คริสเตียนแท้ทุกคนต้องเป็นผู้ประกาศข่าวดี
“จงกระทำการงานของผู้เผยแพร่กิตติคุณ.”—2 ติโมเธียว 4:5, ล.ม.
1. ผู้ประกาศข่าวดีได้แพร่ข่าวดีอะไรในสมัยศตวรรษแรก?
การเป็นผู้เผยแพร่กิตติคุณสมัยนี้หมายถึงอะไร? คุณเป็นคนหนึ่งไหม? คำว่า “ผู้เผยแพร่กิตติคุณ” เป็นการแปลคำภาษากรีก อิวแอกเกลิสเตสʹ มีความหมายว่า “ผู้ประกาศข่าวดี.” นับจากการตั้งประชาคมคริสเตียนเมื่อปีสากลศักราช 33 ข่าวดีที่คริสเตียนประกาศได้เน้นวิธีการของพระเจ้าเพื่อความรอด และประกาศว่าในกาลต่อไปพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับเพื่อรับอำนาจแห่งราชอาณาจักรปกครองมนุษยชาติ.—มัดธาย 25:31, 32; 2 ติโมเธียว 4:1; เฮ็บราย 10:12, 13.
2. (ก) เนื้อความของข่าวดีได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยวิธีใดในสมัยของเรา? (ข) คริสเตียนแท้ทุกคนสมัยนี้มีพันธะต้องทำอะไร?
2 ตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมา พยานหลักฐานได้เพิ่มทวีขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสัญลักษณ์กำลังสำเร็จสมจริงตามที่พระเยซูทรงกล่าวไว้ว่าด้วยการเสด็จกลับของพระองค์และการประทับอย่างไม่ประจักษ์. (มัดธาย 24:3-13, 33) อีกครั้งหนึ่ง ข่าวดีย่อมรวมเอาถ้อยคำที่ว่า “แผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว” เข้าไปด้วย. (ลูกา 21:7, 31; มาระโก 1:14, 15, ฉบับแปลใหม่) อันที่จริง เวลาได้มาถึงแล้วเพื่อคำพยากรณ์ของพระเยซูตามบันทึกที่มัดธาย 24:14 (ล.ม.) จะได้สำเร็จเป็นจริงครั้งใหญ่ ที่ว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้ประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; แล้วจุดอวสานจะมาถึง.” เหตุฉะนั้น การเผยแพร่กิตติคุณเวลานี้รวมเอาการประกาศว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ถูกสถาปนาแล้ว และอีกไม่ช้าไม่นานจะยังพระพรต่าง ๆ มาสู่มวลมนุษย์ผู้เชื่อฟัง. คริสเตียนทุกคนอยู่ใต้คำสั่งให้ทำงานนี้และ ‘สอนคนให้เป็นสาวก.’—มัดธาย 28:19, 20; วิวรณ์ 22:17.
3. (ก) คำ “ผู้ประกาศข่าวดี” ยังมีความหมายเพิ่มเติมอะไร? (ดูจากหนังสือ อินไซต์ ออน เดอะ สคริพเจอร์ส เล่ม 1 หน้า 770 คอลัมน์ 2 วรรค 2) (ข) เรื่องนี้ก่อให้มีคำถามอะไรขึ้น?
3 นอกเหนือการประกาศข่าวดีเป็นส่วนใหญ่แล้ว คัมภีร์ไบเบิลใช้คำ “ผู้เผยแพร่กิตติคุณ” ในลักษณะพิเศษในการพาดพิงถึงคนเหล่านั้นซึ่งออกจากเขตทำงานซึ่งเขามีภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น เพื่อประกาศข่าวดีในพื้นที่อื่นซึ่งยังไม่เคยมีการประกาศมาก่อน. ในศตวรรษแรก มีผู้ประกาศข่าวดีหลายคนฐานะเป็นผู้เผยแพร่ในต่างแดน อาทิ ฟิลิป, เปาโล, บาระนาบา, ซีลา, และติโมเธียว. (กิจการ 21:8; เอเฟโซ 4:11) แต่จะว่าอย่างไรในยุคสมัยพิเศษนี้ตั้งแต่ปี 1914? ทุกวันนี้ ไพร่พลของพระยะโฮวาได้เสนอตัวเองเป็นผู้ประกาศข่าวดีในภูมิลำเนาของตนเองและเป็นผู้เผยแพร่กิตติคุณในต่างแดนไหม?
