จงตั้งมั่นคงเพื่อเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน!
“เพื่อเสรีภาพเช่นนั้นพระคริสต์ทรงทำให้เราเป็นอิสระ. เพราะฉะนั้น จงตั้งมั่นคง และอย่ายอมอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก.”—ฆะลาเตีย 5:1, ล.ม.
1, 2. เสรีภาพที่พระเจ้าประทานนั้นได้สูญหายไปอย่างไร?
ไพร่พลของพระยะโฮวามีเสรีภาพ. แต่พวกเขาไม่ประสงค์จะเป็นอิสระโดยไม่อาศัยพระเจ้า เพราะการทำเช่นนั้นจะหมายถึงการเป็นทาสแก่ซาตาน. พวกเขายึดมั่นอยู่ในสัมพันธภาพกับพระยะโฮวาอย่างแนบแน่นและชื่นชมกับเสรีภาพที่พระองค์ประทานแก่เขา.
2 อาดามและฮาวา บิดามารดาแรกเดิมของเราได้สูญเสียเสรีภาพนั้นไปโดยการทำบาป และโดยที่เขากลายเป็นทาสของบาป, ความตาย, และพญามาร. (เยเนซิศ 3:1–19; โรม 5:12) โดยเหตุนี้แหละ ซาตานได้ชักจูงทั้งโลกเข้าสู่เส้นทางอันผิดบาปซึ่งนำไปถึงความพินาศ! แต่คนเหล่านั้นที่ยึดมั่นในเสรีภาพซึ่งพระเจ้าประทานให้จึงเดินอยู่ในทางแห่งชีวิตนิรันดร์.—มัดธาย 7:13, 14; 1 โยฮัน 5:19.
เสรีภาพพ้นจากการเป็นทาส
3. พระเจ้าเสนอความหวังอะไรในสวนเอเดน?
3 พระยะโฮวาทรงมุ่งหมายว่ามนุษย์ซึ่งถวายเกียรติยศแด่พระนามของพระองค์จะได้รับการปลดปล่อยจากการครอบงำของซาตาน, บาป, และความตาย. ได้มีการเสนอความหวังเช่นนั้นเมื่อพระเจ้าตรัสแก่งู ซึ่งซาตานใช้เป็นสื่อในสวนเอเดนดังนี้: “เราจะบันดาลให้เจ้ากับหญิงนี้ ทั้งเผ่าพันธุ์ของเจ้ากับเผ่าพันธุ์ของเราเป็นศัตรูกัน. เผ่าพันธุ์ของหญิงจะทำหัวของเจ้าให้ฟกช้ำ และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ.” (เยเนซิศ 3:14, 15) พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์จากองค์การฝ่ายสวรรค์ทรงทนทุกข์เนื่องจากส้นเท้าฟกช้ำในคราวที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนหลัก แต่โดยวิธีนี้ พระเจ้าทรงจัดเตรียมเครื่องบูชาไถ่ให้มนุษย์ที่เชื่อฟังหลุดพ้นจากบาปและความตาย. (มัดธาย 20:28; โยฮัน 3:16) อีกไม่นาน พระเยซูจะทรงบดขยี้หัวซาตาน งูตัวแรกเดิม.—วิวรณ์ 12:9.
4. อับราฮามมีเสรีภาพแบบไหน และพระยะโฮวาทรงสัญญาอะไรกับท่าน?
4 สองพันกว่าปีภายหลังการให้คำสัญญาในสวนเอเดน อับราฮาม “มิตรของพระยะโฮวา” ได้เชื่อฟังพระเจ้า และละจากเมืองอูระไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง. (ยาโกโบ 2:23; เฮ็บราย 11:8) ดังนั้น ท่านจึงได้รับเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน และไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นทาสศาสนาเท็จ, การเมืองที่ทุจริต, และการค้าอันมักโลภแห่งโลกซาตานอีกต่อไป. พระเจ้าได้ทรงเพิ่มคำสัญญาหลายประการเข้ากับคำพยากรณ์ที่ตรัสในสวนเอเดนว่าทุกครอบครัวและทุกชาติจะทำตนเองได้รับพระพรโดยทางอับราฮามและพงศ์พันธุ์ของท่าน. (เยเนซิศ 12:3; 22:17, 18) อับราฮามพ้นจากคำตำหนิ เพราะ ‘ท่านวางใจในพระยะโฮวาผู้ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน.’ (เยเนซิศ 15:6) ทุกวันนี้ การมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับพระยะโฮวาก็จะนำมาซึ่งเสรีภาพที่พระเจ้าประทานเช่นเดียวกัน พ้นจากการปรับโทษและการเป็นทาสต่อโลกนี้ที่ทอดตัวจมอยู่ใต้อำนาจของซาตาน.
