ความหวัง—เครื่องป้องกันที่สำคัญยิ่งในโลกที่มืดมน
เด็กหนุ่มชาวเกาหลีคนหนึ่งต้องการช่วยคุณแม่ในการทำให้นักศึกษาคนหนึ่งในวิทยาลัยเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญสักเพียงไรที่จะมีความหวังสำหรับอนาคต. โดยที่จำคำอุทาหรณ์ซึ่งเคยได้ยิน ณ การประชุมคริสเตียนคราวหนึ่ง เขาจึงถามนักศึกษาคนนั้นว่าเธอจะช่วยเขาไขปริศนาข้อหนึ่งไหม. เธอตอบตกลง. เขาบอกว่า “มีอยู่สองครอบครัว ซึ่งยากจนมาก. ฝนกำลังตกหนัก และหลังคาบ้านของทั้งสองครอบครัวรั่ว. ครอบครัวหนึ่งเศร้าใจมาก และบ่นไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับรอยรั่วนั้น. แต่อีกครอบครัวหนึ่งมีความสุขและสบายใจขณะที่ปะซ่อมหลังคาของตน. เหตุใดจึงมีความแตกต่างมากขนาดนั้นระหว่างสองครอบครัวนี้?” ด้วยความสนใจ หญิงสาวคนนั้นตอบว่าเธอไม่ทราบ. เด็กหนุ่มนั้นบอกว่า “ครอบครัวที่สองมีความสุขก็เพราะพวกเขาเพิ่งได้รับจดหมายจากเทศบาลแจ้งว่าพวกเขาจะได้บ้านหลังใหม่. ดังนั้น พวกเขาจึงมีความหวัง. นั่นคือความแตกต่าง!”
ปริศนาของเด็กหนุ่มคนนี้แสดงให้เห็นความจริงง่าย ๆ คือ ความหวังเปลี่ยนวิธีที่เรามีความรู้สึกต่อชีวิต ซึ่งบ่อยครั้งทั้ง ๆ ที่สภาพการณ์ของเราอาจจะไม่ค่อยดีก็ตาม. เช่นเดียวกับสองครอบครัวที่เขาพรรณนาถึง พวกเราส่วนใหญ่ต้องผ่านมรสุมชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านสุขภาพ, ความวิตกกังวลทางการเงิน, ความตึงเครียดในครอบครัว, อาชญากรรม, รวมทั้งการทดลองและการปฏิบัติที่เสื่อมทรามอื่น ๆ นับไม่ถ้วน. บ่อยครั้ง เราไม่สามารถขจัดปัญหาเหล่านั้นให้หมดไป เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถสั่งให้พายุฝนพัดออกจากบริเวณบ้านของเรา. ดังนั้น เราอาจได้แต่รู้สึกคับข้องใจ โดดเดี่ยว—หรือกล่าวสั้น ๆ ก็คือไม่มีทางทำอะไรได้. เราอาจถูกสอนจากคริสต์จักรว่าอนาคตนั้นมืดมนสำหรับคนบาปส่วนใหญ่ ซึ่งอาจรวมไปถึงการถูกลงโทษตลอดกาลนั้นยิ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก.
ว่ากันว่าสูตรสำเร็จที่จะทำให้กลายเป็นคนซึมเศร้าก็คือความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้บวกกับความสิ้นหวัง. แต่แน่นอนเราสามารถเอาส่วนผสมส่วนหนึ่งออก ไม่มีใครในพวกเราจำเป็นต้องสิ้นหวัง. และความหวังเองอาจเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการสกัดกั้นส่วนผสมอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้. ถ้าเรามีความหวัง เราอาจอดทนต่อการทดลองต่าง ๆ ในชีวิตด้วยความสงบและความอิ่มใจแทนที่จะดิ้นรนอย่างน่าเวทนา. ใช่แล้ว ความหวังเป็นเครื่องป้องกันที่สำคัญยิ่ง.
การกล่าวเช่นนั้นทำให้คุณนึกสงสัยไหม? ความหวังมีอำนาจจริง ๆ หรือ ถึงกับก่อให้เกิดความแตกต่างมากเช่นนั้น? และมีความหวังที่วางใจได้สำหรับเราแต่ละคนไหม?
