อะไรจำเป็นสำหรับชีวิตสมรสที่ประสบผลสำเร็จ?
คุณจะกระโดดลงในแม่น้ำโดยไม่เรียนรู้วิธีว่ายน้ำก่อนไหม? การกระทำที่โง่เขลาเช่นนั้นอาจเป็นอันตราย—กระทั่งถึงตายได้ด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม ขอให้คิดถึงผู้คนมากสักเพียงไรกระโจนเข้าสู่ชีวิตสมรสโดยรู้ไม่มากนักเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย.
พระเยซูตรัสว่า “ในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างป้อม, แล้วจะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่าจะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่?” (ลูกา 14:28) สิ่งที่เป็นความจริงกับการสร้างป้อมก็เป็นความจริงในการสร้างชีวิตสมรสด้วย. คนเหล่านั้นที่ต้องการสมรสควรพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวด้วยชีวิตสมรส เพื่อทำให้แน่ใจว่าเขาสามารถบรรลุข้อเรียกร้องของการสมรส.
การพิจารณาดูชีวิตสมรส
การมีคู่สมรสที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขในชีวิตด้วยกันย่อมเป็นพระพรอย่างแท้จริง. ชีวิตสมรสสามารถเติมความว่างเปล่าที่เกิดจากความอ้างว้างหรือความสิ้นหวังนั้นให้เต็มได้. ชีวิตสมรสสามารถสนองความปรารถนาโดยกำเนิดของเราที่จะได้ความรัก, ความเป็นเพื่อน, และความสนิทสนม. ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง พระเจ้าตรัสภายหลังทรงสร้างอาดามว่า “ไม่ดีที่มนุษย์จะอยู่ลำพังต่อ ๆ ไป. เราจะสร้างผู้ช่วยสำหรับเขา เป็นคู่เคียงของเขา.”—เยเนซิศ 2:18, ล.ม.; 24:67; 1 โกรินโธ 7:9.
ใช่ การอยู่ในสภาพสมรสแล้วสามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้ แต่นำมาซึ่งปัญหาใหม่บางอย่างด้วยเช่นกัน. เพราะเหตุใด? เพราะว่าการสมรสเป็นการผสมกันของบุคลิกภาพซึ่งแตกต่างกันสองแบบที่บางทีอาจเข้ากันได้ทว่าแทบจะไม่เหมือนกันเลย. ฉะนั้น แม้แต่คู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันดีก็ยังประสบความขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว. คริสเตียนอัครสาวกเปาโลเขียนว่าคนเหล่านั้นที่สมรสจะมี “ความลำบากในเนื้อหนังของตน”—หรือดังที่ฉบับแปลเดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล แปลข้อนี้ว่า “ความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมในชีวิตทางกายนี้.”—1 โกรินโธ 7:28, ล.ม.
เปาโลเป็นคนมองในแง่ร้ายไหม? เปล่าเลย! ท่านเพียงแต่กระตุ้นเตือนคนเหล่านั้นที่คิดถึงการสมรสให้มองสภาพที่เป็นจริง. ความรู้สึกปลาบปลื้มจากการถูกดึงดูดให้ชอบใครสักคนนั้นไม่ใช่มาตรวัดที่แม่นยำซึ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตสมรสจะเป็นเช่นไรระหว่างหลายเดือนและหลายปีหลังจากวันแต่งงาน. ชีวิตสมรสแต่ละรายมีข้อท้าทายและปัญหาต่าง ๆ เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร. ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ข้อยุ่งยากเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าจะจัดการอย่างไรถ้าเกิดขึ้น.
ปัญหาต่าง ๆ ทำให้สามีและภรรยามีโอกาสจะแสดงว่าเขารักกันและกันอย่างแท้จริง. ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ: เรือท่องเที่ยวอาจดูโออ่าขณะที่จอดเทียบท่าอยู่. แต่ที่จะเห็นว่าเหมาะสำหรับเดินทะเลอย่างแท้จริงจะต้องพิสูจน์ในท้องทะเล—บางทีท่ามกลางคลื่นลมพายุที่โหมกระหน่ำด้วยซ้ำ. ทำนองเดียวกัน สายสมรสที่เหนียวแน่นใช่ว่าจะปรากฏให้เห็นในช่วงที่สงบสุขหวานชื่นเท่านั้น. บางครั้งจะเห็นได้เมื่ออยู่ภายใต้สภาพการณ์ที่ลำบากซึ่งทั้งคู่ต้องฝ่าฟันมรสุมของความทุกข์ยาก.
