เราจะตอบสนองความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัวโดยวิธีใด?
“ถ้าพระเจ้ารักเราเช่นนี้แล้ว ตัวเราเองก็มีพันธะที่จะรักซึ่งกันและกัน.”—1 โยฮัน 4:11, ล.ม.
1, 2. เราต้องทำอะไรบ้างที่จะตอบสนองการสำแดงความรักของพระเจ้าโดยไม่เห็นแก่ตัว?
พระยะโฮวาเป็นแบบฉบับแห่งความรัก. อันที่จริง เราได้เห็นจากบทความก่อนว่าความรักของพระองค์โดยแท้แล้วได้ประจักษ์ชัดแจ้งอย่างมโหฬารทีเดียว. นอกจากนั้น เราได้เรียนรู้ว่าโมเซ ดาวิดและพระเยซูคริสต์ตอบสนองการสำแดงความรักด้วยวิธีต่าง ๆ โดยไม่เห็นแก่ตัว. พยานพระยะโฮวาแต่ละคนน่าจะปรารถนากระทำเช่นเดียวกันมิใช่หรือ? แน่นอน!
2 เราต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเราจะตอบสนองการสำแดงความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัวเอง? สิ่งสำคัญคือ เราต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาเป็นอันดับแรกในชีวิตของเรา รักพระองค์สุดหัวใจ สุดจิตวิญญาณ สุดความคิดและกำลังของเรา. (มาระโก 12:29, 30) นั้นหมายถึงการคำนึงถึงพระเจ้าเสมอ มีสัมพันธภาพอบอุ่นกับพระยะโฮวา. เราปรารถนาจะสนทนากับพระบิดาของเราที่สถิตในสวรรค์ด้วยการอธิษฐานไหม? เราอธิษฐานสม่ำเสมอและอุตสาหะพากเพียรในการอธิษฐานไหม? หรือเรารีบอธิษฐานให้เสร็จ ๆ ไป บางครั้งยุ่งเกินไปกระทั่งไม่ได้อธิษฐาน? (โรม 12:12; 1 เธซะโลนิเก 5:17) เรามุ่งมาดจะยกย่องให้เกียรติพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ไหมเมื่อเราได้บรรลุความสำเร็จในการงานบางอย่าง? (1 โกรินโธ 3:7; 4:7) จริง ๆ แล้ว เรามีความรู้สึกเหมือนผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญไหม? ท่านผู้นั้นพูดถึงพระเจ้าดังนี้ “ข้าพเจ้าถวายความสรรเสริญแก่พระเจ้าวันละเจ็ดครั้ง.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:164.
3. เมื่อเราพบปะสังสรรค์กัน อะไรอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่าเรากำลังตอบสนองความรักของพระเจ้าโดยไม่เห็นแก่ตัวหรือไม่?
3 เราตอบสนองความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัวหรือไม่นั้น อาจปรากฏให้เห็นเมื่อเราพบปะสังสรรค์กันเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน. สิ่งที่เราคุยกันในวงสนทนาเป็นเรื่องทางโลกหรือฝ่ายวิญญาณ? ทั้งนี้มิใช่ว่าเราต้องพิจารณาศึกษาพระคัมภีร์กันเสียทุกครั้งที่เราร่วมสังสรรค์กับเพื่อนคริสเตียน. แต่แน่นอนเราคงจะรวมเอาเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวิญญาณเข้าไว้ในการสนทนาได้. จะว่าอย่างไรเรื่องการเล่าประสบการณ์จากการประกาศตามบ้านเรือนบ้าง พิจารณาข้อคัมภีร์ที่เราติดใจเป็นพิเศษ เล่าวิธีที่เราได้มาเรียนรู้จักความจริง หรือยกหลักฐานต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงเอาใจใส่ดูแลด้วยความรักและพระพรจากพระองค์มาเล่าสู่กันฟัง?
4. เราควรมีทัศนะเช่นไรถ้าเรารู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเกี่ยวเนื่องกับสิทธิพิเศษในการรับใช้?
