การเปิดโปง “คนนอกกฎหมาย”
“ดูก่อน พวกพลเมืองของเรา จงออกมาจากเมืองนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ได้มีส่วนในการบาปของเมืองนั้น และ . . . รับภยันตรายที่จะมีแก่พลเมืองนั้น.”—วิวรณ์ 18:4.
1, 2. (ก) จะระบุตัวคนนอกกฎหมายได้อย่างไร? (ข) พระเจ้าทรงมีทัศนะเช่นไรต่อผู้ที่อ้างว่ารับใช้พระองค์แต่เป็นผู้กระทำผิดฐานทำให้เลือดตก? (มัดธาย 7:21-23)
พระคำของพระเจ้าได้มีบอกล่วงหน้าถึงการปรากฏของ “คนนอกกฎหมาย” และยังบอกด้วยว่า พวกนอกกฎหมายนี้จะถูก ‘ประหาร และล้างผลาญให้สูญไป’ โดยผู้สำเร็จโทษแห่งสวรรค์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งคือพระเยซูคริสต์. (2 เธซะโลนิเก 2:3-8) ดังที่บทความก่อน ๆ ได้แสดงไว้ว่า คนนอกกฎหมายก็คือพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร. นานมาแล้วที่พวกเขาละทิ้งความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า และรับเอาคำสอนนอกรีตเข้ามา อาทิ ตรีเอกานุภาพ ไฟนรก และจิตวิญญาณอมตะ. ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังได้กระทำการที่ขัดต่อกฎหมายของพระเจ้า. ดังที่เปาโลได้เตือนติโตว่า “เขาออกปากกล่าวว่า เขารู้จักพระเจ้า แต่ว่าในกิริยาการประพฤติของเขา เขาปฏิเสธพระองค์ เขาเป็นคนที่น่าเกลียดไม่เชื่อฟังใคร และไม่มีประโยชน์สำหรับการดีอะไรเลย.”—ติโต 1:16.
2 พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า. ท่านจะรู้จักเขาเพราะผลของเขา.” ผู้พยากรณ์เท็จย่อมจะเกิด “ผลชั่ว.” (มัดธาย 7:15-17) หลักฐานหนึ่งของการเกิดผลชั่วของพวกนักเทศน์นักบวชคือความผิดร้ายแรงฐานทำให้โลหิตตก. นานหลายร้อยปีที่พวกเขาได้ให้การสนับสนุนต่อสงครามครูเสด ศาลศาสนา และสงครามต่าง ๆ ที่ทำลายชีวิตหลายล้านคน. พวกเขาอธิษฐานและอวยพรแก่ทั้งสองฝ่ายในสงครามซึ่งสมาชิกในศาสนาของเขาเองสังหารกัน. ในทางตรงข้าม อัครสาวกเปาโลสามารถกล่าวได้ว่า “ข้าพเจ้าหมดราคีจากโลหิตของคนทั้งปวง.” (กิจการ 20:26) แต่พวกนักเทศน์นักบวชไม่เป็นเช่นนั้น. พระเจ้าทรงแถลงแก่คนเช่นนั้นว่า “เมื่อเจ้าอธิษฐานมากมายหลายหน เราจะไม่ฟัง ด้วยมือของพวกเจ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต.”—ยะซายา 1:15.
3. เหตุการณ์อะไรซึ่งมีความสำคัญทั่วโลกที่คืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว?
3 เวลาที่พระเจ้าจะทรงสำเร็จโทษคนนอกกฎหมายกำลังคืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว. ในไม่ช้าจะเป็นดังที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้าว่า “จะมีความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งซึ่งไม่เคยมีแต่เดิมโลกมาจนบัดนี้ หรือในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก.” (มัดธาย 24:21) เวลาแห่งความยากลำบากซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลยนั้นจะเริ่มต้นด้วยการสำเร็จโทษบาบูโลนใหญ่ จักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จซึ่งรวมทั้งคริสต์ศาสนจักรด้วย. ส่วนสำคัญทางการเมือง “จะทำให้เขาไร้มิตรเปลือยกาย และจะกินเนื้อของหญิงนั้น และเอาไฟเผาเสีย.” (วิวรณ์ 17:16) ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งจะสิ้นสุดลงด้วยการทำลายโลกของซาตานส่วนที่เหลือ ณ อาร์มาเก็ดดอน “สงครามในวันใหญ่ของพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์.”—วิวรณ์ 16:14, 16; 19:11-21.
