“พระคำของพระเจ้ามีชีวิตและทรงพลัง”
1, 2. (ก) อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนเหล่านั้นที่เข้ามาเป็นคริสเตียน? (ข) พระคัมภีร์มีอำนาจโน้มน้าวคนเราได้มากเพียงไร?
ในช่วงกลางศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงคริสเตียนในประชาคมที่กรุงโรม. ในจดหมายนั้นท่านเน้นถึงข้อเรียกร้องที่ว่าคริสเตียนแท้จำต้องทำการเปลี่ยนแปลง. เปาโลกล่าวว่า “จงเลิกจากการให้เขานวดปั้นท่านตามระบบนี้ แต่จงดัดแปลงตัวท่านโดยเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะพิสูจน์แก่ตัวเองว่าอะไรคือพระทัยประสงค์อันดี ที่น่ารับเอาไว้ และสมบูรณ์พร้อมของพระเจ้า.” (โรม 12:2, ล.ม.) อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงสาวกของพระเยซู ดัดแปลงแก้ไขแนวความคิดทั้งสิ้นของเขา? โดยพื้นฐานแล้ว นั่นคือพลังอำนาจแห่งพระคำของพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล.
2 เปาโลแสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์มีอำนาจโน้มน้าวเราได้มากเพียงไรในตอนที่เขียนว่า “พระวจนะของพระเจ้ามีชีวิตและทรงพลัง และคมกว่าดาบสองคม และแทงทะลุกระทั่งแยกจิตวิญญาณและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูกทั้งสามารถสังเกตเข้าใจความคิดและความมุ่งหมายแห่งหัวใจ.” (เฮ็บราย 4:12, ล.ม.) จริงทีเดียว พลังอำนาจพิเศษของพระคัมภีร์ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นในผู้คนเป็นข้อพิสูจน์ที่น่าเชื่อถือว่าพระคัมภีร์เป็นยิ่งกว่าเพียงถ้อยคำของมนุษย์.
3, 4. บุคลิกลักษณะของคริสเตียนได้เปลี่ยนแปลงถึงขนาดไหน?
3 คำภาษากรีกที่ได้รับการแปลว่า “ถูกเปลี่ยนแปลง” ที่โรม 12:2 มาจากคำ เมทามอร์โฟʹโอ. คำนี้บ่งถึงการเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับการเปลี่ยนสภาพของหนอนผีเสื้อไปเป็นผีเสื้อ. เป็นการเปลี่ยนโดยสิ้นเชิงถึงขนาดพระคัมภีร์จึงกล่าวถึงว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะ. ในข้อคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง เราอ่านว่า “จงถอดทิ้งบุคลิกลักษณะเก่ากับกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของมันเสีย และสวมบุคลิกลักษณะใหม่ที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ด้วยความรู้ถ่องแท้ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างบุคลิกลักษณะใหม่นั้น.”—โกโลซาย 3:9, 10, ล.ม.
4 ในจดหมายที่เขียนถึงประชาคมที่โกรินโธ เปาโลชี้ให้เห็นถึงขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะที่เกิดขึ้นในศตวรรษแรก. ท่านกล่าวว่า “คนผิดประเวณี หรือคนไหว้รูปเคารพ หรือผิดผัวเมียเขา หรือหญิงเล่นเพื่อน หรือชายเล่นน้องสวาท หรือคนขโมย หรือคนมักโลภ หรือคนเมาเหล้า หรือคนปากร้าย หรือคนฉ้อโกงจะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า. แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเป็นคนอย่างนั้น. แต่ได้ทรงชำระท่านทั้งหลายแล้ว.” (1 โกรินโธ 6:9-11) ใช่ คนผิดศีลธรรมและคนชอบวิวาท คนขโมย และคนขี้เมาได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นคริสเตียนที่น่านับถือ.
การเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะในสมัยนี้
5, 6. บุคลิกภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงอย่างไรโดยพลังอำนาจของพระคัมภีร์?