เรื่องราวน่าทึ่งที่มีความหมายเป็นนัย
5. การกำเนิดของยิศฮาคเชื่อมโยงเข้ากับสถานการณ์อะไร?
5 เพื่ออับราฮามจะมีพงศ์พันธุ์ ซารา ภรรยาซึ่งเป็นหมัน จึงได้ยกฮาฆาร สาวใช้ของตนให้แก่ท่าน เพื่อจะได้มีบุตรอันเกิดแต่นาง. โดยทางฮาฆาร อับราฮามจึงเป็นบิดาของยิศมาเอล แต่พระเจ้าหาได้ทรงเลือกบุตรคนนี้เป็นพงศ์พันธุ์ไม่. กลับกลายเป็นว่า เมื่ออับราฮามมีอายุ 100 ปี และซาราอายุ 90 ปี พระยะโฮวาทรงบันดาลให้เขามีบุตรชายชื่อยิศฮาค. เมื่อยิศมาเอลพูดล้อเลียนยิศฮาค นางฮาฆารพร้อมกับลูกชายจึงถูกขับไล่ไสส่ง เหลือแต่บุตรอันเกิดแต่ซาราหญิงที่เป็นไทยไว้เป็นพงศ์พันธุ์ซึ่งไม่มีใครโต้แย้งได้. ยิศฮาคก็เป็นเช่นเดียวกันกับอับราฮาม คือสำแดงความเชื่อและมีเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน.—เยเนซิศ 16:1-16; 21:1-21; 25:5-11.
6, 7. ผู้สอนเท็จได้ทำให้ชาวฆะลาเตียบางคนเชื่อมั่นในสิ่งใด แต่เปาโลชี้แจงอย่างไร?
6 เหตุการณ์เหล่านี้เป็นภาพเล็งถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีความสำคัญมากต่อชนผู้รักเสรีภาพซึ่งพระเจ้าประทาน. เรื่องนี้สังเกตได้ในจดหมายของอัครสาวกเปาโลที่เขียนไปถึงประชาคมฆะลาเตียประมาณสากลศักราช 50–52. เวลานั้น เป็นตอนที่คณะกรรมการปกครองตกลงเห็นชอบแล้วว่าการรับสุหนัตไม่ใช่ข้อเรียกร้องสำหรับคริสเตียน. แต่ผู้สอนเท็จได้พูดโน้มน้าวชาวฆะลาเตียบางคนว่าเรื่องนี้เป็นหลักสำคัญของศาสนาคริสเตียน.
7 เปาโลกำชับชาวฆะลาเตียทำนองนี้: ผู้คนได้รับการประกาศเป็นคนชอบธรรมก็โดยความเชื่อในพระคริสต์ หาใช่โดยการประพฤติตามพระบัญญัติของโมเซ. (1:1–3:14) พระบัญญัติไม่ทำให้คำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับอับราฮามเป็นโมฆะ แต่ทำให้ความผิดปรากฏเด่นและทำหน้าที่เสมือนครูนำไปถึงพระคริสต์. (3:15-25) โดยการวายพระชนม์ พระเยซูทรงปลดเปลื้องคนทั้งหลายที่อยู่ใต้พระบัญญัติ ช่วยเขาให้เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าได้. ดังนั้น การหันกลับไปหาวิธีการที่ถือวัน, เดือน, ฤดู, และปีต่าง ๆ ย่อมหมายถึงการหวนคืนสู่การเป็นทาสอีก. (4:1-20) ครั้นแล้วเปาโลเขียนดังนี้:
8, 9. (ก) จงอธิบายสั้น ๆ ด้วยคำพูดของคุณเองเกี่ยวกับสิ่งที่เปาโลพูดไว้ที่ฆะลาเตีย 4:21–26. (ข) โดยฉากเหตุการณ์ที่เป็นนัยนี้ อับราฮามและซาราเป็นภาพเล็งถึงใครหรือสิ่งใด และพงศ์พันธุ์แห่งคำสัญญาได้แก่ผู้ใด?
