-
ตอนที่ 23: จาก ส.ศ. 1945 เป็นต้นมา—เวลาคิดบัญชีมาใกล้แล้วตื่นเถิด! 1990 | 8 พฤศจิกายน
-
-
บัดนี้ ในชั่วอายุของเรา จักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จกำลังเผชิญซึ่ง ๆ หน้ากับความหายนะ. อีกครั้งหนึ่งที่ “กองทัพได้ตั้งค่าย” เตรียมเพื่อการสำเร็จโทษจากพระเจ้า. เช่นเดียวกับกองทัพโรมันในศตวรรษแรกซึ่งได้รับมอบหมายให้รักษาปักซ์ โรมานา (ความสงบแห่งโรมัน) กองทัพที่ตั้งค่ายในทุกวันนี้ก็เป็นเครื่องมือรักษาความสงบเช่นกัน. คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลบ่งชี้ว่ากองกำลังทหารแห่งบรรดาชาติภาคีสมาชิกขององค์การสหประชาชาติจะเป็นเครื่องมือของพระยะโฮวาในการคิดบัญชีขั้นสุดท้าย กับกรุงยะรูซาเลมปัจจุบัน ซึ่งได้แก่คริสต์ศาสนจักร และส่วนอื่น ๆ ของบาบุโลนใหญ่ด้วย.—วิวรณ์ 17:7, 16.
การณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระธรรม 1 เธซะโลนิเก 5:3 (ล.ม.) ให้คำตอบว่า “เมื่อไรก็ตามที่พวกเขากล่าวว่า ‘สันติภาพและความปลอดภัย!’ แล้วความพินาศโดยฉับพลันก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนความปวดร้าวมาถึงหญิงมีครรภ์ และเขาจะไม่มีทางหนีให้พ้น.”
“สันติภาพแพร่ระบาด”
ในปี 1988 จอร์ช ชูลทซ์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “สันติภาพกำลังแพร่ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง.” ผู้เชี่ยวชาญนโยบายการต่างประเทศได้กล่าวถึง “สันติภาพที่แพร่ระบาด.” ดี ไซท์ นิตยสารรายสัปดาห์ของเยอรมันซึ่งได้รับความเชื่อถือถามว่า “จะมีทางไหมที่ช่วงสิบปีสุดท้ายของศตวรรษแห่งวิบัติภัยมากมายอาจเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงจุดยุติซึ่งการทำลายล้างและเริ่มศักราชแห่งการสรรค์สร้างสันติภาพ?” และนิตยสารไทม์ เขียนว่า “สันติภาพกำลังส่อเค้าว่าจะเกิดขึ้นใน . . . กัมพูชา อัฟกานิสถาน แอฟริกาใต้และแม้กระทั่งในอเมริกากลาง.”
ปี 1989 ซึ่งผ่านไปแล้วเป็นปีที่มีแต่การพูดถึงเรื่องสันติภาพ. ในเดือนกุมภาพันธ์ หนังสือพิมพ์เยอรมัน ซืดดอยท์เชอ ไซตุง ได้ลงบทความว่า “นับตั้งแต่ประมาณปี 1985 เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่เหล่ามหาอำนาจทั้งหลายได้กระทำมากกว่าเพียงแต่หดกรงเล็บของพวกเขาเท่านั้น. . . . ปัจจุบันนี้เกือบไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกซึ่งสองมหาอำนาจไม่ได้ประสานกัน. . . . อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีลางบอกเหตุการณ์ที่ดีกว่านี้มาก่อนเลย ทั้งสองฝ่ายมีความจริงจังอย่างยิ่ง และมีการดำเนินขั้นตอนต่าง ๆ มากมายในเวลาเดียวกันและในทิศทางที่ถูกต้อง.”
เมื่อเจ็ดปีก่อนสถานการณ์ไม่ได้ดูสดใสเช่นนี้. นักหนังสือพิมพ์ รอย ลาร์สัน ให้ข้อสังเกตว่า “ตลอดปี 1983 พวกผู้นำศาสนาทั่วโลกร้องว่า ‘สันติภาพ สันติภาพ’ แต่ก็ไม่มีสันติภาพ.” เหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจต่าง ๆ ของโลกตั้งแต่นั้นมาเป็นความสำเร็จของ 1 เธซะโลนิเก 5:3 หรือเปล่า? เราไม่อาจกล่าวได้. แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่เห็นได้ชัดว่าตอนต้นปีนี้ “สันติภาพและความปลอดภัย” ใกล้เป็นจริงยิ่งกว่าแต่ก่อน.
