ความเชื่อของคุณในการกลับเป็นขึ้นจากตายเข้มแข็งเพียงไร?
“เราเป็นการกลับเป็นขึ้นจากตายและเป็นชีวิต. ผู้ที่แสดงความเชื่อในเรา ถึงแม้เขาตายก็จะมีชีวิตอีก.”—โยฮัน 11:25, ล.ม.
1, 2. เหตุใดผู้นมัสการพระยะโฮวาต้องมีความมั่นใจในความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย?
ความหวังของคุณในการกลับเป็นขึ้นจากตายเข้มแข็งเพียงไร? ความหวังนี้เสริมให้คุณเข้มแข็งพร้อมรับมือความกลัวตายและปลอบโยนคุณเมื่อคุณสูญเสียผู้เป็นที่รักเนื่องด้วยความตายไหม? (มัดธาย 10:28; 1 เธซะโลนิเก 4:13) คุณเป็นเหมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าในอดีตหลาย ๆ คนไหมซึ่งทนการเฆี่ยนตี, การเยาะเย้ย, การทรมาน, และการถูกคุมขัง แต่ก็ได้รับการเสริมกำลังโดยความเชื่อในการกลับเป็นขึ้นจากตาย?—เฮ็บราย 11:35-38.
2 ถูกแล้ว ผู้ที่นมัสการพระยะโฮวาด้วยใจจริงไม่ควรมีข้อสงสัยใด ๆ ว่าจะมีการกลับเป็นขึ้นจากตาย และความมั่นใจของเขาควรส่งผลต่อแนวทางที่เขาใช้ชีวิต. เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่จะใคร่ครวญข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้า ทะเล, ความตาย, และฮาเดสจะคืนคนที่ตายในที่เหล่านี้ และคนที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายจะมีความหวังในการมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.—วิวรณ์ 20:13; 21:4, 5.
ข้อสงสัยเกี่ยวด้วยชีวิตในอนาคต
3, 4. หลายคนยังคงเชื่ออะไรเกี่ยวกับชีวิตหลังจากตาย?
3 คริสต์ศาสนจักรได้สอนมานานแล้วว่ามีชีวิตหลังจากตาย. บทความหนึ่งในวารสารยู.เอส. คาทอลิก กล่าวดังนี้: “ตลอดทุกยุคทุกสมัย คริสเตียนได้พยายามอย่างดีที่สุดในการรับมือกับเรื่องที่ทำให้ผิดหวังและเรื่องทุกข์ร้อนในชีวิตนี้ โดยมองไปที่อีกชีวิตหนึ่งในวันข้างหน้า ชีวิตที่สงบและอิ่มใจ สำเร็จและมีความสุข.” แม้ว่าในหลาย ๆ ประเทศที่ถือศาสนาคริสต์ ผู้คนกลายเป็นคนไม่สนใจศาสนาและมีทัศนะค่อนไปทางเย้ยหยันศาสนา แต่หลายคนก็ยังรู้สึกว่าคงต้องมีอะไรบางอย่าง หลังจากตายแล้ว. ทว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาไม่แน่ใจ.
4 บทความหนึ่งในวารสารไทม์ ตั้งข้อสังเกตดังนี้: “ผู้คนยังคงเชื่อกันอยู่ [เรื่องชีวิตหลังจากตาย]: เพียงแต่ว่าแนวคิดที่แจ่มชัดว่าเรื่องดังกล่าวนี้คืออะไรยิ่งนานก็ยิ่งพร่ามัว และนาน ๆ ครั้งพวกเขาจึงจะได้ยินเรื่องนี้จากปากของนักเทศน์ในโบสถ์ของตน.” เหตุใดเหล่านักเทศน์จึงไม่ค่อยจะพูดเรื่องชีวิตหลังจากตายเหมือนแต่ก่อน? ผู้คงแก่เรียนด้านศาสนา เจฟฟรีย์ เบอร์ทัน รัสเซลล์ กล่าวดังนี้: “ผมคิดว่า [นักเทศน์] ต้องการเลี่ยงเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าหากจะพูดเรื่องนี้พวกเขาต้องเอาชนะอุปสรรคแห่งความเคลือบแคลงใจของคนส่วนใหญ่.”