4 สภาพการณ์อีกอย่างหนึ่งซึ่งจะเผยให้รู้ว่าเราหยั่งรู้ค่าความรักของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหนนั้นคือ เมื่อเราไม่ได้รับมอบสิทธิพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับการรับใช้ในองค์การของพระยะโฮวา. เรามีปฏิกิริยาอย่างไร? ถ้าเราคำนึงถึงการยกย่องให้เกียรติพระยะโฮวาเป็นประการแรก เราย่อมเห็นด้วยว่าพระเจ้าจะได้รับเกียรตินั้นแน่นอนโดยใครก็ตามที่มีสิทธิพิเศษเฉพาะอย่างในการรับใช้. (เทียบกับลูกา 9:48.) แต่ถ้าเรามัวห่วงผลประโยชน์ของตัวเองหรือเราอาจจะห่วงชื่อเสียงโดยไม่บังควร เราย่อมจะเป็นทุกข์ว่าเราถูกละเลยอย่างที่ใจเราคิด. เราควรจำไว้เสมอว่าพระยะโฮวาทรงรักเรา อีกทั้งอาจทรงทราบกระทั่งว่าขณะนี้เราไม่สามารถแบกความรับผิดชอบบางอย่างที่เกี่ยวกับกิจกรรมในระบอบการของพระเจ้า. พระองค์ก็อาจจะประทานพรแก่เราอย่างบริบูรณ์ด้วยวิธีอื่น และการสำแดงความรักของพระองค์ให้ประจักษ์ดังกล่าวจะช่วยเราให้คงสภาพสมดุลฝ่ายวิญญาณได้ต่อ ๆ ไป.—สุภาษิต 10:22.
รักความชอบธรรม เกลียดชังการอธรรม
5. การสำแดงความรักของพระเจ้าอย่างประจักษ์แจ้งเช่นนั้นน่าจะส่งผลกระทบเช่นไรต่อความประพฤติของเรา?
5 ความรักของพระเจ้าซึ่งประจักษ์แจ้งแก่พวกเราเช่นนั้นน่าจะกระตุ้นเราให้อยากเลียนแบบพระคริสต์ด้วยการรักความชอบธรรมและเกลียดชังการอธรรม. (เฮ็บราย 1:9) จริง เราไม่สามารถทำอย่างที่ว่าได้ครบถ้วนทุกอย่างเหมือนพระเยซู. กระนั้น เราสามารถตั้งเป้าหมายในการรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์สุจริต และเชื่อฟังกฎหมายเท่าที่เป็นไปได้ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ของเรา. เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ เราต้องไม่เพียงแต่ปลูกฝังความรักต่อความชอบธรรมและสิ่งต่าง ๆ ที่ดีงาม แต่ต้องปลูกฝังความเกลียดชัง ความอาฆาตพยาบาทต่อสิ่งชั่ว. ดังที่อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดถือสิ่งที่ดีไว้.” (โรม 12:9) “เกลียดชัง” เป็นคำพูดที่แรงมาก หมายถึง “ให้ถือว่าเป็นที่พึงเกลียดกลัวอย่างยิ่ง.”—เว็บสเตอร์ส คอลเลจิเอด ดิกชันนารี.
6. อะไรจะช่วยเราให้ระวังระไวต่อการล่อใจที่มาจากโลก จากภายในตัวเราซึ่งเป็นคนบาปและจากพญามาร?
