอนให้ชำนาญงานบ้าน. พระธรรมสุภาษิตบทสุดท้ายเผยให้เห็นว่า งานเหล่านั้นคงต้องมีมากและหลากหลาย. ด้วยเหตุนั้น เด็กผู้หญิงจึงได้รับการสอนให้ทำงานปั่นด้าย, ทอผ้า, และปรุงอาหารกับเอาใจใส่จัดการเรื่องทั่วไปในบ้าน, การค้า, และการซื้อขายที่ดิน. ตามปกติแล้วเด็กชายได้รับการสอนงานอาชีพของบิดา ไม่ว่าการเกษตรหรืองานฝีมือบางประเภท. พระเยซูทรงเรียนรู้งานช่างไม้จากโยเซฟบิดาเลี้ยง ดังนั้น พระองค์จึงไม่เพียงถูกเรียกว่า “ลูกช่างไม้” เท่านั้น แต่ยังถูกเรียกว่า “ช่างไม้” ด้วย.—มัดธาย 13:55; มาระโก 6:3.
22, 23. (ก) การศึกษาควรเตรียมเด็ก ๆ ไว้พร้อมสำหรับอะไร? (ข) อะไรควรเป็นเจตนาของเราในการเลือกการศึกษาเสริมเมื่อเรื่องนี้อาจดูเหมือนจำเป็น?
22 ทุกวันนี้ก็เช่นกัน การศึกษาที่สมดุลรวมถึงการเตรียมพร้อมเพื่อจะเอาใจใส่ความจำเป็นของครอบครัวสักวันหนึ่ง. ถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลที่มีอยู่ใน 1 ติโมเธียว 5:8 (ล.ม.) แสดงว่า การหาเลี้ยงครอบครัวเป็นภาระหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่ง. ท่านเขียนดังนี้: “ถ้าแม้นผู้ใดไม่จัดหามาเลี้ยงคนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง และโดยเฉพาะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธเสียซึ่งความเชื่อและนับว่าเลวร้ายกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ.” ฉะนั้น การศึกษาควรเตรียมเด็ก ๆ ไว้พร้อมสำหรับหน้าที่รับผิดชอบซึ่งพวกเขาจะต้องรับเอาในชีวิต รวมทั้งเตรียมพวกเขาไว้พร้อมเพื่อจะเป็นสมาชิกที่ขยันขันแข็งของชุมชน.
23 เราควรมุ่งแสวงหาความรู้ทางโลกมากแค่ไหน? เรื่องนี้คงต่างกันไปในแต่ละประเทศ. แต่ถ้าตลาดงานเรียกร้องให้มีการฝึกอบรมเพิ่มเติมจากการศึกษาเบื้องต้นที่กฎหมายกำหนด ก็ขึ้นอยู่กับบิดามารดาที่จะชี้นำลูก ๆ ในการตัดสินใจในเรื่องการศึกษาเสริมหรือการฝึกอบรมเพิ่มเติม โดยประเมินดูทั้งประโยชน์ที่อาจได้รับและข้อเสียต่าง ๆ จากการศึกษาเพิ่มเติมเช่นนั้น. แต่อะไรควรเป็นเจตนาของคนเราในการเลือกการศึกษาเสริมเมื่อเรื่องนี้อาจดูเหมือนจำเป็น? แน่นอนว่าไม่ใช่ความร่ำรวย, การทำให้ตนเองได้รับเกียรติ, หรือการยกย่อง. (สุภาษิต 15:25; 1 ติโมเธียว 6:17) จงจำบทเรียนที่เราเรียนรู้จากตัวอย่างของพระเยซู นั่นคือควรใช้ความรู้เพื่อนำคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวา. หากเราเลือกศึกษาเพิ่มเติม เจตนาของเราควรเป็นความปรารถนาจะหาเลี้ยงตนเองอย่างเพียงพอเพื่อเราจะสามารถรับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้ในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน.—โกโลซาย 3:23, 24.