5. หลายคนในทุกวันนี้มีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องไฟนรก?
5 ในคริสตจักรหลายแห่ง ชีวิตหลังจากตายหมายรวมถึงสวรรค์และนรกที่มีไฟร้อนแรง. และถ้านักเทศน์นักบวชไม่อยากพูดเรื่องสวรรค์ พวกเขาก็ยิ่งไม่อยากพูดเรื่องนรก. บทความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวว่า “สมัยนี้ แม้แต่คริสตจักรที่เชื่อเรื่องการลงโทษตลอดไปเป็นนิตย์ในนรกจริง ๆ . . . ไม่ค่อยเน้นแนวคิดนี้กันแล้ว.” ที่จริง นักเทววิทยาหัวสมัยใหม่ส่วนใหญ่ไม่เชื่ออีกต่อไปในนรกที่เป็นสถานทรมานตามตัวอักษร ตามแบบที่สอนกันอย่างนั้นในยุคกลาง. แทนที่จะเชื่อเช่นนั้น พวกเขาชอบเรื่องนรกในแบบที่ “ไม่โหดร้ายทารุณ” มากกว่า. ตามความเชื่อของพวกหัวสมัยใหม่หลายคน คนบาปที่ตกนรกไม่ได้ถูกทรมานตามตัวอักษร แต่คนเหล่านี้ประสบทุกข์เนื่องจากพวกเขาถูก “แยกจากพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ.”
6. บางคนพบอย่างไรว่าตนมีความเชื่อไม่มากพอเมื่อเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรม?
6 การลดความหนักแน่นแห่งหลักคำสอนของคริสตจักรเพื่อจะไม่ทำให้ขัดเคืองความรู้สึกอ่อนไหวของคนสมัยใหม่อาจช่วยบางคนเลี่ยงการไม่เป็นที่นิยมชมชอบ แต่ก็ทำให้ผู้ไปโบสถ์ที่จริงใจหลายล้านคนสงสัยว่าจะเชื่ออะไร. ฉะนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย คนเหล่านี้มักพบว่าเขาขาดความเชื่อ. เจตคติของเขาเป็นเช่นเดียวกับหญิงคนหนึ่งซึ่งสูญเสียสมาชิกครอบครัวหลายคนในอุบัติเหตุสะเทือนใจ. เมื่อมีคนถามว่าความเชื่อทางศาสนาของเธอทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม เธอตอบอย่างลังเลว่า “คงอย่างนั้นแหละค่ะ.” แต่สมมุติเธอตอบอย่างมั่นใจว่าความเชื่อทางศาสนาช่วยเธอ ความมั่นใจดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวไหมหากความเชื่อของเธอไม่มีพื้นฐานมั่นคง? ควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะจริง ๆ แล้ว คริสตจักรส่วนมากสอนเรื่องชีวิตในอนาคตแตกต่างมากทีเดียวจากคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล.
ทัศนะของคริสต์ศาสนจักรในเรื่องชีวิตหลังจากตาย
7. (ก) คริสตจักรส่วนใหญ่เชื่ออะไรเหมือนกัน? (ข) นักเทววิทยาคนหนึ่งพรรณนาไว้อย่างไรเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องจิตวิญญาณอมตะ?
7 แม้ว่ามีข้อแตกต่างกันหลายอย่าง เกือบทุกนิกายของคริสต์ศาสนจักรเห็นพ้องกันว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะซึ่งดำรงชีพต่อไปหลังจากร่างกายตายไปแล้ว. ส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อคนเราตาย จิตวิญญาณของเขาอาจได้ขึ้นสวรรค์. บางคนกลัวว่าจิตวิญญาณของเขาอาจตกนรกที่มีไฟลุกไหม้หรือตกเข้าสู่ไฟชำระ. แต่ความคิดเรื่องจิตวิญญาณอมตะเป็นจุดรวมแห่งทัศนะของเขาเรื่องชีวิตในอนาคต. นักเทววิทยา ออสการ์ คุลล์มันน์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเรียงความซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือชื่อสภาพอมตะและการกลับเป็นขึ้นจากตาย (ภาษาอังกฤษ). เขาเขียนดังนี้: “หากเราถามคริสเตียนทั่วไปในทุกวันนี้ว่า . . . เขาคิดว่าอะไรคือคำสอนของพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับชะตากรรมของคนเราเมื่อตายแล้ว เราก็จะได้คำตอบว่า ‘สภาพอมตะของจิตวิญญาณ’ ยกเว้นไม่กี่คนที่อาจตอบเป็นอย่างอื่น.” อย่างไรก็ตาม คุลล์มันน์กล่าวต่อไปอีกว่า “แนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนี้เป็นแนวคิดหนึ่งที่ตีความหลักการคริสเตียนผิดพลาดอย่างมหันต์.” คุลล์มันน์กล่าวว่าเมื่อเขาพูดอย่างนี้เป็นครั้งแรก เขาได้ทำให้หลายคนเดือดดาล. กระนั้น เขาพูดถูกต้อง.