6 อะไรจะช่วยป้องกันเราจากการล่อใจต่าง ๆ จากโลก จากตัวเราเองที่เป็นคนบาป และจากพญามาร? ความภักดีต่อพระเจ้ายะโฮวา. พระองค์ทรงขอร้องเราดังนี้: “ศิษย์ของเราเอ๋ย จงมีปัญญาขึ้น และกระทำให้ใจของเรามีความยินดี เพื่อเราจะมีคำตอบคนที่ตำหนิเราได้.” (สุภาษิต 27:11) ใช่แล้ว ความภักดีต่อพระยะโฮวาจะกระตุ้นเราให้เลือกแนวทางอย่างฉลาดที่พึงเกลียดสิ่งที่พระองค์เองทรงเกลียดชัง. ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้การละเมิดกฎหมายของพระเจ้าสักข้อหนึ่งจะดูเหมือนยังความสนุกสนานน่าตื่นเต้นเพียงใดก็ตาม เราจะเฝ้าบอกตัวเองตลอดเวลาว่าการทำเช่นนั้นไม่คุ้มค่าเลย. (ฆะลาเตีย 6:7, 8) หัวใจของมนุษย์คดโกง เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม แฝงด้วยอุบายหลอกลวง มีการเตือนให้เราสำนึกถึงข้อนี้ที่ยิระมะยา 17:9. หัวใจคริสเตียนชอบสิ่งต่าง ๆ ที่ดี งดงาม บริสุทธิ์. แต่บางครั้งแนวโน้มในทางบาปจะทำให้เกิดตัณหาต้องการสิ่งชั่ว. เช่นเดียวกันกับหัวใจของชาติยิศราเอลซึ่งนมัสการพระยะโฮวา แต่กระนั้น เขายังรักษา “ที่สักการะตามที่สูง” อันหมายถึงการบูชารูปเคารพ ดังนั้น หัวใจของเราจึงอาจเห็นแก่ตัวเองและหลอกลวง. (1 กษัตริย์ 22:43; พระบัญญัติ 12:2) หัวใจที่ไม่สมบูรณ์ของเราอาจพยายามหาข้อแก้ตัวเพื่อให้เราตกอยู่ในแนวทางที่มีการล่อใจ. หัวใจของเราอาจพยายามให้เราเห็นว่าความผิดซึ่งเราทำเพราะถูกล่อใจนั้นไม่ร้ายแรงนัก. หรือหัวใจของเราอาจล่อลวงเราให้เข้าใจว่าการถูกลงโทษนั้นเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น.
7. เหตุใดเราต้องระวังตัวต้านทานความปรารถนาในทางชั่ว?
7 เพราะการหยั่งรู้ค่าความรักของพระเจ้านี้เอง เราจึงต้องคอยระวังป้องกันความอยากในสิ่งที่ชั่ว เช่นการโอนเอียงเข้าหาการทำผิดศีลธรรมทางเพศ ไม่ว่าเราเป็นโสดหรือแต่งงานแล้ว. ครั้งแล้วครั้งเล่าสิ่งที่ได้เริ่มขึ้นซึ่งดูเป็นการเย้าหยอกกันเล่น ๆ กลับกลายเป็นว่า คริสเตียนทั้งสองคนนั้นเกิดมีอารมณ์ผูกพันกันจนถึงกับประกอบการชั่วแล้วถูกตัดสัมพันธ์. แม้กระทั่งผู้ปกครองซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่มีใครติได้แก่สมาชิกในประชาคมก็เคยได้รับผลเสียอย่างหนักในเรื่องเหล่านี้!—เทียบกับ 1 กษัตริย์ 15:4, 5.
8. อัครสาวกเปาโลได้ให้ตัวอย่างอะไรเพื่อเตือนสติเรา และอาจนำปัญหาดังกล่าวมาเป็นอุทาหรณ์อย่างไร?
8 จงพิจารณาอัครสาวกเปาโลผู้ซึ่งได้รับพระพรเห็นนิมิตประหลาดล้ำ ทั้งได้รับอำนาจและการดลบันดาลจากพระเจ้า. ที่จะมีชัยในการต่อสู้กับความโน้มเอียงในทางบาปได้สำเร็จ ท่านต้องทุบตีร่างกายของท่านอย่างแรงทีเดียว. ตัวเราล่ะจะไม่ยอมทุบตีตัวเองเสียเลยหรือ? (โรม 7:15-25; 1 โกรินโธ 9:27) มันคล้ายกับว่าเราอยู่ในเรือพายลำน้อยในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากและกระแสน้ำพัดเรือลอยไปกระทั่งถึงน้ำตก. ที่จะเลี่ยงความหายนะ เราก็ต้องพายเรือทวนกระแสน้ำที่ไหลแรง. เราอาจรู้สึกเหมือนกับว่าไปไม่ถึงไหน แต่ตราบใดที่เราพยายามใช้กำลังเรี่ยวแรงอย่างแข็งขัน เราจะไม่ไปจนถึงที่น้ำตกแล้วประสบความหายนะ. เป็นที่แน่นอนว่าการสำแดงความรักของพระเจ้ายะโฮวาอย่างประจักษ์แจ้งแก่เราเช่นนั้น น่าจะทำให้เราบากบั่นเต็มกำลังเพื่อรักษาความภักดีต่อพระองค์โดยที่เราเกลียดการอธรรมและรักความชอบธรรม.