5 การเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะในทำนองเดียวกันจะเห็นได้ในทุกวันนี้. ยกตัวอย่าง เด็กหนุ่มชาวอเมริกาใต้คนหนึ่งเป็นกำพร้าเมื่ออายุ 9 ขวบ. เขาโตขึ้นโดยปราศจากการชี้แนะของบิดามารดา และมีปัญหาร้ายแรงด้านบุคลิก. เขาเล่าว่า “เมื่ออายุ 18 ผมติดยาอย่างหนัก และถูกจำคุกเนื่องจากขโมยของเพื่อจะได้ยา.” ในที่สุด ป้าของเขาซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาก็ช่วยเขาได้.
6 ชายหนุ่มเล่าต่อไปว่า “คุณป้าก็เริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับผม และเจ็ดเดือนหลังจากนั้นผมก็เลิกยาได้.” เขายังเลิกคบเพื่อนเก่า ๆ ด้วยและมีเพื่อนใหม่หลายคนในหมู่พยานพระยะโฮวา. เขาเล่าต่อว่า “เพื่อนใหม่เหล่านี้ พร้อมทั้งการศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำได้ช่วยให้ผมก้าวหน้าและที่สุดก็ได้อุทิศชีวิตรับใช้พระเจ้า.” ถูกแล้ว คนที่เคยติดยาและเป็นขโมยเดี๋ยวนี้เป็นคริสเตียนที่กระตือรือร้น มีชีวิตที่สะอาด. การเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? โดยพลังอำนาจของพระคัมภีร์นั่นเอง.
7, 8. จงอธิบายวิธีที่ปัญหายุ่งยากด้านบุคลิกภาพได้ถูกแก้ไขโดยความช่วยเหลือจากพระคัมภีร์.
7 อีกตัวอย่างหนึ่งจากทางใต้ของยุโรป. ที่นั่นชายหนุ่มคนหนึ่งเติบโตขึ้นพร้อมกับปัญหายุ่งยากในด้านบุคลิกภาพ คือมีอารมณ์รุนแรง. เขามักจะมีเรื่องชกต่อยอยู่เนือง ๆ. ครั้งหนึ่งเกิดการทะเลาะกันขึ้นในบ้าน. เขาทุบตีกระทั่งคุณพ่อของเขา ชกท่านจนล้มลงกองกับพื้น. แต่ในที่สุด เขาได้ศึกษาพระคัมภีร์กับพยานพระยะโฮวาและได้เอาใจใส่พระบัญชาของพระเจ้าในพระธรรมโรมที่ว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วต่อผู้หนึ่งผู้ใดเลย . . . เหตุการณ์ซึ่งเกี่ยวกับท่านทั้งหลาย หากท่านจัดได้ จงกระทำตนให้เป็นที่สงบสุขแก่คนทั้งปวง. ดูก่อนท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น และจงมอบการนั้นไว้แล้วแต่พระเจ้าจะลงพระอาชญา.”—โรม 12:17-19.
8 ถ้อยคำเหล่านี้ช่วยเขาให้สำนึกว่า เขาอ่อนแอมากแค่ไหน. ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับพระคัมภีร์ได้ขัดเกลาสติรู้สึกผิดชอบของเขา ซึ่งช่วยยับยั้งอารมณ์ร้อนของเขาไว้. ครั้งหนึ่งหลังจากได้ก้าวหน้าพอควรในการศึกษา มีคนต่างถิ่นคนหนึ่งตะโกนด่าเขา. ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเดือดดาลที่ก่อขึ้นในใจอย่างที่มักเคยมี. แต่แล้วเขารู้สึกถึงอีกบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือ ความละอาย และสิ่งนี้ได้ยับยั้งเขาไว้จากการลุแก่โทสะ. เขาได้พัฒนาให้มีการรู้จักบังคับตัว ซึ่งเป็นผลแห่งพระวิญญาณอันสำคัญประการหนึ่ง. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) เดี๋ยวนี้ บุคลิกภาพของเขาเปลี่ยนไป เนื่องด้วยพลังอำนาจแห่งพระคำของพระเจ้า.
9. ตามคำกล่าวของเปาโล บุคลิกลักษณะของเราเปลี่ยนแปลงไปโดยอาศัยอะไร?
