การระบุตัว “คนนอกกฎหมาย”
“คนนอกกฎหมายจะถูกเปิดเผย ผู้ซึ่งพระเยซูเจ้าจะทรงกำจัดเสีย.”—2 เธซะโลนิเก 2:8, ล.ม.
1, 2. ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราระบุตัวคนนอกกฎหมาย?
เราอยู่ในยุคแห่งการละเมิดกฎหมาย. การละเมิดกฎหมายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก. ความกลัวพวกนอกกฎหมายที่เบียดเบียน และอันตรายอันจะเกิดกับตัวเราและทรัพย์สินของเรานั้นมีทุกหนทุกแห่ง. กระนั้น ยังมีพวกนอกกฎหมายซึ่งชั่วช้ายิ่งกว่านี้อีกที่ดำเนินงานมานานหลายศตวรรษแล้ว. คัมภีร์ไบเบิลให้ฉายาพวกนี้ว่า “คนนอกกฎหมาย.”
2 เป็นสิ่งสำคัญที่เราพึงระบุตัวคนนอกกฎหมายผู้นี้. ทำไม? เพราะเขาเจตนาบ่อนทำลายฐานะอันดีของเรากับพระเจ้า อีกทั้งความหวังของเราเกี่ยวด้วยชีวิตนิรันดร์. โดยวิธีใด? โดยการทำให้เราละทิ้งความจริงและให้เชื่อการเท็จต่าง ๆ แทน ดังนั้นจึงเบี่ยงเบนเราออกจากการนมัสการพระเจ้า “ด้วยวิญญาณและความจริง.” (โยฮัน 4:23, ล.ม.) จากการกระทำของเขาก็ปรากฏชัดว่า คนนอกกฎหมายนี้ต่อต้านพระเจ้าและวัตถุประสงค์ของพระองค์ ทั้งต่อต้านพลไพร่ผู้ซึ่งอุทิศตัวแด่พระองค์ด้วย.
3. โดยวิธีใดพระคัมภีร์ทำให้เราต้องหันไปสนใจคนนอกกฎหมาย?
3 คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงคนนอกกฎหมายนี้ที่ 2 เธซะโลนิเก 2:3 (ล.ม.) อัครสาวกเปาโลได้เขียนโดยการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าดังนี้: “อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านในทางหนึ่งทางใดเลย เพราะวันนั้น [วันของพระยะโฮวาสำหรับความพินาศของระบบชั่ว] จะไม่มาจนกว่าจะมีการออกหากเสียก่อน และคนนอกกฎหมายจะถูกเปิดเผย.” ที่นี่เปาโลพยากรณ์ว่า จะมีการออกหากและคนนอกกฎหมายจะปรากฏตัวก่อนระบบชั่วนี้ถึงอวสาน. ที่จริง เปาโลกล่าวไว้แล้วที่ข้อเจ็ดว่า “ความลึกลับแห่งการนอกกฎหมายนี้ดำเนินงานอยู่แล้ว.” ฉะนั้น ในศตวรรษแรก คนนอกกฎหมายเริ่มปรากฏตัวออกมาแล้ว.
ที่มาของคนนอกกฎหมาย
4. ใครเป็นตัวการตั้งคนนอกกฎหมายขึ้นมาและให้การสนับสนุน?
4 ใครทำให้มีคนนอกกฎหมายขึ้นมาทั้งให้การสนับสนุน? เปาโลตอบ: “การอยู่ของคนนอกกฎหมายนั้นเป็นไปตามการดำเนินงานของซาตาน พร้อมกับการอิทธิฤทธิ์ทุกอย่าง และสัญลักษณ์ปลอม และเหตุการณ์ประหลาด และพร้อมด้วยอุบายหลอกลวงอันไม่เป็นธรรมทุกอย่างสำหรับคนเหล่านั้นที่จะพินาศ เป็นการตอบสนองเนื่องจากเขาไม่ยอมรับความรักต่อความจริงเพื่อเขาจะรอดได้.” (2 เธซะโลนิเก 2:9, 10, ล.ม.) ดังนั้นซาตานเป็นพ่อและเป็นผู้สนับสนุนคนนอกกฎหมาย. ซาตานเป็นตัวการต่อต้านพระยะโฮวา ต่อต้านพระประสงค์และพลไพร่ของพระองค์ฉันใด คนนอกกฎหมายก็ย่อมทำฉันนั้น ไม่ว่าเขาจะรู้สำนึกหรือไม่ก็ตาม.