พันธะในการรักผู้อื่น
4. ผู้นมัสการพระเจ้า “ด้วยวิญญาณและความจริง” ต้องคำนึงถึงอะไรอยู่เสมอ?
4 เนื่องจากเหตุการณ์สะเทือนโลกเหล่านั้นจะบังเกิดแก่โลกในไม่ช้า คนเหล่านั้นที่ “นมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริง” มีพันธะอะไรที่จะต้องทำ? (โยฮัน 4:23, ล.ม.) ประการหนึ่งก็คือ พวกเขาต้องคำนึงถึงคำตรัสของพระเยซูเสมอที่ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะตั้งมั่นอยู่ในความรักของเรา เช่นเดียวกับที่เราได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระบิดา และตั้งมั่นอยู่ในความรักของพระองค์. . . . นี้แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกันเหมือนที่เราได้รักท่านทั้งหลาย. ไม่มีผู้ใดมีความรักใหญ่ยิ่งไปกว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละจิตวิญญาณของตัวเพื่อมิตรสหายของตน. ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านปฏิบัติตามที่เราสั่งท่านนั้น.”—โยฮัน 15:10-14, ล.ม.; 1 โยฮัน 5:3.
5, 6. (ก) พระเยซูทรงมีบัญชาให้สาวกของพระองค์ทำอะไรเพื่อจะเป็นสิ่งที่ระบุตัวพวกเขา? (ข) บัญญัตินี้ใหม่ในแง่ไหน?
5 เหตุฉะนั้น คริสเตียนแท้จึงมีพันธะที่จะรักผู้อื่น โดยเฉพาะพี่น้องคริสเตียนชายหญิงในทุกประเทศ. (กิจการ 10:34; ฆะลาเตีย 6:10; 1 โยฮัน 4:20, 21) ที่จริง เหล่าคริสเตียนต้องมี “ความรักอันแรงกล้าต่อกันและกัน.” (1 เปโตร 4:8, ล.ม.) ความรักที่มีขอบเขตกว้างขวางไปทั่วโลกเช่นนั้นระบุตัวพวกเขาว่าเป็นผู้นมัสการแท้ เพราะพระเยซูตรัสไว้ว่า “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือว่าให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันอย่างนั้นด้วย. โดยเหตุนี้คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ถ้าเจ้ามีความรักระหว่างพวกเจ้าเอง.”—โยฮัน 13:34, 35, ล.ม.
6 อะไรเป็นสิ่งใหม่เกี่ยวกับบัญญัติข้อนั้น? พวกยิวได้อยู่ใต้บัญญัติของโมเซที่สั่งให้ “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” มิใช่หรือ? (เลวีติโก 19:18) ถูกแล้ว แต่พระเยซูได้ทรงชี้ถึงบางสิ่งเพิ่มเติมไว้เมื่อตรัสว่า “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร.” ความรักของพระองค์หมายรวมถึงการสละชีวิตของพระองค์เพื่อผู้อื่นด้วย และเหล่าสาวกของพระองค์ควรเต็มใจทำเช่นเดียวกัน. (โยฮัน 15:13) นั่นคือความรักที่สูงส่งกว่า เพราะว่าบัญญัติของโมเซไม่ได้เรียกร้องการเสียสละเช่นนั้น.
7. ในสมัยนี้ ศาสนาไหนที่เชื่อฟังกฎหมายแห่งความรัก?
