ตรีเอกานุภาพมีสอนในคัมภีร์ไบเบิลไหม?
“ความเชื่อของคาทอลิกคืออย่างนี้ เรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวในตรีเอกานุภาพและตรีเอกานุภาพในเอกภาพ. . . . ฉะนั้น พระบิดาทรงเป็นพระเจ้า, พระบุตรทรงเป็นพระเจ้า, และพระจิตทรงเป็นพระเจ้า. และกระนั้น พระองค์ทั้งหลายไม่ใช่พระเจ้าสามองค์ แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียว.”
ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ หลักข้อเชื่ออะทาเนเชียนพรรณนาหลักคำสอนสำคัญของคริสต์ศาสนจักร—คือตรีเอกานุภาพ.a หากคุณเป็นสมาชิกคริสต์จักร ไม่ว่าคาทอลิกหรือโปรเตสแตนต์ คุณอาจได้รับแจ้งว่านี้คือคำสอนสำคัญที่สุดซึ่งคุณต้องเชื่อ. แต่คุณจะอธิบายหลักคำสอนนี้ได้ไหม? บุคคลฉลาดที่สุดบางคนในคริสต์ศาสนจักรสารภาพว่าพวกเขาไม่มีความสามารถจะเข้าใจเรื่องตรีเอกานุภาพได้.
ถ้าเช่นนั้น ทำไมพวกเขาจึงเชื่อในตรีเอกานุภาพล่ะ? นั่นเป็นเพราะคัมภีร์ไบเบิลสอนหลักคำสอนนี้หรือ? จอห์น โรบินสัน บิชอปนิกายแองกลิกันผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ให้คำตอบที่กระตุ้นความคิดแก่คำถามนี้ในหนังสือขายดีของเขาชื่อซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ). เขาเขียนดังนี้:
“ในการเทศน์และสั่งสอนอันเป็นที่นิยมในภาคปฏิบัตินั้นเสนอแง่คิดที่ว่าพระคริสต์ทรงมีลักษณะเหนือมนุษย์ซึ่งไม่อาจยืนยันได้จากพระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาใหม่. เขาบอกแต่ว่าพระเยซูเป็น พระเจ้า ในความหมายที่ว่าคำ ‘พระคริสต์’ และ ‘พระเจ้า’ อาจใช้สับเปลี่ยนกันได้. แต่ไม่มีการใช้สับเปลี่ยนกันเช่นนี้ในพระคัมภีร์เลย. พระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาใหม่กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นพระวาทะของพระเจ้า, กล่าวว่าพระเจ้าทรงสถิตในพระคริสต์, ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกตรง ๆ ว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า.”
จอห์น โรบินสันเป็นนักโต้แย้งที่เด่นในคริสต์จักรแองกลิกัน. กระนั้น เขาเป็นฝ่ายถูกไหมที่กล่าวว่า “พระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาใหม่” ไม่ได้บอกตรง ๆ เลยว่า “พระเยซูเป็นพระเจ้า”?
สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกจริง ๆ
บางคนอาจตอบคำถามนั้นโดยอ้างถึงข้อแรกของกิตติคุณที่โยฮันเรียบเรียง ที่ว่า “เมื่อเดิมนั้นพระวาทะเป็นอยู่แล้ว, และพระวาทะนั้นได้อยู่กับพระเจ้า, และพระวาทะนั้นเป็นพระเจ้า.” (โยฮัน 1:1) ข้อนั้นไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่บิชอปแองกลิกันคนนี้บอกหรือ? ไม่เลย. ดังที่จอห์น โรบินสันรู้อย่างไม่มีข้อสงสัย ผู้แปลบางคนในสมัยปัจจุบันไม่เห็นด้วยกับการแปลความข้อนั้นของพระคัมภีร์ฉบับแปลคิงเจมส์ (เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ไทย). ทำไมจึงไม่เห็นด้วย? ก็เพราะในคำกล่าว “พระวาทะนั้นเป็นพระเจ้า” ในภาษากรีกดั้งเดิมนั้น คำที่แปลว่า “พระเจ้า” ไม่มีคำนำหน้านามที่ระบุแน่นอน. ในคำกล่าวก่อนนั้นที่ว่า “พระวาทะนั้นได้อยู่กับพระเจ้า” คำที่แปลว่า “พระเจ้า” เป็นคำที่ระบุแน่นอน นั่นคือ คำนั้นมีคำนำหน้านามที่ระบุแน่นอน. นี้จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าสองคำนั้นมีความหมายสำคัญอย่างเดียวกัน.