8. พระยะโฮวาทรงตั้งความหวังอะไรไว้ต่อหน้าชายหญิงคู่แรก?
8 พระยะโฮวาพระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้ไปสวรรค์หลังจากที่เขาตายแล้ว. ไม่ใช่พระประสงค์ดั้งเดิมของพระองค์เลยที่คนเราตาย. อาดามและฮาวาถูกสร้างขึ้นมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์และได้รับโอกาสในการทำให้แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยลูกหลานที่ชอบธรรม. (เยเนซิศ 1:28; พระบัญญัติ 32:4) พระองค์ทรงบอกบิดามารดาคู่แรกของเราว่าเขาจะตายก็ต่อเมื่อเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า. (เยเนซิศ 2:17) ถ้าเขาเชื่อฟังพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของตนอยู่เสมอ เขาก็จะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกตลอดไป.
9. (ก) ความจริงเกี่ยวกับจิตวิญญาณของมนุษย์คืออะไร? (ข) เกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณเมื่อตายไป?
9 อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่อาดามและฮาวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า. (เยเนซิศ 3:6, 7) อัครสาวกเปาโลพรรณนาถึงผลเสียหายอันเป็นโศกนาฏกรรมดังนี้: “ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว, และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวง, เพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว.” (โรม 5:12) แทนที่จะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก อาดามและฮาวาเสียชีวิต. เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? โดยที่ทั้งสองมีจิตวิญญาณอมตะและเนื่องจากบาปที่เขาทำ ตอนนี้จึงต้องถูกส่งตัวไปยังนรกที่มีไฟลุกร้อนอย่างนั้นไหม? ตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลกล่าวตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วว่า เมื่อเขาถูกสร้างขึ้นมา อาดาม “เกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่.” (เยเนซิศ 2:7, ล.ม.) มนุษย์ไม่ได้รับ จิตวิญญาณ; เขาเป็น จิตวิญญาณ ซึ่งก็คือบุคคลที่มีชีวิตอยู่. (1 โกรินโธ 15:45) คิดดูซิ ไม่เฉพาะแต่อาดามเท่านั้นที่เป็น “จิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่” แต่ดังที่มีแสดงไว้ในภาษาฮีบรูซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เขียนพระธรรมเยเนซิศ สัตว์เดียรัจฉานก็เป็น “จิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่” ด้วย! (เยเนซิศ 1:24, ล.ม.) เมื่ออาดามและฮาวาตาย ทั้งสองกลายเป็นจิตวิญญาณที่ตายแล้ว. ในที่สุด เขาทั้งสองก็ประสบดังที่พระยะโฮวาได้ตรัสแก่อาดามว่า “เจ้าจะหากินด้วยเหงื่อไหลโซมหน้ากว่าเจ้าจะกลับเป็นดิน; เพราะเจ้าบังเกิดมาแต่ดินเจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน, และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.”—เยเนซิศ 3:19.
10, 11. สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ ยอมรับอะไรเกี่ยวกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องจิตวิญญาณ และสิ่งที่เขายอมรับนั้นเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว?