7 ในสมัยนี้ ศาสนาใดที่เชื่อฟังกฎหมายแห่งความรักข้อนี้? ไม่ใช่คริสต์ศาสนจักรอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขาได้เข่นฆ่ากันเองนับจำนวนได้หลายสิบล้านคนในสงครามโลกสองครั้งและในความขัดแย้งอื่น ๆ. พยานพระยะโฮวาทั่วโลกต่างหากที่ได้เชื่อฟังกฎหมายแห่งความรักนั้น. พวกเขารักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดในขณะที่มีการต่อสู้ของชาติต่าง ๆ เพราะพระเยซูทรงตรัสไว้ว่า สาวกทั้งหลายของพระองค์ต้อง “ไม่เป็นส่วนของโลก.” (โยฮัน 17:16) ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงพูดได้อย่างที่เปาโลได้กล่าวไว้ว่า พวกเขา “หมดราคีจากโลหิตของคนทั้งปวง.” ดังตัวอย่างหนึ่ง ให้เราสังเกตดูตอนเริ่มของมติที่มีการยอมรับโดยเหล่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวา ณ การประชุมภาคที่วอชิงตัน ดี. ซี. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 1921 มีว่า:
“ในฐานะคริสเตียนที่มุ่งมั่นจริงจังจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเหล่าอัครสาวกของพระองค์ เราถือว่า: การต่อสู้เป็นความป่าเถื่อนที่ตกทอดมา เป็นการทำลายซึ่งศีลธรรมอันดี และเป็นสิ่งที่น่าประณามสำหรับชนคริสเตียน และถือว่าหลักการที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งสอนไว้นั้นไม่อนุญาตให้คริสเตียนที่อุทิศตัวแล้วมีส่วนในการต่อสู้ การทำให้เลือดตก หรือการรุนแรงไม่ว่าในรูปแบบใด.”
8. บันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวอย่างไรถึงพยานพระยะโฮวาในช่วงสงครามโลกที่สอง?
8 แนวความคิดนั้นมีการนำไปปฏิบัติอย่างไรในสงครามโลกที่สอง? ประมาณ 50 ล้านคนถูกสังหารในสงครามอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น. แต่ไม่มีสักคนที่ถูกสังหารโดยพยานพระยะโฮวา! ดังเช่น พวกนักเทศน์นักบวชในเยอรมนีเกือบทุกคนให้การสนับสนุนลัทธินาซีหรือไม่ก็ไม่ได้คัดค้าน. ตรงกันข้าม พยานพระยะโฮวาที่อยู่ใต้อำนาจปกครองของนาซียึดมั่นในความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและปฏิเสธการยกย่องฮิตเลอร์ หรือไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือทางทหารของเขา. ฉะนั้น พวกพยานฯจึงไม่ได้สังหารแม้แต่สักคนเดียวไม่ว่าพี่น้องฝ่ายวิญญาณของเขาในประเทศอื่นหรือคนใดคนหนึ่งเลย. และพยานพระยะโฮวาในประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดก็ยึดมั่นในความเป็นกลางเช่นเดียวกัน.
9. เกิดอะไรขึ้นแก่พยานพระยะโฮวาในเยอรมนีและออสเตรียที่ปกครองโดยลัทธินาซี?
9 พยานพระยะโฮวาหลายคนได้สละชีวิตของเขาเพื่อสนับสนุนเพื่อนร่วมความเชื่อในการเชื่อฟังกฎหมายแห่งความรัก. บทวิจารณ์หนึ่งในเคียร์เช่นคัมฟ์ อิน ดอยชลันด์ (การราวีของคริสต์จักรในเยอรมนี) โดยฟรีดริค ซีพเฟิล กล่าวถึงพยานพระยะโฮวาว่า “เก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นของสมาชิกกลุ่มศาสนาเล็ก ๆ นี้ตกเป็นเหยื่อของการเคี่ยวเข็ญข่มเหงจากพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ (นาซี). พวกเขาหนึ่งในสามถูกฆ่า ทั้งโดยการประหาร ทารุณกรรม ความหิวโหย เจ็บป่วย และใช้ให้ทำงานหนัก. เป็นการกดขี่ที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน และนั่นเป็นเพราะความเชื่ออันเด็ดเดี่ยวซึ่งไม่อาจไปกันได้กับแนวความคิดแบบสังคมนิยมแห่งชาติ.” ในออสเตรีย พยานพระยะโฮวาหนึ่งในสี่ถูกสังหาร ทุบตีจนตาย หรือตายเพราะความเจ็บป่วย หรือการทำงานหนักในค่ายกักกัน.