ฉะนั้น ฉบับแปลบางฉบับจึงพยายามอธิบายในด้านคุณลักษณะ โดยแปลข้อความนั้นว่า “พระวาทะนั้นเป็นอย่างพระผู้เป็นเจ้า.” (แอน อเมริกัน ทรานสเลชัน, ชอนฟีลด์) ม็อฟฟัตต์แปลข้อความนั้นว่า “โลโกสนั้นเป็นอย่างพระผู้เป็นเจ้า.” แต่ จอห์น โรบินสัน กับ เซอร์เฟรเดอริก เคนยอน ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบต้นฉบับเดิมต่างก็ชี้แจงว่า ถ้านั่นคือสิ่งที่โยฮันต้องการเน้นละก็ ท่านก็คงใช้คำภาษากรีกเทอิʹออส สำหรับคำที่แปลว่า “อย่างพระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งชวนให้ลงความเห็นว่า คำ “อย่างองค์พระผู้เป็นเจ้า” ไม่น่าจะเป็นการแปลความที่เหมาะสมที่สุดในข้อนี้. พระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ ซึ่งถืออย่างถูกต้องว่าคำ “พระเจ้า” เป็นคำที่ไม่ระบุแน่นอนและอธิบายในด้านคุณลักษณะตามรูปประโยคในภาษากรีกด้วย จึงใช้คำลักษณะนามที่ไม่ระบุแน่นอน โดยแปลข้อนี้ว่า “พระวาทะนั้นเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง.”
ศาสตราจารย์ ซี. เอช. ดัดด์ ผู้อำนวยการโครงการ คัมภีร์ไบเบิลฉบับนิวอิงลิช ให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธีแปลนี้ว่า “วิธีหนึ่งที่อาจแปลข้อนี้ได้คือ ‘พระวาทะนั้นเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง.’ ซึ่งถ้าจะแปลคำต่อคำก็หาข้อผิดไม่ได้.” กระนั้น เดอะ นิวอิงลิช ไบเบิล ก็ไม่ได้แปลข้อนั้นอย่างนี้. แต่โยฮัน 1:1 ในฉบับแปลนั้นอ่านดังนี้: “เมื่อสิ่งทั้งปวงเริ่มต้นนั้น พระวาทะนั้นเป็นอยู่แล้ว. พระวาทะนั้นได้อยู่กับพระเจ้า, และพระเจ้าเป็นอย่างไร พระวาทะก็เป็นอย่างนั้น.” ทำไมคณะกรรมการการแปลนั้นจึงไม่เลือกการแปลที่ง่ายกว่า? ศาสตราจารย์ ดัดด์ ตอบว่า “สาเหตุที่การแปลเช่นนั้นไม่อาจยอมรับได้คือว่า การแปลนั้นตรงกันข้ามกับแนวความคิดของท่านโยฮัน และกับแนวความคิดของคริสเตียนทั้งมวลจริง ๆ.”—เอกสารวิชาการสำหรับผู้แปลคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ), เล่ม 28, มกราคม 1977.
ความหมายโดยตรงของข้อพระคัมภีร์
เราจะกล่าวไหมว่าแนวความคิดที่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งและไม่เหมือนกับพระเจ้าพระผู้สร้างนั้นขัดแย้งกับแนวความคิดของท่านโยฮัน และของคริสเตียนทั้งมวล? ให้เราตรวจสอบข้อพระคัมภีร์บางข้อซึ่งกล่าวถึงพระเยซูและพระเจ้า และเราจะเห็นว่านักวิจารณ์พระคัมภีร์บางคนซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนมีการตั้งหลักข้อเชื่ออะทาเนเชียนขึ้นนั้นคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์เหล่านี้.
“เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.” [ต้นฉบับอ่านว่า “ . . . เป็นหนึ่งเดียว.”]—โยฮัน 10:30.
โนวาทิอานุส (ประมาณปีสากลศักราช 200-258) ให้ความเห็นว่า “เนื่องจากพระองค์ตรัสถึงสิ่ง ‘หนึ่งเดียว’ [b] ก็ให้พวกนอกลู่นอกรอยเข้าใจเถิดว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสถึงบุคคล ‘หนึ่งเดียว.’ เพราะมีการใช้คำว่าหนึ่งเดียว ในรูปคำที่ไม่บ่งเพศ จึงแสดงออกถึงความกลมเกลียวกัน ไม่ใช่ความเป็นบุคคลหนึ่งเดียว. . . . ยิ่งกว่านั้น ที่พระองค์ตรัสถึงหนึ่งเดียว นั้นเกี่ยวพันถึงความลงรอยกัน, และการตัดสินอย่างเดียวกัน, และความสัมพันธ์อันเปี่ยมด้วยความรัก, เพราะตามเหตุผลแล้ว พระบิดาและพระบุตรเป็นหนึ่งเดียวในการทำข้อตกลง, ในความรัก, และในความรู้สึกชอบ.”—บทวิเคราะห์เกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ (ภาษาอังกฤษ), บท 27.