5. คนนอกกฎหมายและพรรคพวกผู้ติดตามเหล่านั้นจะประสบอะไร?
5 ผู้คนที่เป็นพรรคพวกของคนนอกกฎหมายนี้จะประสบจุดจบเหมือนซาตาน—คือความพินาศ: “คนนอกกฎหมายจะถูกเปิดเผย ผู้ซึ่งพระเยซูเจ้าจะทรงกำจัดเสีย . . . และจะทรงผลาญให้สิ้นสูญไปโดยการสำแดงการประทับของพระองค์.” (2 เธซะโลนิเก 2:8, ล.ม.) เวลาสำหรับความพินาศของคนนอกกฎหมายและพรรคพวกที่สนับสนุน (“คนเหล่านั้นที่จะพินาศ”) จะมีมาในไม่ช้า “เมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ปรากฏพร้อมหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์ผู้มีฤทธิ์ดังเปลวเพลิง และจะทรงสนองโทษแก่คนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และไม่เชื่อฟังกิตติคุณของพระเยซูเจ้าของเรา. คนเหล่านั้นจะรับโทษคือความพินาศนิรันดร์.”—2 เธซะโลนิเก 1:6-9.
6. เปาโลให้ความรู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวด้วยคนนอกกฎหมาย?
6 แล้วเปาโลพรรณนาคนนอกกฎหมายว่า “ผู้นั้นตั้งใจต่อต้านและยกตัวเองขึ้นเหนือทุกคนที่ถูกเรียกว่า ‘พระเจ้า’ หรือสิ่งซึ่งถูกกราบไหว้ ผู้นั้นจึงนั่งลงในวิหารของพระเจ้าองค์ยิ่งใหญ่ แสดงตนอย่างเปิดเผยว่าตนเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง.” (2 เธซะโลนิเก 2:4, ล.ม.) ดังนั้นเปาโลเตือนล่วงหน้าว่า ซาตานจะยกคนนอกกฎหมายให้เป็นที่เคารพสักการะจอมปลอม ผู้ซึ่งจะตั้งตนอยู่เหนือกฎหมายของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ.
การระบุตัวคนนอกกฎหมาย
7. ทำไมเราจึงสรุปว่า เปาโลไม่ได้พูดถึงคนหนึ่งคนใดเป็นรายบุคคล และคนนอกกฎหมาย ณ ที่นี้หมายถึงอะไร?
7 เปาโลพูดถึงบุคคลคนเดียวโดยเฉพาะไหม? ไม่ใช่ เพราะท่านแถลงว่า “คน” นี้ได้ปรากฏตัวแล้วในสมัยเปาโล และยังจะดำรงสภาวะจนกว่าพระยะโฮวาได้ทำลายเขาในคราวอวสานแห่งระบบนี้. ฉะนั้น เขาจึงอยู่เรื่อยมาตลอดหลายศตวรรษ. ปรากฏชัดว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนมีชีวิตยืนนานขนาดนั้น. ดังนั้น คำว่า “คนนอกกฎหมาย” จึงต้องหมายถึงคณะบุคคลหรือชั้นบุคคล.
8. คนนอกกฎหมายได้แก่ใคร และมีลักษณะเด่นอะไรบ้างพอจะชี้ตัวได้?
8 คนเหล่านี้ได้แก่ใคร? พยานหลักฐานแสดงว่า เขาเป็นกลุ่มนักศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักรที่ยโส ทะเยอทะยานซึ่งตลอดหลายศตวรรษได้ตั้งตัวเป็นกฎหมายเสียเอง. เรื่องนี้เห็นได้โดยข้อเท็จจริงที่ว่า มีลัทธินิกายต่าง ๆ นับพัน ๆ นิกายในคริสต์ศาสนจักร แต่ละนิกายก็มีนักเทศน์นักบวช กระนั้นต่างก็ขัดแย้งกันในบางแง่เกี่ยวกับหลักคำสอน และกิจปฏิบัติ. สภาพการแตกแยกเช่นนี้เป็นหลักฐานชัดแจ้งว่า เขาไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของพระเจ้า. เขาไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า. (เทียบกับมีคา 2:12; มาระโก 3:24; โรม 16:17; 1 โกรินโธ 1:10) สิ่งที่เหมือนกันในบรรดาศาสนาเหล่านั้นก็คือ เขาไม่ยึดอยู่กับหลักคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล โดยได้ละเมิดกฎที่ว่า “อย่าเลยขอบเขตสิ่งที่เขียนไว้.”—1 โกรินโธ 4:6, ล.ม.; โปรดดูที่มัดธาย 15:3, 9, 14 ด้วย.