10. คนเหล่านั้นที่เสียชีวิตเนื่องจากการเชื่อฟังต่อกฎหมายแห่งความรักมีความมั่นใจในเรื่องใด?
10 คนเหล่านั้นที่ได้ยอมสละชีวิตเพื่อเห็นแก่การเชื่อฟังกฎหมายแห่งความรักได้มั่นใจว่า “พระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงาน [ของเขา] และความรัก [ที่เขา] ได้สำแดงต่อพระนามของพระองค์.” (เฮ็บราย 6:10) พวกเขาทราบว่า “โลกนี้กับความปรารถนาของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่กระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์.” (1 โยฮัน 2:17, ล.ม.) พวกเขามีความหวังแน่นอนเรื่องการเป็นขึ้นจากตายพร้อมด้วยโอกาสจะมีชีวิตนิรันดร์.—โยฮัน 5:28, 29; กิจการ 24:15.
11. ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระยะโฮวาไม่เหมือนใครในทางใด? และพวกเขาทำให้คำพยากรณ์อะไรสำเร็จ?
11 ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระยะโฮวาโดดเด่นในการเชื่อฟังต่อหลักการที่เปโตรและอัครสาวกอื่น ๆ ได้กล่าวต่อศาลสูงว่า “พวกข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ครอบครองยิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์.” (กิจการ 5:29, ล.ม.) เนื่องจากพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาทำเช่นนี้ พวกเขาจึงได้รับการหนุนหลังโดย “พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่คนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระองค์ในฐานะเป็นผู้ครอบครอง.” (กิจการ 5:32, ล.ม.) นั่นคือพลังที่ทำให้พวกเขาสามารถทำให้คำพยากรณ์ที่ยะซายา 2:2-4 สำเร็จเป็นจริง. ข้อนั้นบอกล่วงหน้าว่า ในสมัยของเรา การนมัสการแท้จะถูกสถาปนาขึ้นใหม่ และประชาชนจากทุกชาติ และทุกศาสนาจะหลั่งไหลเข้ามา. ผลลัพธ์อย่างหนึ่งก็คือ “เขาทั้งหลายจะเอาดาบของเขาตีเป็นผาลไถนา และเอาหอกตีเป็นขอสำหรับลิดแขนง. ประเทศต่อประเทศจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กัน และเขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป.” เนื่องจากพยานพระยะโฮวากำลังเตรียมตัวเพื่อชีวิตสันติสุขในโลกใหม่ พวกเขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป. พวกเขาเรียนกฎหมายแห่งความรัก.—โยฮัน 13:34, 35.
12. อะไรคือสิ่งที่ผู้เชื่อฟังกฎหมายแห่งความรักจะต้องทำต่อผู้อื่น?
12 เนื่องจากความรักแบบคริสเตียนหมายถึง “การรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” ผู้รับใช้ของพระเจ้าจึงไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัวในเรื่องที่เขาได้เรียนรู้. (มัดธาย 22:39) ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ปรารถนาจะรับใช้พระเจ้าและมีชีวิตในโลกใหม่. ขณะที่ยังมีเวลาอยู่ คนเหล่านี้เช่นกันจำต้องได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายแห่งความรัก และสัจธรรมอื่น ๆ อีกมากเกี่ยวด้วยพระเจ้ายะโฮวา องค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ. พวกเขาต้องรับการสั่งสอนว่า พระยะโฮวาแต่องค์เดียวที่ควรแก่การนมัสการ และเรียนรู้ว่า จะถวายการนมัสการพระองค์อย่างไร. (มัดธาย 4:10; วิวรณ์ 4:11) คนเหล่านั้นที่ได้เรียนรู้แล้วก็มีพันธะที่จะบอกเรื่องนั้นแก่คนอื่นต่อไปเพื่อพวกเขาเหล่านั้นจะได้เข้ามาอยู่ในความโปรดปรานของพระยะโฮวาเช่นกัน.—ยะเอศเคล 33:7-9, 14–16.
การเปิดโปงคนนอกกฎหมาย
13. ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพยานทั่วโลก เราต้องทำให้สิ่งใดเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และทำไม?