ดุจดังหมวกเหล็ก
วงการแพทย์เริ่มตระหนักถึงอำนาจอันน่าทึ่งของความหวัง. ดร. ชโลโม เบร็ซนิตซ์ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความเครียด ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่รอดพ้นจากการทำลายล้างของพวกนาซี แถลงว่า ในกรณีของปัญหาชีวิตส่วนใหญ่ “ความเครียดเกิดจากการตีความหมายของปัญหา ไม่ใช่จากตัวปัญหาเอง. ความหวังช่วยลดความหนักอึ้งของปัญหา.” บทความหนึ่งในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกันยืนยันว่าความหวังเป็น “ยาที่ชะงัดนัก.” บทความในวารสารสุขภาพของชาวอเมริกัน ยืนยันว่า “มีหลายตัวอย่างเกี่ยวกับคนไข้ โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็ง ซึ่งมีอาการทรุดลงอย่างกะทันหันเมื่อมีอะไรบางอย่างทำให้พวกเขาสิ้นหวัง—หรือมีอาการดีขึ้นทันตาเห็นเมื่อพวกเขาพบอะไรบางอย่างซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่พวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้น.”—เทียบกับสุภาษิต 17:22.
ผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์ทราบถึงความสำคัญของความหวังมาเป็นเวลานานแล้ว. ที่ 1 เธซะโลนิเก 5:8 (ล.ม.) อัครสาวกเปาโลกระตุ้นคริสเตียนว่า “จงให้เรารักษาสติและเอา . . . ความหวัง เกี่ยวกับความรอดมาสวมเป็นหมวกเหล็ก.” “ความหวังเกี่ยวกับความรอด” เป็นดุจหมวกเหล็กอย่างไร?
จงพิจารณาว่าหมวกเหล็กทำหน้าที่อะไร. ทหารในสมัยที่มีการจารึกพระคัมภีร์สวมหมวกที่ทำด้วยทองแดงหรือเหล็ก ซึ่งสวมทับหมวกสักหลาด, หมวกขนสัตว์, หรือหมวกหนังอีกทีหนึ่ง. หมวกเหล็กนี้ป้องกันศีรษะของเขาจากลูกศรที่ยิงมา, จากกระบองที่เหวี่ยงถูกศีรษะ, และดาบที่ฟาดฟันกันในการสงคราม. เป็นไปได้ที่ในเวลานั้นทหารน้อยคนนักจะไม่ยอมสวมหมวกเหล็กหากว่าเขามี. อย่างไรก็ตาม การสวมหมวกเหล็กไม่ได้หมายความว่าทหารคนนั้นจะอยู่ยงคงกระพัน หรือเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อเขาถูกตีหรือฟันที่ศีรษะ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น หมวกเหล็กเพียงแต่ทำให้การฟาดฟันส่วนใหญ่แฉลบไป แทนที่จะทำความเสียหายถึงแก่ชีวิต.
หมวกเหล็กเป็นเครื่องป้องกันศีรษะฉันใด ความหวังก็เป็นเครื่องป้องกันจิตใจฉันนั้น. ความหวังไม่อาจทำให้เราสลัดวิกฤตการณ์หรืออุปสรรคแต่ละอย่างทิ้งไปราวกับว่าไม่มีอะไร. แต่ความหวังช่วยลดแรงกระแทกของการกระหน่ำเหล่านั้น และช่วยมิให้การตีกระหน่ำเหล่านั้นก่อให้เกิดความตายแก่สุขภาพฝ่ายจิตใจ, อารมณ์, หรือฝ่ายวิญญาณ.