พวกผู้นำศาสนากำลังทำงานหนัก—เพื่ออะไรล่ะ?
ดังที่ลาร์สันบอกให้ทราบ พวกผู้นำศาสนาไม่ได้หยุดหย่อนที่จะแสวงสันติภาพ. ในการประเมินต่อไปของเขาเกี่ยวกับปี 1983 เขากล่าวถึง “การเดินทางแสวงหาสันติภาพ” ไปยังอเมริกากลางและแคริบเบียนที่สันตะปาปา จอห์น พอล ที่สองได้ทำ. ในปีเดียวกัน ณ การประชุมระดับชาติของคณะบิชอพนิกายคาทอลิกแห่งสหรัฐได้รับรองหนังสือชื่อ “สันติภาพเป็นสิ่งท้าทาย” ซึ่งเขียนโดยบาทหลวงคนหนึ่ง. หลังจากนั้นไม่นานนัก บรรดาตัวแทนของคริสต์จักรต่าง ๆ มากกว่า 300 แห่งจาก 100 ประเทศได้มาพบปะกัน ณ การประชุมทั่วไปครั้งที่หกของสภาคริสต์จักรโลกและรับรองมติที่คล้ายคลึงกัน. มีผู้เผยแพร่ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์จำนวนมากได้พัวพันกับสิ่งที่ลาร์สันเรียกว่า “การมีจิตใจมุ่งมั่นในระดับโลกเพื่อสันติภาพ.”
ณ การก่อตั้งเมื่อปี 1948 และที่การประชุมประจำปี 1966 สภาคริสต์จักรโลกได้แถลงการณ์ต่อต้านอย่างหนักแน่นต่อการใช้อาวุธทำลายสมัยใหม่. อย่างสอดคล้องลงรอยกัน นักเทศน์นักบวชและนักเทววิทยาหลายสิบคนได้เข้ามามีส่วนในกรณีพิพาทเกี่ยวกับสันติภาพ เช่นนักเทววิทยาโปรเตสแตนต์ชาวเยอรมัน เฮลมุท กอลล์วิทเซอร์. เมื่อต้นปี 1989 ในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่แปดสิบของเขา เขาได้รับการยกย่องโดยวารสารรายสัปดาห์ของนิกายโปรเตสแตนต์แห่งสวิสว่าเป็น “นักเทววิทยาซึ่งเข้าร่วมในทางการเมือง มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพอยู่เสมอ” ผู้ซึ่ง “โดยคำสอนและภาระหน้าที่ในทางการเมืองของเขานั้นได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อนักเทววิทยาหลายคนและต่อความเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพภายในคริสต์จักรด้วย.”
ด้วยเหตุนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บาบุโลนใหญ่ได้ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อปี 1986 ซึ่งเป็นปีแห่งสันติภาพระหว่างนานาชาติ ที่ตั้งขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ อันมีกฎบัตรเรียกร้ององค์การนี้ให้ “รักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ.” ในปีนั้นเอง สันตะปาปาแห่งนิกายคาทอลิก อาร์คบิชอพแห่งแคนเทอร์เบอรีของนิกายแองกลิกัน และพวกผู้นำศาสนาอื่น ๆ อีก 700 คน รวมทั้งพวกที่นับถือศาสนาคริสเตียน, พุทธ, ฮินดู, มุสลิม, พวกที่เชื่อลัทธิวิญญาณจากแอฟริกา, ชนพื้นเมืองอเมริกา (อินเดียน), ศาสนายิว, ซิกส์, โซโรอัสเตอร์, ชินโต และเชน ได้มาพบปะกันที่อัสซิซิ ใกล้กับกรุงโรม ในการอธิษฐานร่วมกันเพื่อสันติภาพ.