13 พระเยซูตรัสว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ แล้วจุดอวสานจะมาถึง.” (มัดธาย 24:14, ล.ม.) ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพยานฯทั่วโลก ผู้รับใช้ของพระเจ้ามีพันธะต้องบอกให้ทราบถึงคำพิพากษาของพระเจ้าต่อสู้ศาสนาเท็จ โดยเฉพาะพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร. พวกเหล่านี้พึงได้รับการประณามยิ่งกว่าศาสนาอื่นในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะพวกเขาอ้างว่าเป็นคริสเตียน. พวกเขาต้องถูกเปิดโปงเพื่อว่า เหล่าคนที่ปรารถนาจะรับใช้พระเจ้าจะได้รับการปลดปล่อยจากอิทธิพลของพวกเขา และสามารถปฏิบัติขั้นตอนต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อความรอด. ดังคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ความจริงนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นอิสระ.”—โยฮัน 8:32, ล.ม.
14. ข่าวสารอันชัดแจ้งอะไรที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จจะต้องมีการประกาศออกไป?
14 ด้วยเหตุนี้ พยานทั้งหลายของพระยะโฮวาจึงต้องทำให้ข่าวสารที่ได้รับการดลบันดาลเกี่ยวกับศาสนาเท็จนั้นเป็นที่ทราบกันทั่วไป ที่ว่า “ดูก่อนพวกพลเมืองของเรา จงออกมาจากเมืองนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ได้มีส่วนในการบาปของเมืองนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภยันตรายที่จะมีแก่พลเมืองนั้น. ด้วยว่าความบาปของเมืองนั้นกองสูงขึ้นจรดสวรรค์ และพระเจ้าได้ทรงจำการทุจริตแห่งเมืองนั้น. . . . ภยันตรายต่าง ๆ ของเมืองนั้นจะมาในวันเดียว คือความตายและโทมนัสและการกันดารอาหาร และไฟจะเผาเมืองนั้นให้พินาศทีเดียว ด้วยว่าพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาเมืองนั้นประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์.”—วิวรณ์ 18:4-8.
15. ปี 1914 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรในกำหนดเวลาของพระยะโฮวา และเกิดอะไรขึ้นภายหลังสงครามโลกที่หนึ่ง?
15 คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่า “ช่วงอวสาน” แห่งระบบของสิ่งต่าง ๆ นี้เริ่มต้นในปี 1914 ซึ่งมีลักษณะสำคัญ. (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13; มัดธาย 24:3-13) นับจากปีนั้น เราอยู่ใน “วารสุดท้าย.” (ดานิเอล 12:4) สอดคล้องกับกำหนดเวลาของพระยะโฮวา ผู้รับใช้ของพระองค์ได้เริ่มแผ่ขยายการประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าดังมีบอกไว้ล่วงหน้าที่มัดธาย 24:14 นั้นออกไปอย่างขันแข็งทันทีหลังจากสงครามโลกที่หนึ่ง. พวกเขายังได้เริ่มเปิดโปงศาสนาเท็จอย่างเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยเฉพาะพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรที่ออกหากและละเมิดพระบัญญัติ.
16. การงานเปิดโปงคนนอกกฎหมายได้มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างไรในช่วงเจ็ดสิบกว่าปีนี้?
16 บัดนี้ เป็นเวลากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ด้วยพลังอันเข้มแข็งยิ่งกว่าที่เคย ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้เตือนประชาชนให้ระวังการหลอกลวงของคนนอกกฎหมาย. มีพยานฯเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นที่ทำการนี้ภายหลังสงครามโลกที่หนึ่ง. แต่ปัจจุบัน พวกเขาได้กลายเป็น “ชนชาติใหญ่” ที่มีจำนวนผู้รับใช้ที่เอาการเอางานกว่าสามล้านห้าแสนคนซึ่งมีการจัดเป็น 60,000 กว่าประชาคมทั่วโลก. (ยะซายา 60:22) ในขอบเขตที่ขยายใหญ่ขึ้นนี้ ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระยะโฮวากำลังประกาศอย่างกระตือรือร้นถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า ว่าเป็นความหวังอย่างเดียวสำหรับมนุษยชาติ และเวลาเดียวกันกำลังเปิดโปงฐานะที่แท้จริงของพวกนักเทศน์นักบวช—คือคนนอกกฎหมายผู้หลอกลวง.