8 “ท่านทั้งหลายที่อยู่ใต้พระบัญญัติ ท่านไม่ได้ฟังพระบัญญัติหรือ? จงบอกข้าพเจ้าเถิด. เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า อับราฮามมีบุตรสองคน คนหนึ่ง [ยิศมาเอล] บังเกิดแต่หญิงทาสี [ฮาฆาร], คนหนึ่ง [ยิศฮาค] บังเกิดแต่หญิงที่เป็นไทย [ซารา]; แต่บุตรที่เกิดแต่หญิงทาสีนั้นบังเกิดตามเนื้อหนัง ฝ่ายบุตรที่เกิดแต่หญิงที่เป็นไทยนั้นบังเกิดตามคำสัญญา. ข้อความนั้นเป็นปริศนา เพราะผู้หญิงทั้งสองนั้นได้แก่คำสัญญาสองอย่าง อย่างหนึ่ง [คำสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติ] มีมาแต่ภูเขาซีนาย [ที่นั่น พระเจ้าได้ตั้งคำสัญญาไมตรีกับชาติยิศราเอล] ซึ่งเกิดลูกเป็นทาส, คือนางฮาฆาร. [คำสัญญาอีกอันหนึ่งคือที่ทำกับอับราฮามเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน.] นางฮาฆารนั้นได้แก่ภูเขาซีนายในประเทศอะราเบีย ตรงกับกรุงยะรูซาเลมซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะกรุงนี้กับพลเมือง [ลูกหลานของอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ] เป็นทาสอยู่. แต่ว่ายะรูซาเลมซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไทย คือเป็นมารดาของเราทั้งหลาย.”—ฆะลาเตีย 4:21–26.
9 ในเหตุการณ์น่าทึ่งอันเป็นนัยเช่นนี้ อับราฮามเป็นภาพเล็งถึงพระยะโฮวา. ซารา “หญิงที่เป็นไทย” เล็งถึง “ผู้หญิง” หรือสากลองค์การอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า. องค์การนี้ให้กำเนิดพระคริสต์ พงศ์พันธุ์ของผู้หญิงโดยนัย และของผู้ยิ่งใหญ่กว่าอับราฮาม. (ฆะลาเตีย 3:16) เพื่อชี้ให้ผู้คนมองเห็นทางที่จะพ้นจากการนมัสการเท็จ, บาป, และซาตาน พระเยซูทรงสอนความจริงและเปิดโปงศาสนาเท็จ ถึงกระนั้น ยะรูซาเลมพร้อมด้วยพลเมืองของกรุงนั้นยังคงเป็นทาสทางศาสนาเพราะเหตุที่เขาได้ปฏิเสธพระองค์. (มัดธาย 23:37, 38) ชาวยิวที่เป็นสาวกของพระเยซูกลายมาเป็นอิสระพ้นจากพระบัญญัติ ซึ่งพระบัญญัตินั้นได้ระบุว่าเขาเป็นทาสความไม่สมบูรณ์, เป็นทาสบาป, และความตาย. อันที่จริง มนุษย์ทุกคนที่รับรองพระเยซูเป็นผู้ซึ่ง “ผู้หญิง” ของพระเจ้าให้กำเนิดเพื่อจะเป็นกษัตริย์มาซีฮา และเป็นผู้ปลดเปลื้องที่ ‘ประกาศเสรีภาพแก่ผู้ถูกจำจอง’ นั้นจะได้รับเสรีภาพ!—ยะซายา 61:1, 2; ลูกา 4:18, 19.
