บท 20
“แพร่ออกไปอย่างน่าทึ่งและไม่มีอะไรขัดขวางได้” ทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้าน
อปอลโลกับเปาโลทำยังไงเพื่อให้มีคนมากขึ้นได้ยินข่าวดี
1, 2. (ก) เปาโลกับเพื่อน ๆ เจออันตรายอะไรในเมืองเอเฟซัส? (ข) เราจะทบทวนเรื่องอะไรในบทนี้?
ที่ถนนในเมืองเอเฟซัสมีเสียงดังวุ่นวาย ผู้คนในเมืองส่งเสียงร้องตะโกนและกำลังวิ่ง ฝูงชนที่โกรธมากมารวมตัวกัน และความชุลมุนวุ่นวายกำลังเกิดขึ้น! เพื่อนร่วมเดินทางสองคนของอัครสาวกเปาโลถูกลากตัวไป ผู้คนที่อยู่แถว ๆ ถนนสายหลักซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้าต่าง ๆ ก็พากันตามฝูงชนที่โกรธแค้นนี้ไปด้วย พวกเขาทุกคนมุ่งหน้าไปที่โรงละครใหญ่ประจำเมือง ซึ่งโรงละครนี้ใหญ่พอที่จะจุคนได้ประมาณ 25,000 คน จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามาชุมนุมกันทำไม แต่พวกเขาคิดว่าวิหารและเทพธิดาอาร์เทมิสซึ่งเป็นที่รักของพวกเขากำลังถูกคุมคาม ดังนั้น พวกเขาเลยเริ่มร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “เทพธิดาอาร์เทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นผู้ยิ่งใหญ่”—กจ. 19:34
2 นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเห็นว่าซาตานพยายามใช้ความรุนแรงของฝูงชนที่บ้าคลั่งเพื่อหยุดงานประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลพระเจ้า แน่นอน การใช้ความรุนแรงไม่ได้เป็นวิธีเดียวที่ซาตานใช้ ในบทนี้ เราจะทบทวนดูวิธีต่าง ๆ ที่ซาตานใช้เพื่อพยายามหยุดงานประกาศ และทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสเตียนในศตวรรษแรก แต่ที่สำคัญก็คือ เราจะดูว่าวิธีทั้งหมดที่ซาตานใช้นั้นไม่สำเร็จ เพราะ “คำสอนของพระยะโฮวาแพร่ออกไปอย่างน่าทึ่งและไม่มีอะไรขัดขวางได้” (กจ. 19:20) ทำไมคริสเตียนเหล่านั้นถึงสามารถประกาศต่อไปได้? แน่นอนว่าที่พวกเราสามารถทำงานประกาศและยังคงรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องได้ก็เพราะพระยะโฮวาช่วยเรา แต่เหมือนกับคริสเตียนในศตวรรษแรก เราก็ต้องทำส่วนของเราด้วย ด้วยความช่วยเหลือจากพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา เราสามารถมีคุณลักษณะต่าง ๆ ที่จะช่วยเราให้ทำงานรับใช้ได้สำเร็จ ให้เรามาดูตัวอย่างของอปอลโลด้วยกัน
“เขา . . . รู้เรื่องพระคัมภีร์เป็นอย่างดี” (กิจการ 18:24-28)
3, 4. อะควิลลากับปริสสิลลาสังเกตอะไรเกี่ยวกับอปอลโล และทั้งสองทำอะไรเพื่อช่วยเขา?