ความก้าวหน้าตั้งแต่ปี 1919
4, 5. ความคาดหมายสำหรับงานประกาศข่าวดีไม่นานภายหลังปี 1914 คืออะไร?
4 เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใกล้สงบในปี 1918 ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ประสบการต่อต้านขัดขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ จากพวกออกหาก อีกทั้งจากพวกนักเทศน์นักบวชในคริสต์ศาสนจักรที่ร่วมมือกับพันธมิตรทางการเมือง. ตามจริงแล้วงานประกาศข่าวดีของคริสเตียนแท้เกือบชะงักงันทีเดียวในเดือนมิถุนายน 1918 เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับผู้นำแห่งสมาคมว็อชเทาเวอร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาถูกตัดสินจำคุก 20 ปีด้วยข้อกล่าวหาเท็จ. เหล่าศัตรูของพระเจ้าประสบความสำเร็จไหมที่จะให้งานประกาศข่าวดีต้องเลิกล้มไปเช่นนั้น?
5 โดยไม่คาดหมาย ในเดือนมีนาคม 1919 เจ้าหน้าที่ของสมาคมถูกปล่อยตัว ต่อมาก็พ้นจากข้อกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลเหล่านั้นถึงกับต้องโทษจำคุก. พร้อมด้วยอิสรภาพที่เพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ คริสเตียนผู้ถูกเจิมเหล่านี้ตระหนักว่ายังมีการงานอยู่อีกมากที่พึงทำให้เสร็จ ก่อนพวกตนจะถูกรวบรวมเพื่อรับบำเหน็จในสวรรค์ ฐานะเป็นรัชทายาทร่วมในราชอาณาจักรของพระเจ้า.—โรม 8:17; 2 ติโมเธียว 2:12; 4:18.
6. งานประกาศข่าวดีได้รุดหน้าไปอย่างไรระหว่างปี 1919 ถึงปี 1939?
6 ย้อนไปในปี 1919 มีไม่ถึง 4,000 คนที่ส่งรายงานว่าเข้าส่วนในการเผยแพร่ข่าวดี. ระหว่างสองทศวรรษต่อมา มีบางคนเสนอตัวเป็นผู้ประกาศเผยแพร่ข่าวดีในต่างแดน และบางคนถูกส่งไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ แถบแอฟริกา, เอเชีย, และยุโรป. ประมาณปี 1939 ภายหลังยี่สิบปีแห่งการประกาศเรื่องราชอาณาจักรจำนวนพยานพระยะโฮวาเพิ่มกว่า 73,000 คน. การเพิ่มทวีที่เห็นได้ชัดเช่นนี้สำเร็จเป็นไปทั้ง ๆ ที่มีการข่มเหงมากมาย คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยแรก ๆ แห่งประชาคมคริสเตียน.—กิจการ 6:7; 8:4, 14-17; 11:19-21.
7. สภาพการณ์ในปีสากลศักราช 47 และปี 1939 คล้ายคลึงกันอย่างไรเกี่ยวกับงานประกาศเผยแพร่ข่าวดีของคริสเตียน?
7 กระนั้นก็ดี ส่วนใหญ่ของพยานพระยะโฮวาเวลานั้นเพ่งเล็งไปที่ประเทศที่มีคนพูดภาษาอังกฤษและนับถือศาสนานิกายโปรเตสแตนต์. ที่จริง จากจำนวน 73,000 ที่ประกาศราชอาณาจักรนั้น มากกว่าร้อยละ 75 มาจากออสเตรเลีย, อังกฤษ, แคนาดา, นิวซีแลนด์, และสหรัฐ. ดังสภาพการณ์ในปีสากลศักราช 47 จำต้องมีบางสิ่งบางประการส่งเสริมผู้ประกาศข่าวดีทั้งหลายที่จะให้ความสนใจต่อประเทศต่าง ๆ ในโลกที่ยังทำงานไม่ทั่วถึง.
8. มาในปี 1992 โรงเรียนกิเลียดได้บรรลุผลอะไร?
