“ถึงแม้ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นพระองค์เลย ท่านทั้งหลายรักพระองค์”
“ถึงแม้ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นพระองค์เลย ท่านทั้งหลายรักพระองค์. แม้ท่านทั้งหลายมิได้เห็นพระองค์ในปัจจุบัน กระนั้นท่านทั้งหลายก็ยังแสดงความเชื่อในพระองค์ และชื่นชมมาก.”—1 เปโตร 1:8, ล.ม.
1. แม้ว่าไม่มีใครบนแผ่นดินโลกทุกวันนี้ได้เห็นพระเยซู ผู้คนที่เคร่งศาสนาบางคนพยายามแสดงความเลื่อมใสในพระองค์อย่างไร?
ไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกทุกวันนี้เคยเห็นพระเยซูคริสต์. กระนั้น หลายล้านคนอ้างว่ารักพระองค์. แต่ละปี ทุกวันที่ 9 มกราคม ที่มะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ มีการแห่รูปปั้นพระเยซูคริสต์แบกกางเขนซึ่งมีขนาดเท่าคนจริงไปตามถนนสายต่าง ๆ ในพิธีซึ่งได้รับการพรรณนาถึงว่า เป็นการแสดงพลังศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของศาสนาที่มีคนนับถือมากในประเทศนี้. ฝูงชนที่ตื่นเต้นผลักรุนกัน; หลายคนถึงกับเหยียบข้ามคนอื่นไปด้วยความพยายามอย่างคลั่งไคล้จะได้สัมผัสรูปปั้นนั้น. ผู้คนมากมายที่ร่วมเฝ้าดูส่วนใหญ่ถูกดึงดูดความสนใจจากขบวนแห่. กระนั้น ไม่ต้องสงสัยว่ามีบางคนที่ถูกดึงดูดให้เข้ามาหาพระเยซูด้วยน้ำใสใจจริง. หลักฐานที่พวกเขาเลื่อมใสในพระเยซูอาจเห็นได้จากการที่เขาแขวนไม้กางเขน หรืออาจไปโบสถ์เป็นประจำ. อย่างไรก็ตาม จะถือว่าการนมัสการรูปเคารพเช่นนั้นเป็นการนมัสการแท้ได้ไหม?
2, 3. (ก) ใครที่อยู่ในกลุ่มสาวกของพระเยซูซึ่งได้เห็นและได้ยินพระองค์จริง ๆ? (ข) ใครอีกในศตวรรษแรกที่รักพระเยซูและมีความเชื่อในพระองค์ แม้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นพระองค์ด้วยตาตัวเอง?
2 ในศตวรรษแรก มีหลายพันคนในมณฑลยูดาย, ซะมาเรีย, พีเรีย, และฆาลิลายซึ่งปกครองโดยโรมได้เห็นและได้ฟังพระเยซูคริสต์ด้วยตาและหูของตัวเองจริง ๆ. พวกเขาฟังขณะที่พระองค์อธิบายความจริงที่ทำให้อบอุ่นใจเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า. พวกเขาเป็นประจักษ์พยานถึงการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ทำ. คนเหล่านี้บางคนได้เข้ามาเป็นสาวกที่ทุ่มเทตัวเอง เชื่อมั่นว่าพระองค์เป็น “พระคริสต์บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.” (มัดธาย 16:16) อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นที่อัครสาวกเปโตรได้รับการดลใจให้เขียนจดหมายฉบับแรกของท่านไปถึงไม่ใช่คนกลุ่มนี้.