เพราะเหตุใดจึงทำอย่างเข้มแข็งเช่นนั้น?
17. ทำไมผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจึงได้เปิดโปงคนนอกกฎหมายอย่างแข็งขัน?
17 เพราะเหตุใดผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจึงได้ทำการเปิดโปงคนนอกกฎหมายอย่างเข้มแข็งมาตลอดเวลาหลายปีนี้? ก็เพราะชนหมู่ใหญ่จำนวนหลายล้านคนที่ได้เข้ามาอยู่บนเส้นทางสู่ความรอดแล้วนั้นจำต้องได้รับการปกป้องไว้จากโลกของซาตานและศาสนาเท็จ. (โยฮัน 10:16; วิวรณ์ 7:9-14) ยิ่งกว่านั้น หากไม่มีการเปิดโปงพวกนักเทศน์นักบวช บรรดาคนที่มีหัวใจสุจริตซึ่งยังไม่ได้เข้ามาร่วมกับฝูงแกะของพระเจ้าก็จะไม่รู้วิธีเลี่ยงจากแนวทางที่ผิด. ฉะนั้นจึงต้องบอกให้พวกเขาทราบ ดังที่พระเยซูทรงบอกกับประชาชนขณะที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับพวกผู้นำศาสนาที่หน้าซื่อใจคดในสมัยนั้นว่า “เขาเป็นคนนำทางคนตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงไปในบ่อ.”—มัดธาย 15:14 ฉบับแปลใหม่. โปรดดู 2 โกรินโธ 4:4; 11:13-15 ด้วย.
18. อะไรคือสิ่งที่ผู้แสวงความจริงพึงต้องได้ทราบ?
18 พวกนักเทศน์นักบวชเป็นส่วนแห่งโลกของซาตาน. (โยฮัน 8:44) แต่นั่นเป็นโลกที่พระเจ้าจะทรงขจัดออกไปเสียในไม่ช้า. (2 เปโตร 3:11-13; 1 โยฮัน 2:15-17) ดังนั้น พระคำของพระเจ้ามีคำเตือนว่า “เพราะเหตุนี้ ใครก็ตามที่อยากเป็นมิตรของโลกก็ตั้งตัวเป็นศัตรูของพระเจ้า.” (ยาโกโบ 4:4, ล.ม.) พวกนักเทศน์นักบวชเพิกเฉยต่อคำเตือนนี้ และดำเนินต่อไปในการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง. พวกเขาบอกแก่ผู้ที่ติดตามเขาว่า โลกที่ดีกว่าจะมีขึ้นได้โดยความพยายามของพวกนักการเมือง. แต่นั่นเป็นความหวังที่ผิด เนื่องจากโลกภายใต้ซาตานนี้กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งความสิ้นสูญ. ฉะนั้น บรรดาผู้ที่มองหาความหวังในโลกนี้ก็กำลังถูกหลอก พวกเขาจำต้องได้ทราบว่า โลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไร และอะไรจะเข้ามาแทนที่.—สุภาษิต 14:12; 19:21; มัดธาย 6:9, 10; วิวรณ์ 21:4, 5.
19. เมื่อเร็ว ๆ นี้ การดำเนินแบบโลกของนักเทศน์นักบวชบางคนได้ถูกเปิดโปงอย่างไรโดยสื่อมวลชน?