9 แต่พระคัมภีร์ก่อให้มีพลังอำนาจเช่นนั้นได้อย่างไร? เปาโลกล่าวไว้ที่โกโลซาย 3:10 ว่าบุคลิกลักษณะของเราเปลี่ยนแปลงไปโดยอาศัยความรู้อันถ่องแท้ ซึ่งความรู้นี้จะพบได้ในพระคัมภีร์. แต่ความรู้นี้เปลี่ยนแปลงผู้คนได้อย่างไร?
บทบาทของความรู้ถ่องแท้
10, 11. (ก) เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะนิสัยอันพึงปรารถนาและไม่พึงปรารถนา? (ข) นอกจากความรู้แล้วยังจำต้องมีอะไรอีกเพื่อเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะของเรา?
10 ประการแรก พระคัมภีร์ชี้ถึงบุคลิกลักษณะนิสัยอันไม่พึงปรารถนาที่จำต้องขจัดออกไป. สิ่งนี้หมายรวมถึง “ตาหยิ่งยะโส ลิ้นพูดปด มือที่ประหารคนที่ไม่มีผิดให้โลหิตตก ใจที่คิดกะการชั่วร้ายนานา เท้าที่วิ่งปราดไปกระทำผิด พยานเท็จที่ระบายลมออกมาเป็นคำเท็จ และคนที่แพร่การแตกสามัคคีในหมู่พี่น้อง.” (สุภาษิต 6:16-19) ประการที่สอง พระคัมภีร์พรรณนาถึงคุณสมบัติที่น่าปรารถนาซึ่งเราควรปลูกฝัง ซึ่งรวมถึง ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นไว้นาน ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความอ่อนสุภาพ การรู้จักบังคับตน.”—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
11 ความรู้ถ่องแท้เช่นนั้นช่วยบุคคลที่จริงใจให้ตรวจสอบตนเอง และเข้าใจว่าบุคลิกลักษณะนิสัยแบบไหนที่เขาจำต้องปลูกฝัง และแบบไหนที่เขาต้องทำการขจัดออกไป. (ยาโกโบ 1:25) ถึงกระนั้น นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น. นอกจากความรู้แล้ว พลังกระตุ้นก็เป็นสิ่งจำเป็น นั่นเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เขาปรารถนาจะทำการเปลี่ยนแปลง. อีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องนี้เขาจำต้องมีความรู้ถ่องแท้จากพระคัมภีร์.
ถูกกระตุ้นจะเป็นคนดี
12. ความรู้เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของพระเจ้าช่วยเราอย่างไรให้ทำการเปลี่ยนแปลง?
12 เปาโลกล่าวไว้ว่าบุคลิกลักษณะอันน่าปรารถนานั้นถูกสร้างขึ้น “ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้างขึ้นนั้น.” (โกโลซาย 3:10) ฉะนั้น บุคลิกลักษณะของคริสเตียนต้องเป็นแบบเดียวกับบุคลิกลักษณะของพระเจ้า. (เอเฟโซ 5:1) ได้มีการเปิดเผยให้ทราบถึงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าโดยทางพระคัมภีร์. เราเรียนรู้ถึงการดำเนินการของพระองค์กับมนุษยชาติ และสังเกตเห็นลักษณะอันยอดเยี่ยมของพระองค์ เช่น ความรัก ความกรุณา คุณความดี ความเมตตาสงสาร และความชอบธรรม. ความรู้เช่นนั้นกระตุ้นผู้มีหัวใจเป็นธรรมให้รักพระเจ้า และปรารถนาจะเป็นบุคคลในแบบที่พระเจ้าพอพระทัย. (มัดธาย 22:37) อย่างบุตรที่รักพ่อ เราต้องการจะทำให้พระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราปีติยินดี ดังนั้น เราจึงพยายามเลียนบุคลิกลักษณะของพระองค์ให้มากเท่าที่เราจะทำได้ในสถานะของมนุษย์ที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์.—เอเฟโซ 5:1.
13. ความรู้เรื่องอะไรที่สอนเราให้ ‘รักความชอบธรรมและเกลียดการอธรรม’?