3 คนเหล่านั้นที่เปโตรเขียนถึงอาศัยอยู่ในมณฑลต่าง ๆ ใต้การปกครองของโรมคือ ปนโต, ฆะลาเตีย, กัปปะโดเกีย, อาเซีย, และบิตุเนีย—ทั้งหมดตั้งอยู่ในเขตของประเทศตุรกีปัจจุบัน. เปโตรเขียนถึงพวกเขาดังนี้: “ถึงแม้ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นพระองค์เลย ท่านทั้งหลายรักพระองค์. แม้ท่านทั้งหลายมิได้เห็นพระองค์ในปัจจุบัน กระนั้นท่านทั้งหลายก็ยังแสดงความเชื่อในพระองค์ และชื่นชมมากด้วยความยินดีที่รุ่งโรจน์และเหลือที่จะกล่าว.” (1 เปโตร 1:1, 8, ล.ม.) พวกเขาได้มารู้จักพระเยซูคริสต์จนถึงขั้นรักพระองค์และแสดงความเชื่อในพระองค์อย่างไร?
4, 5. ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่เคยเห็นพระเยซูเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์มากพอที่จะรักและเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร?
4 ดูเหมือนว่า บางคนอยู่ในกรุงยะรูซาเลมเมื่ออัครสาวกเปโตรให้คำพยานต่อฝูงชนที่มาร่วมเทศกาลเพนเตคอสเตปีสากลศักราช 33. หลังเทศกาล สาวกหลายคนค้างอยู่ในกรุงยะรูซาเลมเพื่อรับการสอนมากขึ้นจากบรรดาอัครสาวก. (กิจการ 2:9, 41, 42; เทียบกับ 1 เปโตร 1:1.) ในการเดินทางสองสามรอบฐานะมิชชันนารี อัครสาวกเปาโลได้ทำงานรับใช้อย่างกระตือรือร้นในท่ามกลางผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตซึ่งต่อมาเปโตรได้ส่งจดหมายฉบับแรกไปถึง และจดหมายนี้ก็ได้กลายมาเป็นพระธรรมเล่มหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเรียกตามชื่อท่าน.—กิจการ 18:23; 19:10; ฆะลาเตีย 1:1, 2.
5 เหตุใดคนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยได้พบเห็นพระเยซูจึงถูกดึงดูดใจอย่างมากให้เข้ามาเชื่อในพระองค์? ในสมัยของเรา เพราะเหตุใดจึงมีหลายล้านคนทั่วโลกรักพระองค์อย่างลึกซึ้ง?
สิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ยิน
6. (ก) หากคุณได้ยินเปโตรให้คำพยานเกี่ยวกับพระเยซูในวันเพนเตคอสเตปีสากลศักราช 33 คุณคงได้เรียนรู้อะไรบ้าง? (ข) คำพยานนี้มีผลอย่างไรต่อประมาณ 3,000 คนที่อยู่ที่นั่น?
6 หากคุณอยู่ในกรุงยะรูซาเลมตอนที่เปโตรกล่าวต่อฝูงชนที่มาร่วมฉลองเทศกาลในปีสากลศักราช 33 คุณคงได้เรียนรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพระเยซู? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเยซูได้ทำซึ่งแสดงว่าพระเจ้าทรงส่งพระองค์มา. เรื่องที่ว่า แม้มนุษย์ผู้ผิดบาปประหารพระเยซู พระองค์ไม่ได้อยู่ในอุโมงค์ฝังศพอีกต่อไปแต่ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์ และต่อมาก็ได้รับการยกขึ้นสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า. ได้เรียนรู้ว่า จริง ๆ แล้วพระเยซูก็คือพระคริสต์หรือมาซีฮาที่ศาสดาพยากรณ์ได้เขียนถึง. และคงได้เรียนรู้ว่า โดยทางพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เทลงบนบรรดาสาวกของพระองค์เพื่อให้พวกเขาสามารถให้คำพยานได้อย่างรวดเร็วแก่ประชาชนจากหลายชาติเกี่ยวด้วยสิ่งต่าง ๆ อันยอดเยี่ยมที่พระเจ้ากำลังทำอยู่โดยทางพระบุตรของพระองค์. หลายคนที่ได้ฟังเปโตรพูด ณ โอกาสนั้นได้รับการกระตุ้นใจอย่างมาก และมีประมาณ 3,000 คนรับบัพติสมาเป็นสาวกของพระคริสต์. (กิจการ 2:14-42) หากคุณอยู่ที่นั่น คุณจะตัดสินใจลงมือทำเช่นนั้นไหม?
