พระยะโฮวา—พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความลับ
“มีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งสถิตอยู่ในสรวงสวรรค์, ผู้ทรงสำแดงเรื่องลับลึกให้ประจักษ์แจ้งได้.”—ดานิเอล 2:28.
1, 2. (ก) พระยะโฮวาทรงต่างไปจากศัตรูตัวเอ้ของพระองค์อย่างไร? (ข) มนุษย์สะท้อนให้เห็นความแตกต่างนี้อย่างไร?
พระยะโฮวา พระเจ้าองค์สูงสุดและเปี่ยมด้วยความรักแห่งเอกภพ พระองค์ผู้เดียวที่เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระเจ้าแห่งสติปัญญาและความยุติธรรม. พระองค์ไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนเอกลักษณ์ของพระองค์, ราชกิจของพระองค์, หรือพระประสงค์ของพระองค์. ตามเวลากำหนดและด้วยดุลยพินิจของพระองค์เอง พระองค์ทรงเปิดเผยเกี่ยวกับตัวพระองค์. โดยการทำเช่นนี้ พระองค์จึงแตกต่างจากซาตานพญามารศัตรูของพระองค์ ผู้พยายามปิดบังเอกลักษณ์และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของตน.
2 เช่นเดียวกับที่พระยะโฮวาและซาตานมีลักษณะตรงข้ามกัน เหล่าผู้นมัสการของทั้งสองฝ่ายก็เป็นเช่นนั้น. คนที่ติดตามการนำของซาตานมีลักษณะตีสองหน้าและลวงหลอก. พวกเขาพยายามแสดงให้คนอื่นเห็นในแง่ดี ขณะเดียวกันก็ประพฤติการของความมืด. คริสเตียนชาวโกรินโธถูกกำชับว่าไม่ต้องประหลาดใจในข้อเท็จจริงนี้. “ด้วยว่าคนเช่นนั้นเป็นอัครสาวกปลอม เป็นคนงานชอบหลอกลวง ปลอมตัวเป็นอัครสาวกของพระคริสต์. และไม่แปลก เพราะซาตานเองทำตัวเป็นทูตแห่งความสว่าง.” (2 โกรินโธ 11:13, 14, ล.ม.) ในทางตรงกันข้าม คริสเตียนหมายเอาพระคริสต์เป็นผู้นำของตน. ขณะอยู่บนแผ่นดินโลกพระองค์ทรงสะท้อนบุคลิกภาพของพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์. (เฮ็บราย 1:1-3) ด้วยเหตุนี้ โดยการติดตามพระคริสต์ คริสเตียนกำลังเลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งความจริง, ความเปิดเผย, และความสว่าง. พวกเขาก็เช่นกันไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดเอกลักษณ์, การงาน, หรือความมุ่งหมายต่าง ๆ ของตน.—เอเฟโซ 4:17-19; 5:1, 2.
3. เราสามารถพิสูจน์อย่างไรว่าคำกล่าวหาที่ว่าคนที่เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาถูกบีบบังคับให้เข้าร่วม “นิกายลับ” นั้นไม่เป็นความจริง?
3 ในวาระโอกาสต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงทราบว่าเหมาะที่สุด พระยะโฮวาทรงเปิดเผยรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวด้วยพระประสงค์ของพระองค์และเกี่ยวกับอนาคตซึ่งมนุษย์ไม่เคยทราบมาก่อน. ในความหมายนี้แหละที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปิดเผยความลับ. ฉะนั้น ผู้คนที่ต้องการรับใช้พระองค์ได้รับเชิญ—ที่จริง ถูกกระตุ้นเตือน—ให้เรียนรู้เรื่องที่มีการเปิดเผยนั้น. การสำรวจในปี 1994 กับพยานฯ กว่า 145,000 คนในประเทศหนึ่งของยุโรปเผยให้เห็นว่า แต่ละคนเป็นส่วนตัว ได้ใช้เวลาโดยเฉลี่ยแล้วสามปีเพื่อตรวจสอบคำสอนของพยานพระยะโฮวาก่อนตัดสินใจเข้ามาเป็นพยานฯ คนหนึ่ง. พวกเขาเลือกโดยอาศัยเจตจำนงเสรีของตนเอง ไม่มีใครบังคับ. และพวกเขาก็ยังคงมีเจตจำนงเสรีและการกระทำที่เป็นอิสระ. เพื่อเป็นตัวอย่าง เนื่องจากบางคนไม่เห็นด้วยกับมาตรฐานสูงด้านศีลธรรมสำหรับคริสเตียน ในเวลาต่อมาคนเหล่านี้ได้ตัดสินใจว่าเขาไม่ต้องการเป็นพยานฯ อีกต่อไป. กระนั้น น่าสนใจที่ว่าในช่วงห้าปีมานี้ ส่วนใหญ่ของอดีตพยานฯ เหล่านี้ได้ทำตามขั้นตอนเพื่อกลับมาสมาคมคบหาและทำกิจกรรมฐานะพยานพระยะโฮวาอีกครั้งหนึ่ง.