13 ความมุ่งมั่นของเราเข้มแข็งขึ้นได้โดยความรู้ที่ได้รับจากพระคัมภีร์ที่ว่าบุคลิกลักษณะและนิสัยที่ดีและที่ไม่ดีนำไปสู่ปลายทางเช่นไร. (บทเพลงสรรเสริญ 14:1-5; 15:1-5; 18:20, 24) เราเรียนรู้ว่าดาวิดได้รับพระพรเนื่องจากความเลื่อมใสและความรักของท่านต่อความชอบธรรม แต่ท่านต้องประสบความทุกข์เมื่อสูญเสียการบังคับตน. เราเห็นผลที่น่าเศร้าเมื่อคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของซะโลโมได้เสื่อมเสียไปในวัยชรา. พระพรที่มีมาเหนือชาติยิศราเอลเนื่องด้วยความซื่อสัตย์ของโยซียาและฮีศคียานั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับความหายนะอันเป็นผลของความอ่อนแอของอาฮาบและการออกหากอย่างดื้อด้านของมะนาเซ. (ฆะลาเตีย 6:7) ด้วยเหตุนั้น เราจึงเรียนรู้ที่จะ ‘รักความชอบธรรมและเกลียดชังการอธรรม.’—เฮ็บราย 1:9; บทเพลงสรรเสริญ 45:7; 97:10.
14. พระประสงค์ของพระยะโฮวาสำหรับโลกนี้และปัจเจกชนในโลกคืออะไร?
14 พลังกระตุ้นนี้เข้มแข็งมั่นคงยิ่งขึ้นอีกโดยความรู้ถ่องแท้เกี่ยวด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า. ความรู้เช่นนี้ช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลง ‘พลังกระตุ้นจิตใจของเรา’ คือน้ำใจที่กระตุ้นความคิดและการกระทำของเรา. (เอเฟโซ 4:23, 24) เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ เราจะเรียนรู้ว่าพระยะโฮวาจะไม่ทรงยอมทนกับความชั่วช้าอยู่ตลอดไป. ไม่ช้าพระองค์จะทำลายโลกอธรรมนี้ และนำมาซึ่ง ‘ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่.’ (2 เปโตร 3:8-10, 13) ใครจะอาศัยอยู่ในโลกใหม่นี้? “คนตรงจะได้พำนักอยู่ในแผ่นดิน และคนดีรอบคอบจะได้ดำรงอยู่บนแผ่นดินนั้น. แต่คนบาปหยาบช้าจะถูกตัดให้สิ้นศูนย์จากแผ่นดิน และผู้ประทุษร้ายทั้งหลายจะถูกถอนรากเง่าออกเสีย.”—สุภาษิต 2:21, 22.
15. หากเราเชื่ออย่างแท้จริงในสิ่งที่พระคัมภีร์มีกล่าวถึงพระประสงค์ของพระยะโฮวา สิ่งนี้จะมีผลกระทบต่อเราอย่างไรในฐานะเป็นบุคคล?
15 หากเราเชื่ออย่างแท้จริงในคำสัญญานี้ แนวความนึกคิดทั้งหมดของเราจะได้รับผลกระทบ. หลังจากพยากรณ์ถึงความพินาศของความชั่วช้า เปโตรกล่าวว่า “โดยเหตุที่สิ่งทั้งปวงเหล่านี้จะต้องถูกละลายไปทั้งสิ้น ท่านทั้งหลายควรเป็นคนชนิดใดในการประพฤติอันบริสุทธิ์ และการกระทำด้วยความเลื่อมศรัทธาในพระเจ้า คอยท่าและคำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอ.” (2 เปโตร 3:11, 12) บุคลิกลักษณะของเราควรถูกนวดปั้นโดยความปรารถนาอันแรงกล้าจะอยู่ท่ามกลางคนซื่อตรงซึ่งจะได้รับการละเว้นในคราวการทำลายล้างคนชั่ว.
16. บุคลิกลักษณะแบบไหนจะไม่มีในโลกใหม่ และความรู้เช่นนี้ควรมีผลกระทบต่อเราอย่างไร?
