บท 9
“เราจะให้พวกเขามีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียว”
จุดสำคัญ คำพยากรณ์ของเอเสเคียลเกี่ยวกับการฟื้นฟูและการเกิดขึ้นจริงแต่ละขั้น
1-3. ชาวบาบิโลนเยาะเย้ยคนที่นมัสการพระยะโฮวาอย่างไร และทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนั้น?
สมมุติว่าคุณเป็นคนยิวที่ซื่อสัตย์ที่อาศัยอยู่ในกรุงบาบิโลน พวกคุณเป็นเชลยที่นี่มานานกว่า 50 ปีแล้ว ตามปกติเมื่อถึงวันสะบาโต คุณจะไปพบกับเพื่อน ๆ เพื่อนมัสการพระยะโฮวา แต่คุณต้องเดินผ่านถนนที่มีคนพลุกพล่าน ผ่านวิหารที่ใหญ่โตโอ่อ่าและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนเบียดเสียดกันในสถานที่เหล่านั้นเพื่อถวายเครื่องบูชาและร้องเพลงสวดให้กับเทพเจ้าของพวกเขา เช่น พระมาร์ดุก
2 เมื่อผ่านฝูงชนมาแล้ว คุณได้พบกับคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่นมัสการแบบเดียวกับคุณa คุณพยายามหาที่เงียบ ๆ อาจเป็นแถว ๆ ริมคลองเพื่ออธิษฐาน ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และใคร่ครวญคำสอนของพระองค์ด้วยกัน ตอนอธิษฐานร่วมกัน คุณได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเรือไม้ที่เทียบท่าอยู่ริมตลิ่ง คุณรู้สึกโล่งใจเพราะที่นี่มีความสงบเงียบอยู่บ้าง คุณหวังว่าจะไม่มีชาวเมืองมาเจอและก่อกวนการประชุมเหมือนที่เจออยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมชาวเมืองถึงชอบก่อกวนแบบนั้น?
3 ชาวบาบิโลนชนะสงครามมามากมายหลายครั้ง และพวกเขายกย่องพระเท็จว่าเป็นผู้ทำให้เมืองเข้มแข็ง พวกเขาคิดว่าการที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายอย่างราบคาบเป็นหลักฐานว่าพระมาร์ดุกของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าพระยะโฮวา! พวกเขาจึงเยาะเย้ยพระเจ้าของคุณและเยาะเย้ยคนที่นมัสการพระองค์ บางครั้งก็มาท้าทายอย่างเหยียดหยามว่า “ร้องเพลงของศิโยนให้พวกเราฟังสักเพลงสิ” (สด. 137:3) เพลงสดุดีหลายบทใช้เพื่อฉลองชัยชนะของศิโยนที่มีต่อศัตรูของพระยะโฮวา ชาวบาบิโลนจึงอาจชอบล้อเลียนเพลงสดุดีเหล่านี้ มีบทอื่น ๆ ที่พูดถึงชาวบาบิโลนด้วย ตัวอย่างเช่น บทที่ร้องว่า “พวกเขาทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นซากปรักหักพัง . . . คนรอบข้างล้อเลียนและเยาะเย้ยพวกเรา”—สด. 79:1, 3, 4
4, 5. คำพยากรณ์ของเอเสเคียลให้ความหวังเรื่องอะไร และเราจะพิจารณาเรื่องอะไรในบทนี้? (ดูภาพแรก)
4 นอกจากนั้น มีชาวยิวที่ทรยศพระเจ้าด้วย คนพวกนี้คอยจ้องจะเยาะเย้ยความเชื่อที่คุณมีต่อพระยะโฮวาและผู้พยากรณ์ของพระองค์ ถึงจะถูกเยาะเย้ยแบบนั้น การนมัสการบริสุทธิ์ก็ทำให้คุณและครอบครัวสบายใจ คุณรู้สึกดีที่ได้อธิษฐานและร้องเพลงด้วยกัน การอ่านพระคัมภีร์ก็เป็นการปลอบโยน (สด. 94:19; รม. 15:4) สมมุติว่าวันนี้มีเพื่อนที่นมัสการร่วมกับคุณเอาของที่พิเศษอย่างหนึ่งมาประชุมด้วย นั่นคือม้วนหนังสือที่มีคำพยากรณ์ของเอเสเคียล คุณชอบฟังคำสัญญาของพระยะโฮวาเรื่องการฟื้นฟูที่พระองค์จะพาประชาชนกลับบ้านเกิด คุณดีใจมากและตื้นตันใจเมื่อได้ยินการอ่านคำพยากรณ์นั้น และหวังว่าวันหนึ่งคุณและครอบครัวจะได้กลับไปบ้านเกิดและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูที่น่าตื่นเต้น!
5 คำพยากรณ์ของเอเสเคียลเต็มไปด้วยคำสัญญาเรื่องการฟื้นฟู ให้เรามาดูรายละเอียดของเรื่องที่ให้ความหวังนี้ด้วยกัน คำสัญญานี้เกิดขึ้นจริงกับพวกเชลยอย่างไร? คำพยากรณ์เหล่านั้นมีความหมายอย่างไรในสมัยปัจจุบัน? และเราจะพูดถึงความสำเร็จในขั้นสุดท้ายของคำพยากรณ์บางเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
“พวกเขาจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย”
6. ประชาชนที่กบฏได้รับการเตือนจากพระเจ้าหลายครั้งอย่างไร?