หลีกเลี่ยงการเทียมแอกเยี่ยงทาส
10, 11. พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเหล่าสาวกของพระองค์พ้นจากการเป็นทาสของอะไร และอาจเปรียบเทียบกับสิ่งใดในเวลานี้?
10 เปาโลกล่าวแก่คนเหล่านั้นที่ประกอบกันเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮามพร้อมกับพระคริสต์ ผู้ใหญ่ยิ่งกว่ายิศฮาคดังนี้: “ยะรูซาเลมซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไทย คือเป็นมารดาของเราทั้งหลาย. . . . ดูก่อน พี่น้องทั้งหลาย เราเป็นบุตรแห่งคำสัญญาเหมือนอย่างยิศฮาค. แต่ผู้ที่บังเกิดตามเนื้อหนัง [ยิศมาเอล] ได้ข่มเหงผู้ที่บังเกิดตามพระวิญญาณ [ยิศฮาค] ครั้งนั้นฉันใด ปัจจุบันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น. . . . เราไม่เป็นบุตรของหญิงทาสี แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไทย. เพื่อเสรีภาพเช่นนั้น [พ้นจากพระบัญญัติ] พระคริสต์ทรงทำให้เราเป็นอิสระ. เพราะฉะนั้น จงตั้งมั่นคง และอย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก.”—ฆะลาเตีย 4:26–5:1.
11 สาวกของพระคริสต์คนไหนก็ได้อาจตกอยู่ใต้แอกของความเป็นทาส หากเขาได้ยอมตัวอยู่ใต้พระบัญญัติ. ปัจจุบันนี้ศาสนาเท็จเป็นแอกของความเป็นทาส และคริสต์ศาสนจักรก็เหมือนยะรูซาเลมโบราณพร้อมด้วยพลเมืองแห่งกรุงนั้น. แต่ชนที่ถูกเจิมเป็นบุตรของยะรูซาเลมเบื้องบน องค์การของพระเจ้าทางภาคสวรรค์ซึ่งเป็นอิสระ. พวกเขาและเพื่อนร่วมความเชื่อที่มีความหวังทางแผ่นดินโลกหาได้เป็นส่วนของโลกนี้ไม่ ทั้งไม่ตกเป็นทาสซาตานด้วย. (โยฮัน 14:30; 15:19; 17:14, 16) ครั้นความจริงและเครื่องบูชาของพระเยซูได้ปลดปล่อยเราแล้ว จงให้เราตั้งมั่นคงเพื่อเสรีภาพที่พระเจ้าประทานแก่เรา.
ยืนหยัดเพื่อเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน
12. ผู้มีความเชื่อรับเอาแนวทางอะไร และตอนนี้เราจะพิจารณาเรื่องอะไร?
12 เวลานี้หลายล้านคนชื่นชมกับเสรีภาพแท้ในฐานะเป็นพยานพระยะโฮวา. การศึกษาพระคัมภีร์กับประชาชนอีกหลายล้าน ในจำนวนนี้มีหลายคน “มีความโน้มเอียงอย่างถูกต้องเพื่อชีวิตนิรันดร์.” เมื่อเข้ามาเป็นผู้เชื่อถือแล้ว เขาจะยืนหยัดเพื่อเสรีภาพที่พระเจ้าประทานแก่เขา โดยขอรับบัพติสมา. (กิจการ 13:48, ล.ม.; 18:8) แต่มีขั้นตอนอะไรบ้างก่อนคริสเตียนจะรับบัพติสมา?
13. มีความสัมพันธ์กันอย่างไรระหว่างความรู้และการรับบัพติสมา?
13 ก่อนรับบัพติสมา คนเราจำต้องได้มาซึ่งความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลและประพฤติตามความรู้นั้น. (เอเฟโซ 4:13) ด้วยเหตุนี้ พระเยซูได้บัญชาสาวกของพระองค์ดังนี้: “เหตุฉะนั้น จงไปและทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก ให้เขารับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดา และพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้.”—มัดธาย 28:19, 20.
14. การรับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียกร้องเอาความรู้ในด้านใด?