ในช่วงที่เพิ่งจะผ่านไปนี้ คือในเดือนมกราคม ปี 1989 นิตยสาร ซันเดย์ เทเลกราฟ ในซิดนีย์ ออสเตรเลีย เขียนว่าบรรดาสมาชิกของ “ชาวพุทธ, คริสเตียน, ฮินดู, ยิว, มุสลิม, ซิกข์, ยูนิทาเรียน, บาไฮ, ขงจื๊อ, เชน, ชินโต, เต๋า, ราชาโยคะและโซโรอัสเตอร์” ได้พบปะกันที่กรุงเมลเบิร์นเพื่อการประชุมครั้งที่ห้าของสมัชชาโลกว่าด้วยศาสนาและสันติภาพ. น่าสังเกต “บรรดาตัวแทนมากกว่า 600 คนจากราว 85 ประเทศ . . . ได้ยอมรับว่าความตึงเครียดอันเนื่องมาจากความต่างศาสนาได้ถูกใช้อย่างผิด ๆ เพื่อเป็นชนวนก่อสงครามมาเป็นเวลานานแล้ว.”
ความเกี่ยวพันของศาสนาในการแสวงสันติภาพนั้นยืนยันสิ่งที่ดัก แฮมมาร์โชลด์ อดีตเลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวไว้ครั้งหนึ่งที่ว่า “องค์การ [สหประชาชาติ] และคริสต์จักรยืนหยัดเคียงคู่กันฐานะผู้ที่เข้าร่วมในความพยายามของมวลมนุษย์ซึ่งมีความปรารถนาอันดี โดยไม่คำนึงถึงลัทธิทางศาสนาหรือรูปแบบของการนมัสการของเขาเพื่อสถาปนาสันติภาพบนโลกนี้.”
จะอย่างไรก็ตาม การเดินขบวนประท้วงของบาบุโลนใหญ่ หรือการแสดงออกต่อสาธารณชน และการเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องการเมืองโดยใช้เล่ห์เพทุบายทางศาสนาในรูปแบบอื่น ๆ อีก จะนำพวกเขาไปสู่ความหายนะ.a การกระทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันชัด ๆ อยู่แล้ว ดังที่ อัลเบิร์ต โนแลน บาทหลวงชาวโดมินิกันจากแอฟริกาใต้ ยอมรับเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยกล่าวว่า “วิถีทางเดียวที่ได้ผลเพื่อจะบรรลุสันติภาพอย่างที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าก็คือการเข้าต่อสู้. . . . การจะบรรลุผลสำเร็จในการลดอาวุธนั้น ความขัดแย้งกับรัฐบาลเป็นเรื่องที่แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้.”
ปล่อยให้บาบุโลนใหญ่ร่ำร้องหาสันติภาพต่อไป. ปล่อยให้สันตะปาปาอวยพรตามประเพณีที่ว่า Urbi et orbi (เพื่อกรุง [โรม] และเพื่อโลก) ต่อไปในวาระคริสต์มาสและอีสเตอร์. ปล่อยให้เขาคิดเอาเองต่อไป—ดังที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว—ที่ว่าความตึงเครียดทางการเมืองลดน้อยลงในตอนนี้เพราะเป็นคำตอบจากพระเจ้าต่อคำอธิษฐานของ “คริสเตียน.” การเอาแต่พูดเกี่ยวกับสันติภาพและการเหมาเข้าข้างตัวเองเรื่องพระพรจากพระเจ้านั้นไม่อาจปลดเปลื้องบาบุโลนใหญ่จากอดีตที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตได้. สิ่งนั้นตราหน้าบาบุโลนใหญ่ว่าเป็นตัวขัดขวางสำคัญที่สุดต่อสันติภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ซึ่งเคยมีอยู่. ทั้งทางตรงและทางอ้อม ปัญหาทุกอย่างของมนุษยชาติสามารถสืบสาวร่องรอยไปจนถึงต้นตอคือบาบุโลนใหญ่!