6 พระยะโฮวาบอกกับประชาชนของพระองค์อย่างชัดเจนผ่านทางเอเสเคียลว่าพระองค์จะลงโทษอย่างไรที่พวกเขากบฏ พระยะโฮวาบอกว่า “พวกเขาจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย” (อสค. 12:11) ในบท 6 ของหนังสือนี้ เราเห็นแล้วว่าเอเสเคียลถึงกับจำลองเหตุการณ์เพื่อเตือนเรื่องการลงโทษนั้น แต่นั่นไม่ใช่การเตือนครั้งแรก เพราะตั้งแต่สมัยโมเสส ประมาณหนึ่งพันปีก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาก็เคยเตือนประชาชนของพระองค์ว่า ถ้าพวกเขายังกบฏต่อไป พวกเขาจะต้องตกเป็นเชลย (ฉธบ. 28:36, 37) ผู้พยากรณ์อิสยาห์และเยเรมีย์ก็ประกาศคำเตือนคล้าย ๆ กัน—อสย. 39:5-7; ยรม. 20:3-6
7. พระยะโฮวาลงโทษประชาชนอย่างไร?
7 แต่น่าเศร้าที่คนพวกนั้นปิดหูปิดตาต่อคำเตือน ประชาชนที่กบฏต่อพระยะโฮวาทำให้พระองค์เสียใจมาก พวกเขาไหว้รูปเคารพ ไม่ซื่อสัตย์ และอยู่ในสภาพที่เสื่อมทรามเพราะอิทธิพลที่ไม่ดีของคนเลี้ยงแกะที่ชั่วร้าย พระองค์จึงปล่อยให้พวกเขาอดอยากจากการขาดแคลนอาหาร นี่เป็นเรื่องน่าอายเพราะแผ่นดินของพวกเขาเคยเป็น “แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย” (อสค. 20:6, 7) จากนั้นพระยะโฮวาก็ลงโทษประชาชนที่ไม่เชื่อฟังโดยปล่อยให้พวกเขาตกเป็นเชลยตามที่บอกไว้นานแล้ว ปี 607 ก่อน ค.ศ. เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทำลายกรุงเยรูซาเล็มและวิหารจนราบคาบ เขาจับชาวยิวมากมายที่รอดชีวิตไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ชาวยิวเหล่านั้นต้องทนกับการถูกเยาะเย้ยและต่อต้านตามที่พูดถึงในตอนต้นของบทนี้
8, 9. มีการเตือนประชาคมคริสเตียนอย่างไรเรื่องการทรยศพระเจ้า?
8 สิ่งที่เกิดขึ้นกับเชลยชาวยิวในบาบิโลนได้เกิดขึ้นกับประชาคมคริสเตียนไหม? ใช่! สาวกของพระเยซูก็ได้รับการเตือนล่วงหน้าเหมือนชาวยิวสมัยโบราณ ตอนพระเยซูเริ่มงานประกาศบนโลก ท่านเตือนว่า “ให้ระวังพวกผู้พยากรณ์เท็จ พวกนั้นปลอมตัวมาหาคุณในคราบของแกะ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นหมาป่าที่ตะกละตะกลาม” (มธ. 7:15) หลายปีต่อมาอัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจให้เตือนคล้าย ๆ กันว่า “ผมรู้ว่าเมื่อผมไปแล้ว จะมีบางคนเป็นเหมือนหมาป่าที่ดุร้ายเข้ามาอยู่ในกลุ่มพวกคุณ และจะไม่กรุณาต่อฝูงแกะเลย และจะมีพวกคุณบางคนพูดบิดเบือนความจริงเพื่อชักจูงพวกสาวกให้ติดตามพวกเขาไป”—กจ. 20:29, 30
9 คริสเตียนได้รับการสอนให้รู้ว่าใครเป็นคนที่อันตรายและให้หลีกเลี่ยงคนแบบนั้น คริสเตียนที่เป็นผู้ดูแลได้รับการชี้นำให้กำจัดคนทรยศพระเจ้าออกไปจากประชาคม (1 ทธ. 1:19; 2 ทธ. 2:16-19; 2 ปต. 2:1-3; 2 ยน. 10) อย่างไรก็ตาม คริสเตียนหลายคนเป็นเหมือนอิสราเอลและยูดาห์ พวกเขาปิดหูปิดตาเมื่อได้รับการเตือนด้วยความรัก ตอนปลายศตวรรษที่ 1 เริ่มมีการทรยศพระเจ้าในประชาคมคริสเตียน ยอห์นอัครสาวกคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สังเกตเห็นความเดือดร้อนในประชาคมที่เกิดจากความเสื่อมทรามและการกบฏที่แพร่หลาย เขาเป็นผู้เหนี่ยวรั้งคนเดียวที่เหลืออยู่ที่คอยต้านทานกระแสของความเลวร้าย (2 ธส. 2:6-8; 1 ยน. 2:18) แต่เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ยอห์นเสียชีวิต?
10, 11. ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องข้าวสาลีกับวัชพืชเกิดขึ้นจริงอย่างไรตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 เป็นต้นมา?