10 ในสาระสำคัญแล้ว สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ เห็นด้วยกับข้อนี้. ในหัวข้อ “จิตวิญญาณ (ในคัมภีร์ไบเบิล)” สารานุกรมนี้กล่าวว่า “ไม่มีการแยกต่างหากกัน [แยกเป็นสองส่วน] ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณในพันธสัญญาเก่า [หรือพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู].” แล้วก็ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในคัมภีร์ไบเบิล คำ “จิตวิญญาณ” “ไม่เคยหมายถึงจิตวิญญาณที่แยกอยู่ต่างหากจากร่างกายหรือจากตัวบุคคล.” ที่จริง จิตวิญญาณมัก “หมายถึงสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์.” การกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เป็นเรื่องน่ายินดี แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าทำไมไม่มีใครบอกข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แก่ผู้ไปโบสถ์โดยทั่วไป.
11 ผู้ไปโบสถ์จะเป็นอิสระพ้นจากความห่วงกังวลและความกลัวสักเพียงไรหากพวกเขาทราบความจริงอันเรียบง่ายของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “จิตวิญญาณที่ได้ทำบาป, จิตวิญญาณนั้นจะตายเอง” ไม่ใช่ ทนทรมานในไฟนรก! (ยะเอศเคล 18:4) ขณะที่เรื่องนี้แตกต่างอย่างมากจากคำสอนของคริสต์ศาสนจักร แต่ก็สอดคล้องอย่างเต็มที่กับคำพูดที่ซะโลโมบุรุษผู้ชาญฉลาดได้กล่าวไว้ภายใต้การดลใจ ที่ว่า “คนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย, แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย, หรือเขาหาได้รับรางวัลอีกไม่เลย [ในชีวิตนี้]; ด้วยว่าใคร ๆ ก็พากันลืมเขาเสียหมดแล้ว. เมื่อมือไม้ของเจ้าจับการอันใดทำ, จงกระทำการอันนั้นด้วยกำลังวังชาของเจ้าเถิด; เพราะว่าไม่มีการงาน, หรือโครงการ, หรือความรู้หรือสติปัญญาในเมืองผี [หลุมฝังศพโดยทั่วไปของมนุษยชาติ] ที่เจ้าจะไปนั้น.”—ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10.
12. คริสต์ศาสนจักรรับเอาคำสอนเรื่องจิตวิญญาณอมตะจากแหล่งไหน?
12 เหตุใดคริสต์ศาสนจักรสอนแตกต่างอย่างมากจากสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้? สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ ภายใต้หัวข้อ “สภาพอมตะแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์,” กล่าวว่านักเขียนคริสตจักรรุ่นแรกพบแหล่งสนับสนุนความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอมตะ ไม่ใช่ในคัมภีร์ไบเบิล แต่ใน “นักกวีและนักปรัชญาและตามประเพณีนิยมทั่วไปของแนวคิดแบบกรีก . . . ต่อมา ผู้คงแก่เรียนทั้งหลายชอบอ้างถึงเพลโตหรือใช้หลักการต่าง ๆ ที่ได้จากอาริสโตเติล.” สารานุกรมนี้กล่าวว่า “อิทธิพลของแนวคิดสำนักเพลโตและสำนักเพลโตใหม่”—ซึ่งรวมถึงความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอมตะด้วย—ในที่สุดก็ถูกสอดแทรกไว้ “ในแกนกลางของเทววิทยาคริสเตียน.”
13, 14. ทำไมจึงไม่สมเหตุผลที่จะหวังว่าจะได้รับความรู้แท้จากนักปรัชญากรีกซึ่งเป็นคนนอกรีต?
13 ผู้ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนควรหันไปพึ่งพิงนักปรัชญากรีกซึ่งเป็นคนนอกรีตไหมเพื่อเรียนรู้เรื่องพื้นฐานอย่างเช่นเรื่องความหวังของชีวิตหลังจากตาย? ไม่ควรทำอย่างนั้นแน่นอน. เมื่อเปาโลเขียนถึงคริสเตียนที่อยู่ในเมืองโกรินโธ ประเทศกรีซ ท่านกล่าวดังนี้: “ปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง และมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์อีกว่า พระเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนมีปัญญาเป็นสิ่งไร้ประโยชน์.” (1 โกรินโธ 3:19, 20, ฉบับแปลใหม่) ชาวกรีกโบราณกราบไหว้รูปเคารพ. ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเขาจะเป็นแหล่งแห่งความจริงได้อย่างไร? เปาโลถามชาวโกรินโธดังนี้: “วิหารของพระเจ้ามีข้อตกลงอะไรกับรูปเคารพ? ด้วยว่าพวกเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่; ดังที่พระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะสถิตท่ามกลางเขาและจะดำเนินท่ามกลาง เขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นไพร่พลของเรา.’”—2 โกรินโธ 6:16, ล.ม.