9. คนนอกกฎหมายได้นำข้อเชื่ออะไรบ้างอันไม่ถูกหลักคัมภีร์เข้ามาแทนสัจธรรมของคัมภีร์ไบเบิล?
9 ฉะนั้น คนนอกกฎหมายผู้นี้จึงได้แก่กลุ่มบุคคลประกอบด้วยนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร. ทุกคนที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ไม่ว่าสันตะปาปา บาทหลวง หรือนักเทศน์ฝ่ายโปรเตสแตนท์ ต่างก็มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อบาปของอาณาจักรคริสเตียน. พวกเขารับเอาความเท็จแบบนอกรีตเข้ามาแทนความจริงของพระเจ้า เขาสอนสิ่งซึ่งไม่เป็นตามหลักคัมภีร์เช่น จิตวิญญาณมนุษย์เป็นอมตะ ไฟนรก ไฟชำระบาป และตรีเอกานุภาพ. คนเหล่านี้ไม่ต่างจากพวกผู้นำศาสนาซึ่งพระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากมารซึ่งเป็นพ่อของท่าน และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อของท่าน. . . . มันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา.” (โยฮัน 8:44) อนึ่ง กิจปฏิบัติของเขาเผยให้เห็นว่า เขาเป็นคนนอกกฎหมาย เพราะเขามีส่วนในกิจกรรมต่าง ๆ อันขัดกับกฎหมายของพระเจ้า. พระเยซูตรัสแก่คนพรรค์นั้นว่า “เจ้าทั้งหลายผู้ประพฤติล่วงพระบัญญัติ จงถอยไปจากเรา.”—มัดธาย 7:21-23.
ยกย่องตัวเอง
10. คนนอกกฎหมายมีสัมพันธภาพแบบไหนกับบรรดาผู้นำทางการเมือง?
10 ประวัติศาสตร์แสดงว่า คนเหล่านั้นที่จัดอยู่ในจำพวกคนนอกกฎหมายได้แสดงตัวอวดดีเย่อหยิ่งถึงขนาดที่เขาได้บังคับข่มขู่บรรดาผู้ปกครองประเทศต่าง ๆ แห่งโลกนี้. โดยอาศัยหลักคำสอนว่าด้วย ‘สิทธิที่กษัตริย์ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า’ นี่เอง นักเทศน์นักบวชจึงอ้างตัวเป็นคนกลางระหว่างนักปกครองกับพระเจ้า. พวกเขาได้ถืออำนาจแต่งตั้ง ถอดกษัตริย์และจักรพรรดิ และสามารถปลุกปั่นฝูงชนให้สนับสนุนหรือต่อต้านนักปกครองได้ทั้งนั้น. ที่แท้แล้ว เขาพูดเหมือนพวกปุโรหิตใหญ่แห่งศาสนายิวซึ่งได้ปฏิเสธพระเยซูและกล่าวว่า “กษัตริย์ของเราไม่มี เว้นแต่กายะซา.” (โยฮัน 19:15) แต่พระเยซูทรงสอนไว้อย่างแจ่มแจ้งว่า “แผ่นดินของเรามิได้เป็นอย่างแผ่นดินโลกนี้.”—โยฮัน 18:36.
11. นักเทศน์นักบวชได้ยกตัวเองให้สูงส่งโดยวิธีใด?