4. อะไรที่ไม่จำเป็นต้องรบกวนใจคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
4 แน่นอน ไม่ใช่อดีตพยานฯ ทุกคนที่หวนคืน และในท่ามกลางคนเหล่านี้มีบางคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมคริสเตียน. เรื่องนี้ไม่แปลก เพราะแม้แต่อัครสาวกยูดาซึ่งเป็นผู้ติดตามที่ใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งของพระเยซูก็ยังหันหลังให้พระองค์. (มัดธาย 26:14-16, 20-25) แต่นี่เป็นเหตุผลที่จะรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวด้วยหลักการคริสเตียนไหม? เรื่องนี้ทำให้ความสำเร็จแห่งกิจกรรมการสอนของพยานพระยะโฮวาเสื่อมค่าไปไหม? ไม่เลย เช่นเดียวกับที่การทรยศของยูดาอิศการิโอดไม่ได้ทำให้พระประสงค์ต่าง ๆ ของพระเจ้าหยุดชะงักลง.
ทรงฤทธานุภาพทุกประการแต่ก็เปี่ยมด้วยความรัก
5. เรารู้ได้อย่างไรว่าพระยะโฮวาและพระเยซูทรงรักมนุษย์ และพระองค์ทั้งสองแสดงความรักนี้โดยวิธีใด?
5 พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก. พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในมนุษย์. (1 โยฮัน 4:7-11) แม้มีฐานะอันสูงส่ง พระองค์ทรงยินดีให้มนุษย์เป็นมิตรสหายของพระองค์. เราอ่านเกี่ยวกับผู้รับใช้ในกาลโบราณคนหนึ่งของพระองค์ดังนี้: “‘อับราฮามเชื่อในพระยะโฮวา และนั่นนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ และท่านได้รับสมญาว่า ‘มิตรสหายของพระยะโฮวา.’” (ยาโกโบ 2:23, ล.ม.; 2 โครนิกา 20:7; ยะซายา 41:8) เช่นเดียวกับที่มิตรสหายที่เป็นมนุษย์เล่าเรื่องลับเฉพาะหรือเรื่องที่เป็นความลับให้ฟัง พระยะโฮวาก็ทรงทำเช่นนั้นด้วยกับมิตรสหายของพระองค์. พระเยซูทรงเลียนแบบพระบิดาของพระองค์ในเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นเพื่อนกับเหล่าสาวกของพระองค์และเปิดเผยเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นความลับแก่พวกเขา. พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “เราไม่เรียกเจ้าทั้งหลายว่าทาสอีกต่อไป เพราะทาสย่อมไม่รู้ว่านายทำอะไร. แต่เราเรียกเจ้าว่ามิตร เพราะสิ่งสารพัดที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรานั้นเราได้แจ้งแก่เจ้าแล้ว.” (โยฮัน 15:15, ล.ม.) ข้อมูลส่วนตัวหรือ “ความลับ” ซึ่งมีร่วมกันระหว่างพระยะโฮวา, พระบุตรของพระองค์, และผู้ที่เป็นมิตรของพระองค์ทั้งสอง ทำให้ทั้งหมดรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเครื่องผูกพันแห่งความรักและการอุทิศตัวซึ่งไม่มีวันถูกทำลาย.—โกโลซาย 3:14.
6. เหตุใดพระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องปิดบังพระทัยมุ่งหมายของพระองค์?