อับราฮาม บุรุษผู้สัตย์ซื่อ สวมหมวกเหล็กโดยนัยนี้อย่างเห็นได้ชัด. พระยะโฮวาทรงเรียกท่านให้ถวายยิศฮาค บุตรชายอันเป็นที่รักของท่าน เป็นเครื่องบูชา. (เยเนซิศ 22:1, 2) คงจะง่ายสักเพียงไรที่อับราฮามจะตกเข้าสู่ความสิ้นหวัง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อาจทำให้ท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้. อะไรป้องกันจิตใจของท่านจากความรู้สึกเช่นนั้น? ความหวังมีบทบาทสำคัญ. ตามที่เฮ็บราย 11:19 กล่าวว่า “คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจบันดาลให้ยิศฮาคนั้นเป็นขึ้นมาจากตายได้.” ในทำนองเดียวกัน ความหวังของโยบในการกลับเป็นขึ้นจากตายก็ช่วยป้องกันจิตใจของท่านจากความขมขื่นซึ่งอาจทำให้ท่านสาปแช่งพระเจ้าก็ได้. (โยบ 2:9, 10; 14:13-15) พระเยซูคริสต์ เมื่อเผชิญความตายที่เจ็บปวดทรมานนั้น ทรงพบความเข้มแข็งและการปลอบประโลมในความหวังอันน่าปีติสำหรับอนาคต. (เฮ็บราย 12:2) ความเชื่อมั่นที่ว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทำผิด ไม่มีวันที่พระองค์จะล้มเหลวในการทำให้คำตรัสของพระองค์สำเร็จเป็นจริงนั้นเป็นพื้นฐานสำหรับความหวังแท้.—เฮ็บราย 11:1.
รากฐานสำหรับความหวังแท้
เช่นเดียวกับความเชื่อ ความหวังแท้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง, ความเป็นจริง, ความจริง. สิ่งนี้อาจทำให้บางคนประหลาดใจ. ดังที่นักเขียนผู้หนึ่งได้เขียนไว้ “ผู้คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะคิดว่าความหวังเป็นเพียงรูปแบบโง่ ๆ ของการปฏิเสธความจริง.” กระนั้น ความหวังแท้ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีที่เลื่อนลอย ซึ่งเป็นการเชื่อไปอย่างแกน ๆ ว่าเราจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ หรือปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขด้วยความเรียบร้อย. ชีวิตมักจะเสมือนเอาถังน้ำเย็นสาดเข้าไปที่ความหลงละเมอเพ้อฝัน.—ท่านผู้ประกาศ 9:11.
ความหวังแท้นั้นต่างออกไป. ความหวังแท้มาจากความรู้, ไม่ใช่ความปรารถนา. ลองคิดถึงครอบครัวที่สองในปริศนาซึ่งกล่าวถึงในตอนเริ่มเรื่องซิ. พวกเขาจะมีความหวังเช่นไร หากเทศบาลมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในการไม่รักษาคำมั่นสัญญาของตน? แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คำสัญญาบวกกับหลักฐานที่น่าเชื่อถือของคำสัญญานั้นสามารถให้รากฐานอันแน่นหนาสำหรับความหวังแก่ครอบครัวนั้น.
ในทำนองเดียวกัน พยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้มีความหวังที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับรัฐบาลหนึ่ง นั่นคือราชอาณาจักรของพระเจ้า. ราชอาณาจักรนี้เป็นหัวใจของข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิลทีเดียว. เป็นเวลาหลายพันปี ราชอาณาจักรนี้เป็นแหล่งแห่งความหวังสำหรับหญิงและชาย อย่างเช่น อับราฮาม. (เฮ็บราย 11:10) พระเจ้าทรงสัญญาว่าโดยทางราชอาณาจักรของพระองค์ พระองค์จะนำอวสานมาสู่ระบบเก่าอันเสื่อมทรามของโลกนี้ และจะนำระบบใหม่เข้ามา. (โรมัน 8:20-22; 2 เปโตร 3:13) ความหวังเกี่ยวกับราชอาณาจักรนี้เป็นจริง ไม่ใช่ความฝัน. แหล่งแห่งความหวังนี้—พระเจ้ายะโฮวา องค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ—อย่างน้อยที่สุดก็กล่าวได้ว่า พระองค์ไม่มีที่ติ. เพียงแค่เราตรวจสอบสิ่งสร้างสรรค์ทางธรรมชาติของพระเจ้า ก็จะเห็นว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่และทรงมีฤทธานุภาพมากมายที่จะทำให้คำสัญญาของพระองค์ทั้งหมดสำเร็จเป็นจริง. (โรมัน 1:20) เพียงแค่เราตรวจสอบอย่างพินิจพิเคราะห์ถึงบันทึกเกี่ยวกับการดำเนินงานต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงกระทำต่อมนุษยชาติ ก็จะเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสสำเร็จเป็นจริงเสมอ.—ยะซายา 55:11.