10 หลังจากยอห์นเสียชีวิต ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องข้าวสาลีกับวัชพืชก็เริ่มเกิดขึ้นจริง (อ่านมัทธิว 13:24-30) ตามที่พระเยซูพยากรณ์ไว้ว่าซาตานจะหว่าน “วัชพืช” หรือคริสเตียนปลอมไว้ในประชาคมคริสเตียน และประชาคมก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว พระยะโฮวาคงเสียใจมากที่เห็นประชาคมที่ลูกชายของพระองค์ก่อตั้งขึ้นแปดเปื้อนไปด้วยการไหว้รูปเคารพ วันหยุดและพิธีกรรมของศาสนาเท็จ คำโกหกของนักปรัชญาที่ไม่นับถือพระเจ้า และคำสอนเท็จจากศาสนาที่ซาตานส่งเสริม แล้วพระยะโฮวาทำอย่างไร? พระองค์ปล่อยให้ประชาชนของพระองค์ตกเป็นเชลยเหมือนกับอิสราเอลที่ไม่ซื่อสัตย์ ศตวรรษที่ 2 เป็นต้นมาคนที่เป็นเหมือนข้าวสาลีมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับคริสเตียนปลอม ประชาคมคริสเตียนแท้ตกเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่หรือกลุ่มศาสนาเท็จทั้งหมดในโลก ส่วนคริสเตียนปลอมก็ถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งของบาบิโลนใหญ่ เมื่อคริสเตียนปลอมที่เป็นเหมือนวัชพืชเติบโตมากขึ้น พวกเขาก็กลายเป็นคริสต์ศาสนจักร
11 ตลอดหลายร้อยปีแห่งความมืดมนที่คริสต์ศาสนจักรเรืองอำนาจ ยังมีคริสเตียนแท้ที่เป็นเหมือน “ข้าวสาลี” ในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเสมอมา พวกเขาเหมือนกับเชลยชาวยิวที่พูดถึงในเอเสเคียล 6:9 ซึ่งคิดถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ บางคนต้านทานคำสอนเท็จของคริสต์ศาสนจักรอย่างกล้าหาญ พวกเขาต้องเจอกับการเยาะเย้ยและการข่มเหง พระยะโฮวาตั้งใจทิ้งประชาชนของพระองค์ให้อยู่ในความมืดมนตลอดไปไหม? ไม่! เช่นเดียวกับอิสราเอลโบราณ พระยะโฮวาแสดงความโกรธอย่างเหมาะสมและไม่ยาวนานเกินไป (ยรม. 46:28) ยิ่งกว่านั้น พระยะโฮวาไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนของพระองค์สิ้นหวัง ให้เรากลับไปดูเชลยชาวยิวในบาบิโลนโบราณ และสังเกตว่าพระยะโฮวาให้ความหวังพวกเขาอย่างไรที่ว่าการเป็นเชลยของพวกเขาจะสิ้นสุดลง
เป็นเวลาหลายร้อยปีที่คริสเตียนแท้ต้องเจอการข่มเหงจากบาบิโลนใหญ่ (ดูข้อ 10, 11)
‘แล้วเราจะหายโกรธ’
12, 13. ทำไมพระยะโฮวาถึงจะหายโกรธและเลิกโมโหประชาชนที่เป็นเชลยในสมัยเอเสเคียล?
12 พระยะโฮวาแสดงความโกรธต่อประชาชนของพระองค์อย่างชัดเจน แต่พระองค์ก็ทำให้พวกเขามั่นใจว่าพระองค์โกรธเพราะมีเหตุผลสมควรและจะไม่โกรธตลอดไป ขอให้สังเกตคำพูดของพระองค์ที่ว่า “แล้วเราถึงจะหายโกรธและเลิกโมโหพวกเขา และเมื่อเราระบายความโกรธต่อพวกเขาแล้ว เราจะสบายใจ และพวกเขาจะต้องรู้ว่าเรายะโฮวาพูดกับพวกเขาอย่างนี้เพราะต้องการให้พวกเขานมัสการเราเพียงผู้เดียว” (อสค. 5:13) พระยะโฮวาหายโกรธเพราะอะไร?
13 เพราะชาวยิวที่ซื่อสัตย์ถูกจับมาเป็นเชลยพร้อมกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ นอกจากนั้น พระยะโฮวาบอกล่วงหน้าผ่านทางเอเสเคียลว่าจะมีบางคนกลับใจในช่วงที่เป็นเชลย ชาวยิวที่กลับใจจะคิดทบทวนว่าพวกเขาเคยทำสิ่งน่าอับอายซึ่งเป็นการกบฏต่อพระเจ้า และพวกเขาจะอ้อนวอนขอให้พระองค์อภัยและยอมรับพวกเขา (อสค. 6:8-10; 12:16) เอเสเคียลก็เป็นคนซื่อสัตย์ในกลุ่มนี้ ผู้พยากรณ์ดาเนียลกับเพื่อน 3 คนก็เหมือนกัน ที่จริงดาเนียลมีชีวิตอยู่นานพอที่จะเห็นการเป็นเชลยตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุด หนังสือดาเนียลบท 9 มีบันทึกคำอธิษฐานจากหัวใจของดาเนียลที่แสดงการกลับใจจากบาปที่พวกอิสราเอลทำ อารมณ์ความรู้สึกของเขาเป็นตัวแทนของเชลยจำนวนมากมายที่รอให้พระยะโฮวาอภัยและอวยพรพวกเขาอีกครั้ง ดังนั้น คำสัญญาเรื่องการปลดปล่อยและการฟื้นฟูที่เอเสเคียลบันทึกไว้จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ!
14. ทำไมพระยะโฮวาถึงให้ประชาชนของพระองค์กลับบ้านเกิดและฟื้นฟูพวกเขา?