8 คำสั่งห้ามในภาวะสงคราม และการข่มเหงประทุษร้ายไม่อาจยับยั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์อันมีพลังของพระยะโฮวากระตุ้นผู้รับใช้ของพระองค์ให้ตระเตรียมการเพื่อการแผ่ขยายยิ่ง ๆ ขึ้น. ในปี 1943 ขณะยังมีการสู้รบกันอย่างดุเดือดในสงครามโลกครั้งที่สอง องค์การของพระเจ้าได้ก่อตั้งโรงเรียนกิเลียดสอนคัมภีร์แห่งว็อชเทาเวอร์ โดยคำนึงถึงการแพร่ข่าวดีออกไปอย่างกว้างไกลยิ่งขึ้น. กระทั่งมาถึงเดือนมีนาคม 1992 โรงเรียนแห่งนี้ได้ส่งมิชชันนารี 6,517 คนไปยังดินแดนต่าง ๆ ถึง 171 ประเทศ. นอกจากนี้ พวกผู้ชายยังได้รับการฝึกอบรมเพื่อจะดูแลสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ในต่างประเทศเช่นกัน. อย่างในปี 1992 จากผู้ประสานงานคณะกรรมการสาขา 97 แห่ง 75 คนได้เข้ารับการฝึกอบรมที่โรงเรียนกิเลียด.
9. โครงการฝึกอบรมมีบทบาทอย่างไรต่อความก้าวหน้าขยายตัวของงานประกาศข่าวดีและงานสั่งสอนคนให้เป็นสาวก?
9 นอกจากโรงเรียนกิเลียด โครงการฝึกอบรมอื่น ๆ ได้เตรียมไพร่พลของพระยะโฮวาไว้พร้อมที่จะขยายงานประกาศข่าวดีและปรับปรุงการทำงานของเขา. ตัวอย่างเช่น โรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้าดำเนินการสอนอยู่ในประชาคมพยานพระยะโฮวาทุกแห่งทั่วโลก. วิธีจัดเตรียมการเช่นนี้ ควบกับการประชุมวิธีปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ซึ่งฝึกอบรมผู้ประกาศราชอาณาจักรนับล้าน ๆ คนให้มีประสิทธิภาพในการประกาศสั่งสอนแก่สาธารณชน. อนึ่ง โรงเรียนพระราชกิจซึ่งให้การฝึกอบรมอย่างมีคุณค่าแก่บรรดาผู้ปกครองและผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้ง เพื่อบุคคลเหล่านี้สามารถจะให้ความเอาใจใส่ประชาคมต่าง ๆ ที่กำลังเจริญเติบโต. โรงเรียนการรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ได้ช่วยผู้ประกาศข่าวดีเต็มเวลาหลายคนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในงานประกาศสั่งสอนอันเป็นกิจกรรมของเขา. เมื่อเร็ว ๆ นี้ โรงเรียนฝึกอบรมผู้รับใช้ได้เปิดดำเนินการในหลายประเทศ เพื่อช่วยผู้ปกครองและผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้งที่เป็นโสดให้เป็นติโมเธียวสมัยใหม่.
10. ผลเป็นประการใดสืบเนื่องจากการฝึกอบรมที่ดีเยี่ยมซึ่งองค์การของพระเจ้าได้จัดขึ้น? (รวมทั้งข้อมูลในกรอบ.)
10 อะไรเป็นผลสืบเนื่องของการฝึกอบรมทุกประเภทเช่นนี้? ในปี 1991 พยานพระยะโฮวาบรรลุยอดผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่าสี่ล้านคนที่เอาการเอางานอยู่ใน 212 ประเทศ. อย่างไรก็ดี สภาพการณ์ต่างกันกับที่เคยเป็นอยู่ในปี 1939, กว่าร้อยละเจ็ดสิบของจำนวนดังกล่าวมาจากพวกที่เคยนับถือศาสนาคาทอลิก, ออโธดอกซ์, ไม่เคยอยู่ในศาสนาคริสเตียน หรือจากประเทศอื่นซึ่งไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง.—ดูข้อความในกรอบ “การแผ่ขยายตั้งแต่ปี 1939.”
เหตุผลที่ประสบความสำเร็จ
11. อัครสาวกเปาโลได้อ้างความสำเร็จของท่านฐานะเป็นผู้สั่งสอนว่าเนื่องมาจากผู้ใด?
11 พยานพระยะโฮวาไม่ถือว่าตนสมควรได้เกียรติเพราะการแผ่ขยายนี้. แต่พวกเขาแสดงทัศนะต่องานนี้แบบเดียวกับอัครสาวกเปาโล ดังที่ท่านได้ชี้แจงในจดหมายถึงชาวโกรินโธว่า “อะโปโลคือผู้ใด? เปาโลคือผู้ใด? เขาเป็นผู้รับใช้มาแจ้งให้ท่านทั้งหลายเชื่อ ตามซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ทุกคน. ข้าพเจ้าได้ปลูกไว้ อะโปโลได้รดน้ำ แต่พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้เกิดผล; เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกก็ดี คนที่รดน้ำก็ดี ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าต่างหากซึ่งทรงโปรดให้เกิดผล. เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ร่วมทำการด้วยกันกับพระเจ้า และเป็นตึกที่พระองค์ทรงสร้าง.”—1 โกรินโธ 3:5-7, 9.
12. (ก) พระวจนะของพระเจ้ามีบทบาทอะไรต่อความสำเร็จของคริสเตียนในงานประกาศข่าวดี? (ข) ใครได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขประชาคมคริสเตียน และอะไรเป็นแนวทางสำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงว่าเรายินยอมเชื่อฟังความเป็นประมุขของพระองค์?
12 ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าการเติบโตอันน่าประหลาดซึ่งพยานพระยะโฮวาประสบอยู่นั้นเป็นเพราะพระเจ้าทรงอวยพระพร. งานนี้เป็นของพระเจ้า. เพราะตระหนักในข้อเท็จจริงนี้เอง พยานฯจึงศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำมิได้ขาด. ทุกอย่างที่เขาสอนในงานประกาศข่าวดีเขายึดคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักเสมอ. (1 โกรินโธ 4:6; 2 ติโมเธียว 3:16) เคล็ดลับอีกข้อหนึ่งที่ทำให้งานประกาศข่าวดีบังเกิดผลน่าพอใจได้แก่การที่พวกเขายอมรับองค์พระเยซูคริสต์เต็มที่ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้แต่งตั้งขึ้นเป็นประมุขประชาคม. (เอเฟโซ 5:23) คริสเตียนในศตวรรษแรกแสดงการยอมรับโดยได้ร่วมมือกับคนเหล่านั้นที่พระเยซูทรงตั้งเป็นอัครสาวก. เหล่าอัครสาวกพร้อมด้วยผู้ปกครองอื่น ๆ แห่งประชาคมยะรูซาเลมประกอบกันเป็นคริสเตียนกรรมการปกครองในศตวรรษที่หนึ่ง. จากสวรรค์ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้คริสเตียนอาวุโสกลุ่มนี้จัดการกับประเด็นต่าง ๆ และบริหารงานด้านการประกาศข่าวดี. การร่วมมือของเปาโลด้วยความกระตือรือร้นควบกับวิธีการจากเบื้องบนยังผลให้ประชาคมต่าง ๆ ที่ท่านเยี่ยมมีการเพิ่มทวีขึ้น. (กิจการ 16:4, 5; ฆะลาเตีย 2:9) ทุกวันนี้ก็เช่นกัน ด้วยการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าและร่วมมืออย่างแข็งขันปฏิบัติตามการชี้นำที่มาจากคณะกรรมการปกครอง คริสเตียนผู้ประกาศข่าวดีย่อมแน่ใจได้ว่าตนจะประสบความสำเร็จในงานรับใช้.—ติโต 1:9; เฮ็บราย 13:17.
ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว
13, 14. (ก) อัครสาวกเปาโลได้ให้คำแนะนำอะไรตามบันทึกในฟิลิปปอย 2:1-4? (ข) ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พึงจดจำคำแนะนำนี้ขณะเข้าส่วนในงานประกาศข่าวดี?
13 อัครสาวกเปาโลได้แสดงความรักแท้ต่อผู้แสวงความจริง และไม่ได้แสดงหรือมีทัศนะว่าตัวเป็นใหญ่หรือเกลียดชังกันระหว่างผิว. ดังนั้น ท่านจึงสามารถแนะนำเพื่อนร่วมความเชื่อให้ ‘ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน.’—ฟิลิปปอย 2:1-4.
14 ทำนองเดียวกัน คริสเตียนแท้ผู้ประกาศข่าวดีสมัยนี้ไม่มีทัศนะถือตัวเป็นใหญ่ เมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติต่างผิวหรือต่างพื้นเพ. พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งจากสหรัฐที่ได้รับมอบหมายทำงานฐานะมิชชันนารีเผยแพร่ในแอฟริกาพูดว่า “ผมเพิ่งรู้ว่าเราไม่ได้เหนือกว่าเขา. เราอาจมีเงินมากกว่าและมีการศึกษาดีกว่า แต่พวกเขา [คนพื้นเมือง] มีคุณสมบัติหลายอย่างซึ่งเกินหน้าเรา.”
15. ผู้ที่รับมอบหมายทำงานในต่างแดนจะแสดงให้เห็นอย่างไรถึงความนับถืออย่างแท้จริงต่อผู้ที่คาดหวังจะเป็นสาวก?
15 โดยการแสดงความนับถือด้วยใจจริงต่อคนที่เราประกาศข่าวดีแก่เขา ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเราเปิดช่องทางไว้เผื่อเขาจะรับรองข่าวสารของพระคัมภีร์ง่ายขึ้น. นับว่าเป็นประโยชน์ด้วย เมื่อผู้เผยแพร่ข่าวดีในต่างแดนแสดงให้เห็นว่าตนมีความสุขท่ามกลางผู้คนซึ่งตนถูกมอบหมายให้ช่วย. มิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งซึ่งอยู่ในแอฟริกามานานถึง 38 ปีได้อธิบายว่า “ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งลึก ๆ อยู่ในใจว่าที่นี่คือบ้านของดิฉัน และผู้คนในประชาคมที่ดิฉันถูกมอบหมายล้วนเป็นพี่น้องชายหญิงของดิฉันทั้งสิ้น. ตอนที่ดิฉันกลับไปเยี่ยมบ้านในแคนาดา ดิฉันมีความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ที่บ้านจริง ๆ. สัปดาห์สุดท้ายในแคนาดาหรือราว ๆ นั้น ดิฉันกระวนกระวายใจอยากกลับมายังเขตที่รับมอบหมาย. ดิฉันรู้สึกอย่างนี้เสมอ. ดิฉันบอกกับนักศึกษาพระคัมภีร์และพวกพี่น้องในประชาคมว่าฉันดีใจเพียงไรที่ได้กลับมาอีก พวกเขาหยั่งรู้ค่าเช่นกันที่ดิฉันต้องการ อยู่กับเขา.”—1 เธซะโลนิเก 2:8.
16, 17. (ก) มิชชันนารีหลายคนรวมทั้งผู้ประกาศข่าวดีในท้องถิ่นรับเอาการท้าทายแบบไหนเพื่อจะเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพในงานรับใช้? (ข) มิชชันนารีคนหนึ่งมีประสบการณ์อะไรเนื่องจากเขาพูดภาษาท้องถิ่น?
16 เมื่อมิชชันนารีพบว่าในเขตทำงานท้องถิ่นมีกลุ่มผู้ใช้ภาษาต่างประเทศอย่างกว้างขวาง บางคนจึงบากบั่นพยายามเรียนภาษานั้น โดยวิธีนี้แสดงว่าเขาถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว. มิชชันนารีคนหนึ่งให้ข้อสังเกตดังนี้ “ในแอฟริกาตอนใต้ บางครั้งรู้สึกว่าไม่มีความไว้ใจกันระหว่างประชาชนที่มีพื้นเพทางแอฟริกาและคนที่มีพื้นเพทางยุโรป. แต่การที่เราพูดภาษาท้องถิ่นได้ขจัดความรู้สึกดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว.” การพูดภาษาของคนที่เราประกาศข่าวดีแก่เขาเป็นสิ่งช่วยได้มากที่จะเข้าถึงหัวใจของเขา. ที่จะพูดได้ขนาดนั้นต้องอาศัยความอุตสาหะและถ่อมใจเสมอไป. มิชชันนารีในประเทศหนึ่งแถบเอเชียชี้แจงว่า “ที่จะทำผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ ขณะที่คนอื่นหัวเราะเยาะความผิดพลาดของคุณนั้นเป็นการทดสอบ การยอมแพ้อาจดูเป็นเรื่องง่าย.” อย่างไรก็ดี ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนบ้านได้ช่วยให้มิชชันนารีคนนี้พากเพียรต่อไป.—มาระโก 12:30, 31.
17 พอเข้าใจได้ว่า ผู้คนเกิดความรู้สึกในทางบวกเมื่อผู้เผยแพร่ชาวต่างชาติพยายามพูดภาษาของเขาเมื่อบอกข่าวดีกับคนในท้องถิ่น. บางครั้งยังผลเป็นพระพรโดยไม่คาดคิด. มิชชันนารีคนหนึ่งในประเทศเลโซโท, แอฟริกา ได้ใช้ภาษาเซโซโทพูดกับสตรีผู้หนึ่งซึ่งทำงานในร้านทำผ้าม่าน. ขณะนั้นมีรัฐมนตรีจากอีกประเทศหนึ่งแถบแอฟริกามาเที่ยวชมสถานที่และได้ยินการสนทนา. เขาเดินมาหามิชชันนารีและกล่าวชมเธอด้วยอัธยาศัยอันดี เธอเองก็เริ่มพูดกับรัฐมนตรีผู้นั้นด้วยภาษาของเขา. เขาถามเธอว่า “ทำไมคุณไม่ไปทำงาน [ที่ประเทศของผม] และช่วยประชาชนของเราบ้าง เพราะคุณรู้ภาษาสวาฮิลิด้วย?” มิชชันนารีตอบอย่างมีไหวพริบว่า “คงดีมากนะคะ แต่ดิฉันเป็นพยานพระยะโฮวา และขณะนี้ที่ประเทศของท่านประกาศห้ามงานของพวกเราอยู่.” เขาตอบดังนี้ “โปรดอย่าคิดว่าพวกเราทุกคนเป็นปฏิปักษ์กับงานของคุณ. มีหลายคนที่เห็นดีเห็นชอบกับพยานพระยะโฮวา. สักวันหนึ่งคุณอาจจะไปสอนคนของเราที่นั่นได้โดยเสรี.” ไม่นานต่อมา มิชชันนารีผู้นี้ตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ข่าวว่าพยานพระยะโฮวาได้รับเสรีภาพในการนมัสการ ณ ประเทศนั้นทีเดียว.
เต็มใจสละสิทธิต่าง ๆ
18, 19. (ก) เปาโลพยายามเลียนแบบพระเยซูคริสต์นายของท่านด้วยแนวทางอะไรที่สำคัญ? (ข) จงเล่าประสบการณ์ (ที่มีในวรรค หรือของตนเอง) เพื่อชี้ถึงความสำคัญที่พึงหลีกเลี่ยงเหตุใด ๆ ที่อาจทำให้ผู้ที่เราประกาศข่าวดีแก่เขานั้นสะดุด.
18 เมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนว่า “จงประพฤติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าประพฤติตามอย่างพระคริสต์” ท่านเพิ่งกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้อื่นสะดุด โดยกล่าวดังนี้: “ถ้าท่านทั้งหลายจะกินจะดื่มก็ดี, หรือจะทำประการใดก็ดี, จงกระทำทุกสิ่งให้เป็นที่ถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า. อย่าเป็นต้นเหตุให้พวกยูดายหรือพวกต่างประเทศหรือคริสต์จักร [ประชาคม] ของพระเจ้าหลงผิด เช่นข้าพเจ้าได้ทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอใจแก่คนทั้งปวง มิได้เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะรอดได้.”—1 โกรินโธ 10:31-33; 11:1.
19 บรรดาผู้ประกาศข่าวดีเยี่ยงเปาโล ซึ่งเต็มใจเสียสละเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของผู้คนที่ได้ยินข่าวดีซึ่งได้ประกาศแก่เขาแล้วนั้น ได้รับพระพร. ตัวอย่างเช่น ประเทศหนึ่งในแอฟริกา มิชชันนารีสองสามีภรรยาได้ไปที่โรงแรมในท้องถิ่น เพื่อเลี้ยงฉลองวันครบรอบการสมรสของเขา. ทีแรกเขาตั้งใจจะสั่งเหล้าองุ่นกับอาหาร เนื่องจากพระคัมภีร์ไม่ตำหนิการใช้เหล้าองุ่นแต่พอประมาณ. (บทเพลงสรรเสริญ 104:15) แต่แล้วทั้งสองคนนี้ก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น เกรงจะเป็นสาเหตุทำให้คนในท้องถิ่นขุ่นใจ. สามีจำได้ว่า “หลังจากนั้น เราพบชายหัวหน้าพ่อครัวที่โรงแรมแห่งนั้นและได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับเขา. ต่อมานานพอควร เขาพูดกับเราว่า ‘คุณจำวันที่คุณมารับประทานอาหารเย็นที่โรงแรมได้ไหม? พวกเราอยู่หลังประตูห้องครัวแอบดูคุณ. คุณรู้ไหม พวกมิชชันนารีคริสต์จักรเหล่านั้นบอกพวกเราว่าการดื่มเหล้านั้นผิดศีล. แต่เมื่อเขามาที่โรงแรม เขาสั่งเหล้ามาดื่มไม่อั้น. ด้วยเหตุนั้น พวกเราจึงตกลงกันว่า ถ้าคุณสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พวกเราจะไม่ฟังเมื่อคุณมาประกาศสั่งสอน.’” เวลานี้ หัวหน้าพ่อครัวคนนั้นและอีกบางคนซึ่งทำงานในโรงแรมนั้นเป็นพยานฯที่รับบัพติสมาแล้ว.
ยังมีอีกมากที่จะทำ
20. ทำไมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะอดทนขณะเป็นผู้ประกาศข่าวดีอย่างกระตือรือร้น และหลายคนกำลังฉวยเอาสิทธิพิเศษอะไรที่น่าชื่นชม?
20 ขณะที่อวสานของระบบชั่วเร่งกระชั้นเข้ามา หลายคนยังคงอยากได้ยินข่าวดี และบัดนี้ยิ่งเป็นเวลาเร่งด่วนกว่าที่แล้ว ๆ มาสำหรับคริสเตียนทุกคนจะพึงเพียรอดทนฐานะผู้ประกาศข่าวดีที่สัตย์ซื่อ. (มัดธาย 24:13) คุณสามารถขยายบทบาทของคุณในงานนี้ได้ไหม โดยการเข้ามาเป็นผู้ประกาศข่าวดีในขอบข่ายพิเศษเยี่ยงฟิลิป, เปาโล, บาระนาบา, ซีลา, หรือติโมเธียว? หลายคนกระทำอยู่ในทำนองคล้าย ๆ กัน โดยการเข้าร่วมสมทบกับบรรดาไพโอเนียร์ และจัดหาช่องทางเพื่อตัวเองจะพร้อมเข้าสู่งานรับใช้ในเขตที่มีความต้องการมากกว่า.
21. ‘ประตูซึ่งนำไปสู่กิจกรรม’ได้เปิดกว้างให้แก่ไพร่พลของพระยะโฮวาในทางใด?
21 ไม่นานมานี้ ทุ่งกว้างไพศาลสำหรับงานประกาศข่าวดีได้เปิดให้แล้วในหลายประเทศแถบแอฟริกา, เอเชีย, และยุโรปตะวันออก ซึ่งเมื่อก่อนงานของพยานพระยะโฮวาถูกกีดขวาง. ดังที่เคยเกิดขึ้นกับอัครสาวกเปาโล ‘ประตูซึ่งนำไปสู่กิจกรรมได้เปิดกว้าง’ แก่ไพร่พลของพระยะโฮวา. (1 โกรินโธ 16:9) ยกตัวอย่าง มิชชันนารีผู้เผยแพร่กิตติคุณซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มาที่ประเทศโมซัมบิกในแอฟริกาไม่สามารถรับมือกับจำนวนคนที่ต้องการศึกษาพระคัมภีร์ได้. พวกเราดีใจเพียงไรที่งานของพยานพระยะโฮวาในประเทศนี้เป็นที่ยอมรับถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1991!
22. เขตทำงานในท้องถิ่นของเราได้มีการประกาศให้คำพยานทั่วถึงหรือไม่ก็ตาม พวกเราทุกคนควรตั้งเจตจำนงแน่วแน่จะทำอะไร?
22 ในหลายประเทศซึ่งพวกเรามีเสรีภาพในการนมัสการเสมอมา พี่น้องต่างก็ชื่นชมในการเพิ่มทวีอย่างต่อเนื่อง. ใช่แล้ว ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน ก็ยังมี ‘งานขององค์พระผู้เป็นเจ้าบริบูรณ์อยู่ทุกเวลา.’ (1 โกรินโธ 15:58) เมื่อเป็นเช่นนั้น จงให้เราใช้เวลาที่ยังมีอยู่อย่างรอบคอบต่อ ๆ ไป ขณะที่เราแต่ละคน ‘กระทำการงานของผู้เผยแพร่กิตติคุณ สัมฤทธิ์ผลเต็มที่ในงานรับใช้ของเรา.’—2 ติโมเธียว 4:5; เอเฟโซ 5:15, 16.
คุณจะอธิบายอย่างไร?
▫ ผู้กระทำงานประกาศข่าวดีหมายถึงอะไร?
▫ เนื้อความของข่าวดีได้เพิ่มพูนมากขึ้นโดยวิธีใดหลังปี 1914?
▫ งานประกาศข่าวดีได้รุดหน้าอย่างไรตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา?
▫ ปัจจัยสำคัญอะไรเป็นส่วนส่งเสริมความสำเร็จแห่งงานเผยแพร่กิตติคุณ?
[กรอบหน้า 19]
การแผ่ขยายตั้งแต่ปี 1939
พิจารณาตัวอย่างจากสามทวีปที่มิชชันนารีซึ่งจบหลักสูตรฝึกอบรมจากโรงเรียนกิเลียดถูกส่งไปที่นั่น. ย้อนไปในปี 1939 มีผู้ประกาศราชอาณาจักรเพียง 636 คนรายงานจากแอฟริกาตะวันตก. มาในปี 1991 จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 200,000 กว่าคนในสิบสองประเทศทางด้านแอฟริกาตะวันตก. นอกจากนี้ มิชชันนารีมีส่วนช่วยในการทวีจำนวนผู้ประกาศในประเทศต่าง ๆ ในอเมริกาใต้. ประเทศหนึ่งได้แก่บราซิล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักร 114 คนในปี 1939 เป็น 335,039 คนในเดือนเมษายนปี 1992. การเติบโตทำนองเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อมิชชันนารีไปถึงประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พยานพระยะโฮวาจำนวนเล็กน้อยในประเทศญี่ปุ่นถูกข่มเหงอย่างหนัก และงานของเขาหยุดชะงัก. ครั้นแล้วปี 1949 มิชชันนารี 13 คนได้ไปถึงเพื่อช่วยฟื้นฟูงานขึ้นใหม่. ปีรับใช้ปีนั้น ผู้ประกาศท้องถิ่นไม่ถึงสิบคนได้รายงานการประกาศสำหรับทั้งประเทศ ส่วนเดือนเมษายน 1992 รวมยอดจำนวนผู้ประกาศทั้งสิ้นมีถึง 167,370 คน.
[กรอบหน้า 21]
คริสต์ศาสนจักรกับปัญหาทางด้านภาษา
มิชชันนารีบางคนจากคริสต์ศาสนจักรเคยใช้ความพยายามอย่างหนักเรียนภาษาต่างประเทศ แต่มีไม่น้อยคาดหมายประชาชนในท้องถิ่นพูดภาษาฝรั่งแบบพวกเขา. ดังเจฟฟรีย์ มัวร์เฮาส์ชี้แจงในหนังสือที่เขาแต่งชื่อ ผู้เผยแพร่ศาสนา (อังกฤษ) ใจความว่า
“ปัญหามีอยู่ว่าการได้มาซึ่งภาษาท้องถิ่นนั้นปรากฏออกมาว่ามีแต่เพียงเพื่อแปลพระคัมภีร์. การใช้ความพยายามมีน้อยมาก ไม่ว่าเป็นความพยายามส่วนตัวหรือโดยสมาคมต่าง ๆ ที่ว่าจ้างเขา เพื่อเป็นที่แน่ใจได้ว่ามิชชันนารีสามารถพูดภาษาพื้นบ้านได้คล่องถึงขนาดก็จะก่อให้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งระหว่างบุคคลสองฝ่าย. มิชชันนารีทุกคนจะรู้ศัพท์พื้นบ้านนิด ๆ หน่อย ๆ. ยิ่งกว่านั้น การติดต่อสื่อความโดยทั่วไปทำกันอย่างน่าใจหาย และได้ทำให้จังหวะพูดภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ เสื่อม พร้อมกับการทึกทักเอาว่า ชาวแอฟริกันระดับพื้นบ้านจะต้องยอมรับภาษาของผู้มาเยือน. ที่ร้ายที่สุด สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งแสดงถึงการถือตัวเหนือกว่าในด้านเชื้อชาติ.”
ในปี 1922 โรงเรียนค้นคว้าเรื่องตะวันออกและแอฟริกาในกรุงลอนดอนได้ตีพิมพ์เรื่องปัญหาทางภาษา. รายงานแจ้งว่า “ความเห็นของเราถือว่าเฉลี่ยความช่ำชองของมิชชันนารีทางด้านภาษาพื้นเมืองนั้น . . . อยู่ในเกณฑ์ต่ำเป็นที่น่าเสียดายและเป็นอันตรายด้วยซ้ำ.”
มิชชันนารีแห่งสมาคมว็อชเทาเวอร์คำนึงอยู่เสมอว่าต้อง เรียนภาษาท้องถิ่น ข้อนี้เองเป็นคำอธิบายความสำเร็จของเขาในงานเผยแพร่อย่างมิชชันนารี.