แสดงความรักฉันพี่น้อง
9. อัครสาวกโยฮันให้คำแนะนำอะไรแก่เราเกี่ยวเนื่องกับการรักพวกพี่น้องของเรา?
9 อีกอย่างหนึ่ง การสำแดงความรักของพระเจ้าอย่างประจักษ์แจ้งจึงน่าจะเป็นสิ่งกระตุ้นเราให้รักพวกพี่น้องเหมือนพระเยซูคริสต์รักสาวกของพระองค์. (โยฮัน 13:1) อัครสาวกโยฮันพูดได้อย่างเหมาะเจาะว่า “ความรักในกรณีนี้คือ ไม่ใช่ว่าเราได้รักพระเจ้า แต่พระองค์ได้ทรงรักเราและได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องระงับพระพิโรธเพราะบาปของเรา. ที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้แล้ว ตัวเราก็มีพันธะที่จะรักซึ่งกันและกัน.” (1 โยฮัน 4:10, 11, ล.ม.) แท้จริง พระเยซูได้ตรัสว่าการจะรู้จักสาวกแท้ของพระองค์ก็โดยที่พวกเขามีความรักซึ่งกันและกัน.—โยฮัน 13: 34, 35.
10, 11. มีวิธีใดบ้างที่เราสามารถแสดงความรักฉันพี่น้องให้ประจักษ์ได้?
10 เรารู้ว่าคริสเตียนควรแสดงความรักใคร่ฉันพี่น้อง. แต่ไม่เป็นการเสียหายที่จะเตือนตัวเองว่ามีหลายวิธีต่าง ๆ กันซึ่งเราสามารถแสดงความรักเยี่ยงพระคริสต์ต่อกันและกันได้. ความรักอย่างนี้จะช่วยเรามองข้ามความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ การศึกษา วัฒนธรรมและระดับฐานะ. ยิ่งกว่านั้น ความรักฉันพี่น้องจะทำให้เราอยากเข้าร่วมการประชุมวาระต่าง ๆ. ถ้าเรารักพี่น้องจริง ๆ เราจะไม่ยอมให้สภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยหรือความเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความชื่นชมยินดีที่เราได้ร่วมสมาคมกับพี่น้องและต่างก็ได้ให้การหนุนใจซึ่งกันและกัน. (โรม 1:11, 12) มากกว่านั้น ความรักฉันพี่น้องจะทำให้เราเตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการประชุมแล้วมีส่วนในการประชุมอย่างกระตือรือร้น เพื่อว่าเราจะสามารถพิจารณาดูกันและกันให้มีใจรักและทำการดี.—เฮ็บราย 10:23-25.
11 การช่วยพี่น้องของเราในด้านการประกาศตามบ้านล่ะ? เคยสังเกตเห็นว่า ผู้ปกครองและผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้งมักจะออกประกาศด้วยกันบ่อย หรือไปตามลำพัง แต่ว่าถ้าได้วางแผน พวกเขาก็จะชวนผู้ประกาศที่ต้องการความช่วยเหลือให้ไปด้วยกัน. การแสดงความรักโดยวิธีนี้ทำให้การทำงานประกาศของผู้ปกครองและผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้งได้บำเหน็จเป็นทวีคูณ. และจะว่าอย่างไรหากชวนผู้ประกาศใหม่ไปร่วมการศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านผู้สนใจ?—โรม 15:1, 2.
12. เราจะเข้าใจพระธรรม 1 โยฮัน 3:16-18 อย่างไร?