14 อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลที่สำคัญกว่าซึ่งทำให้พระยะโฮวาช่วยประชาชนจากการเป็นเชลยและฟื้นฟูพวกเขา ประชาชนพ้นจากการเป็นเชลยไม่ใช่เพราะพวกเขาสมควรได้รับการปลดปล่อย แต่เพราะถึงเวลาแล้วที่พระยะโฮวาจะทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือท่ามกลางชาติต่าง ๆ อีกครั้ง (อสค. 36:22) ชาวบาบิโลนจะได้รู้สักทีว่าพระเท็จทั้งหลายของพวกเขา เช่น พระมาร์ดุก เทียบกับพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดไม่ได้เลย! ให้เราดูคำสัญญา 5 อย่างที่พระยะโฮวาดลใจให้เอเสเคียลบอกกับเพื่อนเชลย ก่อนอื่น ให้เรามาดูกันว่าคำสัญญาแต่ละอย่างมีความหมายอย่างไรต่อคนซื่อสัตย์ในสมัยนั้น จากนั้นเราจะดูว่าคำสัญญาเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริงอย่างไรในขอบเขตที่ใหญ่กว่า
15. การนมัสการของประชาชนที่กลับบ้านเกิดจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
15 คำสัญญาที่ 1 การไหว้รูปเคารพและพิธีกรรมที่น่าขยะแขยงของศาสนาเท็จจะหมดไป (อ่านเอเสเคียล 11:18; 12:24) บท 5 ของหนังสือนี้บอกว่าเยรูซาเล็มและวิหารแปดเปื้อนไปด้วยพิธีกรรมของศาสนาเท็จ เช่น การไหว้รูปเคารพ ประชาชนอยู่ในสภาพที่เสื่อมทรามและสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า พระยะโฮวาบอกล่วงหน้าผ่านทางเอเสเคียลว่า ประชาชนที่เป็นเชลยคาดหมายได้ว่าพวกเขาจะได้เข้าร่วมการนมัสการที่สะอาดและบริสุทธิ์อีกครั้ง ต้องมีการฟื้นฟูการจัดเตรียมเรื่องการนมัสการบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาก่อน การฟื้นฟูเรื่องอื่น ๆ ถึงจะเป็นไปได้
16. พระยะโฮวาสัญญาอะไรกับประชาชนเกี่ยวกับบ้านเกิดของพวกเขา?
16 คำสัญญาที่ 2 พวกเขาจะได้กลับบ้านเกิด พระยะโฮวาบอกพวกเชลยว่า “เราจะยกแผ่นดินอิสราเอลให้กับพวกเจ้า” (อสค. 11:17) คำสัญญานี้พิเศษมากเพราะชาวบาบิโลนที่ชอบเยาะเย้ยไม่มีทางปล่อยประชาชนของพระเจ้ากลับไปบ้านเกิดแน่ ๆ (อสย. 14:4, 17) ยิ่งกว่านั้น ถ้าคนที่ได้กลับไปยังรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเสมอ แผ่นดินของพวกเขาก็จะมีความอุดมสมบูรณ์และเกิดดอกออกผล พวกเขาจะมีอาหารมากมายและได้ทำงานที่ดี ความอับอายและความทุกข์เพราะขาดแคลนอาหารจะกลายเป็นเพียงอดีต—อ่านเอเสเคียล 36:30
17. จะเกิดอะไรขึ้นกับการถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวา?
17 คำสัญญาที่ 3 จะมีการถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาของพระยะโฮวาอีกครั้ง บท 2 ของหนังสือนี้บอกว่า ตามกฎหมายของโมเสส การถวายเครื่องบูชาและของถวายเป็นส่วนสำคัญของการนมัสการบริสุทธิ์ ตราบใดที่พวกเชลยที่กลับบ้านเกิดเชื่อฟังและนมัสการพระยะโฮวาองค์เดียว พระองค์ก็จะยอมรับเครื่องบูชาของพวกเขา พวกเขาจะได้รับการอภัยบาปและจะได้ใกล้ชิดพระเจ้า พระยะโฮวาสัญญาว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะรับใช้เราบนภูเขาบริสุทธิ์ของเราในแผ่นดินนั้น คือบนภูเขาสูงของอิสราเอล เราจะเมตตาพวกเขาที่นั่น และพวกเจ้าจะต้องเอาของถวายกับเครื่องบูชาที่ดีที่สุดมาให้เรา คือของบริสุทธิ์ทุกอย่างของพวกเจ้า” (อสค. 20:40) การนมัสการบริสุทธิ์จะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ประชาชนของพระเจ้าได้รับพร
18. พระยะโฮวาจะดูแลฝูงแกะของพระองค์อย่างไร?
18 คำสัญญาที่ 4 คนเลี้ยงแกะที่ไม่ดีจะถูกกำจัด สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาชนของพระเจ้าทำผิดร้ายแรงคือ พวกเขาได้รับอิทธิพลจากผู้นำที่ชั่วช้า พระยะโฮวาสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ พระองค์พูดถึงคนเลี้ยงแกะที่ไม่ดีว่า “เราจะไม่ให้พวกเขาเลี้ยงดูแกะของเราต่อไป . . . เราจะช่วยแกะของเราไม่ให้ถูกพวกเขากิน” และพระองค์บอกกับประชาชนที่ซื่อสัตย์ให้มั่นใจว่า “เราจะดูแลแกะของเรา” (อสค. 34:10, 12) พระองค์จะทำอย่างไร? พระองค์จะใช้ผู้ชายที่ซื่อสัตย์และภักดีให้เป็นผู้เลี้ยงแกะ
19. พระยะโฮวาสัญญาอะไรเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียว?
19 คำสัญญาที่ 5 ผู้นมัสการพระยะโฮวาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ลองคิดว่าในช่วงก่อนถูกจับไปเป็นเชลย ผู้นมัสการที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาจะหดหู่แค่ไหนเมื่อเห็นประชาชนของพระเจ้าแตกแยกกัน พวกผู้พยากรณ์เท็จและคนเลี้ยงแกะที่ไม่ดีมีอิทธิพลชักนำผู้คนให้ต่อต้านผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์ซึ่งเป็นตัวแทนของพระยะโฮวา ประชาชนถึงกับแตกออกเป็นหลายกลุ่มที่ขัดแย้งกัน ดังนั้น สิ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดเกี่ยวกับการฟื้นฟูนี้ก็คือคำสัญญาของพระเจ้าผ่านทางเอเสเคียลที่ว่า “เราจะให้พวกเขามีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวและจะให้พวกเขามีจิตใจใหม่” (อสค. 11:19) ถ้าชาวยิวที่ได้กลับบ้านเกิดยังคงเป็นหนึ่งเดียวกับพระยะโฮวาและกับพวกเขาเอง ก็จะไม่มีผู้ต่อต้านคนไหนมาทำลายพวกเขาได้ พวกเขาจะกลับมาเป็นชาติที่ทำให้พระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญ แทนที่จะทำให้พระองค์ถูกตำหนิและเสื่อมเสียเกียรติ
20, 21. คำสัญญาของพระเจ้าเกิดขึ้นจริงอย่างไรกับเชลยที่ได้กลับบ้านเกิด?