7. (ก) ถ้าคุณได้อยู่ในเมืองอันติโอเกียเมื่ออัครสาวกเปาโลประกาศที่นั่น คุณอาจได้เรียนรู้อะไร? (ข) เหตุใดบางคนในฝูงชนได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือและประกาศข่าวดีแก่คนอื่น ๆ?
7 ถ้าคุณอยู่ในหมู่คนที่ฟังอัครสาวกเปาโลสอนในเมืองอันติโอเกีย มณฑลฆะลาเตียซึ่งอยู่ใต้การปกครองของโรม คุณอาจได้เรียนรู้อะไรอีกเกี่ยวกับพระเยซู? คุณคงได้ยินเปาโลอธิบายว่า การที่พระเยซูถูกพวกเจ้าหน้าที่ปกครองในกรุงยะรูซาเลมตัดสินโทษถึงตายนั้นได้มีการบอกล่วงหน้าไว้แล้วโดยเหล่าผู้พยากรณ์. คุณคงได้ยินด้วยในเรื่องประจักษ์พยานที่ให้หลักฐานเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระเยซู. คุณคงต้องประทับใจแน่ ๆ ในคำอธิบายของเปาโลที่ว่า โดยการปลุกพระเยซูให้คืนพระชนม์ พระยะโฮวาได้ทรงยืนยันว่า ผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ. และหัวใจคุณคงจะรู้สึกซาบซึ้งมิใช่หรือเมื่อคุณได้ทราบว่า การให้อภัยบาปซึ่งเป็นไปได้โดยความเชื่อในพระเยซูนั้นอาจจะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์? (กิจการ 13:16-41, 46, 47; โรม 1:4) เมื่อตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งที่พวกเขาได้ยินได้ฟัง บางคนในเมืองอันติโอเกียได้เข้ามาเป็นสาวก เข้าร่วมในการประกาศข่าวดีแก่คนอื่นอย่างเอาการเอางาน แม้ว่าการทำเช่นนั้นหมายถึงการที่พวกเขาต้องเผชิญการกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก.—กิจการ 13:42, 43, 48-52; 14:1-7, 21-23.
8. ถ้าคุณได้อยู่ ณ การประชุมที่ประชาคมเอเฟโซเมื่อจดหมายของเปาโลมาถึง คุณอาจได้เรียนรู้อะไร?
8 จะว่าอย่างไรถ้าคุณสมทบอยู่กับประชาคมคริสเตียนในเมืองเอเฟโซในมณฑลอาเซียซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของโรม เมื่อประชาคมที่นั่นได้รับจดหมายของเปาโลซึ่งท่านได้เขียนโดยการดลใจ? คุณอาจได้เรียนรู้อะไรจากจดหมายนั้นเกี่ยวด้วยบทบาทของพระเยซูในพระประสงค์ของพระเจ้า? ในจดหมายฉบับนั้นเปาโลอธิบายว่า ทุกสิ่งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกจะถูกนำกลับมาเข้าประสานกันกับพระเจ้าโดยทางพระคริสต์, ของประทานจากพระเจ้าผ่านทางพระคริสต์แผ่ไปยังชนทุกชาติ, ปัจเจกชนที่เสมือนตายแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้าเพราะการล่วงละเมิดของตนกำลังได้รับชีวิตโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสต์, และผลอย่างหนึ่งของการจัดเตรียมนี้คือ มีทางเป็นไปได้ที่มนุษย์จะได้มาเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง.—เอเฟโซ 1:1, 5-10; 2:4, 5, 11-13.