3 ตอนที่เปาโลกำลังเดินทางไปเมืองเอเฟซัสในช่วงการประกาศในต่างประเทศรอบที่สาม คนยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโลได้มาที่เมืองนี้ เขามาจากเมืองอเล็กซานเดรียที่มีชื่อเสียงของอียิปต์ อปอลโลมีคุณลักษณะหลายอย่างที่ดี เขามีพรสวรรค์ในการพูด นอกจากเขาจะพูดได้ดีแล้วเขายัง “รู้เรื่องพระคัมภีร์เป็นอย่างดี” ยิ่งไปกว่านั้น “พลังของพระเจ้ากระตุ้นเขาให้กระตือรือร้น” อปอลโลจึงพูดอย่างกล้าหาญกับคนยิวในที่ประชุมของชาวยิว—กจ. 18:24, 25
4 อะควิลลากับปริสสิลลาได้ฟังอปอลโลพูด ทั้งสองคนคงมีความสุขมากที่ได้ยินเขาสอน “เรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง” สิ่งที่อปอลโลพูดเกี่ยวกับพระเยซูนั้นถูกต้อง แต่อะควิลลากับปริสสิลลาก็สังเกตว่าอปอลโลยังไม่รู้บางอย่างที่สำคัญ “เขารู้แค่เรื่องบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น” ถึงแม้อปอลโลจะพูดเก่งและมีการศึกษาดี แต่อะควิลลากับปริสสิลลาที่เป็นคนธรรมดาและเป็นช่างทำเต็นท์ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอปอลโล ทั้งสองคนได้ “ชวนเขามาที่บ้านและอธิบายให้เขาเข้าใจแนวทางของพระเจ้าอย่างถูกต้องยิ่งขึ้น” (กจ. 18:25, 26) อปอลโลตอบรับยังไง? สิ่งที่อปอลโลทำแสดงให้เห็นว่าเขามีคุณลักษณะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่คริสเตียนควรมีซึ่งก็คือ ความถ่อมตัว
5, 6. อะไรทำให้พระยะโฮวาใช้อปอลโลได้มากขึ้น และเราอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของอปอลโล?
5 อปอลโลยอมรับความช่วยเหลือจากอะควิลลากับปริสสิลลา เขาเลยเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาเดินทางไปแคว้นอาคายา และที่นั่นเขา “ให้ความช่วยเหลืออย่างมากกับคนที่เข้ามาเชื่อ” และเขายังประกาศอย่างดีกับคนยิวในแคว้นนั้นซึ่งไม่เชื่อว่าพระเยซูคือเมสสิยาห์ตามที่มีการบอกไว้ล่วงหน้า ลูกาบันทึกว่า “เขาให้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนจากพระคัมภีร์กับผู้คนอย่างมีพลังว่าพระเยซูคือพระคริสต์ และแสดงให้เห็นว่าคำสอนของพวกยิวนั้นผิด” (กจ. 18:27, 28) อปอลโลช่วยประชาคมได้มากจริง ๆ เขามีส่วนช่วยให้หลายคนได้มาเรียนรู้ “คำสอนของพระยะโฮวา” เราในทุกวันนี้จะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของอปอลโล?
6 ความถ่อมเป็นคุณลักษณะที่คริสเตียนทุกคนต้องมี เราแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน บางคนมีพรสวรรค์บางอย่าง มีประสบการณ์หรือมีความรู้ในบางเรื่อง แต่ไม่ว่าจะยังไง ความถ่อมต้องมาก่อนความสามารถของเรา ไม่อย่างนั้นความสามารถของเราอาจกลายเป็นข้อเสียได้ เพราะถ้าเราไม่ระวัง เราอาจมั่นใจในความสามารถที่เรามีจนกลายเป็นคนหยิ่ง (1 คร. 4:7; ยก. 4:6) ถ้าเราเป็นคนถ่อม เราจะพยายามมองว่าคนอื่นดีกว่าเรา (ฟป. 2:3) เราจะไม่โกรธเมื่อมีคนมาแนะนำหรือสอนเรา และเมื่อพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าชี้นำองค์การให้ตัดสินใจบางเรื่องที่เราไม่เห็นด้วย เราก็จะไม่ยืนกรานว่าความคิดของเราถูก ถ้าเราแสดงความถ่อมอยู่เสมอ พระยะโฮวาและลูกชายของพระองค์ก็จะใช้เราเพื่อทำงานให้พระองค์ต่อ ๆ ไป—ลก. 1:51, 52
7. เปาโลกับอปอลโลวางตัวอย่างอะไรในเรื่องความถ่อมตัว?