6 ความหมายของพระนามยะโฮวาคือ “พระองค์ทรงบันดาลให้เป็น” บ่งชี้ความสามารถของพระองค์ที่จะให้เป็นเช่นใดก็ได้ที่พระองค์จำต้องเป็นเพื่อทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์. ไม่เหมือนมนุษย์ พระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องปกปิดพระทัยมุ่งหมายของพระองค์เนื่องจากกลัวว่าจะมีใครมาขัดขวางไม่ให้ทำได้สำเร็จตามนั้น. พระองค์ไม่มีวันล้มเหลว ดังนั้นทรงเปิดเผยโดยไม่มีการปิดบังไว้ในคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์ถึงหลายสิ่งที่ทรงมีพระประสงค์จะทำ. พระองค์ทรงสัญญาดังนี้: “ถ้อยคำ . . . ของเราจะไม่ได้กลับมายังเราโดยไร้ผล, และโดยยังมิได้ทำอะไรให้สำเร็จตามความพอใจของเรา, และสัมฤทธิ์ผลสมประสงค์ดังที่เราได้ใช้มันไปทำฉันนั้น.”—ยะซายา 55:11.
7. (ก) ในสวนเอเดนพระยะโฮวาทรงบอกล่วงหน้าถึงอะไร และซาตานทำอย่างไรซึ่งพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายถูก? (ข) หลักการที่ 2 โกรินโธ 13:8 เป็นความจริงเสมออย่างไร?
7 ไม่นานหลังการกบฏในสวนเอเดน พระยะโฮวาทรงเปิดเผยอย่างย่นย่อถึงผลขั้นสุดท้ายของประเด็นขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ระหว่างพระองค์กับศัตรูของพระองค์คือซาตาน. พงศ์พันธุ์ตามคำทรงสัญญาของพระเจ้าจะถูกทำให้ฟกช้ำอย่างเจ็บปวด แต่ไม่ถึงซึ่งความตายอย่างถาวร ขณะที่ซาตานจะถูกบดขยี้ให้พินาศไปในที่สุด. (เยเนซิศ 3:15) ในปีสากลศักราช 33 พญามารได้ทำให้พงศ์พันธุ์ซึ่งก็ได้แก่พระเยซูคริสต์ฟกช้ำจริง ๆ โดยทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์. โดยวิธีนี้ ซาตานทำให้พระคัมภีร์สำเร็จเป็นจริง และในเวลาเดียวกันก็พิสูจน์ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแห่งความจริง แม้ว่านี่ไม่ใช่ความมุ่งหมายของซาตานเป็นแน่. ความเกลียดชังของมันต่อความจริงและความชอบธรรม รวมทั้งความหยิ่งและทัศนะไม่ยอมกลับใจของมัน ชักนำให้มันทำทุกสิ่งตามที่พระเจ้าได้ทรงบอกล่วงหน้าว่ามันจะทำ. ถูกแล้ว หลักการต่อไปนี้เป็นจริงกับผู้ต่อต้านความจริงและแม้แต่กับตัวซาตานเองที่ว่า “เราจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อสู้ความจริงไม่ได้ ได้แต่ทำให้ความจริงดำรงอยู่เท่านั้น.”—2 โกรินโธ 13:8.
8, 9. (ก) ซาตานรู้อะไร แต่เรื่องนี้อาจเป็นเหตุทำให้พระประสงค์ของพระยะโฮวาไม่สำเร็จไหม? (ข) คำเตือนที่ชัดแจ้งอะไรที่ผู้ต่อต้านพระยะโฮวาไม่ใส่ใจ และเพราะเหตุใด?
8 ตั้งแต่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้รับการสถาปนาอย่างไม่ประจักษ์แก่ตาในปี 1914 ได้เกิดเหตุการณ์ดังวิวรณ์ 12:12 กล่าวไว้ที่ว่า “เพราะเหตุนั้นแหละสวรรค์ทั้งหลายกับทั้งผู้ที่อยู่ในสวรรค์นั้นจงชื่นชมยินดีเถิด. วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่ามารลงมาถึงเจ้ามีความโกรธยิ่งนัก ด้วยมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย.” กระนั้น การที่รู้ว่าเวลาของมันมีน้อยทำให้ซาตานเปลี่ยนแนวทางของมันไหม? การทำดังนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแห่งความจริง และในฐานะผู้ครอบครององค์สูงสุด พระองค์แต่ผู้เดียวคู่ควรแก่การนมัสการ. อย่างไรก็ตาม พญามารไม่อาจฝืนใจยอมรับความพ่ายแพ้ แม้จะรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร.