20 คำสัญญา 5 อย่างนั้นเกิดขึ้นจริงกับชาวยิวที่กลับจากการเป็นเชลยไหม? เราคงจำได้ดีที่โยชูวาผู้ซื่อสัตย์เคยพูดไว้ที่ว่า “สัญญาดี ๆ ทั้งหมดที่พระยะโฮวาพระเจ้าพูดไว้แล้วนั้นไม่มีคำสัญญาไหนเลยที่ไม่เป็นจริง ทุกอย่างเป็นจริงทั้งหมด ไม่มีสักคำเลยที่ไม่เป็นจริง” (ยชว. 23:14) ถ้าคำสัญญาของพระยะโฮวาเกิดขึ้นจริงในสมัยโยชูวา คำสัญญาของพระองค์ก็ต้องเกิดขึ้นจริงกับเชลยชาวยิวที่กลับบ้านเกิดเช่นกัน
21 ชาวยิวเลิกไหว้รูปเคารพและเลิกทำพิธีกรรมที่น่ารังเกียจของศาสนาเท็จซึ่งทำให้พวกเขาเหินห่างจากพระยะโฮวา ถึงแม้จะดูเหลือเชื่อ แต่พวกเขาก็ได้กลับไปบ้านเกิดจริง ๆ ได้เพาะปลูกและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นั่น ก่อนที่พวกเขาจะทำอย่างอื่น สิ่งแรก ๆ ที่พวกเขาทำคือการสร้างแท่นบูชาของพระยะโฮวาในเยรูซาเล็มขึ้นใหม่และถวายเครื่องบูชาที่พระองค์ยอมรับที่นั่น (อสร. 3:2-6) พระยะโฮวาอวยพรพวกเขาโดยให้มีคนเลี้ยงแกะที่ดีเช่น เอสราปุโรหิตและผู้คัดลอกที่ซื่อสัตย์ เนหะมีย์และเศรุบบาเบลซึ่งทั้งสองเป็นผู้ว่าราชการ มหาปุโรหิตโยชูวา ผู้พยากรณ์ที่กล้าหาญอย่างฮักกัย เศคาริยาห์ และมาลาคี ถ้าประชาชนเชื่อฟังการชี้นำและคำแนะนำจากพระยะโฮวา พวกเขาจะมีความสุขที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมานานมากแล้ว—อสย. 61:1-4; อ่านเยเรมีย์ 3:15
22. ทำไมเรารู้ว่าการเกิดขึ้นจริงในขั้นแรกของคำพยากรณ์เรื่องการฟื้นฟูเป็นแค่แสงแวบเดียวของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า?
22 คำสัญญาของพระยะโฮวาเรื่องการฟื้นฟูที่เกิดขึ้นจริงในขั้นแรกนี้ให้กำลังใจมากจริง ๆ! แต่การเกิดขึ้นจริงนี้เปรียบเหมือนแสงแค่แวบเดียวของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เรารู้ได้อย่างไร? คำสัญญาเหล่านี้มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ พระยะโฮวาจะทำให้คำสัญญาต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อประชาชนเชื่อฟังและพร้อมจะทำตามที่พระองค์สั่งพวกเขา แต่จากนั้นไม่นานชาวยิวก็ไม่เชื่อฟังและกบฏต่อพระองค์อีก อย่างไรก็ตามโยชูวาบอกไว้ชัดเจนว่าคำสัญญาของพระยะโฮวาจะเกิดขึ้นจริงเสมอ ดังนั้น คำสัญญาเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นจริงในขอบเขตที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนกว่า ให้เรามาดูกันว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
“เราจะเมตตาพวกเจ้า”
23, 24. “เวลาที่ทุกสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู” เริ่มต้นเมื่อไร และเริ่มต้นอย่างไร?
23 เราได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลว่าตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา โลกชั่วนี้ได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายที่เลวร้ายที่สุด แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่น่าเศร้าสำหรับคนที่รับใช้พระยะโฮวา ที่จริงคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าปี 1914 เป็นจุดเริ่มของช่วงที่น่าตื่นเต้นเพราะนี่เป็น “เวลาที่ทุกสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู” (กจ. 3:21) เรารู้ได้อย่างไร? เพราะพระเยซูคริสต์ได้เป็นกษัตริย์เมสสิยาห์บนสวรรค์ในปี 1914 ทำไมการเป็นกษัตริย์ของท่านถึงเป็นการฟื้นฟู? อย่าลืมสิ่งที่พระยะโฮวาสัญญากับดาวิดที่ว่ากษัตริย์จากราชวงศ์ของเขาจะได้ปกครองตลอดไป (1 พศ. 17:11-14) แต่การปกครองถูกขัดจังหวะในปี 607 ก่อน ค.ศ. เมื่อชาวบาบิโลนทำลายเยรูซาเล็มและทำให้การปกครองของราชวงศ์ของดาวิดสิ้นสุดลง
24 พระเยซูซึ่งเป็น “ลูกมนุษย์” เป็นลูกหลานของดาวิด ท่านจึงมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์นี้ (มธ. 1:1; 16:13-16; ลก. 1:32, 33) ในปี 1914 ตอนที่พระยะโฮวาแต่งตั้งพระเยซูให้ครองบัลลังก์ในสวรรค์ “เวลาที่ทุกสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู” ก็เริ่มต้นขึ้น! ตอนนี้พระยะโฮวามีโอกาสแล้วที่จะใช้กษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบองค์นี้ให้ทำงานฟื้นฟูต่อไปจนสำเร็จ
25, 26. (ก) การเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่สิ้นสุดลงเมื่อไร และเรารู้ได้อย่างไร? (ดูกรอบ “ทำไมเป็นปี 1919?” ด้วย) (ข) ตั้งแต่ปี 1919 เราเริ่มเห็นว่าคำสัญญาเกิดขึ้นจริงอย่างไร?