12 อนึ่ง ความรักย่อมเป็นปัจจัยให้เราเข้าช่วยเหลือพี่น้องซึ่งขัดสนในทางวัตถุ. อัครสาวกโยฮันเขียนดังนี้ “ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก เพราะพระองค์ได้ทรงยอมสละจิตวิญญาณของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย; และเราก็มีพันธะผูกพันจะสละจิตวิญญาณของเราเพื่อพี่น้อง. แต่ใครก็ตามที่มีสิ่งจำเป็นฝ่ายโลกนี้เพื่อบำรุงชีวิต และเห็นพี่น้องของตนขาดแคลน และกระนั้นปิดประตูแห่งความเมตตาสงสารของตนไว้จากเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้? ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย จงให้เรารัก มิใช่ด้วยถ้อยคำหรือลิ้น แต่ด้วยการกระทำและความจริง.” (1 โยฮัน 3:16-18, ล.ม.) เวลานี้ พวกเราอาจไม่ได้รับการขอร้องให้ยอมสละชีวิตของเราเพื่อพวกเขา แต่บางครั้งเรามีโอกาสแสดงความรักต่อเขาด้วยวิธีต่าง ๆ กัน ไม่เพียงแต่แสดงด้วยน้ำคำหรือพูดแต่ปาก แต่ด้วยการกระทำ. การรักพวกพี่น้องด้วยน้ำคำนั้นไม่ผิด ทว่าเราไม่ต้องการจำกัดความรักของเราแค่นั้นเมื่อคนเหล่านั้นขัดสนสิ่งของที่จำเป็นสำหรับชีวิต. คำตรัสของพระเยซูที่ว่า “การให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” ย่อมใช้ได้เช่นกันกับการจัดหาเพื่อสงเคราะห์กันทางด้านวัตถุ.—กิจการ 20:35.
13. (ก) สัจธรรมพื้นฐานบางประการมีอะไรบ้างที่เราได้เรียนมาพร้อมกับการสนับสนุนแห่งองค์การอันประจักษ์ได้ของพระยะโฮวา? (ข) ชาร์ลส เทส รัสเซลล์ได้ให้ข้อยืนยันอะไร?
13 เรามีโอกาสสำแดงความรักต่อพวกพี่น้องผู้ซึ่งนำหน้าในประชาคมหรือเกี่ยวข้องกับองค์การของพระยะโฮวาที่เห็นประจักษ์อยู่ทั่วโลก. ทั้งนี้รวมถึงความซื่อสัตย์ภักดีต่อ “บ่าวสัตย์ซื่อและฉลาด.” (มัดธาย 24:45-47) ให้เราเผชิญข้อเท็จจริงที่ว่า แม้นเราได้อ่านพระคัมภีร์มามากต่อมากก็ตาม เราคงจะไม่ได้รู้ความจริงด้วยตัวเอง. เราคงไม่ได้พบสัจธรรมเกี่ยวด้วยพระยะโฮวา พระประสงค์และคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ ความหมายและความสำคัญแห่งพระนามของพระองค์ ความแตกต่างระหว่างองค์การของพระเจ้ากับองค์การของซาตาน หรือสาเหตุที่พระเจ้ายอมให้ความชั่วมีอยู่. อย่างที่ชาร์ลส์ เทส รัสเซลล์ นายกสมาคมวอชเทาเวอร์คนแรกเขียนเมื่อปี 1914 ว่า “พวกเราเป็นผู้ที่ได้รับพระพรและมีความสุขมิใช่หรือ? พระเจ้าของเราทรงสัตย์ซื่อมิใช่หรือ? ถ้าคนใดรู้ว่ามีอะไร ๆ ดีกว่านี้ก็ให้เขารับไปเถอะ. ถ้าท่านผู้ใดพบเห็นสิ่งใด ๆ ที่ดีกว่า ก็หวังว่าท่านจะบอกพวกเรา. เราไม่รู้อะไรดีไปกว่าหรือดีแม้เพียงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เราพบได้ในพระวจนะของพระเจ้า. . . . ไม่มีลิ้นใด ๆ หรือปากกาใด ๆ สามารถบอกได้ถึงความสงบสุข ความยินดีและพระพรอันเนื่องมาจากความรู้ชัดเจนเกี่ยวด้วยพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ซึ่งได้ซึมซาบอยู่ในหัวใจและชีวิตของเรา. เรื่องราวว่าด้วยสติปัญญา ความยุติธรรม อำนาจและความรักของพระเจ้ายังความอิ่มใจพอใจอย่างเต็มเปี่ยมแก่ความปรารถนาของเราในด้านสมองและหัวใจ. เราไม่แสวงอีกต่อไป. ไม่มีอะไรอีกแล้วน่าปรารถนายิ่งไปกว่าที่จะได้เรื่องราวอันวิเศษนี้กระจ่างชัดเจนมากขึ้นในความคิดนึกของเรา.” (เดอะ วอชเทาเวอร์ 15 ธันวาคม 1914 หน้า 377-378) ถ้อยคำซึ่งเขียนไว้อย่างคมคายนั้นเป็นความจริงเพียงใด!