เพื่อจะมีสายสมรสที่เหนียวแน่น คู่สมรสต้องมีพันธะผูกมัด เพราะพระเจ้าทรงมุ่งหมายว่าผู้ชายจะ “ผูกพันอยู่กับภรรยา” และเขาทั้งสองจะ “เป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน.” (เยเนซิศ 2:24) แนวคิดเรื่องพันธะผูกมัดทำให้หลายคนในทุกวันนี้กลัว. กระนั้น นับว่ามีเหตุผลอย่างแน่นอนที่คนสองคนซึ่งรักกันจริง ๆ จะต้องการทำคำมั่นสัญญาที่จริงจังว่าจะอยู่ด้วยกัน. พันธะผูกมัดทำให้การสมรสมีความสง่างาม. พันธะผูกมัดทำให้มีพื้นฐานสำหรับความมั่นใจที่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สามีกับภรรยาจะเกื้อหนุนกันและกัน.a หากคุณไม่พร้อมสำหรับพันธะผูกมัดเช่นว่า คุณก็ไม่พร้อมอย่างแท้จริงสำหรับการสมรส. (เทียบกับท่านผู้ประกาศ 5:4, 5.) แม้แต่คนเหล่านั้นที่สมรสแล้วก็อาจต้องเพิ่มความหยั่งรู้สำนึกในเรื่องที่ว่าพันธะผูกมัดสำคัญเพียงไรสำหรับชีวิตสมรสที่ยั่งยืน.
การพิจารณาดูตัวเอง
ไม่ต้องสงสัยว่าคุณสามารถทำรายการคุณลักษณะซึ่งคุณอยากจะเห็นในตัวคู่ชีวิตของคุณ. อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากกว่ามากที่จะพิจารณาดูตัวคุณเองเพื่อจะรู้ว่าคุณสามารถส่งเสริมชีวิตสมรสให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างไร. การตรวจสอบตัวเองอย่างจริงจังนับว่าสำคัญ ทั้งก่อนและหลังรับเอาคำปฏิญาณของการสมรส. ตัวอย่างเช่น จงถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้.
• ฉันเต็มใจจะมีพันธะผูกมัดตลอดชีวิตกับคู่ของฉันไหม?—มัดธาย 19:6.
ในสมัยของผู้พยากรณ์มาลาคีในคัมภีร์ไบเบิล สามีหลายคนได้ทิ้งคู่ชีวิตของตน บางทีเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงที่สาวกว่า. พระยะโฮวาตรัสว่าแท่นของพระองค์นองด้วยน้ำตาของเหล่าภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง และพระองค์ทรงตำหนิพวกผู้ชายที่ “ไม่ซื่อตรง” ต่อคู่ชีวิตของตน.—มาลาคี 2:13-16.
• หากฉันกำลังคิดถึงการแต่งงาน ฉันผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้วไหมซึ่งเป็นช่วงที่ความรู้สึกทางเพศค่อนข้างรุนแรงและอาจบิดเบือนวิจารณญาณที่ดีได้?—1 โกรินโธ 7:36.
นิกกีซึ่งแต่งงานเมื่ออายุ 22 ปีได้กล่าวว่า “เป็นการเสี่ยงทีเดียวที่จะแต่งงานตอนอายุน้อยเกินไป.” เธอเตือนว่า “ความรู้สึก, เป้าหมาย, และรสนิยมของคุณจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นับจากตอนที่คุณอยู่ในวัยสิบแปดสิบเก้าปีจนกระทั่งคุณอายุยี่สิบห้าถึงเกือบสามสิบปี.” แน่นอน ความพร้อมสำหรับชีวิตสมรสไม่อาจวัดได้ด้วยอายุอย่างเดียว. ถึงอย่างไรก็ตาม การแต่งงานตอนที่คนเราไม่ผ่านช่วงหนุ่มสาวขณะที่ความรู้สึกทางเพศเป็นสิ่งใหม่และรุนแรงเป็นพิเศษนั้นอาจบิดเบือนความคิดและทำให้มองไม่เห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้.