11 เพื่อยกฐานะตัวเองให้สูงกว่าสามัญชน ชนจำพวกนอกกฎหมายจึงรับเอาชุดแต่งกายที่ดูต่างออกไป ปกติแล้วใช้สีดำ. ยิ่งกว่านั้น เขาประดับตัวด้วยเครื่องตกแต่งชนิดต่าง ๆ ดูน่าประทับใจ แถมมีมงกุฏ กางเขนและหมวกแบบเฉพาะ. (เทียบกับมัดธาย 23:5, 6.) แต่พระเยซูและสาวกของพระองค์หาได้แต่งกายด้วยเสื้อพิเศษดังกล่าวไม่ บุคคลเหล่านี้แต่งกายอย่างคนทั่ว ๆ ไป. อนึ่ง นักเทศน์นักบวชรับเอาคำเติมหน้าชื่อเช่น “คุณพ่อ” “สันตะปาปา” “พระคุณเจ้า” “พระเดชพระคุณ” “ท่านเจ้าคุณ” ซึ่งเพิ่มเข้ากับ ‘การยกตัวเองให้สูงกว่าใคร ๆ’ นั่นเอง. กระนั้น พระเยซูทรงสอนไว้ถึงเรื่องคำเติมหน้าชื่อทางศาสนาดังนี้: “อย่าใคร่ให้ผู้ใดในแผ่นดินโลกเรียกตนว่าบิดา.” (มัดธาย 23:9) ทำนองเดียวกัน เมื่อเอลีฮูได้โต้แย้งพวกที่แสร้งพูดปลอบใจโยบนั้น ท่านบอกว่า “ขออย่าให้ข้าฯเห็นแก่บุคคลเลย และขออย่าให้ข้าฯประจบประแจงคน.”—โยบ 32:21.
12. เปาโลได้บอกว่า ที่จริงแล้วพวกนักเทศน์นักบวชกำลังปฏิบัติรับใช้ผู้ใด?
12 เมื่อเปาโลกล่าวในสมัยของท่านว่า คนนอกกฎหมายได้เริ่มดำเนินงานของเขาแล้ว ท่านได้พูดถึงคนเหล่านั้นซึ่งสะท้อนท่าทีแบบคนนอกกฎหมายเช่นกันดังนี้: “เพราะว่าคนอย่างนั้นเป็นอัครสาวกเท็จ เป็นคนงานไม่สัตย์ซื่อ ปลอมตัวเป็นอัครสาวกของพระคริสต์. แต่การนั้นไม่แปลกประหลาดเลย ถึงซาตานก็ยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้. เหตุฉะนั้น ไม่เป็นการสำคัญอะไรซึ่งผู้รับใช้ของซาตานนั้นจะปลอมตัวเป็นคนรับใช้ของความชอบธรรม. ที่สุดปลายของคนเหล่านั้นจะเป็นไปตามกิจการของเขา.—2 โกรินโธ 11:13-15.
การกบฏต่อการนมัสการแท้
13. การออกหากที่เปาโลบอกไว้ล่วงหน้านั้นหมายถึงอะไร?
13 เปาโลกล่าวว่า คนนอกกฎหมายนี้จะปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กับการออกหาก. แท้จริง เบาะแสประการแรกที่เปาโลให้เพื่อชี้ตัวชนจำพวกนอกกฎหมายว่า “วันของพระยะโฮวา [เมื่อพระยะโฮวาทรงทำลายระบบชั่วแห่งสิ่งต่าง ๆ นี้] . . . จะไม่มาจนกว่ามีการออกหากเสียก่อน.” (2 เธซะโลนิเก 2:2, 3, ล.ม.) แต่เราหมายถึงอะไรเมื่อพูดถึง “การออกหาก”? ในบริบทนี้ คำนี้ไม่หมายเพียงแต่การถอยห่างจากความเชื่อเพราะความอ่อนแอฝ่ายวิญญาณ. คำภาษากรีกที่ได้รับการแปลว่า “การออกหาก” ยังใช้หมายถึง “การหักหลัง” “การต่อต้าน.” ฉบับแปลอื่น ๆ มักจะใช้คำ “กบฏ.” ฉบับแปลของวิลเลียม บาร์คเลย์ บอกว่า “วันนั้นจะไม่มาถึง จนกว่าการกบฏครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว.” คัมภีร์ไทยใช้คำ “การทรยศ.” ด้วยเหตุนี้ “การออกหาก” ที่เปาโลใช้ในบริบทนี้จึงหมายถึงการกบฏต่อการนมัสการแท้.
14. การออกหากได้เริ่มขยายตัวอย่างจริงจังเมื่อไร?