25 หนึ่งในงานแรก ๆ ที่พระเยซูทำเมื่อเป็นกษัตริย์คือ การร่วมงานกับพ่อของท่านตรวจดูการนมัสการที่ประชาชนของพระเจ้าทำกันบนโลก (มลค. 3:1-5) ตามที่พระเยซูบอกไว้ในตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องข้าวสาลีกับวัชพืช ก่อนหน้านี้เป็นช่วงเวลายาวนานซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะระหว่างข้าวสาลีกับวัชพืช หรือแยกแยะระหว่างคริสเตียนที่ถูกเจิมกับคริสเตียนปลอมb แต่ตอนนี้ฤดูเกี่ยวมาถึงในปี 1914 ความแตกต่างก็เห็นได้ชัดเจน หลายสิบปีก่อนจะถึงปี 1914 กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่ซื่อสัตย์ได้เปิดโปงความชั่วร้ายของคริสต์ศาสนจักร และเริ่มแยกตัวออกมาจากองค์การทางศาสนาที่เสื่อมทรามนั้น นี่เป็นเวลาที่พระยะโฮวาจะฟื้นฟูพวกเขาอย่างเต็มที่ ดังนั้น เพียงไม่กี่ปีที่เข้าสู่ “ฤดูเกี่ยว” คือช่วงต้นปี 1919 ประชาชนของพระเจ้าก็เป็นอิสระจากการเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่อย่างแท้จริง (มธ. 13:30) การเป็นเชลยสิ้นสุดลงแล้ว!
26 ในปัจจุบันเราได้เห็นคำพยากรณ์ของเอเสเคียลเรื่องการฟื้นฟูเกิดขึ้นจริงในขอบเขตยิ่งใหญ่กว่าที่ประชาชนของพระเจ้าในสมัยโบราณได้เห็น ให้เรามาดูกันว่าคำสัญญา 5 อย่างที่พูดถึงไปแล้วได้เกิดขึ้นจริงในขอบเขตที่ใหญ่กว่าอย่างไร
27. พระเจ้าชำระประชาชนของพระองค์จากการไหว้รูปเคารพอย่างไร?
27 คำสัญญาที่ 1 การไหว้รูปเคารพและพิธีกรรมที่น่าขยะแขยงของศาสนาเท็จหมดไป ตอนปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ได้รวมตัวกันและเริ่มทิ้งพิธีกรรมของศาสนาเท็จ มีการตัดคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ เรื่องวิญญาณอมตะ และเรื่องไฟนรกออกไป เพราะคำสอนเหล่านี้ไม่ได้มาจากคัมภีร์ไบเบิลแต่มาจากศาสนาเท็จ การใช้รูปปั้นต่าง ๆ เพื่อการนมัสการถูกระบุชัดว่าเป็นการไหว้รูปเคารพ และประชาชนของพระเจ้าเริ่มมองออกว่าการใช้ไม้กางเขนเป็นการไหว้รูปเคารพรูปแบบหนึ่งด้วย—อสค. 14:6
28. แผ่นดินของผู้รับใช้พระยะโฮวาได้รับการฟื้นฟูในแง่ไหน?
28 คำสัญญาที่ 2 แผ่นดินโดยนัยของผู้รับใช้พระเจ้าได้รับการฟื้นฟู หลังจากคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ออกจากศาสนาเท็จแบบบาบิโลน พวกเขาก็ได้มาอยู่ในแผ่นดินโดยนัย คือสภาพที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า พวกเขาจะมีอาหารมากมายซึ่งก็คือความรู้ที่ทำให้ความเชื่อเข้มแข็ง (อ่านเอเสเคียล 34:13, 14) เราจะได้เห็นในบท 19 ของหนังสือนี้ว่าพระยะโฮวาอวยพรแผ่นดินโดยนัยนี้ให้มีความอุดมสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน—อสค. 11:17
29. มีการส่งเสริมงานประกาศมากขึ้นอย่างไรในปี 1919?
29 คำสัญญาที่ 3 มีการถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาของพระยะโฮวาอีกครั้ง ย้อนไปในศตวรรษแรก คริสเตียนได้รับการสอนให้ถวายเครื่องบูชาที่มีค่ามากกว่าเครื่องบูชาที่เป็นสัตว์ คือ คำพูดที่สรรเสริญพระยะโฮวา และการประกาศเรื่องของพระองค์ให้คนอื่นได้รู้ (ฮบ. 13:15) ไม่มีการจัดเตรียมให้มีการถวายเครื่องบูชาแบบนี้ในช่วงเกือบสองพันปีที่เป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่ แต่ในช่วงท้าย ๆ ของการเป็นเชลย ประชาชนของพระเจ้าก็เริ่มถวายเครื่องบูชาแบบนี้แล้ว พวกเขาขยันประกาศและสรรเสริญพระเจ้าอย่างมีความสุขในการประชุมของพวกเขา ตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เน้นงานประกาศมากขึ้นและจัดระเบียบงานนี้ให้ดียิ่งขึ้น (มธ. 24:45-47) ดังนั้น จึงมีผู้สรรเสริญชื่อที่บริสุทธิ์ของพระยะโฮวาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขานำเครื่องบูชาที่เป็นคำสรรเสริญมาถวายที่แท่นบูชาของพระองค์อย่างไม่ขาดสาย
30. พระเยซูทำอะไรเพื่อให้ประชาชนของท่านได้รับการดูแลอย่างดี?