“พระบิดาเป็นใหญ่กว่าเรา.”—โยฮัน 14:28.
อิเรแนอุส (ประมาณปีสากลศักราช 130-200): “เราจะเรียนรู้โดยทางพระองค์ [พระคริสต์] ว่าพระบิดาทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง. เพราะพระองค์ตรัสว่า ‘พระบิดาเป็นใหญ่กว่าเรา.’ ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจึงทรงแถลงว่าพระบิดาทรงเป็นเลิศกว่าในด้านความรู้.”—ต่อต้านคำสอนนอกรีต (ภาษาอังกฤษ), เล่ม 2, บท 28.8.
“นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.”—โยฮัน 17:3, ล.ม.
เคลเมนต์แห่งอะเล็กซานเดรีย (ประมาณปีสากลศักราช 150-215): “เพื่อจะรู้จักพระเจ้าองค์ถาวร ผู้ทรงประทานสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และโดยความรู้และความเข้าใจเพื่อจะมีพระเจ้า ผู้ทรงเป็นอันดับแรก, และสูงสุด, และเป็นองค์เดียว, และประเสริฐ. . . . แล้วคนนั้นซึ่งจะดำเนินชีวิตจริง ๆ นั้นเริ่มแรกได้รับคำสั่งให้รู้จักพระองค์ ‘ซึ่งไม่มีใครรู้จัก นอกเสียจากพระบุตรทรงเปิดเผยให้ทราบถึง (พระองค์).’ (มัด. 11:27) ต่อจากนั้นก็คือการเรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของผู้ช่วยให้รอดรองจากพระองค์.”—ใครคือคนมั่งคั่งซึ่งจะได้รับการช่วยให้รอด? (ภาษาอังกฤษ) 7, 8.
“พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง, ผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง, และทั่วคนทั้งปวง, และในคนทั้งปวง.”—เอเฟโซ 4:6.
อิเรแนอุส: “และด้วยเหตุนั้นจึงมีการแถลงถึงพระเจ้าพระบิดาองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง, และทั่วคนทั้งปวง, และในคนทั้งปวง. พระบิดาทรงอยู่เหนือคนทั้งปวงจริง ๆ, และพระองค์ทรงเป็นพระประมุขของพระคริสต์.”—ต่อต้านคำสอนนอกรีต (ภาษาอังกฤษ), เล่ม 5, บท 18.2.
ผู้เขียนในยุคต้น ๆ เหล่านี้เข้าใจข้อเหล่านั้นอย่างชัดแจ้งเพื่อพรรณนาถึงพระบิดาว่าทรงเป็นองค์สูงสุด เหนือทุกสิ่งและทุกผู้คนรวมทั้งพระเยซูคริสต์ด้วย. ความคิดเห็นของพวกเขาไม่ได้ส่อให้เห็นเลยว่าพวกเขาเชื่อในตรีเอกานุภาพ.
พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยความจริงทุกประการ
พระเยซูทรงสัญญากับเหล่าสาวกของพระองค์ว่าภายหลังการสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ของพระองค์ จะมีการประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขาเพื่อเป็นผู้ช่วย. พระองค์ทรงสัญญาไว้ดังนี้: “อย่างไรก็ดี เมื่อผู้นั้น คือพระวิญญาณแห่งความจริงมาถึง พระวิญญาณนั้นจะนำเจ้าทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล . . . และผู้นั้นจะแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น.”—โยฮัน 14:16, 17; 15:26; 16:13, ล.ม.
ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู คำสัญญาข้อนี้ก็สำเร็จเป็นจริง. คัมภีร์ไบเบิลบันทึกวิธีที่มีการเปิดเผยหรือชี้แจงแก้ไขหลักคำสอนใหม่แก่ประชาคมคริสเตียนโดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์. คำสอนใหม่ ๆ เหล่านั้นมีจารึกลงไว้ในหนังสือต่าง ๆ ซึ่งต่อมาภายหลังได้มาเป็นส่วนที่สองของคัมภีร์ไบเบิล คือพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก หรือ “พระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาใหม่.” ด้วยความเข้าใจใหม่อันท่วมท้นนี้ เคยมีการเปิดเผยใด ๆ ไหมถึงการมีอยู่ของตรีเอกานุภาพ? ไม่มีเลย. พระวิญญาณบริสุทธิ์เผยให้เห็นบางสิ่งซึ่งต่างออกไปมากเกี่ยวกับพระเจ้าและพระเยซู.