16 ในพระธรรมวิวรณ์มีคำสัญญาแก่คนซื่อตรงทั้งหลายว่าภายหลังอวสานของโลกนี้ “[พระเจ้า] จะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งการคร่ำครวญหรือเสียงร้องโวยวายหรือความเจ็บป่วยจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีก่อนนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว.” แต่หลังจากนั้นก็มีคำเตือนว่า “คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่กระทำการอุจาด คนที่ฆ่ามนุษย์ คนกระทำผิดประเวณีชายหญิง คนทำเล่ห์กะเท่ห์ คนที่บูชารูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสา” จะถูกปฏิเสธ. (วิวรณ์ 21:4, 8, ล.ม.) เป็นการฉลาดเพียงไรที่จะเลิกลักษณะนิสัยที่ไม่ดีซึ่งพระเจ้าจะทรงปฏิเสธไม่ให้อยู่ในโลกใหม่!
การช่วยเหลือจากภายนอก
17. พระคัมภีร์แนะนำเราให้แสวงความช่วยเหลือแบบใด?
17 กระนั้นก็ตาม มนุษย์อ่อนแอ และโดยปกติแล้วเขาต้องการอีกบางสิ่ง นอกจากความรู้และพลังกระตุ้น หากเขาจะทำการเปลี่ยนแปลง. เขาต้องการการช่วยเหลือเป็นส่วนตัว. และพระคัมภีร์ชี้ให้เราเห็นว่าเราจะหาความช่วยเหลือนี้ได้ที่ไหน. เช่นในพระคัมภีร์กล่าวว่า “บุคคลที่ดำเนินกับคนมีปัญญา ก็จะเป็นคนมีปัญญา แต่คนที่คบกับคนโฉดเขลาย่อมจะรับความเสียหาย.” (สุภาษิต 13:20) หากเราคบหากับผู้ที่แสดงออกซึ่งคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เราอยากจะปลูกฝังในตัวเรา เราก็จะได้รับการช่วยเหลืออย่างมากมายให้เป็นเหมือนเขาได้ยิ่งขึ้น.—เยเนซิศ 6:9; สุภาษิต 2:20; 1 โกรินโธ 15:33.
18, 19. เราจำต้องทำประการใดเพื่อเปิดจิตใจและหัวใจของเราแก่พระวิญญาณของพระเจ้า?
18 นอกจากนั้น พระยะโฮวาเองทรงจัดเตรียมการช่วยเหลือโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ ซึ่งก็คือพระวิญญาณอย่างเดียวกับที่พระองค์ทรงใช้ทำการอัศจรรย์ในสมัยก่อนโน้น. ที่จริงแล้ว คุณสมบัติต่าง ๆ ที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งคือ “ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นไว้นาน ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความอ่อนสุภาพ การรู้จักบังคับตน” นั้น เรียกว่าเป็น “ผลแห่งพระวิญญาณ.” (ฆะลาเตีย 5:22, 23) เราจะได้รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณได้อย่างไร? เนื่องจากพระคัมภีร์ได้รับการดลบันดาลโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราอ่านหรือพูดคุยกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ เราก็กำลังเปิดจิตใจและหัวใจของเราแก่พลังชักจูงของพระวิญญาณนั้น. (2 ติโมเธียว 3:16) จริง พระเยซูทรงสัญญาไว้ว่าเมื่อเราพูดกับคนอื่นเกี่ยวกับความหวังของเรา เราอาจประสบการชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธิ์.—มัดธาย 10:18-20.
19 อีกประการหนึ่ง ในพระคัมภีร์มีบัญชาว่า “จงหมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ.” (โรม 12:12) โดยคำอธิษฐานเราพูดกับพระยะโฮวา สรรเสริญพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์และขอความช่วยเหลือจากพระองค์. หากเราทูลขอการช่วยเหลือเพื่อเอาชนะลักษณะนิสัยที่ไม่ดี เช่น อารมณ์เสีย ความดื้อรั้น การไม่อดทน หรือความหยิ่งยะโส พระวิญญาณของพระเจ้าจะสนับสนุนความพยายามของเราที่สอดคล้องกับคำอธิษฐาน.—โยฮัน 14:13, 14; ยาโกโบ 1:5; 1 โยฮัน 5:14.
20. ทำไมคริสเตียนจึงต้องบากบั่นอยู่เรื่อยไปในการสวมบุคลิกลักษณะใหม่?