7 ความถ่อมยังช่วยให้เราไม่อิจฉากัน ลองนึกดูสิว่า ซาตานอยากทำให้คริสเตียนในศตวรรษแรกแตกแยกกันมากแค่ไหน มันคงจะดีใจมากถ้าพี่น้องที่มีความสามารถสองคน ซึ่งก็คืออปอลโลและอัครสาวกเปาโลอิจฉากันและแข่งกันเพื่อจะเป็นคนสำคัญในประชาคม จริง ๆ แล้วถ้าพวกเขาอยากจะทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในเมืองโครินธ์มีคริสเตียนบางคนที่เริ่มพูดกันว่า “ฉันเป็นศิษย์เปาโล” ส่วนคนอื่นบอกว่า “แต่ฉันเป็นศิษย์อปอลโล” เปาโลกับอปอลโลสนับสนุนให้พี่น้องแบ่งพรรคแบ่งพวกไหม? ไม่ เปาโลแสดงความถ่อม เขาเห็นค่างานรับใช้ที่อปอลโลทำและมอบหมายให้อปอลโลมีสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ส่วนอปอลโลก็ทำตามการชี้นำของเปาโล (1 คร. 1:10-12; 3:6, 9; ทต. 3:12, 13) นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับพวกเราในทุกวันนี้ที่จะทำงานร่วมกันด้วยความถ่อมตัว
“พูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” (กิจการ 18:23; 19:1-10)
8. เปาโลกลับไปเมืองเอเฟซัสโดยใช้เส้นทางไหน และทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?
8 เปาโลได้สัญญาไว้ว่าจะกลับไปเมืองเอเฟซัส และเขาก็ทำตามสัญญาa (กจ. 18:20, 21) แต่ขอสังเกตเส้นทางที่เปาโลเดินทางกลับไป เปาโลเริ่มเดินทางจากเมืองอันทิโอกของซีเรีย และเพื่อจะไปถึงเอเฟซัส เขาอาจเดินทางระยะสั้น ๆ ไปที่เมืองท่าเซลูเคีย แล้วลงเรือต่อเพื่อไปถึงจุดหมายปลายทางโดยตรงก็ได้ แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น เปาโลเดินทาง “ผ่านแถบภูเขา” ซึ่งการเดินทางของเปาโลครั้งนี้ที่บันทึกในกิจการ 18:23 กับ 19:1 อาจครอบคลุมระยะทางประมาณ 1,600 กิโลเมตร! ทำไมเปาโลถึงเลือกเส้นทางที่ลำบากแบบนี้? เพราะเขาตั้งใจไป “ให้กำลังใจพวกสาวก” (กจ. 18:23) การเดินทางประกาศในต่างประเทศรอบที่สามของเปาโลคงจะลำบากและเหนื่อยมากเหมือนกับสองครั้งก่อน แต่เปาโลก็มองว่าการทำแบบนี้คุ้มค่า ผู้ดูแลหมวดกับภรรยาในทุกวันนี้ก็แสดงน้ำใจอย่างเดียวกับเปาโล เรารู้สึกขอบคุณมากที่พวกเขามีความรักแบบเสียสละอย่างนี้
9. ทำไมสาวกกลุ่มหนึ่งต้องรับบัพติศมาอีก และเราอาจได้บทเรียนอะไรจากพวกเขา?
9 เมื่อมาถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลได้เจอกับกลุ่มสาวกของยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งมีประมาณ 12 คน พวกเขาได้รับบัพติศมาในแบบที่ได้ยกเลิกไปแล้ว และยิ่งกว่านั้น พวกเขาแทบไม่รู้หรือไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพลังบริสุทธิ์ เปาโลจึงอธิบายให้พวกเขาเข้าใจความหมายของการรับบัพติศมาในนามของพระเยซู และเหมือนกับอปอลโล พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเป็นคนถ่อมและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ หลังจากรับบัพติศมาในนามของพระเยซูแล้ว พวกเขาได้รับพลังบริสุทธิ์และของขวัญที่อัศจรรย์บางอย่าง ดังนั้น เห็นได้ชัดว่า การก้าวให้ทันการชี้นำจากองค์การของพระยะโฮวาที่กำลังรุดหน้าไปทำให้ได้รับพรมากมาย—กจ. 19:1-7
10. ทำไมเปาโลถึงย้ายจากที่ประชุมของชาวยิวไปที่ห้องประชุมโรงเรียน และเราจะเลียนแบบตัวอย่างของเปาโลในงานประกาศได้ยังไง?