9. (ก) อะไรสามารถช่วยคุณให้ทราบว่า คุณเองเข้าใจความหมายของสิ่งที่เปาโลเขียนถึงชาวเอเฟโซหรือไม่? (ข) พวกพี่น้องในมณฑลที่อยู่ใต้การปกครองของโรมซึ่งเปโตรกล่าวถึงได้รับผลกระทบอย่างไรจากสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซู?
9 ความหยั่งรู้ค่าในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนี้จะทำให้ความรักของคุณที่มีต่อพระบุตรของพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นไหม? ความรักนั้นจะมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคุณไหม ดังที่อัครสาวกเปาโลได้สนับสนุนไว้ในบท 4 ถึงบท 6 ของพระธรรมเอเฟโซ? ความหยั่งรู้ค่าเช่นนั้นจะกระตุ้นคุณให้ตรวจสอบสิ่งที่มาเป็นอันดับแรกในชีวิตของคุณเองอย่างรอบคอบไหม? ด้วยความรักต่อพระเจ้าและความสำนึกในบุญคุณต่อพระบุตร คุณจะทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นเพื่อทำให้การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นจุดรวมแห่งชีวิตของคุณอย่างแท้จริงไหม? (เอเฟโซ 5:15-17) เกี่ยวด้วยวิธีที่คริสเตียนในอาเซีย, ฆะลาเตีย, และมณฑลอื่น ๆ ของโรมได้รับผลกระทบจากสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ อัครสาวกเปโตรเขียนถึงพวกเขาดังนี้: “ถึงแม้ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นพระองค์ [พระเยซูคริสต์] เลย ท่านทั้งหลายรักพระองค์. . . . ท่านทั้งหลายก็ยังแสดงความเชื่อในพระองค์ และชื่นชมมากด้วยความยินดีที่รุ่งโรจน์และเหลือที่จะกล่าว.”—1 เปโตร 1:8, ล.ม.
10. (ก) อะไรที่ได้เสริมความรักของคริสเตียนในยุคแรกที่มีต่อพระเยซูอย่างไม่ต้องสงสัย? (ข) เราสามารถได้รับประโยชน์ด้วยโดยวิธีใด?
10 มีสิ่งอื่นอีกที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มีผลทำให้คริสเตียนในยุคแรกเหล่านั้นที่เปโตรเขียนไปถึงรักพระบุตรของพระเจ้า. นั่นคืออะไร? ตอนที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับแรกของท่านนั้น อย่างน้อยก็มีกิตติคุณสองเล่มอยู่แล้วคือพระธรรมมัดธายและลูกาที่ได้มีการถ่ายทอดส่งต่อกันไป. คริสเตียนในศตวรรษแรกที่ไม่เคยเห็นพระเยซูสามารถอ่านเรื่องราวของพระองค์ได้จากพระธรรมทั้งสองนี้. เราก็สามารถทำได้เช่นกัน. กิตติคุณต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องแต่งให้เกินจริง แต่เต็มไปด้วยลักษณะทุกประการที่แสดงว่าเป็นบันทึกเรื่องประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือที่สุด. ในบันทึกที่ได้เขียนโดยการดลใจเหล่านี้ เราพบเรื่องราวมากมายที่ทำให้ความรักของเราที่มีต่อพระบุตรของพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น.
น้ำใจที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็น
11, 12. มีอะไรเกี่ยวกับน้ำใจที่พระเยซูทรงแสดงต่อเพื่อนมนุษย์ที่ทำให้คุณรักพระองค์?
11 ในประวัติบันทึกแห่งชีวิตของพระเยซู เราเรียนรู้วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับมนุษย์คน อื่น ๆ. น้ำใจที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นนั้นจับใจประชาชนจนทุกวันนี้ กว่า 1,960 ปีมาแล้วตั้งแต่ที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์. ทุกคนที่มีชีวิตอยู่เพียบหนักไปด้วยผลพวงของบาป. หลายล้านคนตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม, ต่อสู้กับความเจ็บป่วย, หรือรู้สึกผิดหวังชอกช้ำด้วยเหตุอื่น ๆ. พระเยซูทรงตรัสต่อบรรดาคนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นว่า “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.”—มัดธาย 11:28-30, ล.ม.