14 การรับบัพติสมาในนามแห่งพระบิดาหมายถึงการยอมรับตำแหน่งและอำนาจของพระยะโฮวาในฐานะเป็นพระเจ้า พระผู้สร้าง, และองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ. (เยเนซิศ 17:1; 2 กษัตริย์ 19:15; วิวรณ์ 4:11) การรับบัพติสมาในนามแห่งพระบุตรหมายถึงการยอมรับตำแหน่งและอำนาจของพระคริสต์ในฐานะที่ทรงเป็นกายวิญญาณที่ได้รับการยกย่อง เป็นกษัตริย์มาซีฮา และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม “ให้เป็นค่าไถ่มีค่าเท่าเทียมกัน.” (1 ติโมเธียว 2:5, 6; ดานิเอล 7:13, 14; ฟิลิปปอย 2:9-11) บุคคลผู้รับบัพติสมาในนามแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ตระหนักว่าพระวิญญาณเป็นพลังปฏิบัติการของพระเจ้า ซึ่งพลังนี้พระยะโฮวาทรงใช้ในการสร้างโลก และทรงใช้ดลใจบรรดาผู้เขียนและผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิล และในวิธีอื่น ๆ อีก. (เยเนซิศ 1:2; 2 เปโตร 1:21) แน่ละ มีอีกมากที่จะเรียนรู้เรื่องพระเจ้า, พระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์.
15. เหตุใดคนเราต้องสำแดงความเชื่อก่อนรับบัพติสมา?
15 ก่อนรับบัพติสมา คนเราต้องแสดงความเชื่อที่อาศัยความรู้ถ่องแท้. “ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า [พระยะโฮวา] ก็หามิได้.” (เฮ็บราย 11:6) คนใดที่สำแดงความเชื่อในพระเจ้า, พระคริสต์, และพระประสงค์ของพระเจ้าก็ย่อมปรารถนาจะเป็นพยานพระยะโฮวา ต้องการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และมีส่วนร่วมงานสำคัญด้วยการประกาศข่าวดี. เขาจะพูดถึงความรุ่งโรจน์แห่งราชสมบัติของพระยะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 145:10-13; มัดธาย 24:14.
16. การกลับใจหมายความอย่างไร และเรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับการรับบัพติสมาของคริสเตียน?
16 การสำนึกผิดและกลับใจเป็นข้อเรียกร้องอีกประการหนึ่งก่อนรับบัพติสมา. ที่จะกลับใจหมายถึง “เปลี่ยนใจของตนเกี่ยวกับการกระทำในอดีต (หรือการกระทำที่คิดจะทำ) หรือการประพฤติเนื่องจากตนรู้สึกเสียใจหรือไม่พอใจ” หรือ “เกิดความรู้สึกเสียใจ เป็นทุกข์ หรือนึกเวทนาเพราะสิ่งที่ตนได้ทำไป หรือไม่ได้ทำ.” ชาวยิวศตวรรษแรกต้องกลับใจจากบาปที่ตนได้กระทำต่อพระเยซูคริสต์. (กิจการ 3:11-26) ผู้เชื่อถือบางคนในเมืองโกรินโธได้กลับใจจากการเล่นชู้, การไหว้รูปเคารพ, การผิดประเวณี, การรักร่วมเพศ, การลักทรัพย์, การโลภ, การเมาเหล้า, การพูดหยาบคาย, และการรีดไถ. ผลก็คือ คนเหล่านั้น ‘ได้ทรงชำระแล้ว’ ด้วยพระโลหิตของพระเยซู ‘ได้ทรงสรรไว้เฉพาะ’ ในฐานะเป็นคนที่แยกไว้ต่างหากเพื่องานรับใช้พระยะโฮวา, และ “ได้รับการประกาศว่าชอบธรรม” ในพระนามของพระเยซูคริสต์และด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า. (1 โกรินโธ 6:9-11) ดังนั้น การกลับใจจึงเป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดสติรู้สึกผิดชอบที่ดีและมีเสรีภาพที่พระเจ้าประทานให้พ้นจากความรู้สึกผิดอันน่ากลัดกลุ้มเพราะการกระทำบาปนั้น.—1 เปโตร 3:21.
17. การหันกลับหมายถึงอะไร ทั้งนี้เรียกร้องอะไรจากผู้ที่ตั้งเป้าจะรับบัพติสมา?