10 หลังจากนั้นไม่นานก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เปาโลได้ประกาศอย่างกล้าหาญในที่ประชุมของชาวยิวเป็นเวลา 3 เดือน ถึงแม้เขาจะ “พูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมฟังและเริ่มต่อต้านเปาโล แทนที่จะเสียเวลากับคนพวกนั้นที่ “พูดหยาบคายเกี่ยวกับทางนั้น” เปาโลได้ย้ายไปบรรยายที่ห้องประชุมโรงเรียนแทน (กจ. 19:8, 9) ดังนั้น คนที่อยากเรียนต่อไปเกี่ยวกับรัฐบาลของพระเจ้าจำเป็นต้องย้ายจากที่ประชุมของชาวยิวไปที่ห้องประชุมโรงเรียน เหมือนกับเปาโล เราอาจหยุดคุยเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าของบ้านไม่เต็มใจฟังหรือแค่อยากจะโต้เถียงกับเรา เพราะยังมีคนที่จริงใจอีกมากที่จำเป็นต้องได้ยินข่าวสารที่ให้กำลังใจของเรา
11, 12. (ก) เปาโลแสดงให้เห็นยังไงว่าเขาขยันประกาศและพร้อมจะปรับเปลี่ยน? (ข) พยานพระยะโฮวาทำให้เห็นยังไงว่าพวกเขาขยันทำงานประกาศและพร้อมจะปรับเปลี่ยน?
11 เปาโลอาจสอนในห้องประชุมโรงเรียนนั้นทุกวันตั้งแต่เวลาประมาณ 11 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ กจ. 19:9) ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนแต่ก็เงียบสงบ หลายคนหยุดพักกลางวันเพื่อกินอาหารและพักผ่อน ถ้าเปาโลประกาศในช่วงเวลานี้ทุกวันเป็นเวลา 2 ปีเต็ม เขาคงใช้เวลาไปมากกว่า 3,000 ชั่วโมงในการสอนb ดังนั้น นี่เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ยินคำสอนของพระยะโฮวา เปาโลขยันประกาศและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน เขาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเวลาหรือสถานที่ที่จะประกาศเพื่อให้เหมาะกับผู้คนในเขตของเขา ผลก็คือ “คนในแคว้นเอเชียทั้งคนยิวและคนกรีกทุกคนได้ยินคำสอนของผู้เป็นนาย” (กจ. 19:10) เปาโลประกาศอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริง ๆ!
เราพยายามไปประกาศในเวลาและสถานที่ที่เราสามารถเจอกับผู้คนได้
12 พยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้ก็ขยันทำงานประกาศและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อจะช่วยคนอื่น เราพยายามไปหาผู้คนในสถานที่และเวลาที่คิดว่าจะได้เจอกับพวกเขา เราประกาศตามถนน ที่ตลาด และที่อื่น ๆ ที่มีคนเยอะ เราอาจติดต่อกับผู้คนทางโทรศัพท์หรือทางจดหมาย และตอนที่เราประกาศตามบ้าน เราก็พยายามไปหาผู้คนตอนที่พวกเขาส่วนใหญ่น่าจะอยู่บ้าน
“แพร่ออกไปอย่างน่าทึ่งและไม่มีอะไรขัดขวางได้” ทั้ง ๆ ที่มีปีศาจชั่ว (กิจการ 19:11-22)
13, 14. (ก) พระยะโฮวาช่วยเปาโลให้สามารถทำอะไรได้? (ข) ลูกชายของเสวาเข้าใจผิดเรื่องอะไร และหลายคนในคริสตจักรทุกวันนี้เข้าใจผิดคล้ายกันยังไง?
13 เราอ่านเรื่องราวต่อไปในหนังสือกิจการว่า พระยะโฮวาช่วยเปาโลให้ทำ “การอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่” ถึงขนาดที่เมื่อเอาผ้าหรือผ้ากันเปื้อนที่ถูกตัวเปาโลไปให้คนป่วย พวกเขาก็จะหายโรค และมีการใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อขับไล่ปีศาจที่ชั่วร้ายด้วยc (กจ. 19:11, 12) การเอาชนะอำนาจของซาตานได้แบบนั้นทำให้ผู้คนทึ่งมาก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกแบบนั้น
14 “ชาวยิวบางคนซึ่งเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อขับไล่ปีศาจ” ได้พยายามเลียนแบบการอัศจรรย์ที่เปาโลทำ ชาวยิวเหล่านั้นบางคนได้พยายามขับไล่ปีศาจโดยใช้ชื่อของพระเยซูกับเปาโล ลูกาได้ยกตัวอย่างของลูกชาย 7 คนของเสวาปุโรหิตใหญ่ชาวยิวที่ได้พยายามทำแบบนั้น แต่ปีศาจพูดกับพวกเขาว่า “ข้ารู้จักพระเยซู และก็รู้จักเปาโล แต่พวกแกเป็นใคร?” แล้วคนถูกปีศาจสิงอยู่ก็กระโจนใส่คนหลอกลวงพวกนี้และทำร้ายพวกเขาเหมือนสัตว์ป่า พวกเขาต้องวิ่งหนีไปตัวล่อนจ้อนและบาดเจ็บสะบักสะบอมกันทุกคน (กจ. 19:13-16) นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับ “คำสอนของพระยะโฮวา” เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนเห็นชัดเจนว่าพระยะโฮวาให้อำนาจกับเปาโล แต่ไม่ได้ให้อำนาจของพระองค์กับคนที่นับถือศาสนาเท็จ ในทุกวันนี้ก็มีหลายล้านคนที่เข้าใจผิดว่าเพียงแค่พูดชื่อของพระเยซูหรือเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนก็ทำให้พระเจ้าพอใจแล้ว แต่พระเยซูบอกไว้ชัดเจนว่า เฉพาะคนที่ทำสิ่งที่พ่อของท่านอยากให้ทำเท่านั้นถึงจะมีความหวังแท้ในอนาคต—มธ. 7:21-23
15. เราจะเลียนแบบตัวอย่างของชาวเมืองเอเฟซัสได้ยังไงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผีปีศาจ?
15 เมื่อผู้คนเห็นชัดเจนว่าลูกชายของเสวาไม่มีพลังอำนาจ หลายคนจึงเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนและเลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผีปีศาจ ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเอเฟซัสเชื่อเรื่องเวทมนตร์ พวกเขาใช้คาถาอาคม ใช้เครื่องรางของขลัง และมีม้วนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์คาถา ตอนนี้ชาวเอเฟซัสหลายคนที่เชื่อในพระเจ้าได้เอาม้วนหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์ของตัวเองมาเผาต่อหน้าทุกคน ถึงแม้ว่าม้วนหนังสือพวกนี้จะมีราคาแพงมากd ลูกาบอกต่อไปว่า “เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้คำสอนของพระยะโฮวาแพร่ออกไปอย่างน่าทึ่งและไม่มีอะไรขัดขวางได้” (กจ. 19:17-20) นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวาและผู้รับใช้ของพระองค์ที่มีต่อศาสนาเท็จและการใช้เวทมนตร์คาถา คนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นได้วางตัวอย่างที่ดีไว้ให้เราในปัจจุบัน ตอนนี้เราก็อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคนที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผีปีศาจ ถ้าเราตรวจสอบตัวเองและเจอว่าเรามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผีปีศาจ เราก็น่าจะทำเหมือนกับชาวเอเฟซัส คือกำจัดสิ่งนั้นทันที! เราต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผีปีศาจซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ถึงแม้อาจไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น
“เกิดความวุ่นวายไม่น้อย” (กิจการ 19:23-41)
“พวกคุณก็รู้ว่า ที่พวกเราร่ำรวยกันได้ก็เพราะอาชีพนี้”—กิจการ 19:25
16, 17. (ก) เดเมตริอัสได้กระตุ้นให้เกิดความวุ่นวายอะไรในเมืองเอเฟซัส (ข) ชาวเอเฟซัสแสดงยังไงว่าพวกเขาเป็นคนคลั่งศาสนา?
16 ตอนนี้ ให้เรามาดูวิธีที่ซาตานใช้ซึ่งก็คือ กระตุ้นฝูงชนให้ใช้ความรุนแรง ลูกาบอกว่า “เกิดความชุลมุนวุ่นวายมากเพราะทางนั้น” ลูกาไม่ได้พูดเกินจริง ตอนนั้นสถานการณ์อันตรายมากจริง ๆ e (กจ. 19:23) มีผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นช่างเงินชื่อเดเมตริอัสได้สร้างปัญหาให้กับเปาโล เขาเตือนให้ช่างฝีมือคนอื่น ๆ รู้ว่า ที่พวกเขาร่ำรวยกันแบบนี้ก็เพราะการขายรูปเคารพ เขาพูดต่อไปว่าข่าวสารที่เปาโลประกาศจะทำให้พวกเขาสูญเสียรายได้ เพราะคริสเตียนไม่นมัสการรูปเคารพ เดเมตริอัสรู้ว่าผู้คนในเมืองนี้ภูมิใจในเมืองของตัวเอง และภูมิใจในเชื้อชาติของตัวเอง เขาเลยเตือนผู้คนว่าถ้าพวกเขาฟังสิ่งที่เปาโลสอน เทพธิดาอาร์เทมิสและวิหารที่มีชื่อเสียงของพวกเขาก็จะ “ถูกมองว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์”—กจ. 19:24-27
17 เดเมตริอัสโน้มน้าวผู้คนได้สำเร็จ นี่ทำให้ผู้คนไม่ยอมรับข่าวสารที่เปาโลประกาศ พวกช่างเงินโกรธและเริ่มตะโกนว่า “เทพธิดาอาร์เทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นผู้ยิ่งใหญ่” จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายไปทั่วเมือง และเกิดเหตุการณ์อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นของบทนี้f เนื่องจากเปาโลเป็นคนเสียสละตัวเอง เขาอยากเข้าไปในโรงละครเพื่อพูดกับฝูงชน แต่พวกสาวกขอร้องไม่ให้เขาทำอย่างนั้นเพราะมันอันตรายเกินไป มีคนหนึ่งชื่ออเล็กซานเดอร์ เขายืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนและพยายามจะพูด เนื่องจากเป็นชาวยิว เขาอาจอยากอธิบายความแตกต่างระหว่างชาวยิวกับคริสเตียน ความพยายามของเขาไม่มีความหมายอะไรสำหรับฝูงชน เมื่อพวกฝูงชนจำได้ว่าอเล็กซานเดอร์เป็นชาวยิว พวกเขาจึงร้องตะโกนกลบเสียงเขาอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงว่า “เทพธิดาอาร์เทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นผู้ยิ่งใหญ่” ในทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้คนที่คลั่งศาสนาแบบนั้น นี่ทำให้พวกเขากลายเป็นคนไม่มีเหตุผล—กจ. 19:28-34
18, 19. (ก) นายกเทศมนตรีทำยังไงเพื่อให้ฝูงชนในเมืองเอเฟซัสสงบลง? (ข) บางครั้งประชาชนของพระยะโฮวาได้รับการปกป้องจากผู้มีอำนาจทางโลกยังไง และเราสามารถทำอะไรได้เพื่อจะได้รับการปกป้องแบบนั้น?
18 ในที่สุด นายกเทศมนตรีสั่งให้ฝูงชนเงียบ เจ้าหน้าที่ผู้มีความสามารถและมีเหตุผลคนนี้ได้ทำให้ฝูงชนมั่นใจว่าคริสเตียนเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อวิหารและเทพธิดาของพวกเขา เขาบอกว่าเปาโลกับเพื่อน ๆ ไม่ได้ทำความผิดอะไรต่อวิหารของอาร์เทมิส เขายังบอกอีกว่า ถ้าฝูงชนไม่ชอบสิ่งที่เปาโลและเพื่อน ๆ ทำ พวกเขาก็ควรฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เป็นไปได้ว่า คำพูดที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือตอนที่เขาเตือนฝูงชนว่า ภายใต้กฎหมายของโรมพวกเขาอาจถูกฟ้องด้วยข้อหาปลุกระดมให้ชุมนุมกันอย่างที่ผิดกฎหมายและไม่รักษาระเบียบ เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว เขาก็สั่งให้ฝูงชนแยกย้ายกันไป เนื่องจากคำพูดที่มีเหตุผล ผู้คนที่โกรธจัดก็สงบลงอย่างรวดเร็ว—กจ. 19:35-41
19 นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนที่มีตำแหน่งสูงทางโลกได้แสดงความมีเหตุผลและปกป้องสาวกของพระเยซู และก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย ที่จริง อัครสาวกยอห์นได้เห็นในนิมิตว่า ในช่วงสมัยสุดท้าย “แผ่นดิน” ซึ่งก็คือกลุ่มคนหรือผู้มีอำนาจที่มีเหตุผลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะ “กลืนแม่น้ำ” แห่งการกดขี่ข่มเหงที่ซาตานยุยงให้ต่อต้านสาวกของพระเยซู (วว. 12:15, 16) เหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นจริง หลายครั้ง ผู้พิพากษาที่ยุติธรรมได้กระตุ้นให้มีการปกป้องสิทธิของพยานพระยะโฮวาที่จะประชุมกันเพื่อการนมัสการและประกาศข่าวดีกับคนอื่น แน่นอน ความประพฤติของเราก็มีส่วนส่งเสริมให้เราได้รับชัยชนะ ดูเหมือนว่าความประพฤติของเปาโลก็ทำให้เขาได้รับความนับถือจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนในเมืองเอเฟซัส นี่ทำให้พวกเขาอยากให้เปาโลปลอดภัย (กจ. 19:31) ขอให้ความประพฤติที่ซื่อสัตย์และการแสดงความนับถือของเราส่งผลดีกับผู้คนที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับเราด้วยเหมือนกัน อาจมีหลายอย่างที่ดีเกิดขึ้นเนื่องจากความประพฤติที่ดีของเรา
20. (ก) คุณรู้สึกยังไงเมื่อเห็นว่าคำสอนของพระเจ้าได้รับชัยชนะในศตวรรษแรก และได้รับชัยชนะในทุกวันนี้? (ข) คุณตั้งใจจะทำอะไรเพื่อมีส่วนในชัยชนะในสมัยปัจจุบัน?
20 เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริง ๆ เมื่อได้คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศตวรรษแรกตอนที่ “คำสอนของพระยะโฮวาแพร่ออกไปอย่างน่าทึ่งและไม่มีอะไรขัดขวางได้” และเราคงรู้สึกตื่นเต้นพอ ๆ กันเมื่อเห็นว่าพระยะโฮวาช่วยประชาชนในปัจจุบันยังไงให้ได้ชัยชนะ คุณอยากมีสิทธิพิเศษที่จะมีส่วนร่วมแม้เพียงเล็กน้อยในชัยชนะแบบนี้ไหม? ถ้าใช่ ขอให้คุณเรียนจากตัวอย่างที่เราได้พูดถึงในบทนี้ ขอให้เป็นคนถ่อมตัวเสมอ ตามองค์การของพระยะโฮวาให้ทัน ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผีปีศาจ และพยายามสุดความสามารถที่จะทำให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์และแสดงความนับถือ
a ดูกรอบ “เอเฟซัส—เมืองหลวงของแคว้นเอเชีย”
b เปาโลเขียน 1 โครินธ์ ระหว่างที่อยู่ในเมืองเอเฟซัสด้วย
c ผ้านี้อาจหมายถึงผ้าเช็ดหน้าที่เปาโลคาดไว้ที่หน้าผากเพื่อไม่ให้เหงื่อไหลเข้าตา และการที่เปาโลใส่ผ้ากันเปื้อนยังทำให้รู้ว่าเขาอาจใช้เวลาว่างซึ่งอาจจะเป็นในตอนเช้าเพื่อทำเต็นท์—กจ. 20:34, 35
d ลูกาบอกว่าม้วนหนังสือพวกนั้นมีราคาถึง 50,000 เหรียญ ถ้าเงินเหรียญที่เขาพูดถึงคือเดนาริอัน คนงานสมัยนั้นต้องใช้เวลา 50,000 วันหรือประมาณ 137 ปีเพื่อจะได้เงินจำนวนนั้นถ้าเขาทำงานทุกวันตลอดสัปดาห์
e บางคนบอกว่าตอนที่เปาโลบอกชาวโครินธ์ว่า “เราคิดว่าคงต้องตายแน่ ๆ” เขากำลังหมายถึงเหตุการณ์ตอนนี้ (2 คร. 1:8) แต่เปาโลก็อาจคิดถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งที่อันตรายมากกว่านั้น ตอนที่เปาโลเขียนว่าเขาได้ “สู้กับสัตว์ร้ายในเมืองเอเฟซัส” เขาอาจพูดถึงประสบการณ์ที่ต้องสู้กับสัตว์ที่ดุร้ายจริง ๆ ในสนามกีฬา หรืออาจพูดถึงการต่อต้านจากมนุษย์ (1 คร. 15:32) คำพูดนี้ของเปาโลอาจแปลความหมายได้ทั้งแบบตรงตัวและแบบเป็นนัย
f สมาคมหรือสหภาพของพวกช่างฝีมืออาจมีอิทธิพลมาก ตัวอย่างเช่น ประมาณหนึ่งศตวรรษต่อมา สมาคมพ่อค้าทำขนมปังได้ปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายคล้ายกันในเมืองเอเฟซัส