น่าหัวเราะเสียจริงที่ศาสนาเท็จยังพยายามสู้ โดยร่วมกับสหประชาชาติ เพื่อได้มาซึ่ง “สันติภาพและความปลอดภัย” นั้น และแล้วความพินาศฉับพลันก็จะเกิดกับพวกเขา! อวสานของศาสนาเท็จจะพิสูจน์ว่าพระเจ้าแห่งศาสนาแท้เป็นฝ่ายถูกต้อง ผู้ซึ่งตรัสว่า “อย่าหลงเลย จะหลอกพระเจ้าเล่นไม่ได้ เพราะว่าคนใดหว่านพืชอย่างใดลง ก็จะเกี่ยวเก็บผลอย่างนั้น.”—ฆะลาเตีย 6:7.
-
-
การแสวงหาสันติภาพและความปลอดภัยตื่นเถิด! 1990 | 8 พฤศจิกายน
-
-
การแสวงหาสันติภาพและความปลอดภัย
คนเราส่วนใหญ่ มีความปรารถนาโดยธรรมชาติในเรื่องสันติภาพ และความสงบสุข แต่ความปรารถนาเช่นนั้นถูกทำให้ล้มเหลวมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ. อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีความก้าวหน้าอันน่าสังเกตในการแสวงหาสันติภาพของมนุษย์ ดังรายการต่อไปนี้.
1985: (ตุลาคม) สหประชาชาติฉลองวันครบรอบ 40 ปี และประกาศให้ปี 1986 เป็นปีสันติภาพสากล.
(พฤศจิกายน) เป็นครั้งแรกในระยะหกปีที่มีการประชุมสุดยอดระหว่างอภิมหาอำนาจเมื่อกอร์บาชอพกับเรแกนพบปะกัน; เรแกนพูดถึง “การเริ่มต้นอันสดใส”.
1986: (มกราคม) กอร์บาชอพเรียกร้องให้มีการห้ามอาวุธนิวเคลียร์ทุกชนิด ภายในปี 2000.
(กันยายน) การประชุมว่าด้วยมาตรการเสริมสร้างความไว้วางใจและความมั่นคงและการลดกำลังอาวุธในยุโรป (35 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐ แคนาดา สหภาพโซเวียตและทั่วทั้งยุโรปยกเว้นแอลเบเนีย) มีการลงนามในสนธิสัญญาเพื่อลดอัตราเสี่ยงของการเกิดสงครามโดยบังเอิญ.
(ตุลาคม) การประชุมสุดยอดของกอร์บาชอพกับเรแกนที่ไอซ์แลนด์ล้มเหลว ถึงแม้กอร์บาชอพกล่าวว่าพวกเขาเกือบจะ “ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์.”
1987: (มกราคม) นโยบายกลาสนอสต์ (แบบเปิดเผย) มีทีท่าว่าเป็นการชี้ถึงศักราชใหม่ในสหภาพโซเวียต.
(มีนาคม) การไปเยือนมอสโกครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในรอบสิบสองปี.
(ธันวาคม) กอร์บาชอพและเรแกนลงนามในสนธิสัญญาไอเอ็นเอฟ (กำลังรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง) เพื่อกำจัดซึ่งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง.
1988: (มีนาคม) นิคารากัวกับพวกคอนทราฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ลงนามในสัญญาหยุดยิง เริ่มต้นเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างถาวร.
(เมษายน) สหภาพโซเวียตประกาศถอนกำลังทหารจากอัฟกานิสถานในเดือนกุมภาพันธ์ 1989; เอธิโอเปียและโซมาเลียตกลงยุติข้อขัดแย้งกัน.
(พฤษภาคม) เวียดนามประกาศถอนทหาร 50,000 คนจากกัมพูชาก่อนสิ้นปี และส่วนที่เหลือในปี 1990.
(มิถุนายน) บ๊อบ ฮอว์ค นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวถึงการประชุมสุดยอดของกอร์บาชอพกับเรแกนในมอสโกว่า “เป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาหลังสงคราม ที่มีเครื่องหมายอันแท้จริงปรากฏขึ้นที่ว่าโลกสามารถอยู่ได้อย่างมีสันติภาพสร้างสรรค์.”
(กรกฎาคม) อิหร่านประกาศการยอมรับมติของสหประชาชาติที่เรียกร้องให้หยุดยิงในสงครามอิหร่าน–อิรักที่ทำกันมาแปดปี.