การเผยแพร่ให้คำสั่งสอนแก่บุคคลภายนอก
14. การสำแดงซึ่งความรักของพระเจ้าน่าจะกระตุ้นพวกเราให้ปฏิบัติอย่างไรต่อคนภายนอก?
14 การสำแดงความรักของพระเจ้าตามที่เราได้ชื่นชมอยู่แล้วน่าจะเป็นแรงกระตุ้นพวกเราให้แสดงความรักฉันเพื่อนบ้านแก่ผู้คนนอกประชาคม. เราจะทำได้อย่างไร? สภาพแวดล้อมหลายอย่างอาจบ่งบอกว่า เราอาจจะช่วยเหลือด้านวัตถุแก่เพื่อนบ้านได้. แต่ที่สำคัญมากกว่า เราจะแสดงความรักเพื่อนบ้านโดยนำข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าไปบอกแก่คนอื่น ๆ และสนับสนุนผู้ที่รักความชอบธรรมให้เข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์. เราร่วมทำงานเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบโดยสม่ำเสมอไหม หรือเราเพิกเฉย? งานนี้กลายเป็นแค่ภารกิจที่ทำเป็นประจำหรือทำพอเป็นพิธีเท่านั้นไหม? หรือจริง ๆ แล้วความรักเพื่อนบ้านเป็นแรงกระตุ้นเราไหม? เรานึกถึงอกเขาอกเราไหม? เราอดทนคอยการตอบรับของผู้คนไหม? เราสนับสนุนเจ้าของบ้านให้แสดงความเห็นไหม? ใช่แล้ว แทนที่จะพูดฝ่ายเดียว จงยอมให้ความรักที่มีต่อเพื่อนบ้านกระตุ้นเราให้รับฟัง และเพื่อเราจะมีโอกาสชี้แจงข่าวสารจากพระคัมภีร์ซึ่งอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนผู้ที่เราพบปะขณะทำการประกาศเผยแพร่.
15. (ก) เหตุใด “การให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ” จึงเป็นคำที่เหมาะกว่า “การให้คำพยานโดยบังเอิญ”? (ข) ทำไมจึงต้องฉวยโอกาสให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ?
15 เราเป็นคนตื่นตัวเท่าที่ควรไหมเพื่อฉวยโอกาสให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการ? ควรเป็นที่รู้กันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การให้คำพยานโดยบังเอิญ ซึ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่วางแผนหรืองานนั้นไม่สู้สำคัญ. การให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการเป็นสิ่งสำคัญมาก และความรักต่อเพื่อนมนุษย์ย่อมกระตุ้นเราแสวงช่องทางจะร่วมในกิจกรรมนี้. การให้คำพยานดังกล่าวมักจะบังเกิดผลดีจริง ๆ! ยกตัวอย่าง ขณะเข้าร่วมการประชุมใหญ่ซึ่งพยานพระยะโฮวาจัดขึ้นที่ภาคเหนือของอิตาลี พี่น้องชายคนหนึ่งไปที่อู่ซ่อมเพื่อจัดเปลี่ยนดวงไฟหน้ารถ. ระหว่างคอย เขาได้ให้คำพยานแก่บางคนที่นั่นและแจกใบปลิวเชิญฟังคำบรรยายสาธารณะวันอาทิตย์. อีกปีหนึ่งต่อมา ณ การประชุมนานาชาติที่กรุงโรม มีพี่น้องชายคนหนึ่งทักทายเขาอย่างอบอุ่นซึ่งเขาไม่รู้จัก. พี่น้องคนนี้เป็นใคร? ก็คนหนึ่งในกลุ่มที่รับแจกใบปลิวที่อู่รถเมื่อปีกลายอย่างไรล่ะ! ชายผู้นั้นได้เข้าฟังคำบรรยายแล้วแจ้งความประสงค์ขอศึกษาพระคัมภีร์โดยที่เขาเขียนชื่อส่งไป. บัดนี้ ทั้งตัวเขากับภรรยาเป็นพยานฯที่อุทิศตัวแล้วของพระยะโฮวา. ไม่มีข้อสงสัยว่าการให้คำพยานอย่างไม่เป็นทางการย่อมได้รางวัลตอบแทนอย่างดี!