9 พระยะโฮวาทรงเปิดเผยอย่างไม่ปิดบังเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระคริสต์เสด็จมาพิพากษาระบบโลกของซาตาน. (มัดธาย 24:29-31; 25:31-46) ในเรื่องนี้ พระคำของพระองค์ประกาศเกี่ยวด้วยผู้ปกครองโลก โดยบอกว่า “เมื่อไรก็ตามที่พวกเขากล่าวว่า ‘สันติภาพและความปลอดภัย!’ แล้วความพินาศโดยฉับพลันก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนความปวดร้าวมาถึงหญิงมีครรภ์.” (1 เธซะโลนิเก 5:3, ล.ม.) คนที่ติดตามการนำของซาตานเพิกเฉยต่อคำเตือนที่ชัดเจนนี้. ตาของพวกเขามืดบอดเพราะหัวใจชั่วช้าของตน ทำให้พวกเขาไม่ยอมกลับใจจากแนวทางชั่วของเขา ทั้งไม่ยอมเปลี่ยนแผนการและยุทธวิธีของเขาในความพยายามจะขัดขวางพระประสงค์ของพระยะโฮวา.
10. (ก) 1 เธซะโลนิเก 5:3 อาจได้สำเร็จเป็นจริงแล้วถึงขนาดไหน แต่ไพร่พลของพระยะโฮวาควรมีปฏิกิริยาอย่างไร? (ข) ทำไมในอนาคตประชาชนที่ไม่เชื่อจึงอาจเหิมเกริมยิ่งขึ้นในการต่อต้านไพร่พลของพระเจ้า?
10 โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1986 เมื่อสหประชาชาติประกาศปีสันติภาพสากล โลกเต็มไปด้วยการเจรจากันเรื่องสันติภาพและความปลอดภัย. ได้มีการดำเนินการบางอย่างด้วยความพยายามจะทำให้โลกมีสันติภาพจริง ๆ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าประสบความสำเร็จอยู่บ้าง. นี่เป็นความสำเร็จเป็นจริงทั้งหมดตามคำพยากรณ์นี้ไหม หรือเราสามารถคาดหมายว่าจะมีการประกาศที่น่าตกตะลึงบางอย่างในอนาคต? พระยะโฮวาจะทรงทำให้เรื่องนั้นชัดแจ้งในเวลากำหนดของพระองค์. ในระหว่างนี้ ให้เราตื่นตัวฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ “คอยท่าและคำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอ.” (2 เปโตร 3:12, ล.ม.) ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พร้อมกับมีการเจรจาสันติภาพและความปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ปัจเจกชนบางคนซึ่งทราบคำเตือนนี้แต่เลือกจะไม่สนใจ อาจยิ่งแข็งกร้าวมากขึ้นโดยทึกทักว่าพระยะโฮวาจะไม่ทำหรือไม่อาจทำให้สำเร็จตามถ้อยคำของพระองค์. (เทียบกับท่านผู้ประกาศ 8:11-13; 2 เปโตร 3:3, 4.) แต่คริสเตียนแท้ทราบว่าพระยะโฮวาจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ!
แสดงความนับถืออย่างเหมาะสม ต่อเครื่องมือที่พระยะโฮวาทรงใช้
11. ดานิเอลและโยเซฟเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา?
11 เมื่อกษัตริย์นะบูคัดเนซัร ผู้ครอบครองจักรวรรดิบาบูโลนยุคหลัง ถูกรบกวนใจด้วยความฝันที่เขาจำไม่ได้ จึงได้เรียกให้หาคนมาแก้ฝัน. พวกโหร, พวกหมอดู, และพวกเล่นกลต่างก็ไม่สามารถบอกเขาได้ว่าความฝันนั้นคืออะไร อีกทั้งไม่สามารถอธิบายความหมายด้วย. อย่างไรก็ดี ดานิเอลผู้รับใช้ของพระเจ้าสามารถทำได้ แต่กระนั้นท่านยอมรับอย่างเต็มใจว่าการเผยความฝันและความหมายนั้นไม่ได้เกิดมาจากสติปัญญาของท่านเอง. ดานิเอลกล่าวว่า “มีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งสถิตอยู่ในสรวงสวรรค์, ผู้ทรงสำแดงเรื่องลับลึกให้ประจักษ์แจ้งได้, และพระองค์นั้นก็ทรงสำแดงการซึ่งจะบังเกิดขึ้นในภายหน้าให้ราชานะบูคัศเนซัรรู้.” (ดานิเอล 2:1-30) หลายศตวรรษก่อนหน้านั้น โยเซฟผู้พยากรณ์อีกคนหนึ่งของพระเจ้าประสบคล้าย ๆ กันว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระผู้เปิดเผยความลับ.—เยเนซิศ 40:8-22; อาโมศ 3:7, 8.