12 พระเยซูทรงแสดงความห่วงใยด้วยความรู้สึกที่ไวต่อความต้องการของคนจน, คนที่หิวโหย, และคนที่โศกเศร้า. เมื่อเกิดมีความจำเป็นขึ้นมา พระองค์ทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนขนาดใหญ่ด้วยการอัศจรรย์ด้วยซ้ำ. (ลูกา 9:12-17) พระองค์ทรงปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสประเพณีนิยมต่าง ๆ. พระองค์ยังได้ทรงเสริมสร้างความเชื่อของพวกเขาในการจัดเตรียมของพระเจ้าที่จะยุติการกดขี่ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ. พระเยซูไม่ได้ทรงทำให้คนที่ถูกกดขี่ต้องช้ำใจหนักเข้าไปอีก. ด้วยความนุ่มนวลและความรัก พระองค์ทรงยกฐานะคนถ่อมขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ. พระองค์ทรงช่วยคนที่เป็นเหมือนไม้อ้อช้ำหักพับ และคนที่เป็นเช่นไส้ตะเกียงเป็นควันจวนดับแล้วให้สดชื่นขึ้น. จนถึงปัจจุบัน พระนามของพระองค์เป็นแรงบันดาลใจให้มีความหวัง แม้แต่ในหัวใจของคนที่ไม่เคยเห็นพระองค์ด้วยซ้ำ.—มัดธาย 12:15-21; 15:3-10.
13. ทำไมวิธีที่พระเยซูปฏิบัติต่อคนบาปจึงดึงดูดใจผู้คน?
13 แม้พระเยซูไม่ทรงเห็นชอบกับการกระทำผิด กระนั้นพระองค์แสดงความเข้าใจต่อประชาชนที่ได้ทำผิดพลาดในชีวิตแต่สำแดงการกลับใจและหันมายังพระองค์เพื่อจะได้รับการช่วยเหลือ. (ลูกา 7:36-50) พระองค์ทรงนั่งลงและรับประทานอาหารกับผู้คนที่ชุมชนเหยียดหยาม หากพระองค์รู้สึกว่าการทำเช่นนี้จะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือทางฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 9:9-13) ผลของการที่พระองค์ทรงแสดงน้ำใจเช่นนี้ หลายล้านคนที่มีสภาพการณ์ในชีวิตคล้ายกันซึ่งไม่เคยได้เห็นพระเยซูถูกกระตุ้นใจให้มาเรียนรู้จักและมีความเชื่อในพระองค์.
14. อะไรที่ดึงดูดใจคุณเกี่ยวด้วยวิธีที่พระเยซูทรงช่วยประชาชนที่เจ็บป่วย, พิการ, หรือโศกเศร้าเนื่องจากคนที่รักเสียชีวิต?