20 ตอนที่เปาโลเขียนว่า “จงดัดแปลงตัวท่านโดยเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของท่าน” นั้น ท่านเขียนถึงประชาคมแห่งคริสเตียนที่ได้รับบัพติสมาและถูกเจิม. (โรม 1:7; 12:2) และในภาษากรีกเดิมท่านใช้รูปของคำกริยาที่หมายถึงการกระทำอย่างต่อเนื่อง. นี่ทำให้คาดหมายได้ว่าการทำการเปลี่ยนแปลงในตัวเราโดยอาศัยความรู้ถ่องแท้นั้นต้องทำเรื่อย ๆ ไป. พวกเราทุกวันนี้—เช่นเดียวกับคริสเตียนในสมัยเปาโล—ถูกห้อมล้อมด้วยโลกที่เต็มไปด้วยอิทธิพลชั่ว. และพวกเรา—เหมือนเขา—ต่างก็เป็นคนไม่สมบูรณ์ มีแนวโน้มจะทำผิด. (เยเนซิศ 8:21) ฉะนั้น เราจึงจำต้องทำอยู่เรื่อยไปในการเอาชนะบุคลิกลักษณะเดิมที่เป็นแบบเห็นแก่ตนเอง และสวมบุคลิกลักษณะใหม่ ดังที่พวกเขาได้ทำ. คริสเตียนรุ่นแรกประสบความสำเร็จถึงขั้นนั้นซึ่งทำให้พวกเขาโดดเด่นในความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากโลกรอบ ๆ ตัวเขา. คริสเตียนในทุกวันนี้ก็ทำเช่นเดียวกัน.
ประชาชนที่ “ได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา”
21. มีคำพยากรณ์อะไรบ้างที่สำเร็จกับพลไพร่ของพระเจ้าในสมัยสุดท้ายนี้?
21 อันที่จริง ในทุกวันนี้พระวิญญาณของพระเจ้าปฏิบัติงานไม่เพียงต่อปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่เหนือองค์การคริสเตียนทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนนับล้าน ๆ. องค์การนี้ได้ทำให้คำพยากรณ์ของยะซายาสำเร็จ ที่ว่า “และประชาชาติเป็นอันมากจะพากันกล่าวว่า ‘มาเถิด พวกเรา ให้เราขึ้นไปยังภูเขาแห่งพระยะโฮวา และยังโบสถ์ของพระเจ้าแห่งยาโคบ พระองค์จะได้ทรงสอนเราให้รู้จักวิถีทางของพระองค์ และเราจะได้เดินไปตามทางของพระองค์นั้น.’” (ยะซายา 2:3) คำพยากรณ์ต่อไปของยะซายาก็ได้สำเร็จด้วยในกรณีของพวกเขา ที่ว่า “และบรรดาลูกหลานของเจ้าจะเป็นสาวกของพระยะโฮวา และบรรดาบุตรของเจ้าจะมีความสุขสำราญ.” (ยะซายา 54:13) ใครคือคนเหล่านั้นที่ชื่นชมกับสันติสุขอันเนื่องมาจากได้รับการสอนจากพระยะโฮวา?
22. (ก) ใครในทุกวันนี้ที่ได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา? (ข) จงให้ตัวอย่างเพื่อแสดงว่าบุคคลภายนอกยอมรับว่าพยานพระยะโฮวาเป็นพวกที่แตกต่างออกไปจริง?
22 ให้เรามาสังเกตจากข้อความที่คัดจากจดหมายที่เขียนถึง นิว เฮเวน รีจิสเตอร์ หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมีว่า “ไม่ว่าหากคุณเคยขุ่นเคือง หรือโมโหอย่างผมหรือไม่ เพราะการชักจูงของเขาที่ให้เปลี่ยนศาสนา คุณก็จำต้องยอมรับการอุทิศตัวของพวกเขา ความดีงาม ตัวอย่างที่เด่นในด้านความประพฤติ และความเป็นอยู่อย่างถูกสุขลักษณะของพวกเขา.” ผู้เขียนนี้กล่าวถึงใคร? ก็คือกลุ่มเดียวกับที่มีการพูดถึงโดยวารสาร เฮรัลด์ ของบูเอโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ที่บอกว่า “พยานพระยะโฮวาเป็นที่ยอมรับมาตลอดหลายปีว่าเป็นพลเมืองที่ทำงานหนัก สงบเสงี่ยม มัธยัสถ์ และเกรงกลัวพระเจ้า.” หนังสือพิมพ์ ลาสแตมปา ของอิตาลี ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “พวกเขาไม่เลี่ยงภาษี หรือหาทางเลี่ยงกฎหมายที่ทำให้ไม่สะดวกเพื่อประโยชน์ของตนเอง. อุดมการณ์ทางศีลธรรมในเรื่องความรักต่อเพื่อนบ้าน ไม่ใช้อำนาจ ไม่ใช้ความรุนแรง และการเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต . . . เป็นบทบาทในวิถีชีวิต ‘แต่ละวัน’ ของพวกเขา.”