30 คำสัญญาที่ 4 คนเลี้ยงแกะที่ไม่ดีถูกกำจัด พระคริสต์ปลดปล่อยประชาชนของพระเจ้าจากคนเลี้ยงแกะจอมปลอมของคริสต์ศาสนจักรซึ่งไร้ศีลธรรมและเห็นแก่ตัว ถ้าคนเลี้ยงแกะที่ดูแลฝูงแกะของพระคริสต์ไม่เลี้ยงแกะอย่างดี พวกเขาก็จะถูกถอดออกจากหน้าที่นี้ (อสค. 20:38) พระเยซูเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ท่านทำให้แน่ใจว่าแกะของท่านจะได้รับการดูแลอย่างดี ปี 1919 ท่านแต่งตั้งทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม คริสเตียนผู้ถูกเจิมกลุ่มเล็ก ๆ นี้นำหน้าในการจัดเตรียมอาหารซึ่งก็คือความรู้ที่ทำให้ความเชื่อเข้มแข็ง ประชาชนของพระเจ้าจึงได้รับการดูแลอย่างดี ต่อมาผู้ดูแลในประชาคมก็ได้รับการฝึกเพื่อช่วยดูแล “ฝูงแกะของพระเจ้า” (1 ปต. 5:1, 2) มีการใช้ข้อความที่ได้รับการดลใจในเอเสเคียล 34:15, 16 หลายครั้งเพื่อเตือนคริสเตียนผู้ดูแลให้ทำตามมาตรฐานที่พระยะโฮวาและพระเยซูกำหนดไว้
31. พระยะโฮวาทำให้คำพยากรณ์ในเอเสเคียล 11:19 เกิดขึ้นจริงอย่างไร?
31 คำสัญญาที่ 5 ผู้นมัสการพระยะโฮวาเป็นหนึ่งเดียวกัน ตลอดหลายร้อยปี คริสต์ศาสนจักรแตกแยกเป็นหลายหมื่นนิกาย เป็นลัทธิและกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งขัดแย้งกัน ตรงกันข้าม พระยะโฮวาได้ทำสิ่งอัศจรรย์กับประชาชนที่ได้รับการฟื้นฟู คำสัญญาของพระองค์ผ่านทางเอเสเคียลที่ว่า “เราจะให้พวกเขามีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียว” ได้เกิดขึ้นจริงอย่างยิ่งใหญ่ (อสค. 11:19) หลายล้านคนทั่วโลกไม่ว่าจะมาจากเชื้อชาติ ศาสนา เศรษฐกิจ หรือสังคมแบบไหนก็เข้ามาเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ ทุกคนได้รับการสอนความจริงเรื่องเดียวกัน ได้รับงานมอบหมายอย่างเดียวกัน และทำงานประสานสอดคล้องกันอย่างดีเยี่ยม ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านอธิษฐานขออย่างจริงจังให้สาวกของท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน (อ่านยอห์น 17:11, 20-23) ในสมัยของเรา พระยะโฮวาทำให้คำขอนั้นเป็นจริงในวิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
32. คุณรู้สึกอย่างไรกับการเกิดขึ้นจริงของคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟู? (ดูกรอบ “คำพยากรณ์เกี่ยวกับการเป็นเชลยและการฟื้นฟู”)
32 คุณดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูที่น่าตื่นเต้นนี้ไหม? เราเห็นคำพยากรณ์ของเอเสเคียลเกิดขึ้นจริงในทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับการนมัสการของเราในทุกวันนี้ เรามั่นใจว่าพระยะโฮวากำลังมองดูประชาชนของพระองค์ด้วยความปลื้มใจ เหมือนที่พระองค์บอกไว้ในคำพยากรณ์ของเอเสเคียลว่า “เราจะเมตตาพวกเจ้า” (อสค. 20:41) คุณรู้สึกเป็นสิทธิพิเศษไหมที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาชนทั่วโลกที่กำลังสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างเป็นหนึ่งเดียว ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี และได้รับการปลดปล่อยจากเป็นเชลยของศาสนาเท็จมาเกือบสองพันปี นอกจากนี้ ยังมีคำพยากรณ์ของเอเสเคียลบางเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นฟูที่จะเกิดขึ้นจริงในขอบเขตที่ใหญ่กว่านี้
“เหมือนสวนเอเดน”
33-35. (ก) คำพยากรณ์ในเอเสเคียล 36:35 มีความหมายอย่างไรกับเชลยชาวยิว? (ข) คำสัญญาเดียวกันนี้มีความหมายอย่างไรกับประชาชนของพระเจ้าในทุกวันนี้? (ดูกรอบ “เวลาที่ทุกสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู”)
33 เราได้เห็นไปแล้วว่า “เวลาที่ทุกสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู” เริ่มต้นด้วยการมีกษัตริย์จากราชวงศ์ดาวิดตอนที่พระเยซูขึ้นครองบัลลังก์ในปี 1914 (อสค. 37:24) ต่อมา พระยะโฮวาให้อำนาจพระคริสต์เพื่อฟื้นฟูการนมัสการบริสุทธิ์หลังจากที่ประชาชนของพระองค์เป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่เกือบสองพันปี แต่งานฟื้นฟูที่พระคริสต์ทำจบแค่นั้นไหม? ไม่! คำพยากรณ์ของเอเสเคียลให้รายละเอียดที่น่าตื่นเต้นกับเราว่า งานนี้จะดำเนินต่อไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
34 เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอให้พิจารณาคำพยากรณ์ที่ว่า “ผู้คนจะพูดว่า ‘แผ่นดินที่รกร้างกลายเป็นเหมือนสวนเอเดน’” (อสค. 36:35) คำสัญญานี้มีความหมายอย่างไรกับเอเสเคียลและเพื่อนเชลย? พวกเขาไม่ได้คาดหมายว่าคำสัญญานี้จะเกิดขึ้นจริงตามตัวอักษรทั้งหมดอย่างแน่นอน พวกเขาไม่ได้คิดว่าแผ่นดินที่ฟื้นฟูแล้วจะเหมือนกับสวนอุทยานแรกเดิมที่พระยะโฮวาสร้างด้วยพระองค์เอง (ปฐก. 2:8) แต่พวกเขาแน่ใจได้ว่าพระยะโฮวาจะทำให้แผ่นดินที่ได้รับการฟื้นฟูของพวกเขาสวยงามและอุดมสมบูรณ์
35 คำสัญญาเดียวกันนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับเราในทุกวันนี้? เราก็ไม่ได้คาดหมายว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงตามตัวอักษรในตอนนี้เพราะเรายังอยู่ในโลกชั่วที่มารซาตานปกครอง แต่เราเห็นว่าคำสัญญานี้เกิดขึ้นจริงในด้านการนมัสการ เราเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวา เราจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินโดยนัยที่ได้รับการฟื้นฟู ซึ่งก็คือสภาพแวดล้อมที่เรารับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผลและให้งานรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่สุดในชีวิต แผ่นดินโดยนัยนี้สวยงามขึ้นเรื่อย ๆ แล้วในอนาคตล่ะจะเป็นอย่างไร?