• ฉันมีลักษณะนิสัยอะไรบ้างซึ่งจะช่วยส่งเสริมชีวิตสมรสที่ประสบผลสำเร็จ?—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
อัครสาวกเปาโลเขียนถึงชาวโกโลซายว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนแห่งความเมตตา, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนโยน, และความอดกลั้นไว้นาน.” (โกโลซาย 3:12, ล.ม.) คำแนะนำนี้เหมาะสมสำหรับคนเหล่านั้นที่กำลังครุ่นคิดถึงการแต่งงานเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่แต่งงานแล้ว.
• ฉันมีความอาวุโสไหมซึ่งจำเป็นเพื่อสนับสนุนคู่ชีวิตตลอดช่วงที่ยากลำบาก?—ฆะลาเตีย 6:2.
แพทย์คนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อเกิดปัญหาขึ้น แนวโน้มคือตำหนิคู่ชีวิต. ใคร ควรถูกตำหนินั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น วิธีที่ทั้งสามีและภรรยาสามารถร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงสัมพันธภาพในชีวิตสมรสนั่นเองนับว่าสำคัญที่สุด.” ถ้อยคำของกษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดนำมาใช้ได้กับคู่สมรส. ท่านเขียนว่า “สองคนก็ดีกว่าคนเดียว . . . ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง, อีกคนหนึ่งจะได้พยุงยกเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น; แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่อยู่ผู้เดียวเมื่อล้มลง, และไม่มีผู้อื่นพยุงยกตนให้ลุกขึ้น.”—ท่านผู้ประกาศ 4:9, 10.
• โดยทั่วไปฉันเป็นคนร่าเริงและมองในแง่ดีไหม หรือว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นคนเศร้าหมองและชอบมองในแง่ลบ?—สุภาษิต 15:15.
บุคคลที่ชอบมองในแง่ลบมองดูแต่ละวันว่าแย่. การสมรสมิได้เปลี่ยนเจตคติเช่นนี้อย่างอัศจรรย์! บุคคลที่เป็นโสด—ไม่ว่าชายหรือหญิง—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชอบวิจารณ์หรือมองในแง่ร้ายก็จะกลายเป็นบุคคลที่สมรสแล้วซึ่งชอบวิจารณ์หรือมองในแง่ร้ายอยู่นั่นแหละ. ทัศนะในแง่ลบเช่นนั้นอาจก่อความตึงเครียดอย่างหนักแก่ชีวิตสมรสได้.—เทียบกับสุภาษิต 21:9.
• ฉันคงสงบอยู่ภายใต้ความกดดันไหม หรือว่าฉันยอมจำนนต่อการบันดาลโทสะโดยไม่มีการควบคุม?—ฆะลาเตีย 5:19, 20.
คริสเตียนได้รับการกำชับให้ “ช้าในการโกรธ.” (ยาโกโบ 1:19) ก่อนการสมรสและในชีวิตสมรส ชายหรือหญิงควรปลูกฝังความสามารถที่จะดำเนินชีวิตตามคำแนะนำนี้ที่ว่า “โกรธเถิด, แต่อย่าให้เป็นการบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่.”—เอเฟโซ 4:26.
การพิจารณาดูผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองของคุณ
สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนฉลาดย่อมมองดูทางเดินของเขาด้วยความระวัง.” (สุภาษิต 14:15) ข้อนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนเมื่อเลือกคู่สมรส. ในการตัดสินใจต่าง ๆ การเลือกคู่สมรสเป็นการตัดสินใจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับชายหรือหญิง. กระนั้น มีการสังเกตว่าหลายคนใช้เวลาในการตัดสินใจว่าจะซื้อรถยนต์คันไหนหรือจะเข้าโรงเรียนใดมากกว่าเวลาที่ใช้ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับใคร.
ในประชาคมคริสเตียน คนเหล่านั้นซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบถูก “ทดลองดูความเหมาะสม . . . ก่อน.” (1 ติโมเธียว 3:10, ล.ม.) หากคุณกำลังคิดถึงการแต่งงาน คุณคงจะต้องการแน่ใจเรื่อง “ความเหมาะสม” ของอีกคนหนึ่ง. ขอพิจารณาคำถามต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง. ถึงแม้มีการเสนอคำถามเหล่านี้จากมุมมองของผู้หญิงก็ตาม แนวคำถามหลายอย่างก็ถามจากมุมมองของผู้ชายได้ด้วย. และแม้แต่ผู้ที่สมรสแล้วก็อาจพิจารณาดูจุดเหล่านี้ได้อย่างเป็นประโยชน์ด้วย.