14 แรกทีเดียว ได้มีการเปิดเผยความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ทางชาติยิศราเอล. (โรม 3:1, 2) หลังปีสากลศักราช 33 ทรงโปรดให้มีการเปิดเผยทางประชาคมคริสเตียนที่ได้รับการเจิมในศตวรรษแรก. เปาโลกล่าวถึงคริสเตียนในศตวรรษแรกดังนี้: “พระเจ้าได้ทรงสำแดง [สิ่งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์] แก่เราทั้งหลายโดยพระวิญญาณ.” (1 โกรินโธ 2:10; ดูวิวรณ์ 1:1, 2 ด้วย.) หลักคำสอนของคริสต์ศาสนจักรเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณได้มาจากปรัชญากรีก. หลักคำสอนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของการเปิดเผยของพระเจ้าที่ทรงประทานแก่ชาติยิศราเอลหรือทางประชาคมแห่งคริสเตียนผู้ถูกเจิมในศตวรรษแรก.
ความหวังแท้สำหรับคนตาย
15. ตามคำตรัสของพระเยซู ความหวังแท้สำหรับคนตายคืออะไร?
15 หากจิตวิญญาณไม่เป็นอมตะ อะไรคือความหวังแท้สำหรับคนตาย? แน่นอน ความหวังนั้นคือการกลับเป็นขึ้นจากตาย ซึ่งเป็นจุดรวมของหลักคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลและคำสัญญาที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงของพระเจ้า. พระเยซูทรงเสนอความหวังในการกลับเป็นขึ้นจากตายเมื่อพระองค์ ตรัสแก่มาธาผู้เป็นพระสหายของพระองค์ ดังนี้: “เราเป็นการกลับเป็นขึ้นจากตายและเป็นชีวิต. ผู้ที่แสดงความเชื่อในเรา ถึงแม้เขาตายก็จะมีชีวิตอีก.” (โยฮัน 11:25, ล.ม.) การมีความเชื่อในพระเยซูหมายถึงการมีความเชื่อเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย ไม่ใช่เรื่องจิตวิญญาณอมตะ.
16. เหตุใดจึงสมเหตุผลที่จะเชื่อเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย?
16 ก่อนหน้านี้ พระเยซูตรัสถึงการกลับเป็นขึ้นจากตายเมื่อพระองค์ตรัสแก่ชาวยิวบางคนว่า “อย่าประหลาดใจในข้อนี้ เพราะเวลาจะมาเมื่อบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์รำลึกจะได้ยินสุรเสียงของพระองค์ และจะออกมา.” (โยฮัน 5:28, 29, ล.ม.) คำพรรณนาของพระเยซูในที่นี้แตกต่างอย่างมากจากจิตวิญญาณอมตะซึ่งอยู่รอดต่อไปหลังจากร่างกายตายแล้วและตรงไปสู่สวรรค์. คำพรรณนานี้กล่าวถึง ‘การออกมา’ ในอนาคตของคนที่อยู่ในหลุมฝังศพมาแล้วหลายศตวรรษหรือแม้แต่หลายพันปี. จิตวิญญาณที่ตายแล้วจะกลับมีชีวิตอีกครั้ง. เป็นไปไม่ได้หรือ? ไม่ใช่เช่นนั้นแน่สำหรับพระเจ้า “ที่ทรงบันดาลคนที่ตายแล้วให้มีชีวิตเป็นขึ้น, และทรงเรียกสิ่งของที่ประหนึ่งมิได้เป็น ให้เป็นขึ้น.” (โรม 4:17) คนที่มีทัศนะแบบกังขาคติอาจเยาะเย้ยความคิดที่ว่าคนเราจะกลับเป็นขึ้นจากตาย แต่เรื่องนี้สอดรับอย่างสมบูรณ์แบบทีเดียวกับข้อเท็จจริงที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” และ “เป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์.”—1 โยฮัน 4:16; เฮ็บราย 11:6.