17 จำเป็นต้องหันกลับก่อนคนเราจะได้รับบัพติสมาในฐานะเป็นพยานพระยะโฮวา. การหันกลับของคนที่กลับใจแล้วนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากเขาเลิกแนวทางที่ผิดและตั้งใจแน่วแน่จะทำสิ่งที่ถูก. คำกริยาภาษาฮีบรูและภาษากรีกอ้างการเปลี่ยนลักษณะนี้ว่าหมายถึง “หันกลับ หรือหวนกลับ.” เมื่อใช้คำนี้ในแง่ดี ด้านวิญญาณ คำนี้พาดพิงถึงการหันกลับจากทางผิดมาหาพระเจ้า. (1 กษัตริย์ 8:33, 34) การหันกลับเรียกร้อง “การงานซึ่งสมกับการกลับใจ” คือเราทำสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เราทำ ละศาสนาเท็จ และมุ่งหัวใจของเราตรงมาที่พระยะโฮวาโดยไม่วอกแวก เพื่อปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว. (กิจการ 26:20; พระบัญญัติ 30:2, 8, 10; 1 ซามูเอล 7:3) ทั้งนี้จำต้องมี “หัวใจใหม่และน้ำใจใหม่” ต้องมีความคิด, น้ำใจ, และเป้าหมายในชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้ว. (ยะเอศเคล 18:31) บุคลิกใหม่ที่เป็นผล เอาคุณลักษณะเยี่ยงพระเจ้ามาแทนที่นิสัยซึ่งไม่ใช่ลักษณะเยี่ยงพระเจ้า. (โกโลซาย 3:5-14) ถูกแล้ว การกลับใจที่แท้จริงนั้นทำให้คนเรา “หันกลับ” จริง.—กิจการ 3:19.
18. ทำไมจึงทำการอุทิศตัวแด่พระเจ้าในคำอธิษฐาน และอะไรคือความหมายของขั้นตอนนี้?
18 การอุทิศตัวแด่พระเจ้าด้วยการอธิษฐานต้องมาก่อนบัพติสมา. (เทียบกับลูกา 3:21, 22.) การอุทิศหมายถึงการแยกไว้ต่างหากเพื่อวัตถุประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์. ขั้นตอนนี้สำคัญถึงขนาดที่เราควรกล่าวในคำอธิษฐานถึงการปลงใจของเราที่จะถวายความเลื่อมใสโดยเฉพาะแด่พระองค์และรับใช้พระองค์ตลอดไป. (พระบัญญัติ 5:8, 9; 1 โครนิกา 29:10-13) แน่นอน เราไม่ได้อุทิศตัวให้กับการงาน แต่ทว่าอุทิศตัวแด่พระเจ้าพระองค์เอง. ได้มีการชี้แจงจุดนี้อย่างชัดเจน ณ งานศพ ชาร์ลส เทซ รัสเซลล์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์คนแรก. ในโอกาสนั้นเมื่อปี 1916 ดับเบิลยู. แวน แอมเบิร์ก, เหรัญญิกของสมาคมบอกว่า “งานใหญ่ที่แผ่กว้างไปทั่วโลกอย่างนี้ไม่ใช่งานของคน ๆ เดียว. มันใหญ่เกินไป. งานนี้เป็นงานของพระเจ้าและจะไม่เปลี่ยนแปลง. พระเจ้าได้ใช้ผู้รับใช้หลายคนในอดีต และไม่ต้องสงสัย พระองค์จะทรงใช้คนอีกมากมายในอนาคต. การอุทิศตัวของเราหาใช่ทำแก่มนุษย์หรืออุทิศให้แก่งานไม่ แต่เพื่อจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า, อย่างที่พระองค์จะทรงเผยให้เราทราบโดยทางพระวจนะ และโดยแบบอย่างต่าง ๆ ที่พระองค์กำหนดไว้ พระเจ้ายังคุมหางเสืออยู่.” แต่มีอะไรอีกไหมที่เราพึงทำเกี่ยวกับการอุทิศตัวแด่พระเจ้า?