ยกตัวอย่าง ในวันเพ็นเตคอสเตปีสากลศักราช 33 หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเหนือเหล่าสาวกซึ่งชุมนุมกันในกรุงยะรูซาเลม อัครสาวกเปโตรให้คำพยานเกี่ยวกับพระเยซูแก่ฝูงชนที่อยู่ภายนอก. ท่านกล่าวถึงตรีเอกานุภาพไหม? ขอพิจารณาคำกล่าวบางตอนของท่าน และวินิจฉัยด้วยตัวคุณเอง: “พระเยซู . . . ผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบแล้วโดยอิทธิฤทธิ์, การอัศจรรย์และศุภนิมิตต์ต่าง ๆ, ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำโดยพระองค์นั้นท่ามกลางท่านทั้งหลาย.” “พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานด้วยเหตุการณ์นี้.” “พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ขึ้นเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ คือพระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้นั้น.” (กิจการ 2:22, 32, 36, ล.ม.) แตกต่างไปมากจากคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ โดยเปโตรซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณกล่าวถ้อยคำเหล่านี้เน้นการที่พระเยซูทรงอยู่ในฐานะรองจากพระบิดา ที่ว่าพระองค์ทรงเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ.
ต่อจากนั้นไม่นาน คริสเตียนผู้ซื่อสัตย์อีกคนหนึ่งได้กล่าวถึงพระเยซู. ซะเตฟาโน ถูกนำตัวมาต่อหน้าศาลซันเฮดรินเพื่อตอบข้อกล่าวหาที่มีต่อเขา. แทนที่จะตอบ ซะเตฟาโนทำให้สภาพการณ์กลับตาลปัตรโดยกล่าวหาว่าผู้ที่กล่าวหาท่านเป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขาซึ่งกบฏ. ในที่สุด บันทึกนั้นบอกว่า “ฝ่ายซะเตฟาโนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นรัศมีของพระเจ้า, และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วท่านได้กล่าวว่า ‘นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า.” (กิจการ 7:55, 56) ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงแสดงให้เห็นพระเยซูเป็นเพียง “บุตรมนุษย์” ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและไม่ใช่เป็นส่วนของความเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกับพระบิดาของพระองค์? เห็นชัดว่าซะเตฟาโนไม่มีแนวความคิดในเรื่องตรีเอกานุภาพเลย.
เมื่อเปโตรนำข่าวดีเรื่องพระเยซูไปให้โกระเนเลียวนั้น มีอีกโอกาสหนึ่งเพื่อเปิดโปงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ. เกิดอะไรขึ้น? เปโตรชี้แจงว่าพระเยซูทรงเป็น “องค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง.” แต่ท่านอธิบายต่อไปว่าความเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์นั้นมาจากแหล่งที่สูงกว่า. พระเยซูทรงเป็น “ผู้ซึ่งพระเจ้ากำหนดให้เป็นผู้พิพากษาคนเป็นและคนตาย.” ภายหลังการคืนพระชนม์ของพระเยซู พระบิดาของพระองค์ ‘ทรงโปรดให้พระองค์ปรากฏ’ แก่เหล่าสาวกของพระองค์. และพระวิญญาณบริสุทธิ์ล่ะ? มีการอ้างถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการสนทนาครั้งนี้แต่ไม่ใช่ในฐานะบุคคลที่สามแห่งตรีเอกานุภาพ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น “พระเจ้าได้ทรงชโลมพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และโดยฤทธานุภาพ.” ด้วยเหตุนั้น จึงมีการแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นแทนที่จะเป็นบุคคลแต่กลับเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่บุคคล เช่น ฤทธานุภาพ ที่มีการกล่าวถึงในข้อเดียวกันนี้. (กิจการ 10:36, 40, 42, ล.ม.; 10:38) จงตรวจดูคัมภีร์ไบเบิลอย่างรอบคอบ แล้วคุณจะพบหลักฐานมากขึ้นที่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นพลังปฏิบัติการซึ่งอาจอยู่ในตัวผู้คนได้, กระตุ้นเขา, ทำให้เขารุ่งโรจน์ด้วยพระวิญญาณ, และถูกเทลงเหนือพวกเขาได้.