17. พระเจ้าจะทรงทำอะไรให้สำเร็จครบถ้วนโดยการกลับเป็นขึ้นจากตาย?
17 คิดดูซิ พระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็จแก่คนที่พิสูจน์ตัว “สัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย” ได้อย่างไรหากพระองค์ไม่ทรงปลุกคนเหล่านี้ให้มีชีวิตอีก? (วิวรณ์ 2:10) การกลับเป็นขึ้นจากตายยังทำให้เป็นไปได้ด้วยที่พระเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จตามคำที่อัครสาวกโยฮันเขียนที่ว่า “พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏเพราะเหตุนี้, คือว่าเพื่อจะได้ทรงทำลายกิจการของมารเสีย.” (1 โยฮัน 3:8) ย้อนกลับไปที่สวนเอเดน ซาตานกลายเป็นผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อมันชักนำบิดามารดาคู่แรกของเราเข้าสู่บาปและความตาย. (เยเนซิศ 3:1-6; โยฮัน 8:44) พระเยซูทรงเริ่มทำลายกิจการของซาตานเมื่อพระองค์ทรงประทานชีวิตสมบูรณ์ของพระองค์เป็นค่าไถ่ที่มีค่าเสมอกัน เปิดทางให้มนุษยชาติได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของบาปซึ่งได้รับเป็นมรดกอันเป็นผลจากการที่อาดามจงใจไม่เชื่อฟัง. (โรม 5:18) การกลับเป็นขึ้นจากตายของคนที่ตายไปเนื่องด้วยบาปที่สืบทอดจากอาดามจะเป็นการทำลายกิจการของพญามารอีกขั้นหนึ่ง.
ร่างกายและจิตวิญญาณ
18. นักปรัชญาชาวกรีกบางคนแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำกล่าวของเปาโลที่ว่าพระเยซูได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์แล้ว และเพราะเหตุใด?
18 เมื่ออัครสาวกเปาโลอยู่ที่กรุงเอเธนส์ ท่านประกาศข่าวดีแก่ฝูงชนซึ่งมีนักปรัชญากรีกบางคนร่วมฟังอยู่ด้วย. พวกเขาฟังท่านอธิบายเรื่องพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและคำวิงวอนเรียกร้องของพระองค์ให้กลับใจเสียใหม่. แต่เกิดอะไรขึ้นถัดจากนั้น? เปาโลกล่าวลงท้ายคำปราศรัยของท่านโดยกล่าวว่า “[พระเจ้า] ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม, โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้เป็นผู้พิพากษา และซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้ท่านองค์นั้นคืนพระชนม์ ก็เป็นพยานหลักฐานให้คนทั้งปวงเชื่อ.” คำพูดเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นมา. “ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว, ลางคนก็เยาะเย้ย.” (กิจการ 17:22-32) นักเทววิทยา ออสการ์ คุลล์มันน์ ให้ข้อสังเกตว่า “สำหรับชาวกรีกที่เชื่อเกี่ยวกับอมตภาพของจิตวิญญาณ คงยากยิ่งกว่าคนกลุ่มอื่นที่จะยอมรับการประกาศของคริสเตียนในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. . . . คำสอน ของโสกราตีสและเพลโตนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีทางลงรอยกับคำสอนของพันธสัญญาใหม่ได้.”
19. นักเทววิทยาแห่งคริสต์ศาสนจักรพยายามอย่างไรในการประสานคำสอนเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายเข้ากับหลักคำสอนเรื่องจิตวิญญาณอมตะ?