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ซึ่งอ้างว่าเป็นคริสเตียนมองไม่เห็นความหวังแท้. พอล ทิลลิช นักเทววิทยา ได้กล่าวในคำเทศน์ซึ่งมีการตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “คริสเตียน [สมัยเริ่มแรก] เรียนรู้ที่จะคอยจุดอวสาน. แต่ทีละเล็กทีละน้อยพวกเขาก็เลิกรอคอย. . . . การคาดหมายสภาพการณ์ใหม่สำหรับสิ่งต่าง ๆ บนแผ่นดินโลกนั้นเริ่มเลือนราง แม้ว่ามีการอธิษฐานขอสิ่งนั้นในเวลาที่กล่าวคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกครั้ง นั่นคือ พระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จในแผ่นดินโลกดุจกัน!”
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้! คนนับล้าน ที่จริงนับพันล้าน ที่ต้องการความหวังอย่างยิ่งกลับไม่มีความหวังเลย แม้ว่าความหวังนั้นมีอยู่พร้อมสำหรับพวกเขาในคัมภีร์ไบเบิลของเขาเอง. มองดูผลอันน่าเศร้าซิ! โดยปราศจากความหวังที่อาศัยเหตุผลเป็นหลักเพื่อป้องกันจิตใจของพวกเขาไว้ น่าประหลาดใจไหมที่ “สภาพจิตใจที่ [พระองค์] ไม่พอพระทัย” ซึ่งสิ้นหวังได้ทำให้หลายคนทำให้โลกนี้เป็นมลทินด้วยการประพฤติผิดศีลธรรมและความรุนแรงที่แพร่ระบาด? (โรม 1:28, ล.ม.) เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่เราจะไม่ตกหลุมพรางเดียวกันนี้. แทนที่จะถอดหมวกเหล็กแห่งความหวังนั้นทิ้ง เราจำต้องเสริมความหวังนั้นให้แข็งแรงอยู่เสมอ.
วิธีเสริมสร้างความหวังของคุณ
วิธีที่ดีที่สุดที่จะเสริมสร้างความหวังก็คือการสนใจแหล่งแห่งความหวัง นั่นคือพระเจ้ายะโฮวา. จงศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระองค์ อย่างขยันหมั่นเพียร. โรม 15:4 บอกว่า “ด้วยว่าสิ่งสารพัตรที่เขียนไว้แล้วคราวก่อนนั้นก็ได้เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเราทั้งหลาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความหวังโดยความเพียรและความชูใจตามคำที่เขียนไว้แล้วนั้น.”
ยิ่งกว่านั้น เราควรทำให้แน่ใจว่าความหวังของเราสำหรับอนาคตไม่ได้เป็นเพียงแนวความคิดที่เลือนราง. เราจำต้องทำให้ความหวังนั้นเป็นจริงอยู่ในจิตใจของเรา. คุณหวังที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลกไหม? คุณอยากจะพบคนที่คุณรักซึ่งล่วงลับไปแล้วเมื่อพวกเขาได้รับการปลุกให้กลับเป็นขึ้นจากตายไหม? หากเป็นเช่นนั้น คุณมองเห็นภาพตัวคุณเองอยู่ที่นั่นในเวลานั้นหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่น ยะซายา 65:21, 22 กล่าวว่าแต่ละคนจะสร้างบ้านของตนเองและจะได้อยู่. คุณหลับตาและเห็นภาพตนเองกำลังทำงานบนหลังคาบ้านหลังใหม่ของคุณ กำลังปูกระเบื้องมุงหลังคาแผ่นสุดท้ายอยู่ไหม? ลองนึกถึงการมองดูผลงานทั้งหมดที่คุณออกแบบและลงแรงไปที่อยู่รอบตัวคุณซิ. เสียงที่มีความสุขในการก่อสร้างเงียบลง คุณกวาดตามองภูมิประเทศขณะที่เงายามบ่ายทอดตัวผ่านภูมิประเทศบริเวณนั้น. ลมอ่อน ๆ ทำให้ต้นไม้ไหวเอนไปมา และช่วยให้คุณคลายร้อนจากงานที่คุณทำ. คุณได้ยินเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ คละเคล้ากับเสียงนกร้อง. เสียงพูดคุยของคนเหล่านั้นที่คุณรักดังขึ้นมาจากข้างล่าง.