19. (ก) แต่ละคนจะให้พยานหลักฐานการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาอย่างประจักษ์แจ้งโดยวิธีใด? (ข) การรับบัพติสมาด้วยน้ำเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอะไร?
19 การรับบัพติสมา จัดให้มีพยานหลักฐานต่อคนอื่น ๆ ถึงการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. การรับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าผู้นั้นที่ถูกจุ่มมิดในน้ำได้อุทิศตัวอย่างไม่มีเงื่อนไขแด่พระเจ้ายะโฮวาโดยทางพระเยซูคริสต์. (เทียบมัดธาย 16:24.) เมื่อผู้รับบัพติสมาถูกฝังอยู่ใต้น้ำ ครั้นแล้วถูกยกขึ้นจากน้ำ โดยนัยแล้ว เขาตายไปแล้วกับวิถีชีวิตของเขาแต่เก่าก่อนและถูกปลุกขึ้นมาสู่แนวชีวิตใหม่ เพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าอย่างไม่สงวนตัวเองตั้งแต่บัดนี้. (เทียบกับโรม 6:4-6) เมื่อพระเยซูทรงรับบัพติสมา พระองค์ได้เสนอตัวเองโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แด่พระบิดาทางภาคสวรรค์. (มัดธาย 3:13-17) และคัมภีร์ไบเบิลระบุไว้หลายครั้งว่าผู้มีความเชื่อที่มีคุณสมบัติพร้อมได้รับบัพติสมา. (กิจการ 8:13; 16:27-34; 18:8) ดังนั้น ที่จะเป็นพยานพระยะโฮวาในเวลานี้ คนเราจึงต้องเป็นผู้มีความเชื่อและสำแดงความเชื่อของตน แล้วรับบัพติสมา.—เทียบกับกิจการ 8:26-39.
จงยืนหยัดมั่นคง
20. มีตัวอย่างอะไรบ้างในพระคัมภีร์ยืนยันว่าเราในฐานะพยานพระยะโฮวาจะได้รับพระพรเนื่องจากได้ยืนหยัดมั่นคงอยู่ในเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน?
20 ถ้าคุณตั้งมั่นคงอยู่ในเสรีภาพที่พระเจ้าประทานโดยการเป็นพยานของพระยะโฮวาที่รับบัพติสมา พระองค์จะอวยพรคุณเหมือนที่พระองค์ได้อวยพรผู้รับใช้ของพระองค์ในอดีต. ยกตัวอย่าง พระยะโฮวาได้อวยพรอับราฮามกับซาราซึ่งชราแล้วให้มีบุตร ชื่อยิศฮาค ผู้เกรงกลัวพระเจ้า. โดยความเชื่อ โมเซสมัครใจทนรับทุกข์กับไพร่พลของพระเจ้า “ดีกว่ามีใจยินดีในการชั่วสักเวลาหนึ่ง คือถือว่าความอัปยศ [การเป็นแบบอย่างครั้งโบราณ] ของพระคริสต์ [หรือผู้ถูกเจิมของพระเจ้า] ประเสริฐกว่าคลังทรัพย์ในประเทศอายฆุปโต.” (เฮ็บราย 11:24-26) โมเซได้รับสิทธิพิเศษที่พระยะโฮวาทรงใช้ท่านนำชนยิศราเอลให้พ้นจากสภาพทาสในอียิปต์. ยิ่งกว่านั้น เพราะท่านได้รับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ ท่านจะได้รับการปลุกขึ้นจากตายและจะปฏิบัติหน้าที่ “เป็นเจ้าเป็นนายทั่วพื้นพิภพ” ภายใต้พระเยซูคริสต์ที่ยิ่งใหญ่กว่าโมเซ.—บทเพลงสรรเสริญ 45:16; พระบัญญัติ 18:17-19.
21. มีการให้ตัวอย่างอะไรที่หนุนใจเกี่ยวกับเหล่าสตรีในกาลโบราณซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสในพระเจ้า?