19 ถึงกระนั้น หลังจากการออกหากครั้งใหญ่เมื่อบรรดาอัครสาวกสิ้นชีวิตไปแล้ว พวกนักเทววิทยาพยายามอย่างมากที่จะหลอมรวมคำสอนของคริสเตียนเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายเข้ากับความเชื่อของเพลโตเกี่ยวกับจิตวิญญาณอมตะ. ในที่สุด บางคนก็เห็นด้วยกับทางแก้ที่แปลกใหม่นี้: เมื่อตาย จิตวิญญาณถูกแยกออก (“ได้รับการปลดปล่อย” ตามคำพรรณนาของบางคน) จากร่างกาย. ต่อจากนั้น ตามสังเขปความของหลักคำสอนเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย (ภาษาอังกฤษ) โดย อาร์.เจ. คุก ในวันพิพากษา “กายแต่ละกายจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของตนเองอีกครั้งหนึ่ง และจิตวิญญาณแต่ละจิตวิญญาณก็กลับรวมเข้ากับกายของตนเอง.” การกลับมารวมตัวกันของกายกับจิตวิญญาณอมตะของกายดังกล่าวซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตเรียกกันว่าเป็นการกลับเป็นขึ้นจากตาย.
20, 21. ใครที่สอนความจริงในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และความจริงเรื่องนี้ให้ประโยชน์อย่างไรแก่พวกเขา?
20 ทฤษฎีนี้ยังคงเป็นหลักคำสอนอย่างเป็นทางการของคริสตจักรส่วนใหญ่. ในขณะที่แนวคิดเช่นนั้นอาจดูเหมือนสมเหตุผลสำหรับนักเทววิทยา แต่ผู้ไปโบสถ์ส่วนมากไม่คุ้นกับแนวคิดนี้. พวกเขาเชื่อแต่เพียงว่าเขาจะตรงไปสู่สวรรค์เมื่อตายแล้ว. ด้วยเหตุนี้ ในวารสารคอมมอนวีล (ภาษาอังกฤษ) ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม 1995 ผู้เขียนบทความ จอห์น การ์วีย์ กล่าวตำหนิดังนี้: “ความเชื่อของคริสเตียนส่วนใหญ่ [เรื่องชีวิตหลังจากตาย] ดูเหมือนเอียงไปทางลัทธิเพลโตใหม่ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวกับคริสเตียนแท้ และไม่มีพื้นฐานตามหลักของคัมภีร์ไบเบิล.” แท้จริง โดยการเอาคัมภีร์ไบเบิลไปแลกกับเพลโต นักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรได้ทำลายความหวังตามหลักพระคัมภีร์เรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายสำหรับฝูงแกะของตน.
21 ในทางตรงกันข้าม พยานพระยะโฮวาปฏิเสธปรัชญานอกรีตและยึดมั่นอยู่กับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. พวกเขาพบว่าคำสอนนี้ให้ความรู้ที่ชัดเจน, น่าพอใจ, และให้การปลอบโยน. ในสองบทความถัดไป เราจะเห็นว่าคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตายมีพื้นฐานหนักแน่นและสมเหตุผลเพียงไร ทั้งสำหรับคนที่มีความหวังทางแผ่นดินโลกและสำหรับคนที่มีความหวังจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายสู่ชีวิตทางภาคสวรรค์. เพื่อเตรียมตัวไว้สำหรับการพิจารณาบทความทั้งสองนี้ เราขอแนะให้คุณอ่านบท 15 ของจดหมายฉบับแรกที่มีไปถึงโกรินโธอย่างถี่ถ้วน.
คุณจำได้ไหม?
▫ ทำไมเราควรปลูกฝังความมั่นใจที่หนักแน่นในการกลับเป็นขึ้นจากตาย?
▫ พระยะโฮวาทรงตั้งความหวังอะไรไว้ต่อหน้าอาดามและฮาวา?
▫ ทำไมจึงไม่สมเหตุผลที่จะแสวงหาความจริงจากปรัชญากรีก?
▫ เหตุใดการกลับเป็นขึ้นจากตายเป็นความหวังที่มีเหตุผล?
[รูปภาพหน้า 10]
เมื่อทำบาป บิดามารดาแรกเดิมของเราสูญเสียความหวังแห่งการมีชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก
[รูปภาพหน้า 12]
ผู้คงแก่เรียนของคริสตจักรได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของเพลโตในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณ
[ที่มาของภาพ]
Musei Capitolini, Roma