14 การออกหาก การทรยศที่ว่านี้ได้พัฒนามาอย่างไร? ที่ 2 เธซะโลนิเก 2:6 เปาโลได้เขียนพาดพิงถึงสมัยของท่านเกี่ยวด้วย “สิ่งที่กำลังหน่วงเหนี่ยว” คนนอกกฎหมายไว้. สิ่งนี้คืออะไร? คือพลังหน่วงเหนี่ยวของพวกอัครสาวก. การดำรงอยู่ของพวกเขาพร้อมด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพวกเขาได้รับจากพระเจ้า จึงเป็นการป้องกันมิให้การออกหากลุกลามแพร่กระจายไป. (กิจการ 2:1-4; 1 โกรินโธ 12:28) แต่ครั้นพวกอัครสาวกล่วงลับไปหมดแล้วราว ๆ ปลายศตวรรษที่หนึ่ง พลังที่เคยหน่วงเหนี่ยวไว้ก็พลอยหมดไป.
ความเป็นมาของนักเทศน์นักบวชที่ไม่ตรงกับหลักคัมภีร์
15. พระเยซูทรงเตรียมการอะไรไว้สำหรับประชาคมคริสเตียน?
15 ประชาคมที่พระเยซูก่อตั้งขึ้นได้เจริญเติบโตในช่วงร้อยปีแรก ภายใต้การชี้นำของบรรดาผู้ปกครอง (ผู้ดูแล) และผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้ง. (มัดธาย 20:25-27; 1 ติโมเธียว 3:1-13; ติโต 1:5-9) บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ชายถูกเลือกจากประชาคม มีคุณวุฒิฝ่ายวิญญาณ แต่เช่นเดียวกับพระเยซู พวกเขาไม่ได้รับการฝึกอบรมพิเศษทางด้านศาสนศาสตร์. ที่จริง ฝ่ายผู้ต่อต้านพระองค์คิดประหลาดใจพูดว่า “ชายผู้นี้มีความรู้ในทางหนังสืออย่างไรกันในเมื่อเขาไม่ได้เรียนในโรงเรียน?” (โยฮัน 7:15, ล.ม.) และสำหรับพวกอัครสาวกนั้น ผู้นำฝ่ายศาสนาก็ตั้งข้อสังเกตอย่างเดียวกันที่ว่า “เมื่อเขาได้เห็นความกล้าหาญของเปโตรกับโยฮัน และรู้ว่าท่านทั้งสองเป็นผู้มีความรู้น้อย และมิได้เล่าเรียนมากก็ประหลาดใจ. จึงสำนึกว่า คนทั้งสองนั้นได้อยู่ชินกับพระเยซูมาแล้ว.”—กิจการ 4:13.
16. การออกหากได้ก่อการบิดเบือนอย่างไรจากรูปแบบองค์การประชาคมคริสเตียนสมัยศตวรรษแรก?
16 อย่างไรก็ดี การออกหากได้นำเอาความคิดจากหัวหน้าศาสนาชาวยิว และทีหลังจากศาสนานอกรีตของโรมเข้ามา. ครั้นเวลาผ่านไปและเกิดการถอยห่างจากความเชื่อแท้ ชนชั้นหัวหน้าศาสนาอันไม่เป็นไปตามหลักคัมภีร์จึงได้พัฒนาขึ้นมา. สันตะปาปาที่สวมมงกุฏก็เริ่มปกครองคณะคาร์ดินัล ซึ่งถูกคัดเลือกขึ้นมาจากพวกบิชอพและอาร์คบิชอพนับจำนวนร้อย ๆ ซึ่งบิชอพเหล่านี้ได้เลื่อนตำแหน่งจากชั้นบาทหลวงที่เคยเล่าเรียนในวิทยาลัยเทววิทยา. ฉะนั้น ไม่นานภายหลังสิ้นศตวรรษแรกแล้ว ชนชั้นนักบวชที่ลึกลับก็เริ่มมีบทบาทในคริสต์ศาสนจักร. พวกนี้ไม่เลียนแบบผู้ปกครองและผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้งในประชาคมคริสเตียนสมัยศตวรรษแรก แต่ได้เลียนแบบระบบศาสนานอกรีต.
17. อำนาจของคนนอกกฎหมายเริ่มมั่นคงเป็นปึกแผ่นตั้งแต่เมื่อไรโดยเฉพาะ?
17 ตั้งแต่ศตวรรษที่สาม คนสามัญที่เชื่อถือพระเจ้าถูกลดฐานะให้เป็นฆราวาส. คนนอกกฎหมายที่ออกหากเข้ากุมอำนาจมากขึ้นเป็นลำดับ. อำนาจดังกล่าวได้รับการเสริมให้มั่นคงในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการประชุมสภานีเซียปีสากลศักราช 325. ครั้นแล้วคริสต์จักรกับรัฐก็ผนึกเข้าด้วยกัน. ด้วยเหตุนี้ คนนอกกฎหมาย—ได้แก่นักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร—จึงกลายมาเป็นเทือกเถาของผู้ออกหากตลอดหลายศตวรรษเรื่อยมาซึ่งได้กบฏต่อพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้. ข้อบัญญัติและวิธีการต่าง ๆ ซึ่งเขาได้ปฏิบัติสืบมาล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาได้ตั้งขึ้นเอง และไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า.
คำสอนนอกรีต
18. คำสอนนอกรีตข้อใดอันเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งคนนอกกฎหมายรับเข้ามา?
18 อนึ่ง คนนอกกฎหมายที่เติบโตขยายตัวก็ยังได้หยิบยืมคำสอนนอกรีตมาใช้อีกด้วย. อาทิ มีการนำเอาพระตรีเอกานุภาพซึ่งไม่มีใครเข้าใจมาแทนพระองค์ผู้นั้นที่ตรัสว่า “เราคือยะโฮวา นามนี้เป็นนามของเรา และสง่าราศีของเรา ๆ จะไม่ยกให้แก่ผู้ใด.” “เราคือยะโฮวาและไม่มีพระอื่นอีกแล้ว. นอกจากเราไม่มีพระเจ้าองค์อื่นอีก.” (ยะซายา 42:8; 45:5) การรับเอาแนวความคิดของมนุษย์ กระทั่งของพวกนอกรีต เข้ามาแทนความจริงของพระเจ้านั้นได้ขยายตัวจนรวมเอาการหมิ่นประมาทอีกอย่างหนึ่งเข้ามา นั้นคือ การยกย่องนางมาเรียผู้ใจถ่อมในพระคัมภีร์ให้เป็น “แม่พระเจ้า.” ฉะนั้น ผู้ส่งเสริมคำสอนเท็จเหล่านี้จึงกลายเป็น “ข้าวละมาน” ประเภทที่ขึ้นหนาแน่นมากที่สุด ซึ่งซาตานหว่านไว้โดยหมายจะให้ข้าวดีซึ่งพระคริสต์ทรงหว่านนั้นงันไป.—มัดธาย 13:36-39.
19. คริสต์ศาสนจักรแตกออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยโดยวิธีใดตลอดศตวรรษต่าง ๆ แต่ยังมีอะไรอยู่เสมอมา?
19 ขณะที่ลัทธินิกายต่าง ๆ มีมากขึ้น คริสต์ศาสนจักรก็แตกออกเป็นหลายร้อยนิกาย. แต่ละศาสนาหรือนิกายใหม่ก็ยังคงแบ่งชั้นนักบวชชั้นฆราวาสกันอยู่ กรณียกเว้นมีน้อยมาก. ด้วยเหตุนี้ คนนอกกฎหมายจึงยั่งยืนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน. และจนบัดนี้เขายังยกตัวเองสูงกว่าสามัญชนด้วยการสวมใส่ชุดแต่งกายพิเศษ และมีคำเติมหน้าชื่อฟังดูน่าเกรงขาม. เห็นได้ชัดว่า เปาโลไม่ได้พูดเกินความจริงเลยเมื่อท่านบอกว่า คนนอกกฎหมายจะยกย่องตัวเองประหนึ่งเป็นพระเจ้าทีเดียว.
สถาบันสันตะปาปา
20. พจนานุกรมคาทอลิกพรรณนาถึงสันตะปาปาอย่างไร?
20 ตัวอย่างการยกย่องดังกล่าวได้แก่สถาบันสันตะปาปาแห่งโรมนั่นเอง. พจนานุกรมทางศาสนาเรียบเรียงโดย ลูซิโอ เฟอร์ราริส พิมพ์จำหน่ายในอิตาลี พรรณนาถึงสันตะปาปาว่า “สูงศักดิ์และทรงเกียรติอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นประหนึ่งพระเจ้า เป็นตัวแทนพระเจ้าเลยทีเดียว.” มงกุฏสำหรับสันตะปาปามีสามชั้น ชี้ถึงฐานะกษัตริย์แห่งสวรรค์ แห่งโลกมนุษย์ และแห่งนรก.” พจนานุกรมฉบับเดียวกันชี้แจงอีกว่า “สันตะปาปาเป็นเสมือนพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เป็นเจ้าชายองค์เดียวในบรรดาผู้ซื่อสัตย์ต่อพระคริสต์ เป็นจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่.” ทั้งกล่าวเพิ่มดังนี้: “สันตะปาปาบางครั้งสามารถจะเพิกถอนบทบัญญัติของพระเจ้าได้.” นอกจากนี้พจนานุกรม เดอะ นิว คาทอลิก ชี้แจงถึงเรื่องสันตะปาปาว่า “ราชทูตที่ส่งไปในนามสันตะปาปานั้นมียศสูงกว่าสมาชิกอื่นแห่งคณะทูต.”