23. เพราะเหตุใดองค์การแห่งพยานพระยะโฮวาจึงแตกต่างออกไปอย่างโดดเด่น?
23 ทำไมพยานพระยะโฮวาฐานะเป็นกลุ่มชน—เช่นเดียวกับชนคริสเตียนสมัยแรก—จึงแตกต่างไปจากคนอื่น. ในหลายด้าน พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากคนอื่น. พวกเขาเป็นคนไม่สมบูรณ์เหมือนกัน มีปัญหาด้านเศรษฐกิจและมีความต้องการในปัจจัยพื้นฐานเช่นเดียวกัน. อย่างไรก็ตาม ในฐานะเป็นประชาคมทั่วโลก พยานพระยะโฮวายอมให้พระคำของพระเจ้าสำแดงพลังอำนาจในชีวิต. ภราดรภาพทั่วโลกของคริสเตียนแท้เป็นหลักฐานแน่นหนาว่าพระคัมภีร์เป็นถ้อยคำที่ได้รับการดลบันดาลของพระเจ้า.—บทเพลงสรรเสริญ 133:1.
พระคัมภีร์ได้รับการดลบันดาล
24. คำอธิษฐานของเราเพื่อผลประโยชน์ของผู้คนอีกมากมายนั้นคืออย่างไร?
24 ในสองบทความนี้ เราได้พิจารณาเพียงพยานหลักฐานในสองแนวทางที่พิสูจน์แสดงว่าพระคัมภีร์เป็นคำของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์. ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ของสติปัญญาอันหาที่เทียบไม่ได้ หรือพลังในการเปลี่ยนแปลงผู้คนของพระคัมภีร์—หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ทำให้เห็นชัดว่าพระคัมภีร์มีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะ—บุคคลที่สุจริตใจจำต้องยอมรับว่าพระคัมภีร์ต้องได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า. ในฐานะคริสเตียนเราจึงอธิษฐานเพื่อว่าจะมีอีกหลายคนมาตระหนักในความจริงข้อนี้. ครั้นแล้วพวกเขาก็จะกล่าวเช่นเดียวกับผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กล่าวไว้ว่า “ขอทรงพิจารณาดูว่า ข้าพเจ้ารักพระโอวาทของพระองค์มากเท่าใด ข้าแต่พระยะโฮวา ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้าฟื้นขึ้นตามพระกรุณาคุณของพระองค์. ลักษณะสำคัญแห่งพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง. และทุกข้อในกฎอันชอบธรรมของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 119:159, 160.
คุณจำได้ไหม?
▫ พระคัมภีร์มีผลอย่างไรต่อคริสเตียนแท้?
▫ ความรู้ถ่องแท้ช่วยเปลี่ยนแปลงเราอย่างไร?
▫ พระคัมภีร์ช่วยกระตุ้นเราอย่างไรให้ปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีและเอาชนะลักษณะที่ไม่ดี?
▫ ความช่วยเหลือแบบใดที่มีไว้พร้อมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะแบบพระเจ้า?
▫ หลักฐานอะไรที่พบเห็นได้ในพลไพร่ของพระยะโฮวาซึ่งแสดงว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลบันดาล?
[รูปภาพหน้า 20]
หากเราทูลขอการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา พระวิญญาณของพระองค์จะเสริมกำลังแก่ความพยายามของเราในการเอาชนะนิสัยที่ไม่ดี