• เขามีชื่อเสียงชนิดใด?—ฟิลิปปอย 2:19-22.
สุภาษิต 31:23 พรรณนาถึงสามีซึ่งเป็น “คนมีชื่อเสียงในประตูเมือง, เขานั่งอยู่ในคณะมนตรี [“ผู้เฒ่าผู้แก่,” ล.ม.] ของบ้านเมือง.” ผู้เฒ่าผู้แก่ของเมืองนั่งอยู่ที่ประตูเมืองเพื่อตัดสินความ. ดังนั้น ดูเหมือนว่าเขามีตำแหน่งที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน. ท่าทีที่ผู้อื่นมองดูผู้ชายคนหนึ่งย่อมบอกให้รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับชื่อเสียงของเขา. ในกรณีที่เขามีอำนาจหน้าที่ จงพิจารณาดูด้วยว่าคนที่อยู่ใต้อำนาจเขามองดูเขาอย่างไร. นั่นอาจบ่งชี้ว่าคุณในฐานะคู่ชีวิตของเขาในที่สุดจะมองดูเขาอย่างไร.—เทียบกับ 1 ซามูเอล 25:3, 23-25.
• เขามีศีลธรรมชนิดใด?
สติปัญญาของพระเจ้า “บริสุทธิ์เป็นที่หนึ่ง.” (ยาโกโบ 3:17) ผู้จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณสนใจในการสนองความพอใจทางเพศของตนเองมากกว่าสนใจในฐานะของเขาหรือของคุณเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไหม? หากเขาไม่พยายามดำเนินชีวิตตามมาตรฐานด้านศีลธรรมของพระเจ้าในตอนนี้แล้ว มีพื้นฐานอะไรที่จะเชื่อว่า เขาจะทำเช่นนั้นหลังจากสมรสแล้ว?—เยเนซิศ 39:7-12.
• เขาปฏิบัติกับฉันอย่างไร?—เอเฟโซ 5:28, 29.
พระธรรมสุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลเล่าถึงสามีซึ่ง “ไว้วางใจ” ภรรยาของเขา. นอกจากนั้น “[เขา] ก็สรรเสริญ [เธอ].” (สุภาษิต 31:11, 28) เขาจะไม่เป็นคนที่เอาแต่หึงหวง ทั้งไม่เป็นคนคาดหมายอย่างไม่มีเหตุผล. ยาโกโบเขียนว่าสติปัญญาจากเบื้องบนนั้น “ก่อให้เกิดสันติสุข, มีเหตุผล . . . เต็มไปด้วยความเมตตาและผลอันดี.”—ยาโกโบ 3:17, ล.ม.
• เขาปฏิบัติอย่างไรกับสมาชิกในครอบครัวของตนเอง?—เอ็กโซโด 20:12.
ความนับถือต่อบิดามารดามิใช่เป็นเพียงข้อเรียกร้องสำหรับเด็กเท่านั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “เจ้าจงฟังคำบิดาผู้บังเกิดเกล้าของเจ้า, และอย่าดูหมิ่นมารดาของเจ้าเมื่อท่านแก่ชรา.” (สุภาษิต 23:22) น่าสนใจ นายแพทย์ดับเบิลยู. ฮิวจ์ มิสซิลดีนเขียนว่า “ความยุ่งยากและการเข้ากันไม่ได้ในชีวิตสมรสหลายกรณีอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้—หรืออย่างน้อยก็มองเห็นล่วงหน้า—ถ้าหากว่าที่เจ้าสาวและว่าที่เจ้าบ่าวไปเยี่ยมครอบครัวของกันและกันอย่างไม่เป็นทางการ และสังเกตความสัมพันธ์ระหว่าง ‘คู่หมั้น’ กับบิดามารดาของเขา. ท่าทีของเขาต่อบิดามารดาจะมีผลกระทบต่อท่าทีของเขาต่อคู่ชีวิตของตน. เราต้องถามว่า ‘ฉันอยากได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกับที่เขาทำกับพ่อแม่ของเขาไหม?’ และท่าทีที่พ่อแม่ปฏิบัติกับเขาจะเป็นข้อบ่งชี้ที่ดีว่าเขาจะปฏิบัติกับตัวเองอย่างไรและเขาจะคาดหมายให้คุณปฏิบัติต่อเขาอย่างไร—หลังจากการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์.”
• เขามีแนวโน้มเป็นคนโมโหง่ายหรือใช้คำพูดหยาบหยามไหม?
คัมภีร์ไบเบิลแนะนำว่า “จงให้บรรดาความขมขื่นอย่างมุ่งร้ายและความโกรธเคืองและความโกรธแค้นและการตวาดเสียงและคำพูดหยาบหยามอยู่ห่างจากท่านทั้งหลาย.” (เอเฟโซ 4:31, ล.ม.) เปาโลเตือนติโมเธียวเกี่ยวกับคริสเตียนบางคนซึ่งจะ “จิตใจเสื่อมด้วยการซักถามและการโต้เถียงกันเรื่องถ้อยคำ” และเป็นผู้ซึ่งจะยอมให้กับ “ความอิจฉา, ความขัดเคือง, การพูดจาว่าร้าย, การสงสัยด้วยใจชั่ว, การโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเรื่องหยุมหยิม.”—1 ติโมเธียว 6:4, 5, ล.ม.
นอกจากนี้ เปาโลเขียนว่าคนที่มีคุณวุฒิสำหรับสิทธิพิเศษโดยเฉพาะในประชาคมไม่ควร “เป็นนักเลงหัวไม้”—ความหมายตามคำภาษากรีกเดิมคือ “ไม่ต่อย.” (1 ติโมเธียว 3:3, ล.ม., เชิงอรรถ) เขาไม่อาจเป็นคนที่ทุบตีผู้อื่นทางกายหรือข่มเหงรังแกพวกเขาทางวาจา. บุคคลที่มีแนวโน้มจะเป็นคนรุนแรงในขณะที่โมโหไม่เหมาะจะเป็นคู่สมรส.
• เขามีเป้าหมายอะไร?
บางคนแสวงหาความร่ำรวยแล้วเก็บเกี่ยวผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้. (1 ติโมเธียว 6:9, 10) บางคนล่องลอยไปโดยไร้จุดมุ่งหมายตลอดชีวิต ไม่มีเป้าหมายที่จะบรรลุถึง. (สุภาษิต 6:6-11) แต่คนที่เลื่อมใสพระเจ้าจะแสดงความตั้งใจแน่วแน่เช่นเดียวกับยะโฮซูอะ ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ฝ่ายเราทั้งครอบครัวจะปฏิบัติพระยะโฮวา.”—ยะโฮซูอะ 24:15, ล.ม.
ผลตอบแทนและหน้าที่รับผิดชอบ
การสมรสเป็นสถาบันของพระเจ้า. สถาบันนี้ได้รับมอบอำนาจและจัดตั้งโดยพระยะโฮวาพระเจ้า. (เยเนซิศ 2:22-24) พระองค์ทรงให้มีการจัดเตรียมเกี่ยวกับการสมรสขึ้นเพื่อสร้างความผูกพันถาวรระหว่างชายกับหญิงเพื่อเขาทั้งสองจะร่วมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน. เมื่อมีการนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ สามีและภรรยาสามารถคาดหมายว่า สภาพในชีวิตของเขาจะน่ายินดี.—ท่านผู้ประกาศ 9:7-9.
แต่ต้องสำนึกว่า เรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” คัมภีร์ไบเบิลได้บอกล่วงหน้าว่าระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนจะ “รักตัวเอง, รักเงินทอง, อวดตัว, จองหอง . . . ไม่ภักดี, ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ, ไม่ยอมตกลงกัน, . . . เป็นคนทรยศ, หัวดื้อ, พองตัวด้วยความหยิ่ง.” (2 ติโมเธียว 3:1-4, ล.ม.) ลักษณะนิสัยเหล่านี้อาจมีผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตสมรสของคนเราได้. ดังนั้น คนที่คิดจะสมรสควรพิจารณาอย่างรอบคอบจริงจัง. และคนที่ตอนนี้สมรสแล้วควรพยายามต่อไปในการปรับปรุงชีวิตคู่โดยเรียนรู้การชี้นำจากพระเจ้าที่พบในคัมภีร์ไบเบิลแล้วนำมาใช้.
ถูกแล้ว คนที่คิดเรื่องการสมรสควรจะมองเลยจากวันแต่งงานไป. และทุกคนควรใส่ใจไม่เพียงแต่วันที่แต่งงานเท่านั้น แต่ชีวิตสมรสด้วย. จงหมายพึ่งพระยะโฮวาในการชี้นำเพื่อคุณจะคิดอย่างที่ตรงกับความเป็นจริง แทนที่จะคิดเพ้อฝันเท่านั้น. โดยกระทำเช่นนั้น คุณคงจะมีชีวิตสมรสที่ประสบผลสำเร็จมากกว่า.
[เชิงอรรถ]
a คัมภีร์ไบเบิลอนุญาตให้เฉพาะมูลเหตุอย่างเดียวสำหรับการหย่าพร้อมด้วยความเป็นไปได้ที่จะสมรสใหม่ และมูลเหตุนั้นคือ “การผิดประเวณี”—เพศสัมพันธ์นอกสายสมรส.—มัดธาย 19:9, ล.ม.
[กรอบหน้า 5]
“คำพรรณนาดีที่สุดเกี่ยวกับความรักเท่าที่ผมเคยอ่านมา”
ดร. เควิน ลีมัน เขียนว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่า คุณมีความรักอย่างแท้จริงหรือไม่? มีหนังสือเก่าแก่อยู่เล่มหนึ่งซึ่งมีคำพรรณนาเกี่ยวกับความรัก. หนังสือนี้มีอายุเกือบสองพันปีแล้ว ทว่ายังคงเป็นคำพรรณนาดีที่สุดเกี่ยวกับความรักเท่าที่ผมเคยอ่านมา.”
ดร. ลีมันกล่าวพาดพิงถึงถ้อยคำของคริสเตียนอัครสาวกเปาโลซึ่งปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลที่ 1 โกรินโธ 13:4-8 (ล.ม.) ที่ว่า
“ความรักอดทนนานและแสดงความกรุณา. ความรักไม่อิจฉาริษยา, ไม่อวดตัว, ไม่พองตัว, ไม่ประพฤติหยาบโลน, ไม่แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเอง, ไม่ปล่อยตัวให้เกิดโทโส ไม่จดจำความเสียหาย. ไม่ยินดีในการอธรรม, แต่ยินดีกับความจริง. ความรักทนรับเอาทุกสิ่ง, เชื่อทุกสิ่ง, หวังทุกสิ่ง, อดทนทุกสิ่ง. ความรักไม่ล้มเหลวเลย.”
[กรอบหน้า 8]
อารมณ์อาจหลอกลวงได้
หญิงสาวชาวชูเลมในสมัยคัมภีร์ไบเบิลดูเหมือนว่าทราบดีถึงอำนาจหลอกลวงของความรู้สึกเชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ. เมื่อกษัตริย์ซะโลโมผู้ทรงอำนาจขอความรักจากเธอ เธอได้บอกพวกเพื่อนสาวของเธอ “ไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกความรักให้ตื่นกระตือขึ้น [ในตัวเธอ] จนกว่าความรักจะจุใจแล้ว.” (เพลงไพเราะของกษัตริย์ซะโลโม 2:7, ฉบับแปลใหม่) หญิงสาวผู้ฉลาดคนนี้ไม่ต้องการให้เพื่อน ๆ กดดันเธอเข้าสู่การถูกครอบงำด้วยอารมณ์. เรื่องนี้ใช้ได้ผลจริงด้วยเช่นกันสำหรับคนเหล่านั้นที่กำลังคิดถึงการแต่งงานในทุกวันนี้. จงยึดความรู้สึกของคุณไว้ให้มั่นคงเสมอ. หากคุณแต่งงาน น่าจะเป็นเพราะคุณรักกับบุคคล ไม่ใช่เพียงเพราะคุณชอบความคิด เรื่องการแต่งงาน.
[รูปภาพหน้า 6]
แม้แต่ผู้ที่สมรสมานานแล้วก็ยังสามารถทำให้สายสมรสของตนเหนียวแน่นได้
[รูปภาพหน้า 7]
เขาปฏิบัติต่อบิดามารดาของเขาอย่างไร?