21. จงระบุความแตกต่างของการปฏิบัติระหว่างสันตะปาปากับเปโตรและทูตสวรรค์?
21 ผิดกับสาวกทั้งหลายของพระเยซู สันตะปาปามักสวมเสื้อยาวงามวิจิตรพิสดารและต้อนรับคนประจบประแจง. สันตะปาปายอมให้ประชาชนโค้งคำนับ จุมพิตแหวนที่สวมนิ้วและนั่งบนเสลี่ยงพิเศษมีคนหาม. ช่างเป็นการโอ้อวดหาประโยชน์มิได้อะไรเช่นนั้นที่สันตะปาปาทุกสมัยได้ปฏิบัติสืบต่อมาตลอดศตวรรษต่าง ๆ! เป็นสิ่งตรงกันข้ามอย่างแท้จริงกับความเรียบง่าย ความถ่อมใจของเปโตรซึ่งบอกโกระเนเลียว นายทหารในกองทัพโรมันที่ได้คุกเข่าลงแทบเท้าเพื่อจะแสดงความเคารพดังนี้: “จงยืนขึ้นเถิด . . . ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”! (กิจการ 10:25, 26) และช่างต่างกันเสียจริง ๆ กับทูตสวรรค์องค์ที่สำแดงวิวรณ์แก่อัครสาวกโยฮัน! โยฮันหมายจะทรุดตัวกราบนมัสการทูตสวรรค์ แต่ทูตองค์นั้นแถลงว่า “อย่าเลย ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนผู้รับใช้เช่นเดียวกับท่าน และพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นผู้เผยวจนะและเป็นพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้. ท่านจงนมัสการพระเจ้าเถิด.”—วิวรณ์ 22:8, 9, ฉบับแปลใหม่.
22. โดยอาศัยหลักเกณฑ์อะไรที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์ เราจึงระบุตัวคนนอกกฎหมายได้?
22 การพรรณนาฐานะของนักเทศน์นักบวชเหล่านี้รุนแรงไปไหม? เราสามารถตัดสินเรื่องนี้ได้โดยใช้หลักเกณฑ์ที่พระเยซูให้ไว้เพื่อระบุตัวผู้ทำนายเท็จที่ว่า “เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา.” (มัดธาย 7:15, 16) แล้วทีนี้ ผลของนักศาสนาตลอดเวลาหลายร้อยปีเป็นอย่างไร และในศตวรรษที่ 20 นี้ด้วย? คนนอกกฎหมายที่เราพูดมานี้จะประสบจุดจบแบบไหน และใครจะร่วมรับจุดจบเดียวกัน? บรรดาคนที่เกรงกลัวพระเจ้ามีความรับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับคนนอกกฎหมาย? จุดต่าง ๆ ดังกล่าวจะถูกนำขึ้นมาพิจารณาในบทความถัดไป.
คำถามทบทวน:
▫ คนนอกกฎหมายได้แก่อะไร และได้ปรากฏตัวเมื่อไร?
▫ โดยวิธีใดที่พระคัมภีร์ชี้ตัวผู้ก่อตั้งชนชั้นคนนอกกฎหมาย?
▫ นักเทศน์นักบวชได้ยกฐานะตัวเองให้สูงกว่าประชาชนโดยวิธีใด?
▫ นักศาสนาได้พัฒนาคำสอนและกิจปฏิบัติอะไรบ้างซึ่งแสดงถึงการออกหาก?
▫ ท่าทีของสันตะปาปาต่างกันอย่างไรกับท่าทีของเปโตรและทูตสวรรค์?
[รูปภาพหน้า 14]
ผิดกับสันตะปาปาทั้งหลาย อัครสาวกเปโตรไม่ยอมรับการสักการะจากมนุษย์.