สุดท้าย อัครสาวกเปาโล ขณะที่ท่านกำลังประกาศสั่งสอนแก่ชาวเอเธนส์ มีโอกาสอันดีเยี่ยมในการชี้แจงเรื่องตรีเอกานุภาพ หากเรื่องนี้เป็นหลักคำสอนจริง. ในคำบรรยายของท่าน ท่านกล่าวถึงแท่นบูชาของพวกเขา “สำหรับพระเจ้าที่ไม่รู้จัก” และกล่าวว่า “สิ่งซึ่งท่านทั้งหลายถวายความเลื่อมใสโดยไม่รู้ นั่นแหละที่ข้าพเจ้าประกาศให้ท่านทราบ.” ท่านได้แถลงถึงตรีเอกานุภาพไหม? เปล่าเลย. ท่านพรรณนาถึง “พระเจ้าซึ่งทรงสร้างโลกและสิ่งสารพัดในโลก เป็นพระองค์ผู้นี้แหละผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก.” และท่านกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับพระเยซู? “[พระเจ้า] ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ประสงค์จะพิพากษาแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่ด้วยความชอบธรรมโดยบุรุษผู้หนึ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งไว้.” (กิจการ 17:23, 24, 31, ล.ม.) ไม่มีการบอกถึงตรีเอกานุภาพเลยในข้อนั้น!
อันที่จริง เปาโลได้ชี้แจงถึงบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูและพระบิดาของพระองค์จะเป็นบุคคลที่เท่าเทียมกันแห่งตรีเอกานุภาพ. ท่านเขียนไว้ดังนี้: “[พระเจ้า] ทรงปราบสิ่งสารพัตรลงใต้พระบาทของพระองค์ [พระเยซู] แล้ว. แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่าสิ่งสารพัตรอยู่ใต้พระองค์นั้น. ก็แจ้งชัดอยู่ว่ายกเว้นเสียแต่พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัตรให้อยู่ใต้พระองค์. ครั้นเมื่อสิ่งสารพัตรถูกปราบลงให้อยู่ใต้พระองค์แล้ว, เมื่อนั้นพระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัตรให้อยู่ใต้พระองค์นั้น, เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัตรทั้งปวง.” (1 โกรินโธ 15:27, 28) ดังนั้น พระเจ้าจะยังคงอยู่เหนือทุกสิ่ง รวมทั้งพระเยซูด้วย.
ถ้าเช่นนั้นแล้ว มีการสอนเรื่องตรีเอกานุภาพในคัมภีร์ไบเบิลไหม? ไม่มี. จอห์น โรบินสันเป็นฝ่ายถูก. ตรีเอกานุภาพไม่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล หรือไม่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของ “แนวความคิดแบบคริสเตียน.” คุณคิดว่านี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการนมัสการของคุณไหม? คุณควรคิดเช่นนั้น. พระเยซูตรัสดังนี้: “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3, ล.ม.) หากเราถือเอาการนมัสการพระเจ้าของเราเป็นเรื่องจริงจัง นั่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่เราจะรู้จักพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นจริง ๆ ดังที่พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์แก่เรา. เฉพาะเมื่อเราทำเช่นนี้เท่านั้นที่เราจะบอกได้อย่างแท้จริงว่าเราอยู่ท่ามกลาง “ผู้นมัสการแท้” ซึ่ง “นมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง.”—โยฮัน 4:23, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a ตาม สารานุกรมคาทอลิก, ฉบับพิมพ์ปี 1907, เล่ม 2 หน้า 33.
b โนวาทิอานุสอ้างถึงข้อเท็จจริงที่ว่าคำที่แปลว่า “หนึ่งเดียว” ในข้อนี้เป็นคำไม่มีการบ่งเพศ. ฉะนั้น ความหมายแท้ ๆ ของคำนี้คือ “สิ่งหนึ่งเดียว.” เทียบกับโยฮัน 17:21 ซึ่งใช้คำภาษากรีกสำหรับ “หนึ่งเดียว” ในทำนองเดียวกันอย่างแน่ชัด. น่าสนใจ สารานุกรมคาทอลิกใหม่ (ฉบับพิมพ์ปี 1967) เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่กับหนังสือ เด ทรีนิทาเท ของโนวาทิอานุส ถึงแม้สารานุกรมนั้นชี้แจงว่าในหนังสือนี้ “ไม่ได้ถือพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคลที่เป็นพระเจ้า.”
[จุดเด่นหน้า 28]
ความหมายโดยตรงของพระคัมภีร์แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระเยซูและพระบิดาของพระองค์ไม่ใช่บุคคลเดียวกัน
[จุดเด่นหน้า 29]
เพราะเหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่เผยให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าภายหลังวันเพ็นเตคอสเตปี ส.ศ. 33?