(สิงหาคม) สหรัฐตกลงจะจ่ายค่าธรรมเนียมซึ่งค้างอยู่ให้แก่สหประชาชาติ เช่นเดียวกับที่โซเวียตได้จ่ายไปแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการช่วยยุติปัญหาการเงินของสหประชาชาติและทำให้สถานะมั่นคงขึ้น.
(กันยายน) โมร็อกโกกับฝ่ายกองโจรโปลิซาริโอยอมรับแผนการของสหประชาชาติเพื่อการยุติสงคราม 13 ปีในสะฮาราตะวันตก.
(ตุลาคม) กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ; ลิเบียกับชาดยุติสถานการณ์สงครามอย่างเป็นทางการ ซึ่งเคยมีเป็นเวลานาน.
(ธันวาคม) ที่สหประชาชาติ กอร์บาชอพประกาศการลดกำลังทหารโซเวียตครั้งใหญ่แต่ฝ่ายเดียวภายในสองปี และการถอนกองทหารและรถถังกลับจาก เชโกสโลวะเกีย ฮังการี และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน; แอฟริกาใต้ นามิเบีย และคิวบาตกลงตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาของสหประชาชาติในวันที่ 1 เมษายน 1989 โดยการให้เอกราชแก่นามิเบียและยุติสงคราม 22 ปี; การถอนครึ่งหนึ่งของกำลังทหารคิวบา 50,000 คนในแองโกลากลับไปในวันที่ 1 พฤศจิกายน และที่เหลือ ในวันที่ 1 กรกฎาคม 1991; สหรัฐตกลงจะเจรจากับองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ หลังจากที่นายยัสเซอร์ อาราฟัตให้การรับรองสิทธิของอิสราเอล “ในการดำรงอยู่ด้วยสันติภาพและความปลอดภัย.”
1989: (มกราคม) 149 ชาติที่เข้าร่วมการประชุม ณ กรุงปารีสเกี่ยวกับอาวุธเคมีได้เรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อห้ามการพัฒนา การผลิต การสะสม และการใช้อาวุธเคมี.
(กุมภาพันธ์) คอสตาริกา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ นิคารากัว และกัวเตมาลา ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการคุ้มครองสันติภาพในอเมริกากลาง; กองกำลังฝ่ายกบฏที่ใหญ่ที่สุดในโคลัมเบีย FARC (โคลัมเบียน เรโวลูชันนารี อาร์มด์ ฟอร์ซิส) ประกาศหยุดยิง ให้ความหวังว่าสงครามกองโจร 35 ปีอาจยุติลง.
(มีนาคม) รัฐมนตรีต่างประเทศจาก 35 ประเทศเริ่มต้นการเจรจาในกรุงเวียนนาในเรื่อง CFE (การเจรจาเกี่ยวด้วยการควบคุมกำลังอาวุธในทวีปยุโรป) เพื่อลดกำลังทหารในยุโรป.
(เมษายน) เวียดนามประกาศถอนทหารทั้งหมดออกจากกัมพูชาภายในวันที่ 30 กันยายน.
(พฤษภาคม) ฮังการีเริ่มการรื้อรั้วลวดหนามกั้นเขตตามแนวชายแดนออสเตรีย; ณ การประชุมครั้งแรกของผู้นำโซเวียตและจีนในเวลากว่า 30 ปี โซเวียตประกาศลดกำลังทหารในเอเชีย; โซเวียตแต่ฝ่ายเดียวเริ่มต้นถอนทหารและอาวุธกลับจากยุโรปตะวันออก.
(มิถุนายน) ประธานาธิบดีบุชเรียกร้องให้มีการตัดทอนกำลังทหาร รถถัง ปืนใหญ่ และอากาศยาน ที่มีในยุโรปลงขนานใหญ่ภายในปี 1992 เป็นเหตุให้นิตยสารข่าวกล่าวว่า “นั่นอาจเป็นการเปิดโอกาสอย่างแท้จริงให้มีการลดอาวุธครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง.”
(สิงหาคม) ประเทศในอเมริกากลางห้าประเทศให้ความเห็นชอบต่อแผนการที่จะยุติสงครามในนิคารากัว.
-