24. บทเรียนอะไรจากพระเยซูที่เราไม่ควรลืม?
24 ฉะนั้น ขอให้เราหมั่นพยายามรับเอาความรู้ที่สมดุลฝ่ายโลก. ขอให้เรารับประโยชน์เต็มที่จากโครงการสอนอย่างต่อเนื่องจากพระเจ้า ซึ่งมีการจัดเตรียมให้ภายในองค์การของพระยะโฮวา. และขอเราอย่าลืมบทเรียนทรงคุณค่าที่เราได้เรียนจากพระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ได้รับการศึกษาดีที่สุดเท่าที่เคยมีบนแผ่นดินโลกนี้—นั่นคือ ควรใช้ความรู้ ไม่ใช่เพื่อทำให้ตัวเราได้รับเกียรติ แต่เพื่อนำคำสรรเสริญมาสู่พระบรมครูองค์ใหญ่ยิ่ง พระเจ้ายะโฮวา!
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พระเยซูทรงใช้ความรู้ของพระองค์อย่างไร?
▫ ทำไมจึงสำคัญที่จะเรียนรู้การอ่านให้ได้ดี?
▫ เราจะใช้ความสามารถในการเขียนของเราอย่างไรเพื่อนำคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวา?
▫ ความรู้จากพระเจ้าช่วยเราอย่างไรให้พัฒนาทั้งทางด้านศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณ?
▫ การศึกษาที่สมดุลควรรวมถึงการฝึกอบรมด้านใดในภาคปฏิบัติ?
[กรอบหน้า 13]
เครื่องช่วยที่ได้ผลจริงสำหรับครูอาจารย์
ณ การประชุมภาค “ผู้สรรเสริญที่ชื่นชมยินดี” ในระหว่างปี 1995/1996 สมาคมว็อชเทาเวอร์ได้ออกจุลสารใหม่ชื่อ พยานพระยะโฮวาและการศึกษา. จุลสารสี่สีขนาด 32 หน้านี้จัดพิมพ์ขึ้นโดยเฉพาะสำหรับครูอาจารย์ทั้งหลาย. จนถึงบัดนี้มีการแปลแล้ว 58 ภาษา.
เพราะเหตุใดจึงพิมพ์จุลสารสำหรับครูอาจารย์? ก็เพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าใจความเชื่อของนักเรียนที่เป็นลูก ๆ ของพยานพระยะโฮวาดีขึ้น. จุลสารนี้มีเนื้อหาอะไร? ด้วยท่าทีที่ชัดเจนและด้วยเจตนาดี จุลสารนี้ชี้แจงทัศนะของเราเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น การศึกษาเสริม, วันเกิดและวันคริสต์มาส, และการบูชาธง. อนึ่ง จุลสารนี้ให้คำรับรองแก่ครูอาจารย์ว่า เราต้องการให้ลูก ๆ ของเรารับประโยชน์มากที่สุดจากการเรียน และเราต้องการร่วมมืออย่างจริงใจกับครูอาจารย์ ด้วยการเอาใจใส่อย่างจริงจังในการศึกษาของลูก ๆ ของเรา.
จะใช้จุลสารการศึกษา นี้อย่างไร? เนื่องจากจุลสารนี้เตรียมขึ้นสำหรับครูอาจารย์ ขอเราให้จุลสารนี้กับพวกครูอาจารย์, อาจารย์ใหญ่, และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ในโรงเรียน. ขอให้จุลสารใหม่นี้ช่วยครูอาจารย์ให้เข้าใจทัศนะและความเชื่อของเรา และเหตุผลที่บางครั้งเราถือสิทธิที่จะเป็นคนแตกต่างออกไป. บิดามารดาได้รับการสนับสนุนให้ใช้จุลสารนี้เป็นพื้นฐานสำหรับการพิจารณากับครูอาจารย์ของลูก ๆ ด้วยตนเอง.
[รูปหน้า 10]
ในยิศราเอลโบราณมีการให้ความสำคัญแก่การศึกษาอย่างสูง