12, 13. (ก) ใครเป็นผู้พยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าเท่าที่เคยมีมา และทำไมคุณตอบเช่นนั้น? (ข) ใครในทุกวันนี้ที่รับใช้เป็น “ผู้อารักขาข้อลับลึกของพระเจ้า” และเราควรมีทัศนะเช่นไรต่อพวกเขา?
12 ผู้พยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระยะโฮวาที่ได้รับใช้บนแผ่นดินโลกได้แก่พระเยซู. (กิจการ 3:19-24) เปาโลอธิบายดังนี้: “เมื่อคราวก่อนพระเจ้าได้ตรัสทางพวกผู้พยากรณ์ทีละเล็กทีละน้อยด้วยอาการหลายวิธีแก่บรรพบุรุษ, แต่ในคราวที่สุดนี้ได้ตรัสแก่เราทางพระบุตร. พระบุตรนั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้เป็นผู้รับสิ่งทั้งปวงเป็นมฤดก, และโดยพระบุตรนั้นพระองค์ได้ทรงสร้างโลกทั้งหลาย.”—เฮ็บราย 1:1, 2.
13 พระยะโฮวาตรัสกับคริสเตียนยุคแรกโดยผ่านทางพระเยซูพระบุตรของพระองค์ผู้เปิดเผยความลับของพระเจ้าแก่พวกเขา. พระเยซูทรงบอกพวกเขาดังนี้: “ข้อลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าก็ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้.” (ลูกา 8:10) ต่อมา เปาโลกล่าวถึงคริสเตียนผู้ถูกเจิมว่าเป็น “คนรับใช้ของพระคริสต์, และเป็นผู้อารักขาข้อลับลึกของพระเจ้า.” (1 โกรินโธ 4:1) ทุกวันนี้ คริสเตียนผู้ถูกเจิมยังคงรับใช้เช่นนั้น ประกอบกันขึ้นเป็นชนจำพวกทาสสัตย์ซื่อและสุขุมซึ่งจัดอาหารตามเวลาอันควรโดยทางคณะกรรมการปกครอง. (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) หากเรานับถืออย่างสูงต่อผู้พยากรณ์ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าในสมัยที่ผ่านไป และโดยเฉพาะต่อพระบุตรของพระเจ้า เราก็น่าจะนับถือด้วยเช่นกันมิใช่หรือต่อเครื่องมือที่เป็นมนุษย์ที่พระยะโฮวาทรงใช้อยู่ในทุกวันนี้ในการเปิดเผยความรู้ของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับไพร่พลของพระองค์ในสมัยวิกฤติเช่นนี้?—2 ติโมเธียว 3:1-5, 13.
เปิดเผยหรือเก็บความลับ?
14. เมื่อไรที่คริสเตียนทำกิจกรรมอย่างลับ ๆ และโดยการทำดังกล่าวเป็นการทำตามแบบอย่างของใคร?
14 การที่พระยะโฮวาไม่ทรงปิดบังโดยเปิดเผยเรื่องต่าง ๆ หมายความไหมว่าคริสเตียนควรเปิดเผยทุกสิ่งที่ตนรู้เสมอและในทุกสถานการณ์? คริสเตียนปฏิบัติตามคำแนะนำของพระเยซูต่ออัครสาวกของพระองค์ที่ให้ “ระแวดระวังเหมือนงูและกระนั้น ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนนกพิราบ.” (มัดธาย 10:16, ล.ม.) หากถูกสั่งไม่ให้นมัสการพระเจ้าตามที่สติรู้สึกผิดชอบของพวกเขาสั่ง คริสเตียนจะดำเนินต่อไปในการ “เชื่อฟังพระเจ้า” เพราะพวกเขาตระหนักว่าไม่มีสถาบันใดของมนุษย์มีสิทธิ์จะจำกัดการนมัสการพระยะโฮวา. (กิจการ 5:29) พระเยซูเองแสดงให้เห็นความถูกต้องของเรื่องนี้. เราอ่านดังนี้: “บัดนี้ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูก็เสด็จดำเนินต่อไปในแคว้นฆาลิลาย ด้วยพระองค์ไม่ประสงค์จะเสด็จดำเนินไปในแคว้นยูเดีย เพราะว่าพวกยิวพยายามจะฆ่าพระองค์เสีย. อย่างไรก็ดี เทศกาลของพวกยิว คือเทศกาลตั้งทับอาศัย จวนจะถึงอยู่แล้ว. เหตุฉะนั้น พระเยซูจึงตรัสแก่เขา [พวกน้องฝ่ายเนื้อหนังที่ไม่เชื่อของพระองค์] ว่า . . . ‘พวกเจ้าจงขึ้นไปยังเทศกาลเถิด เราจะยังไม่ขึ้นไปที่เทศกาลนี้ เพราะว่าเวลากำหนดของเรายังมาไม่ถึงทีเดียว.’ ดังนั้นหลังจากที่พระองค์บอกพวกเขาถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว พระองค์ก็ยังคงอยู่ในแคว้นฆาลิลายต่อไป. แต่ครั้นพวกน้องของพระองค์ได้ขึ้นไปยังเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์เองก็เสด็จขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างลับ ๆ ไม่เปิดเผย.”—โยฮัน 7:1, 2, 6, 8-10, ล.ม.
จะบอกหรือไม่บอก?
15. กรณีของโยเซฟชี้ให้เห็นอย่างไรว่าการรักษาความลับบางครั้งเป็นแนวทางแห่งความรักที่ควรทำ?
15 ในบางกรณี การเก็บเรื่องเป็นความลับไม่เพียงแต่เป็นความสุขุมแต่เป็นการแสดงความรักด้วย. ตัวอย่างเช่น โยเซฟบิดาเลี้ยงของพระเยซูทำอย่างไรเมื่อทราบว่ามาเรียผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวของเขา “มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์”? เราอ่านดังนี้: “แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับ ๆ.” (มัดธาย 1:18, 19, ฉบับแปลใหม่) คงไม่กรุณาสักเพียงไรหากจะทำให้เธอตกเป็นเป้าความสนใจของสาธารณชน!
16. ผู้ปกครองรวมทั้งคนอื่นทุกคนในประชาคมมีความรับผิดชอบอะไรเกี่ยวด้วยเรื่องลับเฉพาะ?
16 เรื่องลับเฉพาะที่อาจก่อให้เกิดความอับอายหรือความทุกข์ใจไม่ควรถูกเปิดเผยต่อคนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง. ผู้ปกครองคริสเตียนต้องระลึกข้อนี้ไว้เสมอเมื่อต้องให้คำแนะนำหรือการปลอบโยนแก่เพื่อนคริสเตียน หรืออาจถึงขั้นที่ต้องตีสอนพวกเขาเพราะการบาปร้ายแรงต่อพระยะโฮวา. การจัดการเรื่องเหล่านี้ในแนวทางของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่จำเป็น; การเปิดเผยรายละเอียดที่เป็นความลับแก่คนที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นไม่จำเป็นและไม่เป็นการแสดงความรัก. แน่นอน สมาชิกประชาคมคริสเตียนจะไม่พยายามสอดรู้สอดเห็นข้อมูลที่เป็นความลับจากเหล่าผู้ปกครอง แต่จะนับถือความรับผิดชอบของผู้ปกครองในการเก็บเรื่องลับเฉพาะเอาไว้เป็นความลับ. สุภาษิต 25:9 (ฉบับแปลใหม่) บอกดังนี้: “จงตกลงเรื่องของเจ้ากับเพื่อนบ้านของเจ้า และอย่าทำให้เผยความลับของเขา.”
17. เหตุใดในกรณีส่วนใหญ่คริสเตียนเก็บเรื่องลับเฉพาะไว้เป็นความลับ แต่เหตุใดพวกเขาไม่อาจทำเช่นนั้นเสมอไป?
17 หลักการนี้ยังเป็นจริงด้วยในวงครอบครัวหรือในแวดวงเพื่อนสนิท. การรักษาความลับบางอย่างนั้นสำคัญเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด. “ลมเหนือพาฝนมาฉันใด, ลิ้นส่อเสียด [“ลิ้นที่เปิดเผยความลับ,” ล.ม.] ก็นำหน้าบูดบึ้งมาฉันนั้น.” (สุภาษิต 25:23) แน่นอน ความภักดีต่อพระยะโฮวาและหลักการอันชอบธรรมของพระองค์ รวมทั้งความรักต่อบุคคลผู้หลงผิด บางครั้งอาจทำให้จำเป็นต้องบอกพ่อแม่, คริสเตียนผู้ปกครอง, หรือผู้มีอำนาจหน้าที่อื่นแม้ว่าเป็นเรื่องลับ.a แต่ในกรณีส่วนใหญ่ คริสเตียนเก็บความลับส่วนตัวของคนอื่นไว้ไม่นำมาแพร่งพราย ป้องไว้เหมือนที่เขาป้องความลับของตัวเอง.