การนึกภาพของช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนั้นไม่ใช่การคาดเดาโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเป็นการคิดรำพึงถึงคำพยากรณ์ข้อหนึ่งซึ่งจะสำเร็จเป็นจริงอย่างแน่นอน. (2 โกรินโธ 4:18) การคาดหมายนั้นเป็นจริงสำหรับคุณมากเท่าไร ความหวังที่คุณจะอยู่ที่นั่นก็จะยิ่งแน่วแน่มากขึ้นเท่านั้น. ความหวังที่หนักแน่นเห็นได้ชัดเช่นนั้นจะป้องกันคุณจากการรู้สึก “ละอายในเรื่องข่าวดี” ซึ่งอาจทำให้คุณหลบเลี่ยงงานมอบหมายในการแบ่งปันข่าวดีกับผู้อื่น. (โรม 1:16, ล.ม.) ในทางตรงข้าม คุณกลับต้องการ ‘ภูมิใจ [อวด, ล.ม.] ในความหวังนั้น’ ดังที่อัครสาวกเปาโลกระทำ โดยการแบ่งปันข่าวดีด้วยความมั่นใจกับผู้อื่น.—เฮ็บราย 3:6.
มีไม่เพียงอนาคตนิรันดร์ที่เสนอความหวังให้. มีแหล่งแห่งความหวังในปัจจุบันด้วย. เป็นเช่นนั้นอย่างไร? รัฐบุรุษชาวโรมันคนหนึ่งในศตวรรษที่ห้าสากลศักราช ซึ่งมีชื่อว่าคาสซิโอโดรัส กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่สังเกตเห็นถึงผลประโยชน์ซึ่งมีขึ้นแล้วรับความหวังสำหรับผลประโยชน์ในอนาคต.” ช่างเป็นคำพูดที่คมคายอะไรเช่นนี้! เราจะพบคำปลอบประโลมชนิดใดในคำสัญญาเกี่ยวกับพระพรต่าง ๆ ในอนาคตหากเราไม่หยั่งรู้ค่าพระพรต่าง ๆ ในปัจจุบัน?
การอธิษฐานก็เช่นกันเสริมสร้างความหวังในเวลานี้. นอกจากการอธิษฐานเพื่ออนาคตที่ยังมีอยู่อีกยาวนาน เราควรอธิษฐานขอสิ่งจำเป็นสำหรับปัจจุบัน. เราอาจหวังและอธิษฐานขอให้สัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน ๆ คริสเตียนดีขึ้น, ขออาหารฝ่ายวิญญาณในมื้อต่อไป, แม้แต่ขอสิ่งจำเป็นฝ่ายวัตถุให้ได้รับการสนอง. (บทเพลงสรรเสริญ 25:4; มัดธาย 6:11) การฝากความหวังต่าง ๆ เช่นนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวาจะช่วยเราให้อดทนได้ทุก ๆ วันไป. (บทเพลงสรรเสริญ 55:22) ขณะที่เราอดทน ความเพียรอดทนของเราเองก็จะทำให้หมวกแห่งความหวังแข็งแรงขึ้น.—โรม 5:3-5.
การมองดูผู้คนด้วยทัศนะในแง่บวก
ความคิดในแง่ลบเป็นเหมือนสนิมบนหมวกเหล็กแห่งความหวัง. มันกัดกร่อน และทีละเล็กทีละน้อยมันอาจทำให้หมวกนั้นใช้การไม่ได้. คุณเรียนรู้ที่จะสังเกตความคิดในแง่ลบและต่อสู้กับความคิดเช่นนั้นไหม? อย่าให้ความคิดผิด ๆ มาหลอกคุณว่าทัศนะที่ชอบเยาะเย้ยถากถาง, วิพากษ์วิจารณ์, มองโลกในแง่ร้ายนั้นเป็นเช่นเดียวกับเชาว์ปัญญา. แท้ที่จริง ความคิดในแง่ลบแทบจะไม่ต้องใช้สติปัญญาเลย.
ง่ายเหลือเกินที่จะมีทัศนะผิดหวังในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน. บางคนรู้สึกขยาดที่จะรับความช่วยเหลือหรือการปลอบประโลมจากใครอีก เนื่องจากประสบการณ์อันเจ็บปวดในอดีต. “เจ็บครั้งเดียวก็เกินพอ” เป็นคติประจำใจของพวกเขา. พวกเขาอาจลังเลที่จะเข้าพบผู้ปกครองคริสเตียนเพื่อขอความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาเสียด้วยซ้ำ.
คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้มีทัศนะที่สมดุลกว่านี้ต่อผู้คน. จริงอยู่ เป็นการไม่ฉลาดที่จะฝากความหวังของเราทั้งหมดไว้กับมนุษย์. (บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4) แต่ในประชาคมคริสเตียน ผู้ปกครองรับใช้ในฐานะ “ของประทานแก่มนุษย์ [ในลักษณะมนุษย์, ล.ม.]” จากพระยะโฮวา. (เอเฟโซ 4:8, 11) พวกเขาเป็นคริสเตียนที่สำนึกในหน้าที่ มีประสบการณ์ ซึ่งต้องการเป็น “ที่คุ้มขังบังล้อมพลเมืองมิให้ต้องลม, และเป็นที่คุ้มภัยมิให้ต้องพายุ” ด้วยน้ำใสใจจริง.—ยะซายา 32:2.
คนอื่น ๆ มากมายในประชาคมคริสเตียนก็สนใจเป็นพิเศษเช่นกันที่จะเป็นแหล่งแห่งความหวัง. ลองคิดดูซิว่ามีพี่น้องสักกี่แสนคนที่กำลังทำหน้าที่เป็นมารดา, บิดา, พี่สาวหรือน้องสาว, พี่ชายหรือน้องชาย, และบุตรแก่คนเหล่านั้นที่ได้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวของตนเอง ลองคิดดูซิว่ามีพี่น้องมากกว่านั้นอีกที่กำลังทำหน้าที่เป็นมิตรสหาย “ที่สนิทยิ่งกว่าพี่น้อง” แก่คนเหล่านั้นที่ระทมทุกข์.—สุภาษิต 18:24; มาระโก 10:30.
หากคุณได้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาเพื่อขอความช่วยเหลือ ก็อย่าได้หมดหวัง. พระองค์อาจตอบคำอธิษฐานของคุณแล้วก็ได้ อาจมีผู้ปกครองหรือคริสเตียนที่อาวุโสคนอื่นซึ่งพร้อมอยู่แล้วในขณะนี้ที่จะช่วยคุณเมื่อคุณบอกให้ทราบถึงความต้องการของคุณ. ทัศนะสมดุลที่มีต่อผู้อื่นป้องกันเราจากการปลีกตัวออกจากทุกคน แล้วแยกตัวอยู่ต่างหากซึ่งนำไปสู่การประพฤติที่เห็นแก่ตัว ใช้การไม่ได้.—สุภาษิต 18:1.
ยิ่งกว่านั้น หากเรามีปัญหากับเพื่อนคริสเตียน เราไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหานั้นด้วยทัศนะที่สิ้นหวังและมีความคิดในแง่ลบ. จำไว้ว่า “ความรัก . . . หวังทุกสิ่ง.” (1 โกรินโธ 13:4-7, ล.ม.) พยายามมองดูพี่น้องคริสเตียนชายหญิงเหมือนอย่างที่พระยะโฮวาทรงมอง คือด้วยความหวัง. เพ่งเล็งไปที่คุณลักษณะอันดีงามต่าง ๆ ของพวกเขา, ไว้วางใจพวกเขา, และพยายามแก้ไขปัญหา. ทัศนะเช่นนั้นป้องกันเราจากการบาดหมางและการทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับใคร.
อย่ายอมแพ้ต่อความสิ้นหวังแห่งโลกเก่าที่กำลังจะตายไปนี้. ความหวังอยู่ที่นั่นแล้ว—ทั้งสำหรับอนาคตนิรันดร์ของเราและสำหรับการแก้ไขปัญหามากมายในปัจจุบันของเรา. คุณจะยึดความหวังไว้ให้มั่นไหม? โดยการสวมความหวังแห่งความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกัน ไม่มีผู้รับใช้คนใดของพระยะโฮวาที่สิ้นท่า ไม่ว่าสภาพการณ์จะเลวร้ายขนาดใดก็ตาม. หากเราเองไม่ยอมแพ้ ก็ไม่มีอะไรในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลกสามารถยื้อแย่งความหวังที่พระยะโฮวาทรงประทานแก่เราได้.—เทียบกับโรม 8:38, 39.