19 การดำเนินแบบโลกของนักเทศน์นักบวชบางคนได้ถูกเปิดโปงโดยสื่อมวลชนเมื่อไม่นานนี้ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ชีวิตในแบบที่ผิดศีลธรรมและหรูหราฟุ่มเฟือยของนักเทศน์นักบวชทางทีวีบางคน. นักแต่งเพลงสมัยใหม่คนหนึ่งได้แต่งเพลงขึ้นเพลงหนึ่งชื่อว่า “พระเยซูจะทรงสวม [นาฬิกา] โรเล็กซ์ [ราคา 250,000 บาท] ออกทีวีไหม?” เพลงนั้นมีเนื้อความต่อไปว่า “พระเยซูจะทรงเล่นการเมืองหรือเปล่าหากพระองค์เสด็จกลับมายังโลก พระองค์จะมีบ้าน [หรูหรา] อีกสักหลังที่ปาล์มสปริง และพยายามปิดบังทรัพย์สินของพระองค์ไหม?” นอกจากนั้น นักเทศน์นักบวชจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นด้วย หรือไม่ก็กระทำการรักร่วมเพศเสียเอง. แม้กระทั่งทุกวันนี้ คริสต์จักรคาทอลิกในสหรัฐยังต้องจ่ายเงินหลายล้านเหรียญเพื่อชดใช้ความเสียหายที่บาทหลวงได้กระทำผิดทางเพศต่อเด็ก ๆ.—โรม 1:24-27; 1 โกรินโธ 6:9, 10.
20. เพราะเหตุใด ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระเจ้าจึงต้องทำการเปิดโปงคนนอกกฎหมายต่อ ๆ ไป?
20 ผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่อาจเพิกเฉยต่อการผิดเช่นนั้นได้ แต่ต้องทำการเปิดโปงเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น ๆ. ชนหมู่ใหญ่แห่งแกะอื่นนั้นจำต้องได้รับการปกป้องไว้จากเหล่าคนที่พยายามชักจูงพวกเขาให้ละเมิดกฎหมายของพระเจ้า. และคนเหล่านั้นที่ “ถอนหายใจและคร่ำครวญเพราะความลามกทั้งสิ้นที่กระทำกัน” ก็จำต้องมีการค้นหาและรวบรวมเข้ามาอยู่ในความอารักขาชี้แนะของผู้เลี้ยงองค์ยิ่งใหญ่ พระยะโฮวาเจ้า และรองผู้เลี้ยงของพระองค์คือ พระเยซูคริสต์.—ยะเอศเคล 9:4, ฉบับแปลใหม่; โยฮัน 10:11; สุภาษิต 18:10.
21. พยานทั้งหลายของพระยะโฮวาจะประกาศถึงเรื่องอะไรต่อไปอีก?
21 เหตุฉะนั้น พลไพร่ของพระเจ้าจะไม่ลังเลในการประกาศการแก้แค้นของพระองค์ต่อโลกซาตานทั้งสิ้น รวมทั้งคนนอกกฎหมาย คือพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรซึ่งเป็นฝ่ายมันด้วย. พวกเขาจะประกาศด้วยความร้อนรนถึงข่าวสารแห่งพวกทูตสวรรค์ดังในวิวรณ์ 14:7 ที่ว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายเกียรติยศแด่พระองค์ เพราะว่าเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษานั้นมาถึงแล้ว.” และพวกเขายังจะประกาศถึงคำเตือนในวิวรณ์ 18:4 เกี่ยวกับศาสนาเท็จด้วยที่ว่า “ดูก่อน พวกพลเมืองของเรา จงออกมาจากเมืองนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ได้มีส่วนในการบาปของเมืองนั้น และ . . . รับภยันตรายที่จะมีแก่พลเมืองนั้น.”
คำถามทบทวน
▫ บั้นปลายของคนนอกกฎหมายคืออย่างไร และเพราะเหตุใด?
▫ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีพันธะอะไรเกี่ยวข้องกับคนอื่น ๆ?
▫ พลไพร่ของพระยะโฮวาหมดราคีจากโลหิตของคนทั้งปวงอย่างไร?
▫ เราต้องทำอะไรเกี่ยวกับบาบูโลนใหญ่?
▫ ทำไมเรายังจะประกาศข่าวสารอันเข้มแข็งเกี่ยวกับคนนอกกฎหมายต่อ ๆ ไป?
[รูปภาพหน้า 23]
พวกอัครสาวกแถลงต่อศาลสูงว่า “พวกข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นผู้ครอบครองยิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์.”
[รูปภาพหน้า 24]
บรรดาผู้ที่สุจริตใจจำต้องได้ทราบว่า โลกกับศาสนาของโลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไร.