แม้ถูกสร้างด้วยผงคลีแต่จงแน่วแน่รุดหน้าต่อไป!
“พระองค์ทรงทราบร่างกายของพวกข้าพเจ้าแล้ว; พระองค์ทรงระลึกอยู่ว่าพวกข้าพเจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน.”—บทเพลงสรรเสริญ 103:14.
1. คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ไหมที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างด้วยผงคลี? จงอธิบาย.
ว่ากันทางกายภาพแล้ว เราเป็นผงคลี. “พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน, ระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางจมูกให้มีชีวิตหายใจเข้าออก; มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตต์วิญญาณมีชีวิตอยู่.” (เยเนซิศ 2:7) คำพรรณนาง่าย ๆ เรื่องการสร้างมนุษย์นี้ลงรอยกันกับความจริงทางวิทยาศาสตร์. ธาตุมากกว่า 90 ชนิดอันเป็นส่วนประกอบของร่างกายมนุษย์พบได้ใน “ผงคลีดิน.” นักเคมีคนหนึ่งเคยอ้างว่า ร่างกายของคนที่เติบโตเต็มที่แล้วจะมีออกซิเจน 65 เปอร์เซ็นต์, คาร์บอน 18 เปอร์เซ็นต์, ไฮโดรเจน 10 เปอร์เซ็นต์, ไนโตรเจน 3 เปอร์เซ็นต์, แคลเซียม 1.5 เปอร์เซ็นต์ และฟอสฟอรัส 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นธาตุอื่น. การประมาณส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้แม่นยำทั้งหมดหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ. ข้อเท็จจริงยังคงเป็นดังนี้: “เราเป็นผงคลีดิน.”
2. วิธีที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ก่อให้มีการตอบสนองเช่นไรในตัวคุณ และเพราะเหตุใด?
2 นอกจากพระยะโฮวาแล้วมีใครอีกล่ะสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่ประณีตซับซ้อนเช่นนั้นได้จากแค่ผงคลีเท่านั้น? ผลงานของพระยะโฮวาดีพร้อม ไม่มีที่ตำหนิ ฉะนั้น การที่พระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมนุษย์โดยวิธีนี้ จึงไม่มีสาเหตุจะบ่นว่าอย่างแน่นอน. อันที่จริง การที่พระผู้สร้างองค์ใหญ่ยิ่งสามารถสร้างมนุษย์จากผงคลีดินได้อย่างน่าเกรงขามและน่าพิศวงนี้เอง จึงเพิ่มพูนการหยั่งรู้ค่าของเราที่มีต่อฤทธิ์อำนาจ, ความเชี่ยวชาญ, และสติปัญญาที่ใช้ปฏิบัติได้ผลจริงอันไม่มีขีดจำกัดของพระองค์.—พระบัญญัติ 32:4, ล.ม. เชิงอรรถ; บทเพลงสรรเสริญ 139:14.
สภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป
3, 4. (ก) ด้วยการสร้างมนุษย์จากผงคลี พระเจ้าไม่ทรงมุ่งหมายจะให้เป็นไปประการใด? (ข) ดาวิดกล่าวพาดพิงถึงอะไรที่บทเพลงสรรเสริญ 103:14 และท้องเรื่องช่วยเราลงความเห็นเช่นนั้นอย่างไร?
3 สิ่งมีชีวิตที่สร้างด้วยผงคลีย่อมมีขีดจำกัด. อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงตั้งพระทัยจะให้ขีดจำกัดเหล่านั้นเป็นภาระหนักหรือจำกัดเกินไป. ขีดจำกัดเหล่านั้นไม่มีจุดมุ่งหมายจะทำให้เกิดความท้อใจหรือยังผลให้ขาดความสุข. กระนั้น ดังท้องเรื่องของถ้อยคำที่ดาวิดกล่าวในบทเพลงสรรเสริญบท 103:14 แสดงไว้ ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่มนุษย์มักจะประสบนั้นสามารถก่อความท้อแท้และยังผลไม่ให้มีความสุข. เพราะเหตุใด? เมื่ออาดามกับฮาวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาจึงทำให้สภาพการณ์ของครอบครัวของเขาในอนาคตผันแปรไป. การถูกสร้างจากผงคลีจึงเริ่มมีความหมายใหม่.a
4 ดาวิดไม่ได้พูดเกี่ยวกับขีดจำกัดตามธรรมชาติซึ่งแม้แต่มนุษย์สมบูรณ์ที่ถูกสร้างจากผงคลีก็มีอยู่แล้ว แต่พูดถึงจุดอ่อนของมนุษย์ด้วยเหตุที่ได้สืบทอดความไม่สมบูรณ์. มิฉะนั้น ท่านคงไม่ตรัสถึงพระยะโฮวาว่า “ผู้ทรงโปรดยกความผิดทั้งหมดของเจ้า; ผู้ทรงรักษาบรรดาโรคของเจ้าให้หาย; ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเจ้าให้พ้นจากหลุมฝังศพ; พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำแก่พวกข้าพเจ้าตามการผิด, และมิได้ทรงปรับโทษตามความอสัตย์อธรรมของพวกข้าพเจ้านั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 103:2-4, 10) ทั้งที่ถูกสร้างจากผงคลี แต่ถ้ามนุษย์สมบูรณ์ได้รักษาความซื่อสัตย์ เขาจะไม่ทำผิด ทำบาป ซึ่งจำต้องได้รับการอภัยโทษ; หรือเขาจะไม่เป็นโรคซึ่งต้องรับการเยียวยารักษา. ที่สำคัญอย่างยิ่ง เขาจะไม่ต้องอยู่ในหลุมฝังศพเลยซึ่งเขาจะออกมามีชีวิตอีกครั้งก็โดยการถูกปลุกขึ้นจากตายเท่านั้น.
5. เหตุใดจึงไม่ยากที่พวกเราจะเข้าใจถ้อยแถลงของดาวิด?
5 เพราะความไม่สมบูรณ์นี้เอง พวกเราทุกคนจึงได้พานพบสิ่งต่าง ๆ อย่างที่ดาวิดกล่าวไว้. เรารู้ตัวเสมอว่าเรามีขีดจำกัดเนื่องจากเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์. เราเศร้าเสียใจที่บางครั้งขีดจำกัดเหล่านี้ดูเหมือนจะทำลายสัมพันธภาพของเรากับพระยะโฮวาหรือกับพี่น้องคริสเตียนของเรา. เรารู้สึกเสียใจที่ความไม่สมบูรณ์ของเราและความกดดันจากโลกของซาตานบางครั้งทำให้เราท้อแท้สิ้นหวัง. เนื่องจากอวสานแห่งการปกครองของซาตานใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว โลกของมันก็ยิ่งเพิ่มความกดดันมากขึ้นแก่คนทั่วไปและแก่คริสเตียนโดยเฉพาะ.—วิวรณ์ 12:12.
6. เหตุใดคริสเตียนบางคนอาจเกิดความท้อแท้ และซาตานอาจใช้ประโยชน์อย่างไรจากความรู้สึกในแง่นี้?
6 คุณรู้สึกไหมว่า การดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสเตียนนั้นยากขึ้นทุกที? คริสเตียนบางคนเคยปรารภว่า ยิ่งอยู่ในความจริงนาน ดูเหมือนว่าตัวเขายิ่งไม่สมบูรณ์มากขึ้น. อย่างไรก็ตาม คงเป็นเพราะเขาได้มาสำนึกมากขึ้นถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง และการที่เขาไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานของพระยะโฮวาถึงขนาดที่ตนปรารถนาจะทำ. ที่แท้แล้ว ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งปกติขณะที่คริสเตียนเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในความรู้และความหยั่งรู้ค่าต่อข้อเรียกร้องอันเที่ยงธรรมของพระยะโฮวา. นับว่าสำคัญที่จะไม่ปล่อยให้การตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นเหตุให้เราท้อแท้ถึงกับลงมือทำอย่างที่ซาตานต้องการ. ตลอดหลายศตวรรษ ซาตานพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ที่จะใช้ประโยชน์จากความท้อแท้เพื่อผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจะได้เลิกการนมัสการแท้. กระนั้นก็ดี ความรักแท้ต่อพระเจ้า รวมทั้ง “ความเกลียดเต็มที่” ต่อพญามารได้ป้องกันผู้รับใช้ส่วนใหญ่มิให้เลิกนมัสการพระเจ้า.—บทเพลงสรรเสริญ 139:21, 22, ล.ม.; สุภาษิต 27:11.
7. บางครั้งเราอาจเป็นเหมือนโยบในแง่ใด?
7 กระนั้น ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาอาจรู้สึกท้อแท้เป็นครั้งคราว. การไม่พอใจในความสำเร็จของตัวเองอาจเป็นสาเหตุก็ได้. องค์ประกอบต่าง ๆ ทางกายภาพหรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับคนในครอบครัว, เพื่อนฝูง, หรือผู้ทำงานร่วมกันอาจเกี่ยวข้องด้วย. โยบผู้ซื่อสัตย์เกิดความท้อแท้มากจนถึงกับวิงวอนพระเจ้าดังนี้: “โอ้หากว่าพระองค์จะทรงซ่อนข้าฯไว้ในหลุมฝังศพ, จะทรงเก็บข้าฯไว้ในที่เร้นลับจนกว่าพระพิโรธของพระองค์จะหมดสิ้นไป, โดยมีเวลาที่ทรงกำหนดไว้สำหรับข้าฯ แล้วจะระลึกถึงข้าฯอีกทีก็จะดี!” ถ้าสภาพแวดล้อมที่เดือดร้อนลำบากได้ผลักดันโยบซึ่ง “เป็นคนดีรอบคอบและชอบธรรม, เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบหลีกจากความชั่ว” ให้เกิดความท้อแท้ชั่วระยะหนึ่ง จึงไม่แปลกที่สิ่งเดียวกันนั้นจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้เหมือนกัน.—โยบ 1:8, 13-19; 2:7-9, 11-13; 14:13.
8. ทำไมความรู้สึกท้อแท้เป็นครั้งคราวอาจเป็นสัญลักษณ์ในทางที่ดี?
8 ช่างเป็นการปลอบโยนเสียจริง ๆ ที่รู้ว่าพระยะโฮวาทรงหยั่งเห็นในหัวใจและไม่ทรงมองข้ามเจตคติที่ดี! พระองค์จะไม่ทอดทิ้งบุคคลที่มีความจริงใจอยากกระทำให้ชอบพระทัยพระองค์. ที่จริง ความท้อแท้เป็นครั้งคราวอาจเป็นสัญลักษณ์ในทางดี ซึ่งบ่งชี้ว่า เราไม่ถือเอางานรับใช้พระยะโฮวาเป็นเรื่องเล่น ๆ. เมื่อมองจากจุดนี้ คนที่ไม่เคยต่อสู้ความท้อแท้อาจไม่มีความสำนึกฝ่ายวิญญาณถึงความอ่อนแอของตนเหมือนคนอื่น ๆ. จำไว้ว่า “คนที่คิดว่าตัวมั่นคงดีอยู่แล้วจงระวังให้ดี, กลัวว่าจะหลงผิดไป.”—1 โกรินโธ 10:12; 1 ซามูเอล 16:7; 1 กษัตริย์ 8:39; 1 โครนิกา 28:9.
พวกเขาถูกสร้างด้วยผงคลีเช่นกัน
9, 10. (ก) คริสเตียนควรเลียนแบบความเชื่อของผู้ใด? (ข) โมเซแสดงปฏิกิริยาเช่นไรต่อการงานที่มอบหมายให้ท่านทำ?
9 พระธรรมเฮ็บรายบท 11 มีรายชื่อพยานพระยะโฮวาก่อนยุคคริสเตียนที่สำแดงความเชื่ออันมั่นคง. คริสเตียนสมัยศตวรรษแรกและคริสเตียนสมัยนี้ก็ปฏิบัติเหมือนกัน. บทเรียนที่พึงเรียนเอาจากพวกเขานั้นมีคุณค่ามหาศาล. (เทียบกับเฮ็บราย 13:7.) ยกตัวอย่าง คริสเตียนจะเลียนแบบความเชื่อของใครที่จะดีไปกว่าแบบอย่างของโมเซ? ท่านถูกเรียกให้แถลงข่าวการพิพากษาต่อหน้าฟาโรห์แห่งอียิปต์ ผู้ปกครองโลกที่ทรงอำนาจเกรียงไกรที่สุดสมัยนั้น. ทุกวันนี้ พยานพระยะโฮวาต้องประกาศข่าวการพิพากษาทำนองเดียวกันที่มีต่อศาสนาเท็จและองค์การอื่น ๆ ซึ่งต่อต้านขัดขวางราชอาณาจักรของพระคริสต์ที่รับการสถาปนาแล้ว.—วิวรณ์ 16:1-15.
10 การปฏิบัติงานให้สำเร็จตามที่รับมอบหมายนั้นไม่ง่ายเสียทีเดียว ดังโมเซแสดงให้เห็น. ท่านถามว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะไปทูลกษัตริย์ฟาโร, และนำชนชาติยิศราเอลออกจากประเทศอายฆุบโต?” เราเข้าใจความรู้สึกของท่านที่คิดว่าไม่มีความสามารถพอ. นอกจากนั้น ท่านกังวลว่า ปฏิกิริยาโต้ตอบของชาวยิศราเอลจะเป็นอย่างไร: “เขาจะไม่เชื่อฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า.” ครั้นแล้วพระยะโฮวาทรงชี้แจงให้ท่านทราบวิธีพิสูจน์อำนาจที่ได้รับจากพระองค์ แต่โมเซมีข้อขัดข้องอีกอย่างหนึ่ง. ท่านทูลพระยะโฮวาดังนี้: “ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพเจ้าไม่ใช่คนช่างพูด; ในกาลก่อนก็ดี, หรือตั้งแต่เวลาพระองค์ตรัสแก่ทาสของพระองค์แล้วก็ดี, ข้าพเจ้าเป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว.”—เอ็กโซโด 3:11; 4:1, 10.
11. เหมือนกับโมเซ พวกเราอาจมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อพันธะหน้าที่ตามระบอบของพระเจ้า แต่โดยการแสดงความเชื่อ เราสามารถมั่นใจในเรื่องใด?
11 บางครั้งเราอาจมีความรู้สึกเหมือนโมเซ. แม้นว่าเราตระหนักในพันธะหน้าที่ตามระบอบของพระเจ้า เราอาจสงสัยว่า เราจะทำหน้าที่เหล่านั้นสำเร็จได้อย่างไร. อาทิ ‘ฉันเป็นใครที่จะออกไปพบประชาชน ซึ่งบางคนมีตำแหน่งสูงกว่าในสังคม, ในทางเศรษฐกิจ, หรือทางการศึกษาและบังอาจสอนเขาในแนวทางของพระเจ้า? พี่น้องฝ่ายวิญญาณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อฉันออกความเห็น ณ การประชุมคริสเตียน หรือเมื่อขึ้นไปบรรยายบนเวทีในโรงเรียนตามระบอบของพระเจ้า? พวกเขาจะดูออกไหมว่าฉันเป็นคนอ่อนหัด?’ แต่จำไว้ว่า พระยะโฮวาทรงอยู่กับโมเซและเตรียมท่านไว้พร้อมสำหรับงานมอบหมายเพราะโมเซได้สำแดงความเชื่อ. (เอ็กโซโด 3:12; 4:2-5, 11, 12) ถ้าเราเอาอย่างความเชื่อของโมเซ พระยะโฮวาจะอยู่กับเราและเตรียมเราไว้พร้อมสำหรับงานที่เราต้องทำเช่นกัน.
12. ความเชื่อของดาวิดสามารถหนุนใจเราอย่างไรในขณะที่เรารู้สึกท้อแท้เนื่องจากบาปหรือข้อบกพร่อง?
12 ใครก็ตามที่รู้สึกข้องขัดใจหรือท้อแท้เนื่องจากได้ทำบาปหรือมีจุดอ่อนก็เป็นที่แน่นอนว่าจะสามารถเข้าใจคำพูดของดาวิดเมื่อท่านกล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้ารู้สำนึกการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าแล้ว; และการบาปของข้าพเจ้าก็อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ.” ดาวิดยังได้ทูลวิงวอนพระยะโฮวาอีกว่า “ขอทรงเมินพระพักตร์จากความผิดต่าง ๆ ของข้าพเจ้า, และทรงลบล้างบรรดาความอสัตย์อธรรมของข้าพเจ้าเสียให้หมด.” กระนั้น ท่านไม่เคยปล่อยให้ความท้อแท้มาเป็นเหตุให้ท่านหมดความปรารถนาจะรับใช้พระยะโฮวา. “ขอพระองค์อย่าทรงผลักไสข้าพเจ้าไปเสียให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์; และขออย่าทรงนำพระจิตต์บริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า.” ดาวิดเป็น “ผงคลีดิน” ชัด ๆ แต่พระยะโฮวาไม่ละทิ้งท่าน เพราะดาวิดแสดงความเชื่อในคำสัญญาของพระยะโฮวาที่ว่า “ใจแตกและฟกช้ำแล้วนั้นพระองค์ไม่ดูถูกดูหมิ่นเลย.”—บทเพลงสรรเสริญ 38:1-9; 51:3, 9, 11, 17.
13, 14. (ก) ทำไมเราไม่ควรเป็นผู้ติดตามมนุษย์? (ข) ตัวอย่างของเปาโลและเปโตรแสดงให้เห็นอย่างไรว่า แม้ตัวท่านเองก็ถูกสร้างด้วยผงคลี?
13 แต่โปรดสังเกต แม้นเราจะถือเอา “กลุ่มใหญ่แห่งพยานล้อมรอบเราเสมือนเมฆ” เป็นการหนุนใจให้ ‘วิ่งด้วยความอดทนในการวิ่งแข่งซึ่งกำหนดไว้ตรงหน้าเรา’ แต่ก็ใช่ว่าเราจะเป็นผู้เจริญรอยตามเขา. มีการกำชับให้เราเจริญรอยตาม “พระเยซู ผู้นำองค์เอกและผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์ขึ้น” ไม่ใช่ติดตามแบบอย่างมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ติดตามแม้แต่เหล่าอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ในศตวรรษแรกเสียด้วยซ้ำ.—เฮ็บราย 12:1, 2, ล.ม.; 1 เปโตร 2:21.
14 อัครสาวกเปาโลและอัครสาวกเปโตร ซึ่งเป็นเสาหลักในประชาคมคริสเตียน บางครั้งก็สะดุดล้ม. เปาโลเขียนว่า “ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ, แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำข้าพเจ้ายังทำอยู่. โอข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง!” (โรม 7:19, 24) และในขณะที่มั่นใจตัวเองเกินไป เปโตรได้ทูลพระเยซูดังนี้: “แม้คนทั้งปวงจะสะดุดกะดากใจเพราะพระองค์, ข้าพเจ้าจะสะดุดกะดากใจหามิได้เลย.” ครั้นพระเยซูกล่าวเตือนเปโตรว่าท่านจะปฏิเสธพระองค์สามครั้ง เปโตรคัดค้านนายของท่านด้วยความลำพองใจ ด้วยการคุยโตว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายกับพระองค์, ข้าพเจ้าก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย.” ถึงกระนั้น ท่านก็ได้ปฏิเสธพระเยซูจริง ความผิดซึ่งทำให้ท่านร้องไห้อย่างขมขื่น. ใช่แล้ว เปโตรและเปาโลถูกสร้างด้วยผงคลี.—มัดธาย 26:33-35.
15. ทั้งที่เราถูกสร้างด้วยผงคลี เรามีอะไรเป็นแรงกระตุ้นให้รุดหน้าต่อไป?
15 อย่างไรก็ตาม ทั้งที่มีจุดอ่อน โมเซ, ดาวิด, เปาโล, เปโตร และคนอื่นอย่างพวกเขาได้รับชัยชนะในที่สุด. เพราะเหตุใด? เพราะพวกเขาสำแดงความเชื่ออันมั่นคงในพระยะโฮวา วางใจพระองค์โดยสิ้นเชิง และติดสนิทกับพระองค์แม้มีอุปสรรคขัดขวางก็ตาม. เขาหมายพึ่งพระองค์ “เพื่อกำลังที่เกินกว่ากำลังปกติ.” และพระองค์ประทานกำลังแก่เขา ไม่ได้ปล่อยเขาล้มจนไม่อาจฟื้นตัวได้อีก. ถ้าเราสำแดงความเชื่ออยู่เรื่อยไป เราย่อมแน่ใจได้ว่า เมื่อเราถูกตัดสินในวันพิพากษา ก็จะสอดคล้องกับถ้อยคำที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงานของท่านและความรักที่ท่านได้สำแดงต่อพระนามของพระองค์.” ช่างเป็นพลังกระตุ้นให้เรารุดหน้าต่อ ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่โดยแท้จริงแล้ว เราถูกสร้างด้วยผงคลี!—2 โกรินโธ 4:7; เฮ็บราย 6:10, ล.ม.
การถูกสร้างด้วยผงคลีหมายความอย่างไรสำหรับพวกเราเป็นรายบุคคล?
16, 17. เมื่อถึงคราวตัดสิน พระยะโฮวาทรงใช้หลักการซึ่งได้ชี้แจงไว้ที่ฆะลาเตีย 6:4 อย่างไร?
16 ประสบการณ์สอนบิดามารดาและครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นแนวทางแห่งสติปัญญาที่จะพิจารณาตัดสินบุตรหรือนักเรียนตามความสามารถของแต่ละคน ไม่ใช่อาศัยการเปรียบเทียบกับพี่ ๆ น้อง ๆ หรือนักเรียนในชั้นเป็นเกณฑ์. ข้อนี้ลงรอยกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งคริสเตียนได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติตามที่ว่า “ให้แต่ละคนพิสูจน์ดูว่างานของเขาเองเป็นอย่างไร และครั้นแล้วเขาจะมีเหตุที่จะปีติยินดีเกี่ยวกับตัวเขาเองเท่านั้น และไม่ใช่โดยเปรียบเทียบกับคนอื่น.”—ฆะลาเตีย 6:4, ล.ม.
17 สอดคล้องกับหลักการนั้น แม้พระยะโฮวาทรงดำเนินการกับไพร่พลของพระองค์ในฐานะกลุ่มชนที่ได้รับการจัดให้เป็นระเบียบ แต่พระองค์ทรงตัดสินพวกเขาเป็นรายบุคคล. โรม 14:12 (ล.ม.) อ่านดังนี้: “เหตุฉะนั้น เราแต่ละคนจะให้การต่อพระเจ้าด้วยตัวเอง.” พระยะโฮวาทรงทราบส่วนประกอบทางพันธุกรรมของผู้รับใช้แต่ละคนของพระองค์เป็นอย่างดี. พระองค์ทรงรู้จักโครงสร้างด้านร่างกายและจิตใจ, ความสามารถของเขา, ความเข้มแข็งและความอ่อนแอที่เขาสืบทอดมา, โอกาสต่าง ๆ ที่เขามี และรวมไปถึงขนาดที่เขาใช้โอกาสเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์เพื่อบังเกิดผลในแนวทางของคริสเตียน. คำตรัสของพระเยซูเกี่ยวด้วยหญิงม่ายที่ได้ใส่เงินสองเหรียญในคลังแห่งพระวิหารและอุทาหรณ์เรื่องเมล็ดพืชซึ่งหว่านลงในดินดีเป็นตัวอย่างหนุนใจคริสเตียนที่อาจรู้สึกท้อแท้เนื่องจากเขาเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอย่างไม่สุขุม.—มาระโก 4:20; 12:42-44.
18. (ก) เหตุใดเราพึงตรวจสอบดูว่า การเป็นเพียงผงธุลีนั้นหมายความอย่างไรสำหรับพวกเราแต่ละคน? (ข) ทำไมการสำรวจตัวเองอย่างตรงไปตรงมาไม่น่าจะทำให้เราตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง?
18 เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะตรวจสอบดูว่า การเป็นแค่ผงคลีนั้นหมายถึงอะไรในกรณีของตัวเราเอง เพื่อว่าเราจะรับใช้ได้เต็มศักยภาพ. (สุภาษิต 10:4; 12:24; 18:9; โรม 12:1) โดยการรู้สำนึกอย่างแท้จริงถึงจุดอ่อนของตัวเองเท่านั้น เราถึงจะตื่นตัวต่อความจำเป็นและความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขปรับปรุง. เมื่อเราสำรวจตัวเอง ขออย่ามองข้ามฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสามารถช่วยเราในการแก้ไขปรับปรุง. โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้แหละ เอกภพได้ถูกสร้างขึ้น, คัมภีร์ไบเบิลได้รับการจารึก, และท่ามกลางโลกที่กำลังจะสิ้นสุดลง สังคมโลกใหม่ก็บังเกิดขึ้นมา. ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าย่อมมีพลังเพียงพออย่างแน่นอนที่จะประทานสติปัญญาและพลังเข้มแข็งซึ่งจำเป็นต่อการคงไว้ซึ่งความจงรักภักดีแก่คนเหล่านั้นที่ทูลขอ.—มีคา 3:8; โรม 15:13; เอเฟโซ 3:16.
19. การที่เราถูกสร้างด้วยผงคลีไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับอะไร?
19 พวกเรารู้สึกอบอุ่นใจเพียงใดเมื่อทราบว่าพระยะโฮวาทรงระลึกว่า เราเป็นผงคลี! อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรชักเหตุผลว่านี้แหละคือข้อแก้ตัวอันถูกต้องสำหรับการย่อหย่อนความขยันขันแข็ง หรือบางทีถึงกับใช้แก้ตัวเมื่อทำผิด. อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! ที่พระยะโฮวาทรงระลึกว่าเราเป็นผงคลีนั้นแสดงถึงความกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระองค์. แต่เราก็ไม่ต้องการเป็น “คนดูหมิ่นพระเจ้า ซึ่งพลิกแพลงเอาพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระเจ้าของเราไปใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับความประพฤติอันหละหลวมและพิสูจน์ตัวเท็จต่อผู้เป็นเจ้าของและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่ผู้เดียว พระเยซูคริสต์.” (ยูดา 4, ล.ม.) การถูกสร้างด้วยผงคลีไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะเป็นคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า. คริสเตียนพยายามต่อสู้แนวโน้มต่าง ๆ ในทางผิด เขาทุบตีร่างกายตัวเองและจูงมันไปเยี่ยงทาส ทั้งนี้ก็เพื่อเลี่ยง “ไม่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย.”—เอเฟโซ 4:30; 1 โกรินโธ 9:27, ล.ม.
20. (ก) ในสองขอบเขตอะไรซึ่งเรามี “งานมากที่จะให้ทำในงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”? (ข) เหตุใดเรามีเหตุผลจะมองในแง่ดี?
20 บัดนี้ ในช่วงปีท้าย ๆ แห่งระบบโลกของซาตาน หาใช่เวลาที่จะเพลามือไม่—ตราบใดที่งานประกาศราชอาณาจักรเกี่ยวข้องอยู่ด้วย และตราบใดที่การพัฒนาผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นเกี่ยวข้องอยู่ด้วย. ทั้งสองขอบเขตนี้ เรามี ‘การงานมากมายที่จะทำ.’ บัดนี้เป็นเวลาที่จะเร่งรุดไปข้างหน้า เพราะเรารู้ว่า งานของเรา “ไม่ไร้ประโยชน์.” (1 โกรินโธ 15:58, ล.ม.) พระยะโฮวาจะทรงค้ำจุนเรา เพราะดาวิดได้กล่าวถึงพระองค์ดังนี้: “ไม่มีวันที่พระองค์จะทรงยอมให้คนชอบธรรมกะปลกกะเปลี้ยเลย.” (บทเพลงสรรเสริญ 55:22, ล.ม.) พวกเรารู้สึกปีติยินดีเพียงใดที่รู้ว่า พระยะโฮวาทรงอนุญาตเราเป็นส่วนตัวให้มีส่วนร่วมทำงานสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมอบหมายให้มนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์กระทำ—ถึงแม้ตัวเราถูกสร้างด้วยผงคลีก็ตาม.
[เชิงอรรถ]
a หนังสืออรรถาธิบายคัมภีร์ไบเบิลเฮอร์เดอร์ส บิเบลคอมเมนทาร์ (ภาษาเยอรมัน) อธิบายบทเพลงสรรเสริญ 103:14 ดังนี้: “พระองค์ทรงทราบดีว่า พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน และพระองค์ทรงทราบความอ่อนแอและลักษณะชั่วคราวแห่งชีวิตของเขา ซึ่งตกหนักอยู่กับเขาตั้งแต่บาปดั้งเดิม.”—ตัวเอนเป็นของเรา.
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ เยเนซิศ 2:7 กับบทเพลงสรรเสริญ 103:14 ต่างกันอย่างไรเมื่อกล่าวอ้างถึงมนุษย์ว่าถูกสร้างด้วยผงคลี?
▫ ทำไมเฮ็บรายบท 11 จึงเป็นแหล่งหนุนใจสำหรับคริสเตียนสมัยนี้?
▫ เหตุใดจึงสุขุมที่เราจะใช้หลักการซึ่งกำหนดไว้ในฆะลาเตีย 6:4?
▫ เฮ็บราย 6:10 และ 1 โกรินโธ 15:58 ช่วยไม่ให้เกิดความท้อแท้ได้อย่างไร?
[รูปภาพหน้า 10]
คริสเตียนเอาอย่างความเชื่อของเพื่อนผู้ร่วมการนมัสการ แต่พวกเขาติดตามตัวอย่างพระเยซูผู้ปรับปรุงความเชื่อของเขาให้สมบูรณ์ขึ้น