36, 37. ในอนาคตคำสัญญาอะไรจะเกิดขึ้นจริงในสวนอุทยาน?
36 หลังจากสงครามอาร์มาเกดโดน พระเยซูจะขยายการฟื้นฟูให้ครอบคลุมทั้งโลกจริง ๆ ในช่วงหนึ่งพันปีที่พระเยซูปกครอง ท่านจะคอยดูแลให้มนุษย์ทำให้โลกทั้งโลกกลายเป็นอุทยานแบบเดียวกับสวนเอเดนตามที่พระยะโฮวาตั้งใจไว้! (ลก. 23:43) แล้วจากนั้นมนุษย์ทุกคนจะเป็นหนึ่งเดียวกันและร่วมมือกันดูแลโลกที่เป็นบ้านของพวกเขา ทุกที่จะมีแต่ความปลอดภัย ลองนึกถึงตอนที่คำสัญญานี้เกิดขึ้นจริงที่ว่า “เราจะทำสัญญากับแกะของเราว่าจะให้มีสันติสุข เราจะกำจัดสัตว์ป่าดุร้ายในแผ่นดินนั้น แกะของเราจะได้อยู่ในที่กันดารอย่างปลอดภัยและจะได้นอนในป่า”—อสค. 34:25
37 คุณนึกภาพออกไหม? คุณสามารถท่องไปในโลกกว้างโดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย จะไม่มีสัตว์มาทำร้าย จะไม่มีอันตรายที่คุณต้องหวาดกลัว คุณจะเดินในป่าคนเดียวได้โดยไม่ต้องระแวดระวัง คุณจะได้ชมธรรมชาติที่งดงาม ถึงกับนอนหลับได้อย่างสบายในป่าลึกและมั่นใจว่าจะตื่นมาอย่างสดชื่นและปลอดภัย!
ลองนึกภาพตอนที่เรา “จะได้นอนในป่า” อย่างปลอดภัย (ดูข้อ 36, 37)
38. คุณรู้สึกอย่างไรที่จะได้เห็นคำสัญญาในเอเสเคียล 28:26 เกิดขึ้นจริง?
38 เราจะได้เห็นคำสัญญาต่อไปนี้เกิดขึ้นจริงด้วยที่ว่า “พวกเขาจะอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย จะสร้างบ้านและทำสวนองุ่น พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยเมื่อเราลงโทษทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งดูถูกดูหมิ่นพวกเขา แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขา” (อสค. 28:26) หลังจากที่ศัตรูของพระยะโฮวาถูกกำจัดแล้ว เราจะมีความสงบสุขและความปลอดภัยตลอดทั่วโลก นอกจากจะดูแลโลกของเราแล้ว เรายังได้ดูแลตัวเราเอง ดูแลคนที่เรารัก ได้สร้างบ้านที่น่าอยู่และได้ทำสวนองุ่นด้วย
39. คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าคำสัญญาที่เอเสเคียลบันทึกไว้เกี่ยวกับสวนอุทยานจะเกิดขึ้นจริง?
39 คำสัญญาเหล่านี้เป็นเพียงความเพ้อฝันไหม? ถ้าคุณคิดอย่างนั้น ก็ขออย่าลืมสิ่งที่คุณได้เห็นมาแล้วในช่วงเวลานี้ที่ ‘ทุกสิ่งได้รับการฟื้นฟู’ พระเยซูได้รับอำนาจให้ฟื้นฟูการนมัสการที่บริสุทธิ์ในช่วงที่โลกเลวร้ายที่สุด ซึ่งซาตานโจมตีหนักที่สุด นั่นเป็นหลักฐานที่หนักแน่นว่าคำสัญญาทุกอย่างของพระเจ้าผ่านทางเอเสเคียลจะเกิดขึ้นจริงแน่นอน!
a เชลยชาวยิวส่วนใหญ่อาศัยในพื้นที่ห่างจากตัวเมืองบาบิโลน ตัวอย่างเช่น เอเสเคียลอาศัยรวมกับชาวยิวคนอื่น ๆ ที่ริมฝั่งแม่น้ำเคบาร์ (อสค. 3:15) แต่ก็มีเชลยบางคนอาศัยอยู่ในตัวเมืองด้วย รวมทั้งคนที่เป็น “เชื้อสายกษัตริย์และลูกหลานของชนชั้นสูง”—ดนล. 1:3, 6; 2 พก. 24:15
b ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถยืนยันว่านักปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่ 16 คนไหนบ้างที่อาจเป็นคริสเตียนที่ถูกเจิม