14 แนวทางที่พระเยซูทรงปฏิบัติกับประชาชนซึ่งเจ็บป่วยหรือพิการให้หลักฐานเกี่ยวกับความอบอุ่นและความรักใคร่ของพระองค์ รวมทั้งความสามารถของพระองค์ในการบรรเทาทุกข์ให้พวกเขา. ด้วยเหตุนี้ เมื่อคนที่เป็นโรคเรื้อนทั้งตัวเข้ามาใกล้พระองค์และร้องขอความช่วยเหลือ พระเยซูไม่ได้ทรงถอยหนีด้วยความขยะแขยงเมื่อเห็นเขา. และพระองค์ไม่ได้ทรงบอกชายคนนั้นว่า แม้พระองค์จะทรงสงสารเขาอย่างไร แต่โรคเรื้อนที่เขาเป็นอยู่นั้นถึงขั้นร้ายแรงเกินรักษาและไม่อาจช่วยอะไรได้เสียแล้ว. ชายนั้นวิงวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้.” โดยไม่รีรอ พระเยซูทรงเหยียดพระหัตถ์และถูกต้องชายที่เป็นโรคเรื้อนนั้น ตรัสว่า “เราพอใจแล้ว จงหายเถิด.” (มัดธาย 8:2, 3, ฉบับแปลใหม่) อีกคราวหนึ่ง หญิงคนหนึ่งซึ่งพยายามจะได้รับการรักษา แอบเข้ามาจับต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู. พระองค์ทรงปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทีที่กรุณาและทำให้เธอสบายใจขึ้น. (ลูกา 8:43-48) และเมื่อพระองค์ทรงพบกับขบวนศพ ทรงรู้สึกสงสารแม่ม่ายที่เศร้าโศกซึ่งบุตรชายคนเดียวของนางได้ตายไป. แม้ว่าพระเยซูปฏิเสธไม่ยอมใช้อำนาจที่พระเจ้าทรงประทานให้ทำการอัศจรรย์เพื่อจะได้อาหารสำหรับพระองค์เอง พระองค์ใช้อำนาจนี้อย่างไม่ลังเลเพื่อปลุกชายคนนี้ให้เป็นขึ้นมาและมอบให้แก่มารดาของเขา.—ลูกา 4:2-4; 7:11-16.
15. การอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูและคิดรำพึงเรื่องเหล่านั้นมีผลกระทบคุณอย่างไร?
15 ขณะที่เราอ่านเรื่องราวเหล่านี้และคิดรำพึงถึงน้ำใจที่พระเยซูทรงแสดงให้เห็น ความรักของเราต่อบุรุษผู้นี้ที่ได้สละชีวิตมนุษย์ของตนเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปก็ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น. แม้เราไม่เคยพบเห็นพระองค์ เรารู้สึกถูกดึงดูดให้เข้าใกล้พระองค์ และเราต้องการจะดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์.—1 เปโตร 2:21.
การไว้วางใจพระเจ้าด้วยใจถ่อมของพระองค์
16. พระเยซูทรงเพ่งความสนใจไปที่ใครเป็นประการแรก และพระองค์หนุนกำลังใจเราให้ทำอะไร?
16 เหนือสิ่งอื่นใด พระเยซูทรงเพ่งความสนใจของพระองค์และนำความสนใจของเราไปที่พระยะโฮวาพระเจ้า พระบิดาฝ่ายสวรรค์ของพระองค์. พระองค์ชี้ชัดถึงพระบัญชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระบัญญัติโดยตรัสว่า “จงรักพระองค์ [“พระยะโฮวา,” ล.ม.] ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า.” (มัดธาย 22:36, 37) พระองค์ทรงเตือนสติสาวกทั้งหลายของพระองค์ดังนี้: “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด.” (มาระโก 11:22) เมื่อพวกเขาเผชิญการทดสอบความเชื่อของตนอย่างหนัก พระองค์กระตุ้นเตือนพวกเขาโดยบอกว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน.”—มัดธาย 26:41.
17, 18. (ก) พระเยซูทรงวางตัวอย่างเช่นไรในเรื่องการไว้วางใจในพระบิดาของพระองค์ด้วยใจถ่อม? (ข) ทำไมสิ่งที่พระองค์ทำจึงสำคัญมากต่อเรา?
17 พระเยซูเองทรงวางตัวอย่างเอาไว้. การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของพระองค์. (มัดธาย 14:23; ลูกา 9:28; 18:1) เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะเลือกอัครสาวก พระเยซูไม่ได้เพียงแต่พึ่งการตัดสินของพระองค์เอง แม้ว่าก่อนนั้นบรรดาทูตสวรรค์ทั้งสิ้นในสวรรค์เคยอยู่ใต้การดูแลของพระองค์. ด้วยความถ่อม พระองค์ทรงใช้เวลาทั้งคืนอธิษฐานถึงพระบิดาของพระองค์. (ลูกา 6:12, 13) เมื่อเผชิญการจับกุมและความตายที่เจ็บปวดรวดร้าว อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงหันไปพึ่งพระบิดาของพระองค์โดยอธิษฐานอย่างจริงจัง. พระองค์ไม่ได้คิดว่าทรงรู้จักซาตานดีและสามารถรับมือได้ไม่ยากไม่ว่าเจ้าตัวชั่วร้ายนี้จะมาไม้ไหน. พระองค์ทรงตระหนักว่า สำคัญเพียงไรที่พระองค์จะต้องไม่พลาด. การล้มพลาดของพระองค์ย่อมเป็นการนำคำตำหนิมาสู่พระบิดาของพระองค์! และจะเป็นการสูญเสียสักเพียงใดสำหรับมนุษยชาติซึ่งความคาดหวังในชีวิตขึ้นกับเครื่องบูชาที่พระเยซูทรงถวาย!
18 พระเยซูทรงอธิษฐานครั้งแล้วครั้งเล่า—เมื่ออยู่กับเหล่าอัครสาวกของพระองค์ที่ห้องชั้นบนในกรุงยะรูซาเลม และยิ่งอธิษฐานอย่างแรงกล้ามากขึ้นไปอีกในสวนเฆ็ธเซมาเน. (มัดธาย 26:36-44; โยฮัน 17:1-26; เฮ็บราย 5:7) ขณะทนทรมานบนหลัก พระองค์ไม่ได้ทรงด่าว่าคนเหล่านั้นที่เยาะเย้ยถากถางพระองค์. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อประโยชน์ของคนเหล่านี้ที่ทำไปด้วยความเขลาโดยตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า. ขอโปรดยกโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร.” (ลูกา 23:34) พระองค์ทรงเพ่งความคิดจิตใจของพระองค์ไปที่พระบิดา “ทรงมอบตัวไว้กับพระองค์ผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรม.” คำพูดสุดท้ายที่พระองค์ตรัสบนหลักทรมานคือคำอธิษฐานถึงพระบิดาของพระองค์. (1 เปโตร 2:23, ล.ม.; ลูกา 23:46) เรารู้สึกขอบพระคุณสักเพียงไรที่พระเยซูทรงทำงานมอบหมายที่พระบิดาทรงไว้วางพระทัยมอบแก่พระองค์ได้สำเร็จอย่างซื่อสัตย์ พร้อมด้วยความไว้วางใจในพระยะโฮวาอย่างเต็มเปี่ยม! แม้ว่าเราไม่เคยเห็นพระเยซูคริสต์ แต่พวกเรารักพระองค์มากสักเพียงไรเนื่องด้วยสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ!
การแสดงความรักของเราเพื่อพระองค์
19. ในการแสดงความรักที่มีต่อพระเยซู เราต้องหลีกเลี่ยงจากกิจปฏิบัติอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง?
19 เราสามารถให้หลักฐานได้โดยวิธีใดว่า ที่เราอ้างว่ารักนั้นไม่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น? เนื่องจากพระบิดาผู้เป็นที่รักของพระเยซูทรงห้ามการประดิษฐ์รูปใด ๆ เพื่อใช้เป็นวัตถุบูชา เราย่อมไม่ถวายพระเกียรติแด่พระเยซูโดยแขวนวัตถุที่ทำเป็นรูปพระองค์ไว้ที่คอหรือแห่รูปปั้นของพระองค์ไปตามถนน. (เอ็กโซโด 20:4, 5; โยฮัน 4:24) คงไม่เป็นการถวายเกียรติแด่พระเยซูที่เราจะเข้าร่วมการประชุมทางศาสนา อาจจะหลายครั้งในแต่ละสัปดาห์ แต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตประสานกับคำสอนของพระองค์ในเวลาที่เหลือนอกนั้น. พระเยซูตรัสว่า “ผู้ที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัตินั้น, ผู้นั้นแหละรักเรา, และผู้ที่รักเราพระบิดาของเราจะทรงรักผู้นั้น.”—โยฮัน 14:21, 23; 15:10.