18. คุณสมบัติแบบคริสเตียนสามประการอะไรที่สามารถช่วยเรากำหนดได้ว่าสิ่งไหนที่เราควรบอกและสิ่งไหนไม่ควรบอก?
18 สรุปแล้ว คริสเตียนเลียนแบบพระยะโฮวาโดยการเก็บความลับบางอย่างเมื่อจำเป็น เปิดเผยความลับก็ต่อเมื่อเหมาะสมเท่านั้น. ในการตัดสินว่าอะไรควรหรือไม่ควรบอก เขาได้รับการชี้นำโดยความถ่อม, ความเชื่อ, และความรัก. ความถ่อมป้องกันเขาไว้จากการเน้นความสำคัญของตัวเองเกินไป โดยพยายามทำให้ผู้อื่นประทับใจไม่ว่าจะโดยการบอกทุกสิ่งที่ตนรู้มาหรือโดยการยั่วคนอื่นให้อยากรู้ความลับที่เขาไม่อาจบอกได้. ความเชื่อในพระคำของพระยะโฮวาและประชาคมคริสเตียนก่อแรงบันดาลใจให้เขาประกาศความรู้ของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล ขณะเดียวกันก็ระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดบางเรื่องที่อาจทำให้คนอื่นขุ่นเคืองเสียแต่แรก. ใช่แล้ว ความรักก่อแรงบันดาลใจให้เขาบอกเรื่องต่าง ๆ อย่างเปิดเผยซึ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเป็นเรื่องที่ประชาชนจำต้องทราบเพื่อได้รับชีวิต. ในทางตรงกันข้าม เขาไม่เปิดเผยความลับส่วนตัวของผู้อื่น โดยตระหนักว่าในกรณีส่วนใหญ่แล้วการแพร่งพรายความลับแสดงถึงการขาดความรัก.
19. แนวทางการประพฤติอะไรช่วยระบุตัวคริสเตียนแท้ และยังผลเป็นเช่นไร?
19 การทำตามขั้นตอนเบื้องต้นอย่างสมดุลเช่นนี้ช่วยระบุตัวคริสเตียนแท้. พวกเขาไม่ปิดซ่อนเอกลักษณ์ของพระเจ้าไว้หลังหน้ากากแห่งสภาพนิรนามหรือซ่อนไว้หลังหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพซึ่งลึกลับและไม่อาจอธิบายได้. พระเจ้าที่ไม่รู้จักเป็นลักษณะเฉพาะของศาสนาเท็จ ไม่ใช่ศาสนาแท้. (ดูกิจการ 17:22, 23.) พยานผู้ถูกเจิมของพระยะโฮวาหยั่งรู้ค่าอย่างแท้จริงต่อสิทธิพิเศษแห่งการเป็น “ผู้อารักขาข้อลับลึกของพระเจ้า.” โดยการเปิดเผยอย่างไม่ปิดบังความลับเหล่านี้แก่คนอื่น ๆ พวกเขาช่วยคนที่มีหัวใจสุจริตให้เข้ามามีมิตรภาพกับพระยะโฮวา.—1 โกรินโธ 4:1; 14:22-25; ซะคาระยา 8:23; มาลาคี 3:18.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูเรื่อง “อย่าเข้าส่วนในการบาปของคนอื่น” ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 พฤศจิกายน 1985.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เหตุใดพระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนพระทัยมุ่งหมายต่าง ๆ ของพระองค์?
▫ พระยะโฮวาทรงเปิดเผยความลับของพระองค์แก่ใคร?
▫ คริสเตียนมีความรับผิดชอบอะไรเกี่ยวด้วยเรื่องลับเฉพาะ?
▫ คุณสมบัติสามประการอะไรซึ่งจะช่วยคริสเตียนให้ทราบว่าอะไรที่ควรบอกหรือไม่ควรบอก?
[รูปภาพหน้า 8, 9]
พระยะโฮวาทรงเปิดเผยความลับโดยทางพระคำของพระองค์