ตอบสนองความรักของพระเจ้าเรื่อยไป
16. เราน่าจะถามตัวเองด้วยคำถามอะไรบ้าง?
16 พระยะโฮวาทรงกรุณามากเหลือล้นด้วยการสำแดงความรักต่อสารพันชีวิตที่พระองค์ได้ทรงสร้าง. ดังที่เราสังเกตเรื่อยมา พระคัมภีร์ให้เรามีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับคนเหล่านั้นซึ่งได้ตอบสนองการสำแดงความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว. ผู้ประพันธ์บทเพลงที่รับการดลใจกล่าวไว้อย่างเหมาะสมทีเดียวว่า “สมควรที่คนทั้งหลายจะได้สรรเสริญพระยะโฮวาเพราะพระกรุณาคุณของพระองค์ และกิจการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำแก่มนุษยชาติ!” (บทเพลงสรรเสริญ 107:8, 15, 21, 31) เรากล้ารับรองพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระเจ้า แล้วใช้ผิดวัตถุประสงค์ไหม? ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย! (2 โกรินโธ 6:1) ฉะนั้น ขอให้พวกเราแต่ละคนถามตัวเองว่า ‘ฉันหยั่งรู้ค่าการแสดงออกซึ่งความรักของพระเจ้าไหมซึ่งฉันได้รับอยู่แล้วและหวังเป็นมั่นเหมาะจะชื่นชมต่อไปในอนาคต? การสำแดงความรักของพระองค์เช่นนี้กระตุ้นฉันให้รักพระยะโฮวาด้วยสิ้นสุดหัวใจ จิตวิญญาณ จิตใจและสิ้นสุดกำลังวังชาของฉันไหม? จริง ๆ แล้วฉันคำนึงถึงพระเจ้าเสมอไหม? ฉันรักความชอบธรรมและเกลียดการอธรรมไหม? ฉันแสดงความรักต่อพี่น้องไหม? และเกี่ยวด้วยงานประกาศสั่งสอนนั้น ฉันพยายามเจริญรอยตามแบบพระเยซูอย่างใกล้ชิดถึงขนาดไหน?’
17. อาจมีผลอย่างไรถ้าเราตอบสนองความรักซึ่งปรากฏอย่างเด่นชัดของพระเจ้ายะโฮวาโดยไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัว?
17 อันที่จริง มีหลายวิธีที่พึงแสดงความกตัญญูด้วยใจจริงต่อการสำแดงความรักทั้งมวลของพระเจ้าซึ่งเราได้ประสบอยู่แล้ว. โดยการฉวยโอกาสให้เต็มที่แสดงความหยั่งรู้ค่าดังกล่าว เราจะยังความเบิกบานยินดีมาสู่พระหฤทัยพระบิดาของเราในสวรรค์ และเป็นคุณประโยชน์อันดีงามแก่ผู้อื่น ทั้งตัวเราเองก็ได้ความยินดี สันติสุขและความอิ่มใจ. เหตุฉะนั้น จงให้เราตอบสนองการสำแดงความรักของพระเจ้าสืบต่อไปอย่างไม่เห็นแก่ตัว.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ที่จะตอบสนองความรักของพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั้นมีข้อเรียกร้องอะไร?
▫ เราจะระวังต้านทานการล่อใจได้อย่างไร?
▫ มีทางใดบ้างที่จะแสดงความรักฉันพี่น้อง?
▫ ความรักของพระเจ้าซึ่งปรากฏชัดแจ้งน่าจะกระตุ้นเราให้ประพฤติอย่างไรต่อเพื่อนบ้านของเรา?
[รูปภาพหน้า 17]
เราต้องพยายามต่อสู้แนวโน้มในทางชั่ว เพื่อหลีกเลี่ยงความหายนะ
[รูปภาพหน้า 18]
ผู้ปกครองแสดงความรักฉันพี่น้องโดยการออกประกาศข่าวราชอาณาจักรร่วมกับคนอื่น