20. มีอะไรบ้างที่จะแสดงให้เห็นว่าเรารักพระเยซูอย่างแท้จริงหรือไม่?
20 พระองค์ทรงให้พระบัญญัติอะไรแก่เรา? ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เราต้องนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และนมัสการพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น. (มัดธาย 4:10; โยฮัน 17:3) เนื่องด้วยบทบาทของพระองค์ในพระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูทรงสอนด้วยว่า เราต้องสำแดงความเชื่อในพระองค์ฐานะพระบุตรของพระเจ้า และเราต้องแสดงให้เห็นโดยการหลีกหนีจากกิจการชั่วทั้งหลายและดำเนินในความสว่าง. (โยฮัน 3:16-21) พระองค์ทรงแนะนำเราให้แสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เป็นอันดับแรก ให้สิ่งเหล่านี้นำหน้าความเป็นห่วงในเรื่องความจำเป็นด้านร่างกาย. (มัดธาย 6:31-33) พระองค์ทรงบัญชาให้เรารักกันและกันเหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา. (โยฮัน 13:34; 1 เปโตร 1:22) และพระองค์ทรงมอบหมายเราให้เป็นพยานเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า เช่นที่พระองค์ทรงเป็น. (มัดธาย 24:14; 28:19, 20; วิวรณ์ 3:14) แม้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นพระเยซู พยานพระยะโฮวาประมาณห้าล้านคนในทุกวันนี้ได้รับการกระตุ้นจากความรักแท้ที่มีต่อพระองค์ให้ปฏิบัติตามพระบัญญัติเหล่านั้น. การที่พวกเขาไม่เห็นพระเยซูด้วยตาของตัวเองไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเชื่อฟังของพวกเขาอ่อนลงแต่อย่างใด. พวกเขาระลึกถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาตรัสกับอัครสาวกโธมาที่ว่า “เพราะเจ้าได้เห็นเราเจ้าจึงเชื่อหรือ? ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เห็นและกระนั้นก็ยังเชื่อ.”—โยฮัน 20:29, ล.ม.
21. เราได้รับประโยชน์อย่างไรจากการเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์ ซึ่งปีนี้จะจัดในวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม?
21 เราหวังว่า คุณจะอยู่ในกลุ่มคนทั่วโลกที่จะร่วมชุมนุมกัน ณ หอประชุมราชอาณาจักรของพยานพระยะโฮวา หลังดวงอาทิตย์ตกวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 1997 เพื่อระลึกถึงการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ และระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ภักดีของพระองค์. สิ่งที่จะพูดและทำในโอกาสนั้นคงจะทำให้ความรักต่อพระยะโฮวาและต่อพระบุตรลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพิ่มพูนความปรารถนาจะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าต่อ ๆ ไป.—1 โยฮัน 5:3.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ คนเหล่านั้นที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับแรกไปถึงพวกเขาได้มารู้จักและรักพระเยซูอย่างไร?
▫ มีอะไรบ้างที่คริสเตียนยุคแรกได้ยินซึ่งคุณรู้สึกประทับใจ?
▫ มีอะไรเกี่ยวด้วยน้ำใจที่พระเยซูทรงแสดงที่ทำให้ความรักของคุณต่อพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น?
▫ ทำไมการที่พระเยซูไว้วางใจพระเจ้าด้วยใจถ่อมจึงสำคัญมากต่อเรา?
▫ เราจะสามารถแสดงออกซึ่งความรักของเราต่อพระเยซูคริสต์ได้โดยวิธีใด?
[รูปภาพหน้า 16, 17]
เรารู้สึกถูกดึงดูดให้มายังพระเยซู เนื่องด้วยน้ำใจที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็น