21 อนึ่ง คริสเตียนสมัยปัจจุบันที่อุทิศตัวแล้วสามารถได้รับการชูใจโดยการพิจารณาบรรดาสตรีผู้ซึ่งจริง ๆ แล้วได้รับเสรีภาพและความยินดี. คนหนึ่งได้แก่รูธ หญิงชาวโมอาบ ผู้ซึ่งเคยประสบมาทั้งความปวดร้าวเพราะการเป็นม่าย และความยินดีที่พระเจ้าประทานให้นางมีเสรีภาพจากศาสนาเท็จ. เมื่อนางละจากญาติมิตรและเลิกบูชาพระเจ้าที่เคยนมัสการ นางได้ยึดอยู่กับนาอะมีแม่ผัวซึ่งเป็นม่ายเช่นกัน. รูธพูดดังนี้: “แม่จะไปไหน ฉันจะไปด้วย; แม่จะอาศัยอยู่ที่ไหน ฉันจะอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย. ญาติพี่น้องของแม่จะเป็นญาติพี่น้องของฉัน และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของฉัน.” (รูธ 1:16) ในฐานที่เป็นภรรยาของโบอัศ รูธจึงได้กลายเป็นมารดาของโอเบ็ดปู่ของดาวิด. (รูธ 4:13-17) พระยะโฮวาทรงประทาน “บำเหน็จอันเต็มบริบูรณ์” แก่หญิงต่างชาติซึ่งเป็นคนใจถ่อม โดยทรงโปรดให้นางได้เป็นบรรพสตรีของพระเยซูองค์มาซีฮา! (รูธ 2:12) รูธจะชื่นชมเพียงไรเมื่อได้รับการปลุกขึ้นจากตายแล้วรู้ว่าตนได้รับสิทธิพิเศษอย่างนั้น! โดยไม่ต้องสงสัย ความยินดีในทำนองเดียวกันจะอยู่ในหัวใจของราฮาบอดีตหญิงแพศยาที่ถูกปลุกขึ้นจากตายซึ่งได้รับการปลดปล่อยจากการทำผิดศีลธรรม และการนมัสการเท็จเช่นเดียวกันกับนางบัธเซบะที่หลงผิดแต่กลับใจ เพราะคนเหล่านี้จะเรียนรู้เหมือนกันว่าพระยะโฮวาโปรดให้เขาเป็นบรรพสตรีของพระเยซูคริสต์.—มัดธาย 1:1-6, 16.
22. ในบทความถัดไปจะมีการพิจารณาเรื่องอะไร?
22 การไตร่ตรองดูคนที่ได้รับเสรีภาพที่พระเจ้าประทานนั้นคงจะพูดต่อได้เรื่อย ๆ. เช่น จำนวนชายหญิงผู้มีความเชื่อที่กล่าวถึงในเฮ็บรายบท 11. คนเหล่านั้นทนทุกข์ลำบากและการข่มเหง และ “แผ่นดินโลกไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย.” นอกจากนี้แล้ว ยังมีสาวกผู้ซื่อสัตย์ ของพระคริสต์สมัยศตวรรษแรกและคนอื่น ๆ อีกมากมายที่คงความซื่อสัตย์ตั้งแต่นั้นมา รวมทั้งผู้คนหลายล้านในปัจจุบันที่ปฏิบัติพระยะโฮวาในฐานะเป็นพยานของพระองค์. ดังที่เราจะพิจารณากันต่อจากนี้ ถ้าคุณยืนหยัดมั่นคงอย่างพวกเขาเพื่อเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน คุณมีเหตุผลมากมายที่จะมีความยินดี.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เมื่อเสรีภาพที่พระเจ้าประทานได้สูญหายไป พระเจ้าทรงยื่นความหวังอะไรให้?
▫ พระคริสต์ได้ทรงปลดปล่อยสาวกของพระองค์หลุดพ้นจาก “แอกแห่งความเป็นทาส” แบบไหน?
▫ มีขั้นตอนอะไรก่อนรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา
▫ ตัวอย่างอะไรในคัมภีร์ไบเบิลยืนยันว่าเราจะได้รับพระพรเนื่องจากเรายืนหยัดมั่นคงอยู่ในเสรีภาพที่พระเจ้าประทาน?
[รูปภาพหน้า 16]
คุณทราบไหมว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างก่อนรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา?